December 20, 2025

กรุงเทพฯ – นพ.ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร (ที่ 3จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวชและโรงพยาบาลบีเอ็นเอช พร้อมคณะผู้บริหาร ทีมงานดูแลผู้ป่วยนานาชาติ และทีมงานดูแลผู้ป่วยชาวญี่ปุ่น ให้การต้อนรับ พณฯ ศาสตราจารย์ ทาเกมิ เคโซ ที่ จากซ้าย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ประเทศญี่ปุ่น ให้เกียรติเยี่ยมชมโรงพยาบาล หอผู้ป่วยในและบริเวณผู้ป่วยนอก เพื่อดูการปฏิบัติงานการดูแลผู้ป่วยชาวญี่ปุ่น ณ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท หนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย และโรงพยาบาลชั้นนำในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ ซึ่งเป็นที่นิยมของคนไข้ชาวต่างชาติ รวมถึงชาวญี่ปุ่นอย่างกว้างขวาง

หากกล่าวว่า “ไฟฟ้า” คือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการขับเคลื่อนชีวิต เมือง อุตสาหกรรม และการสัญจรบนท้องถนน “สายไฟฟ้า” ก็เปรียบเสมือน “กระดูกสันหลัง” ที่ค้ำยันให้โครงสร้างพื้นฐานทั้งบนดิน ใต้ดิน ในน้ำ ในบ้าน ในอาคาร ในโรงงานขนาดใหญ่ ขับเคลื่อนไปได้อย่างมั่นคงในทุกสภาพแวดล้อม สายไฟเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องมีทั้งเทคโนโลยี นวัตกรรม และมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล

บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด ถือเป็นหนึ่งในบริษัทคนไทยที่มีบทบาทขับเคลื่อน “กระดูกสันหลัง” ของโครงสร้างพื้นฐานมายาวนาน ตั้งแต่เจเนอเรชันที่ 1 ภายใต้บังเหียนของ “สมพงศ์ นครศรี” จนมาถึงเจเนอเรชันที่ 3 ที่มี “พงศภัค นครศรี” เข้ามาช่วยบริหาร ล่าสุด บางกอกเคเบิ้ล จัดงานฉลองใหญ่ครบรอบ 60 ปี ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ มีผู้บริหารระดับสูงในแวดวงพลังงาน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมต่างๆ เข้าร่วมงานกว่า 1,200 คน ภายในงานมีนิทรรศการโชว์บทบาทของสายไฟในการพัฒนาเมือง พร้อมทั้งมีการประกาศเป้าหมายใหม่ในการร่วมเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยสู่โลกแห่งอนาคต

 

นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า บางกอกเคเบิ้ล ถือเป็นบริษัทคนไทยรายแรกที่บุกเบิกและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า ตั้งแต่ยุคเปลี่ยนผ่านจากการใช้ไฟฟ้าแบบ 110 โวลต์ เป็น 220 โวลต์ และเดินหน้าพัฒนาสายไฟฟ้าของบริษัทเรื่อยมาตลอด 6 ทศวรรษ เพื่อมีส่วนร่วมใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การพัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาสายไฟฟ้าให้เป็นเสมือนเส้นเลือดที่ส่งพลังงานไปยังพื้นที่ต่างๆ เชื่อมโยงประเทศ ภูมิภาค ชุมชน และสังคมเมือง รวมถึงเชื่อมโยงมนุษย์กับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น เส้นทางคมนาคม สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนให้สอดคล้องกับทิศทางพัฒนาการของโลก

2.การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เดินหน้าส่งมอบสายไฟฟ้าคุณภาพและมาตรฐานสูงสุด สำหรับใช้ทั้งในครัวเรือนและในระดับประเทศ เพื่อป้องกันและลดความสูญเสียที่เกิดจากอัคคีภัยและอุบัติเหตุทางไฟฟ้า พัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบทางไฟฟ้า (Lab) ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทยเป็นของตัวเอง เดินหน้าพัฒนาโรงงานผลิตสายไฟสู่ Smart Factory และ 3.การเสริมสร้างภูมิทัศน์ของเมืองมหานคร ร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (MEA) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) พัฒนา “ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะสำหรับเมืองมหานคร” ร่วมเปลี่ยนกรุงเทพฯ และเมืองหลักต่างๆ ในประเทศไทยให้เป็น “มหานครไร้สาย” ด้วยการนำสายไฟลงดิน พัฒนาสิ่งแวดล้อมเมืองให้ทันสมัยและยั่งยืน

“เราพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้ง 3 ด้าน เรายังมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจและสังคมสีเขียว ด้วยสายไฟฟ้าที่รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทดแทน ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ไปจนถึงสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charger เราจะไม่หยุดเพียงแค่การส่งผ่านพลังงาน แต่จะมุ่งมั่นสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่พลังงานสะอาด เริ่มจากการตั้งเป้าให้องค์กรของเราเป็นองค์กร Net Zero ภายในปี ค.ศ.2045 โดยจะมี Big Move ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเร็วๆ นี้” นายพงศภัค ระบุ

 

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวว่า สายไฟฟ้า นับเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการปรับเปลี่ยนทิศทางพลังงานของประเทศให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม รวมถึงการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาป มาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีสายไฟฟ้าคุณภาพสูง ประสิทธิภาพยอดเยี่ยม เพื่ออัปเกรดสายไฟฟ้าในพื้นที่ต่างๆ ให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนผ่านที่จะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP ฉบับใหม่ ยังคงต้องสอดคล้องกับการนำพาประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ให้ได้ภายในปี ค.ศ.2050 และ Net Zero ภายในปี ค.ศ.2065 เรายังมีหลายเรื่องที่ต้องเดินหน้า ทั้งการพัฒนา Smart Grid ควบคู่กับการแก้ปัญหาอื่นๆ ด้านพลังงาน เรามองว่า บางกอกเคเบิ้ล ในฐานะบริษัทสายไฟของคนไทย ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน จะเป็นหนึ่งในองค์กรสำคัญที่มีส่วนช่วยเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต ต่างให้ความสำคัญกับการลดอุบัติเหตุภายในโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นศูนย์ (Zero Accident) สายไฟฟ้าที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ผ่านการออกแบบอย่างเหมาะสมให้รองรับต่อทุกสภาพแวดล้อม ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้โรงงานต่างๆ สามารถลดอุบัติเหตุทางไฟฟ้า และลดความเสียหายต่อเครื่องจักร ตลอดจนทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลในโรงงาน สายไฟฟ้า จะยิ่งมีบทบาทมากขึ้น ในการช่วยนำพาองค์กรธุรกิจและองค์กรในภาคอุตสาหกรรม เปลี่ยนผ่านสู่เส้นทางความยั่งยืน

“วันนี้ ภาคธุรกิจจำนวนมาก ต่างทยอยประกาศทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรสู่ Net Zero ภายในปี ค.ศ.2050 ซึ่งเร็วกว่าทิศทางของประเทศ นั่นหมายความว่า องค์กรเอง ก็ต้องทยอยเปลี่ยนผ่านมาใช้พลังงานสะอาด และลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เราเชื่อมั่นว่า บางกอกเคเบิ้ล จะเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรม สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่เส้นทาง Net Zero ได้อย่างแข็งแกร่ง” นายเกรียงไกร กล่าว

สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่

1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission)

2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution)

3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building)

4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility)

5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial)

6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy)

และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต

ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 โครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออก โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ เขื่อนอุบลรัตน์

17 กันยายน 2567 – ตำรวจ สภ. โพธารามไล่ตามรวบโจรตระเวนลักทรัพย์อุปกรณ์เสามือถือรายใหญ่ในภาคกลาง โดยเฉพาะฝั่งตะวันตกและจังหวัดราชบุรี โดยจับกุมคนร้ายได้ที่บ้านพักพร้อมยึดของกลางชุดอุปกรณ์ควบคุมสัญญาณมือถือมูลค่าหลายล้านบาท ซึ่งเตรียมนำมาแปลงสภาพก่อนส่งขายมือสอง ตำรวจพร้อมมุ่งกวาดล้างต่อเนื่องหวังทลายแก๊งโจรและเครือข่ายลักลอบขายอุปกรณ์โทรคมนาคมในตลาดมืด ด้านทรู คอร์ปอเรชั่นลุยแจ้งจับดำเนินคดีถึงที่สุดพร้อมร่วมมือตำรวจทุกพื้นที่ หวังหยุดสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ส่งผลกระทบต่อการให้บริการสัญญาณมือถือหลายพื้นที่

กรณีคนร้ายตระเวนลักทรัพย์อุปกรณ์เสามือถือของ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ราว 10 กว่าแห่งในภาคกลาง โดยล่าสุดเหตุเกิดที่เสามือถือชุมชนวัดขนอน ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งแก๊งคนร้ายไม่ทราบจำนวนบุกรุกเข้ามาขโมยถอดอุปกรณ์ประจำสถานีฐาน หวังนำอุปกรณ์ที่ลักทรัพย์ไปแปลงสภาพ (refurbish) ก่อนส่งขายย้อมแมวแหล่งตลาดมืดต่อไป ส่งผลกระทบให้ประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ไม่สามารถใช้บริการโทรศัพท์มือถือได้ตามปกติ

จากการสืบสวนทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรโพธาราม จังหวัดราชบุรี ได้เข้าจับกุมนาย กอ (นามสมมุติ) อายุราว 40 ปี คนร้ายได้คาบ้านที่จังหวัดราชบุรี โดยผู้ต้องหารับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน ซึ่งเป็นของกลางอุปกรณ์ควบคุมการส่งสัญญาณประจำเสามือถือจำนวนมากที่บ้านพัก มีมูลค่าหลายล้านบาท ก่อนเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ไปยังเครือข่ายแก๊งโจรข้ามจังหวัด โดยคนร้ายดังกล่าวนับเป็นผู้ต้องหารายสำคัญหนึ่งในแก๊งตระเวนลักทรัพย์และทำมานาน

บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ดำเนินการฟ้องร้องทางอาญาทุกกรณีในข้อหาลักทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดสถานหนัก ไม่ว่าจะกระทำความผิดคนเดียวหรือตั้งแต่สองคนขึ้นไป ใช้ยานพาหนะ หรือลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ซึ่งถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเหตุฉกรรจ์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 โดยระวางโทษจำคุกได้ถึง 7 ปี และปรับสูงสุดถึงหนึ่งแสนบาท แล้วแต่กรณี โดยมีโทษทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ การฟ้องร้องดำเนินคดีในความผิดฐานนี้ไม่สามารถยอมความได้ พร้อมทั้งจะฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายจากทรัพย์สินด้วยมูลค่าสูงสุด

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันเหตุลักลอบขโมยอุปกรณ์ที่เสามือถือ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้เร่งติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิดที่สถานีฐานเพิ่มเติม พร้อมทั้งใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเฝ้าระวังและดูแลเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) เพื่อให้สามารถตรวจจับและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ลดผลกระทบต่อการใช้งานของลูกค้า

ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH by Gulf Binance) บริษัทร่วมทุนระหว่าง ไบแนนซ์ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ จำกัด บริษัทภายในเครือของไบแนนซ์ แพลตฟอร์มที่มีปริมาณการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ บริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด พาส่องเทรนด์โลกสินทรัพย์ดิจิทัล โดยนายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ในหัวข้อ ‘คว้าโอกาสในโลกบิทคอยน์ ไปทางไหน’ ในงาน The Secret Sauce Summit 2024 มุ่งเจาะลึก 3 สัญญาณการเติบโตของบิทคอยน์ ทั้งในกลุ่มนักลงทุนระดับย่อยและนักลงทุนสถาบัน พร้อมเผยเทคนิคการเลือกแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจในการลงทุนที่มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

3 สัญญาณการเติบโตของบิทคอยน์

1. การยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัล

เทรนด์การลงทุนในยุคปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน จากเดิมที่เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ อาทิ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ กระเป๋า หรือนาฬิกา แต่ตอนนี้ผู้คนทั่วโลกหันมานิยมลงทุนใน ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ โดยเฉพาะ บิทคอยน์ มากยิ่งขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านมูลค่าตลาดของบิทคอยน์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนแตะระดับสูงสุด

(All Time High - ATH) ที่ 73,750 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบิทคอยน์ เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา รวมถึงยังเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุดติด 10 อันดับแรกของโลกอีกด้วย

ทั้งนี้ หากมองย้อนกลับไปช่วงที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2555 สมัยบารัก โอบามา ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในขณะนั้น ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าบิทคอยน์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในทุกๆ 4 ปี ช่วงเวลาเดียวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนใหม่ ซึ่งสำหรับการเลือกตั้งในปีนี้เอง ยังคงต้องจับตาดูอีกครั้งว่าแนวโน้มมูลค่าของบิทคอยน์จะเป็นอย่างไรต่อไป

กราฟแสดงมูลค่าของบิทคอยน์ (ดอลลาร์สหรัฐ) ระหว่างปี 2554 ถึง กลางไตรมาสที่ 2 ปี 2567 โดย ChartsBTC

2. สินทรัพย์ดิจิทัลกับการใช้งานในชีวิตจริง

 

นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด แสดงเส้นทางการใช้งานบิทคอยน์ในชีวิตจริงนับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา

บิทคอยน์ ถูกใช้งานจริงครั้งแรกในวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 เพื่อใช้ซื้อพิซซ่า ซึ่งทำให้ทุกวันที่ 22 พฤษภาคมของทุกปี ได้ถูกเรียกว่าเป็น ‘Bitcoin Pizza Day’ เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่าเราสามารถนำบิทคอยน์มาซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งหลังจากนั้นปรากฎการณ์การยอมรับบิทคอยน์ได้มีให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดตัว Bitcoin ATM เครื่องแรกต่อสาธารณะ ในปี 2556 ณ ร้านกาแฟในเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา รวมถึงการที่หลากหลายแบรนด์ชั้นนำยอมรับให้ซื้อสินค้าด้วยบิทคอยน์ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Dell และ PayPal รวมถึงแบรนด์หรู อย่าง Hublot เป็นต้น นอกจากนี้ ในปี 2564 เอลซัลวาดอร์ ยังถือเป็นประเทศแรกที่ยอมรับบิทคอยน์เป็นสกุลเงินที่สามารถนำมาชำระหนี้ (Legal Tender) และใช้แทนเงินสดได้ถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย

ล่าสุดในปี 2567 บิทคอยน์ยังคงเดินหน้าสู่การยอมรับในวงกว้างมากขึ้น เห็นได้ชัดจากที่หลายประเทศ เริ่มเล็งเห็นบิทคอยน์เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อนโยบายเศรษฐกิจและสังคมของชาติ ยกตัวอย่างเช่น

· ฮ่องกง เป็นประเทศที่ทางรัฐบาลตั้งเป้าผลักดันให้เป็นประเทศ ‘ศูนย์กลางคริปโตเคอร์เรนซีแห่งเอเชีย’ เชื่อมต่อระหว่างโลกเกมเข้ากับบิทคอยน์ พร้อมชูให้เป็นหนึ่งในนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

· รัสเซีย ประกาศทดลองใช้บิทคอยน์เป็นสกุลเงินที่สามารถนำมาชำระหนี้ และใช้แทนเงินสดได้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อประยุกต์ใช้ในระบบการเงินของประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2567 เป็นต้นไป

· สหภาพยุโรป เริ่มยอมรับการใช้บิทคอยน์ภายในประเทศสมาชิกทั้ง 28 ประเทศ โดยมีผลบังคับใช้กฎระเบียบ MiCA (Markets in Crypto-Assets Regulation) เพื่อรับประกันเสถียรภาพทางการเงินในกลุ่มประเทศสมาชิกทั้งในแง่ของการเป็นเจ้าของ การซื้อขาย และการนำเสนอบริการที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล

3. การมาถึงของ Spot Bitcoin ETFs สู่การยอมรับของนักลงทุนสถาบัน

 

นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด เผยให้เห็นรายชื่อกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่สนใจเข้ามาสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

นับตั้งแต่การเปิดตัว Spot Bitcoin ETFs เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน Spot Bitcoin ETFs ได้มีมูลค่าการทำธุรกรรมมากถึง 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งผลให้ตอนนี้ การลงทุนในบิทคอยน์ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มนักลงทุนรายย่อยเท่านั้น แต่ได้มีผู้เล่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันสนใจเข้ามาสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวนมาก อาทิ Morgan Stanley JPMorgan Chase & Co CitiBank Goldman Sachs และ Wells Fargo เป็นต้น

เริ่มต้นลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล แพลตฟอร์มแบบไหน ใช่ที่สุด

ในประเทศไทย มีแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลมากมายให้เลือกลงทุน ดังนั้น สิ่งที่สำคัญสำหรับการตัดสินใจว่าจะเลือกลงทุนในแพลตฟอร์มใด ผู้ลงทุนจึงควรต้องศึกษารายละเอียดและฟีเจอร์ที่ให้บริการอย่างรอบคอบ แพลตฟอร์ม BINANCE TH by Gulf Binance ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับในประเทศ ให้บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และรองรับการใช้งานให้แก่ผู้ใช้งานคนไทยโดยเฉพาะ โดยผู้ใช้สามารถมีอิสระในการซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยการดำเนินงานที่รวดเร็ว สะดวก ค่าธรรมเนียมต่ำ อีกทั้ง ผู้เริ่มต้นลงทุนด้านสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหม่ยังสามารถทำความเข้าใจ และใช้งานแพลตฟอร์มได้โดยง่าย ที่สำคัญแพลตฟอร์ม BINANCE TH by Gulf Binance ยังรองรับการลงทุนของคนทุกกลุ่มทั้งนักลงทุนนิติบุคคล และนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทย เพื่อมอบประสบการณ์ด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแบบครบวงจร สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่มุ่งหวังส่งเสริมความเท่าเทียมทางการเงินให้แก่ทุกคน

โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนที่จบการศึกษาและประสบความสำเร็จทางด้านวิชาการที่โดดเด่นอีกหนึ่งปี นักเรียนทำผลการสอบได้ดีด้วยอัตราการสอบผ่าน A-Level 100% โดยได้ผลสอบสูงถึง 3 ใน 4 ที่ได้ระดับสูงสุด A*-B ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ ทำให้นักเรียนจากไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ ได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก รวมถึง Imperial College London, King's College London, University of Warwick, University of Durham และ Emory University

Carly Barber หัวหน้าครูระดับ Senior กล่าวว่า "เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งกับความสำเร็จของนักเรียน พวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไบรท์ตัน คอลเลจ ตลอดไป และเราขอส่งความปรารถนาดีให้กับอนาคตของพวกเขาทุกคน"

 

ตัวอย่างนักเรียนที่มีผลสอบโดดเด่น คือ

l T.A. ได้รับเกรด A* สองวิชาและ A สองวิชา ทำให้เธอได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อที่ King's College London ในสาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์

l Pim ได้รับเกรด A ในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ และเศรษฐศาสตร์ ทำให้ได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อที่ University of Warwick ในสาขาการบัญชีและการเงิน

l Alex สร้างความประทับใจด้วยแฟ้มสะสมผลงานและเกรด A Level ของเขา รวมถึงเกรด A สองวิชา ทำให้ได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อที่ ArtEZ University of the Arts Arnhem

l Tara ได้รับเกรด A* สามวิชาในการสอบ A Levels ทำให้เธอได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อในสาขาชีววิทยาศาสตร์ที่ University of Durham

 

ผลการสอบ IGCSE ที่ยอดเยี่ยม

โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ ยังได้ฉลองความสำเร็จของนักเรียนชั้น Year 11 จากผลการสอบ IGCSE ด้วย นักเรียนเหล่านี้ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองให้เป็นบุคคลที่มีความสามารถรอบด้าน

Nick Gallop ครูใหญ่กล่าวว่า "เรารู้สึกยินดีและภาคภูมิใจอย่างยิ่งกับนักเรียนชั้น Year 11 ของเราที่ร่วมกันทำคะแนนสอบ IGCSE ได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงเรียน พวกเขาเป็นกลุ่มนักเรียนที่มีความสามารถรอบด้าน ทั้งแสดงบนเวที เล่นในทีมกีฬาของเรา และเป็นผู้นำในด้านอื่น ๆ อีกมากมายของชีวิตในโรงเรียนฯ วิธีที่พวกเขาได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการดูแลและการสนับสนุนของคณะอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมของเรา สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการเป็นคนดีที่สุดในแบบฉบับของตัวเอง”

ในบรรดานักเรียนที่ประสบความสำเร็จมากมาย Freya และ Pim ควรได้รับการยกย่องเป็นพิเศษสำหรับผลการสอบ IGCSE ที่ยอดเยี่ยม โดยได้รับเกรด A*/9 คนละ 10 วิชา ความทุ่มเทและความพยายามของพวกเขาสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการศึกษา A-Level ในอนาคต

โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเเทพฯ ขอเชิญชวนท่านผู้ปกครองมาสัมผัสการเรียนการสอนที่น่าประทับใจและรับขอเสนอพิเศษในงาน Open House ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 25 กันยายน 2567 เวลา 8:45 น.

แนวโน้มภาคอุตสาหกรรมและวัฏจักรการผลิตของไทยในวันนี้กำลังเผชิญหน้าความท้าทายครั้งใหญ่ จากข้อมูลตัวเลขภาพรวมโรงงานที่ปิดตัวลง โดยเฉพาะส่วนต่างระหว่างการเปิดโรงงานที่มากกว่าปิด เฉลี่ยลดลงมาอยู่ไม่ถึง 100 โรงงานต่อเดือน อย่างไรก็ตาม หากมองในมิติของขนาดโรงงานยังพบตัวเลขการเปิดโรงงานขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น ช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 มีจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมเปิดกิจการเพิ่มขึ้น 25.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งสัญญาณเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายร่วมมือกันในการถอดบทเรียนและกำหนดทิศทางของภาคอุตสาหกรรมให้หยัดยืนต่อไปได้

นโยบายภาครัฐ: ตัวแปรตั้งต้นแห่งศักยภาพภาคโรงงานไทย

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยปัจจัยกระทบเชิงลบรอบด้านอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในพื้นที่สำหรับประกอบการอุตสาหกรรมหลักของไทย ที่กำลังพิสูจน์ศักยภาพของประเทศในการเป็นฐานที่ตั้งโรงงานของเหล่าผู้ประกอบการจากทั่วโลก คือ พื้นที่ Free Zone หรือเขตปลอดอากร เพื่อการสนับสนุนธุรกิจนำเข้า-ส่งออก

พื้นที่ Free Zone เป็นพื้นที่ภายใต้การดูแลของกรมศุลกากร ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ทางอากรศุลกากรในการประกอบอุตสาหกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ โดยผู้ที่จะเข้ามาประกอบกิจกรรมในพื้นที่ Free Zone นี้ ต้องยื่นขอรับใบอนุญาตเพื่อดำเนินการ

ในปัจจุบัน ผู้ให้บริการโครงการพื้นที่ Free Zone เบอร์ 1 ของประเทศ คือ พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ (PD) ในเครือ บมจ.มั่นคงเคหะการ ผู้นำโครงการคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า ภายใต้ชื่อ โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (BFTZ) ซึ่งพบว่า แม้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวดี กลับมีสัดส่วนผู้เช่าอาคารโรงงานเฉพาะบนพื้นที่ Free Zone รวมทุกโครงการสูงกว่า 70% ขณะที่อีก 30% เป็นผู้เช่าอาคารคลังสินค้าและบริการ ที่ดีมานด์ความต้องการเช่าไม่เคยลดลง เนื่องจากเป็นพื้นที่Free Zone ประเภทอุตสาหกรรม สามารถใช้ประกอบธุรกิจครอบคลุมในส่วนของการผลิต ขนส่ง จัดเก็บและกระจายสินค้า ได้อย่างครบวงจร

นางสาวรัชนี มหัตเดชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาและบริหาร ‘โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน’ กล่าวว่า “ภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบชะลอตัว เป็นผลพวงจาก Long COVID ที่เกิดกับธุรกิจ ดังนั้น ผู้ประกอบการควรประเมินสถานการณ์ที่อาจส่งผลต่อธุรกิจอย่างใกล้ชิดกว่าที่เคยเป็นมา ส่งผลให้หลาย ๆ ธุรกิจอาจต้องพิจารณาลดจำนวนโรงงานภายใต้การดูแลลง แต่สำหรับโรงงานที่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการยกเว้นอากรจากภาครัฐ เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ Free Zone เราพบว่า ยังมีการขยายธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่า การสนับสนุนเชิงนโยบายจากภาครัฐ คือ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีส่วนตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฐานที่ตั้งโรงงานของเจ้าของธุรกิจจากทั่วทุกมุมโลกในระยะยาว”

เครือข่ายผู้ประกอบการ: บันไดสู่การยกระดับขีดความสามารถโรงงานในประเทศไทย

เนื่องจากไม่ใช่ทุกธุรกิจที่จะเหมาะแก่การจัดตั้งบนเขตปลอดอากร ส่งผลให้ในอดีต ผู้ประกอบการโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ มองข้ามพื้นที่ Free Zone เพราะขาดความเข้าใจถึงสิทธิประโยชน์จากการตั้งโรงงานบนพื้นที่ดังกล่าว นำมาสู่คำถามสำคัญว่า แล้วพื้นที่ Free Zone จะตอบโจทย์กลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องจัดตั้งโรงงานในประเทศไทยอย่างทั่วถึงได้อย่างไร

ด้วยเป้าหมายที่จะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นำไปสู่การปรับโมเดลพัฒนาโครงการ BFTZ ให้มีพื้นที่เขตประกอบการทั่วไป หรือ General Zone เพื่อเป็นทางเลือกรองรับการใช้งานของหลากหลายประเภทธุรกิจและทุกขนาด โดยพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ใช้เวลากว่า 15 ปี ผลักดันพื้นที่ยุทธศาสตร์เชิงอุตสาหกรรมของประเทศไทย ไปพร้อมกับการสร้างความเข้าใจ จนปัจจุบันพบว่าผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างชาติ มีความเชื่อมั่นในการจัดตั้งโรงงานบนพื้นที่ Free Zone และวางแผนขยายธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

“สิทธิประโยชน์ที่ภาครัฐมอบให้ธุรกิจผู้นำเข้า-ส่งออก ที่เข้ามาใช้พื้นที่ Free Zone นั้นเป็นกุญแจสู่การตัดสินใจจัดตั้งโรงงานในประเทศไทย แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการมองให้รอบว่าเรายังสามารถต่อยอดศักยภาพของพื้นที่ได้อย่างไร เพื่อเข้าไปสนับสนุนธุรกิจอื่น ๆ ที่ในวันนี้อาจยังไม่เข้าข่ายที่จะใช้พื้นที่ Free Zone สิ่งที่เราทำได้คือการดึงผู้ประกอบการจากทั่วโลกให้เข้ามาสนใจตั้งโรงงานในประเทศไทยก่อน และในอนาคตเขาก็อาจขยับขยายไปสู่พื้นที่ Free Zone ได้เช่นกัน” นางสาวรัชนี มหัตเดชกุล กล่าว

แนวคิดการพัฒนาพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าของ พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ สะท้อนมุมมองการร่วมผลักดันจุดแข็งของประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมนโยบายของภาครัฐ แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้ความเข้าใจเชิงลึกที่มีต่อเหล่าผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่การต่อยอดบริการ ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมโรงงานองค์รวม

“สำหรับอนาคตของโรงงานไทย เราต้องสร้างโอกาสใหม่ ด้วยการต่อยอดอีโคซิสเต็มให้แข็งแกร่ง ทั้งการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ เพิ่มทักษะแรงงาน ตลอดจนยกระดับการพัฒนาความร่วมมือของผู้ประกอบการในแวดวงอุตสาหกรรม ศักยภาพพื้นที่ Free Zone เขตปลอดอากร เป็นอีกหนึ่งแนวทางสนับสนุนธุรกิจที่มีการนำเข้า-ส่งออก ตั้งฐานการผลิตในระยะยาว มากไปกว่านั้น เราในฐานะผู้ให้บริการพื้นที่โรงงาน ก็ต้องพร้อมยกระดับบทบาทตัวเองเป็นมากกว่าผู้ให้บริการพื้นที่เช่า เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเริ่มต้นดำเนินธุรกิจได้รวดเร็ว ราบรื่นและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” ผู้บริหาร บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาและบริหาร ‘โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน’ กล่าว

ขุมพลังแห่งผู้ประกอบการโรงงาน: ไม่หยุดพัฒนา คว้าโอกาสที่ใช่ ได้ทำเลดี มีพันธมิตรระยะยาว

ปัจจุบัน พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ สนับสนุนพื้นที่เช่าให้แก่ผู้ประกอบการจากหลายประเทศกว่า 238 บริษัท 5 อันดับแรก ได้แก่ ไทย, จีน, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา และยุโรป รูปแบบของพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าประกอบด้วย อาคารสำเร็จรูป Ready Built, อาคารสร้างตามความต้องการ Built-to-Suit และ Ready Built-to-Suit ซึ่งเป็นการพัฒนาอาคารเดิมที่ได้มาตรฐานอยู่แล้วให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าแต่ละอุตสาหกรรมที่มีความเฉพาะตัว

ตัวอย่างผู้ประกอบการโรงงาน ที่ยังคงมั่นใจปักหลักในประเทศไทย และเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง คือ บริษัท ไทย ฮาโซ จำกัด บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2555 จัดตั้งโรงงานเพื่อผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แผ่นทำความสะอาดแบบเปียก แบบแห้ง, กางเกงชั้นในแบบใช้แล้วทิ้ง, แผ่นซึมซับหรือดูดซับของเหลว เพื่อสุขภาพและสุขอนามัย สำหรับเด็กทารก บุคคล โรงพยาบาล โดยมีลูกค้าหลัก อาทิ American P&G, American Frida Baby, Wacoal, ลูกค้าชาวญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางส่วน

(ซ้าย) นายโห ซิง กรรมการและผู้จัดการโรงงาน และ (ขวา) นายเสียง หลิง ผู้จัดการโรงงาน บริษัท ไทย ฮาโซ จำกัด

นายโห ซิง กรรมการและผู้จัดการโรงงาน บริษัท ไทย ฮาโซ จำกัด เผยมุมมองการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ Free Zone ว่า “การตั้งฐานการผลิตที่ประเทศไทยเป็นเวลากว่า 12 ปี บริษัทผ่านหลากหลายสถานการณ์ที่สำคัญ และยังรักษาความแข็งแกร่งทางธุรกิจเอาไว้ได้ จากเดิมเช่าโรงงานในโครงการ BFTZ 1 บางนา-ตราด กม. 23 พื้นที่ประมาณ 6,000 ตร.ม. จนปัจจุบันอยู่ที่ 20,000 ตร.ม. และมีแผนที่จะขยายโรงงานเพิ่มเติมบนพื้นที่ Free Zone ในทำเลยุทธศาสตร์ของไทย ด้วยความที่บริษัทดำเนินธุรกิจผลิตและส่งออกเป็นหลัก ทำให้เราสามารถใช้สิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องในเขตปลอดอากร และใช้เวลาในการดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น ถึงแม้ผลิตภัณฑ์ของ ไทย ฮาโซ จะเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคที่มีดีมานด์สูง แต่เราไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตัวเองให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไป ทำความเข้าใจตลาดและเจาะอินไซต์ของลูกค้าแล้วพัฒนาสินค้าคุณภาพที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายต่อไปเรื่อย ๆ โดยตั้งเป้ายอดขายประจำปีอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ”

นายเสียง หลิง ผู้จัดการโรงงาน บริษัท ไทย ฮาโซ จำกัด เสริมว่า “โรงงานผลิตของเราเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ มีพนักงานกว่า 470 คนในไลน์การผลิตและสำนักงาน 99% ของพนักงานเป็นคนไทย สถานการณ์การแข่งขันที่มีผู้เล่นในตลาดมากมาย โฟกัสหลักของบริษัทจึงมุ่งขยายขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ อาทิ การเพิ่มทักษะแรงงาน การร่วมมือกันระหว่างบริษัทและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคอุตสาหกรรม ไปจนถึงการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างไม่ลดละ ผ่านการวางงบประมาณด้าน R&D สูงถึง 10% ของยอดขาย ประกอบกับแนวทางการจัดการลดต้นทุนด้านการขนส่ง ทำให้เราสามารถคว้าส่วนแบ่งการตลาดของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือนได้มากขึ้น ในปี 2568 เราวางแผนที่จะขยายประเภทผลิตภัณฑ์และเพิ่มผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์อาหาร ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทต้องมีการจดสิทธิบัตรเพื่อรับรองนวัตกรรม”

ด้าน บริษัท ฟานุคคี แดรี่ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการผลิตภัณฑ์นม (Dairy Product) เป็นผู้นำการผลิตชีสคุณภาพสูงจากประเทศอิตาลี มีจุดเริ่มต้นจากครอบครัว ‘ฟานุคคี’ ที่มีประสบการณ์ในวงการนี้มายาวนานกว่า 1 ศตวรรษ ผสานองค์ความรู้และเทคนิคที่ถ่ายทอดมาจนถึงรุ่นที่ 4 ด้วยความมุ่งมั่นในการส่งมอบชีสคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคชาวไทย ภายใต้วิสัยทัศน์หลัก คือการต่อยอดกลุ่มผลิตภัณฑ์นมโดยใช้วัตถุดิบชั้นเลิศ ร่วมกับการปรับใช้เทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ และพัฒนาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรทางธุรกิจในตลาด ผลิตภัณฑ์หลักของแบรนด์ ฟานุคคี แดรี่ ได้แก่ มอสซาเรลลาชีสสด, มอสซาเรลลา ฟอร์พิซซ่า, มอสซาเรลลาชีสแท่ง และ ขนมชีสอบกรอบ แบรนด์ YUMMY BITES

นายนิโคลา ฟานุคคี กรรมการ บริษัท ฟานุคคี แดรี่ จำกัด กล่าวว่า “เราเลือกดำเนินธุรกิจและตั้งโรงงานที่ประเทศไทย เพราะมีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมต่อกับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ บริษัทเห็นโอกาสจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและมีผู้ผลิตชีสในประเทศไม่มากนัก ขณะที่การตัดสินใจเลือกโครงการเพื่อเช่าโรงงาน เรามองหาสิทธิประโยชน์ของพื้นที่ Free Zone เป็นอันดับแรก เนื่องจากธุรกิจของ ฟานุคคี แดรี่ มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาเพื่อผลิตและจำหน่ายชีสในประเทศไทยเป็นหลัก ส่งออกบางส่วนไปยังกัมพูชาและเวียดนาม โดยมุ่งเน้นลูกค้ากลุ่ม B2B การได้รับประโยชน์ตรงส่วนนี้จึงช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขัน อีกทั้งที่ตั้งของโครงการ BFTZ 1 บริเวณ บางนา-ตราด ยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และท่าเรือที่สำคัญ”

แม้ในอนาคตอันใกล้อาจพบเจอกับความท้าทาย ทั้งการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากผู้ผลิตรายใหม่ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อราคาวัตถุดิบ ในภาพรวมประเทศไทยยังคงเป็นตลาดแห่งโอกาสที่สำคัญซึ่งมีแนวโน้มแห่งการเติบโต โดยเฉพาะตลาดชีสในไทย สะท้อนจากเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และมักมีชีสเป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร

“ด้วยบริการและการสนับสนุนที่ดีจากทีมงานของเจ้าของโครงการ ทำให้เราเข้าถึงการส่งเสริมจากภาครัฐของไทยได้อย่างราบรื่น ขั้นตอนการติดตั้งอุปกรณ์ควบคู่ไปกับการขอใบอนุญาตเป็นไปอย่างรวดเร็ว เราเช่าอาคารแบบ Stand Alone หรือโรงงานที่มีรั้วรอบขอบชิด เหมาะในการประกอบธุรกิจอาหาร ในมุมมองของชาวต่างชาติที่มาทำธุรกิจในไทย เมื่อมีพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจ ให้คำแนะนำและดูแลรอบด้าน เราก็สามารถเดินหน้าสร้างการเติบโตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้เต็มประสิทธิภาพ” นายนิโคลา กล่าวปิดท้าย

การยกระดับศักยภาพ ปรับตัวให้พร้อมรับกับทุกการเปลี่ยนแปลงและจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เป็นหนทางในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า เผชิญทุกแรงต้านอย่างมั่นคง แนวคิดดังกล่าวคือภาพสะท้อนจากเส้นทางแห่งพัฒนาการของเหล่าผู้ประกอบการโรงงานในพื้นที่ Free Zone สู่การสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งแก่ภาคอุตสาหกรรมของไทยในระยะยาว

 

นิวยอร์ค, 12 กันยายน 2567 – เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) และ ฮุนได มอเตอร์ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ เพื่อศึกษาการร่วมมือกันในอนาคต ซึ่งจะครอบคลุมกลยุทธ์หลักในหลายสาขา จีเอ็มและฮุนไดต่างค้นหาหนทางที่จะสร้างประโยชน์สูงสุด จากการควบรวมระดับการผลิตและจุดแข็งของแต่ละฝ่าย เพื่อลดค่าใช้จ่ายไปพร้อมกับการเพิ่มทางเลือกยานพาหนะให้หลากหลายยิ่งขึ้น และส่งมอบเทคโนโลยีใหม่ให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น

ทั้งสองบริษัทเป็นผู้ผลิตระดับชั้นนำของโลก ยังอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสที่จะจัดซื้อวัตถุดิบในหลายสาขาร่วมกัน ทั้งวัตถุดิบในการทำแบตเตอรี่ โลหะ และอื่น ๆ ผู้ที่ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวมี Euisun Chung ตำแหน่ง Executive Chair ของ ฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ป และ Mary Barra ตำแหน่ง Chairperson และ CEO ของ เจนเนอรัล มอเตอร์ส

 

ความร่วมมือระหว่างสองบริษัทจะก่อให้เกิดศักยภาพ ในการพัฒนารถยนต์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผ่านการเพิ่มสเกลการผลิต และการจัดสรรงบประมาณได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น “จีเอ็มและฮุนไดจะนำจุดแข็งและทีมงานที่มีฝีมือมาควบรวมกัน โดยเป้าหมายของเราคือการปลดล็อคขนาดและความสร้างสรรค์ของทั้งสองบริษัทฯ เพื่อส่งมอบรถยนต์ที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพขึ้น” Barra กล่าว

ความยืดหยุ่นและความคล่องแคล่วของจีเอ็มและฮุนได ส่งผลให้ทั้งสองบริษัทฯ สามารถเริ่มการพัฒนาของการแลกเปลี่ยนความสามารถร่วมกันได้

“ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ฮุนได มอเตอร์และจีเอ็ม ประมวลโอกาสที่จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในหลายตลาดหลัก และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพด้านค่าใช้จ่าย และเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า ผ่านการผสานความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมของทั้งสองบริษัทฯ เข้าด้วยกัน” Chung กล่าว

หลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจ ซึ่งไม่มีผลบังคับทางกฎหมายฉบับนี้ ทั้งสองบริษัทฯ จะเริ่มกระบวนการประมวลผลและเริ่มดำเนินงานทันที

ทรู-ดีแทค เตรียมวางจำหน่าย iPhone 16 และ iPhone 16 Plus

สเปค iPhone 16 และ iPhone 16 Plus   ด้วยชิป A18 ใหม่ล่าสุด, การควบคุมกล้อง, การอัปเกรดที่ทรงพลังสำหรับระบบกล้องขั้นสูง, ปุ่ม Action สำหรับเข้าถึงฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์อย่างรวดเร็ว, และการปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่มากขึ้น;

iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max ใช้ชิป A18 Pro พร้อมประสิทธิภาพ CPU ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ระบบควบคุมกล้อง ฟีเจอร์กล้องระดับมืออาชีพที่เป็นนวัตกรรมล้ำสมัย และการเพิ่มพลังแบตเตอรีที่มีอายุการใช้งานมากขึ้นอย่างมหาศาล

ลูกค้าสามารถสั่งจอง iPhone 16 จากทรู และดีแทคล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันนี้ และจะเริ่มวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2567 เวลา 8.00 น.

นายฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดเทียบชั้นมาตรฐานโลกให้กับลูกค้าชาวไทยทั้งเรื่องของเครือข่าย 5G ที่เร็วแรงที่สุดทั่วไทย และนวัตกรรมสินค้าสุดล้ำระดับโลกอย่าง iPhone จึงเป็นความภูมิใจอย่างยิ่งที่วันนี้เราพร้อมแล้วที่จะวางจำหน่าย iPhone 16 ซีรี่ส์ใหม่บนเครือข่าย 5G ที่ดีที่สุดจากทรูและดีแทค และเชื่อว่าลูกค้าจะชื่นชอบในระบบควบคุมกล้อง ซึ่งเป็นฟีเจอร์กล้องระดับมืออาชีพ รวมถึงอีกหลากหลายฟีเจอร์ใหม่ที่ล้ำสมัย”

พร้อมกันนี้ พบกับโปรโมชันที่ล้ำกว่าใคร เพื่อต้อนรับการมาของ iPhone 16 ซีรีส์ในไทยครั้งนี้ คือ “โปรข้ามเวลา” ซื้อ iPhone16 ซีรีส์ วันนี้ ใช้ครบปีแลก iPhone รุ่นใหม่ ฟรี ซึ่งเป็นโปรโมชั่นแนวคิดใหม่ที่ให้สิทธิพิเศษอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ช่วยให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนเครื่องใหม่กับทรูและดีแทคได้ง่าย ๆ ทุกปี พิเศษ! เฉพาะลูกค้าทรู ดีแทค เท่านั้น ซื้อ iPhone 16 ทุกรุ่นปีนี้ การันตีราคาดีที่สุด และแลก iPhone รุ่นใหม่ปีหน้าฟรี

1. เก่าแลกใหม่ : iPhone 16 Pro ราคาเริ่มต้นเพียง 23,200 บาท หรือ ผ่อน 0% 36 เดือน เริ่มเพียง 645 บาทต่อเดือน

2. เก่าแลกใหม่ : iPhone 16 ราคาเริ่มต้นเพียง 13,200 บาท หรือ ผ่อน 0% 36 เดือน เริ่มเพียง 367 บาทต่อเดือน

ข้อเสนอสุดพิเศษ! โปรข้ามเวลา (The Impossible Deal of The Future)*

· ซื้อ iPhone 16 รุ่นใดก็ได้ พร้อมสมัครแพ็กเกจรายเดือนตั้งแต่ 1,299 บาทขึ้นไป สัญญา 12 เดือน

· เมื่อครบสัญญา รับสิทธิ์นำ iPhone 16 รุ่นที่ซื้อมาแลกซื้อเป็น iPhone รุ่นใหม่ ราคาเริ่มต้น 0 บาท (ฟรี) เมื่อได้รับการตรวจสอบประเมินสภาพเครื่องเกรด A โดย iPhone รุ่นใหม่ต้องมีราคาเปิดตัว น้อยกว่าหรือเท่ากันกับ iPhone 16 รุ่นที่นำมาแลก กรณี iPhone รุ่นใหม่มีราคาขายเปิดตัว สูงกว่า iPhone 16 รุ่นที่นำมาแลก ลูกค้าต้องชำระเพิ่มสำหรับส่วนต่าง ของราคาขายปกติ

· สมัคร “โปรข้ามเวลา” ได้ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย.67 - 31 ธ.ค. 67 นี้

 iPhone 16 ซีรีส์ใหม่

iPhone 16 และ iPhone 16 Plus มาพร้อมกับชิป A18 ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษและความสามารถกล้องใหม่ที่น่าทึ่ง ยกระดับสิ่งที่ iPhone สามารถทำได้ให้สูงขึ้น iPhone 16 ซีรีส์ยังมาพร้อมกับ ระบบควบคุมกล้อง ซึ่งนำเสนอวิธีใหม่ในการโต้ตอบกับระบบกล้องขั้นสูง ช่วยให้ผู้ใช้จับภาพความทรงจำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ระบบกล้องที่ทรงพลังประกอบด้วยกล้อง Fusion ความละเอียด 48MP พร้อมตัวเลือก Telephoto 2x ทำให้ผู้ใช้มีสองกล้องในหนึ่งเดียว ขณะที่กล้อง Ultra Wide ใหม่ช่วยให้ถ่ายภาพมาโครได้ ชิป A18 ใหม่มอบประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นและความสามารถในการทำงานอย่างก้าวกระโดด รองรับเกม AAA ที่ต้องการสูง รวมถึงการปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่สำคัญ ทั้งสองรุ่นมีให้เลือกห้าสีที่โดดเด่น: ดำ, ขาว, ชมพู, เขียวอมฟ้า, และน้ำเงินอัลตร้ามารีน

iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max มาพร้อมกับขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น, ระบบควบคุมกล้องใหม่ที่ช่วยให้เข้าถึงระบบกล้องขั้นสูงได้อย่างรวดเร็ว, ความสามารถใหม่ในการสร้างสรรค์ด้วยฟีเจอร์กล้องระดับมืออาชีพที่เป็นนวัตกรรม, กราฟิกที่น่าทึ่งเพื่อการเล่นเกมที่สมจริงยิ่งขึ้น, และอื่น ๆ ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนด้วยชิป A18 Pro มาพร้อมกับกล้อง Fusion ความละเอียด 48MP ใหม่ที่มีเซ็นเซอร์ quadpixel เร็วขึ้น รองรับการบันทึกวิดีโอ 4K120 fps ใน Dolby Vision รุ่น Pro ใหม่เหล่านี้มอบความละเอียดและอัตราการเฟรมที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone ความล้ำหน้าที่เพิ่มขึ้นนี้ รวมถึงกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 48MP ใหม่สำหรับการถ่ายภาพที่มีความละเอียดสูง รวมถึงการถ่ายภาพมาโคร, กล้อง Telephoto 5x บนทั้งสองรุ่น Pro, และไมโครโฟนคุณภาพระดับสตูดิโอเพื่อการบันทึกเสียงที่สมจริงมากขึ้น การออกแบบไทเทเนียมที่ทนทานแต่เบานั้นมาพร้อม

หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น, ขอบที่บางที่สุดในผลิตภัณฑ์ของ Apple, และการเพิ่มพลังแบตเตอรีที่มีอายุการใช้งานมากขึ้นอย่างมหาศาล — โดย iPhone 16 Pro Max นำเสนออายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีที่สุดใน iPhone เท่าที่เคยมีมา รุ่นทั้งสองจะมีให้เลือกใน 4 เฉดสีที่สวยงาม: ไทเทเนียมดำ, ไทเทเนียมธรรมชาติ, ไทเทเนียมขาว, และไทเทเนียมทะเลทราย

iPhone 16 ซีรีส์ใหม่นี้ ได้รับการออกแบบเพื่อรองรับ Apple Intelligence — ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้งานง่ายซึ่งเข้าใจบริบทส่วนบุคคลเพื่อมอบข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องมากที่สุด พร้อมทั้งปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

iPhone 16 และ iPhone 16 Pro สามารถเปิดใช้งานด้วย eSIM ซึ่งเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าซิมการ์ดแบบธรรมดา ด้วย eSIM ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานแผนบริการเซลลูลาร์ได้อย่างรวดเร็ว, เก็บแผนบริการเซลลูลาร์หลายแผนในอุปกรณ์เดียวกัน, และเชื่อมต่อได้อย่างต่อเนื่อง

LINE MAN Wongnai ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำโดยคุณยอด ชินสุภัคกุล  
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai และ คุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ลงพื้นที่ย่านทรงวาด-ตลาดน้อย-นางเลิ้ง เพื่อสำรวจแคมเปญ "ฟู้ดคัลเจอร์ ปลุกย่านเก่า" ที่มุ่งฟื้นฟูย่านเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ให้กลับมาคึกคักและมีศักยภาพทัดเทียมแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติ ผ่านการผสมผสานวัฒนธรรมอาหารและศิลปะ ซึ่งจะจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ตุลาคม 2567  

นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก อาทิ คุณเกียรติวัฒน์ ศรีจันทร์วันเพ็ญ นายกสมาคม MADE IN SONGWAT,  คุณวัลลภ เกียรติวรศรีกุล ผู้อำนวยการเขตสัมพันธวงศ์, และศิลปินงานศิลปะอย่างคุณณฐกร อุลิตร (Tum Ulit) พร้อมด้วย คุณชญานนท์ ต.เจริญ และคุณปวิมล สามเสน ศิลปิน 27 June Studio ร่วมถ่ายภาพและลงพื้นที่เยี่ยมชมกิจกรรมต่าง ๆ ในแคมเปญเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ถนนทรงวาด

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เผยยาง EUDR ได่นีลกนะแวตอบรับดี เตรียมส่งออเดอร์ยางล๊อตแรก 2,000-3,000 ตันต่อเดือนให้ลูกค้าจีน ภายในเดือน ก.ย.นี้ พร้อมตั้งเป้าส่งออกปีนี้ 45,000 ตัน และจะเติบโตมากขึ้นในปี 2568 ขณะที่ มั่นใจครึ่งปีหลังผลงานดี ลุ้นรายได้ปีนี้โตเกินเป้าสูงกว่าปีก่อน

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยถึงมาตรฐานสหภาพยุโรป (อียู) ที่เริ่มบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EU Deforestation Regulation (EUDR) ว่าในช่วงไตรมาส 3/2567 บริษัทจะมีการส่งออกยาง EUDR ล็อตแรกให้บริษัทยางสัญชาติจีน ประมาณ 3,000 ตัน และส่งออกมากขึ้นในไตรมาส 4/2567

โดยปัจจุบันบริษัทมุ่งหน้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้าสัญชาติจีน บวกกับก่อนหน้านี้ได้มีการเจรจากับลูกค้าสัญชาติจีนไปแล้ว ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้ส่วนใหญ่การส่งมอบจะเป็นล็อตเล็กประมาณ 2,000-3,000 ตันต่อเดือน คาดว่าระยะเริ่มแรกภายในปี 2567 น่าจะส่งออกยาง EUDR ได้ใกล้เคียงประมาณ 45,000 ตัน และจะเติบโตมากขึ้นในปี 2568 ทั้งนี้ราคาขายยางมาตรฐาน EUDR ที่ดี และจะมีความสามารถในการทำกำไรที่สูง น่าจะเข้ามาช่วยเสริมนอกเหนือจากการขายยางพาราปกติได้พอควรในช่วงที่เหลือของปี 2567 และปี 2568 อีกด้วย

สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 มั่นใจว่ามีรายได้ทั้งปีจะเติบโตอยู่ที่ 28,500 ล้านบาท จากมีปริมาณขาย 440,000 ตัน โดยมีแนวโน้มคำสั่งซื้อที่ดีขึ้น ได้ปัจจัยบวกจากราคายางพาราที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อ (Order) ล่วงหน้าครอบคลุมถึงไตรมาส 1/2568

ขณะที่แนวโน้มการส่งออกยางพารายังดีต่อเนื่อง โดยจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์พบว่า การส่งออกยางพาราขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือนติดต่อกัน โดย 6 เดือนแรกของปี ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ขยายตัว 30.6% โดยการเติบโตจะมาจากตลาดจีนที่มีความต้องการยางพาราที่มากขึ้นอย่างที่ได้กล่าวไป โดยเฉพาะการซื้อยางพาราเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาระดับสต๊อก ส่วนปัจจุบันซัพพลายยางก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

นายชูวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทให้ความสำคัญกับตลาดอินเดีย และจีน ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มในการเติบโตต่อ และล่าสุดมีการการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ ในประเทศโกตดิวัวร์ (Cote d'Ivoire) เพื่อสร้างโอกาสในประเทศเกิดใหม่ เพราะเป็นประเทศที่มีโอกาสเติบโตในเรื่องของยางพาราเยอะ และการแข่งขันยังไม่สูงมากนัก

X

Right Click

No right click