

กรุงเทพฯ , ประเทศไทย – 24 กันยายน 2567 – อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยว เผยการค้นหาที่พักในต่างประเทศของนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น 137% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในช่วงเทศกาลวันชาติจีนที่กำลังจะมาถึง ซึ่งเป็นวันหยุดยาวตั้งแต่วันที่ 1-7 ตุลาคม
![]()
จากข้อมูลการค้นหาที่พักของอโกด้า พบว่าจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนชื่นชอบในช่วงวันชาติจีนหรือโกลเด้นวีค ซึ่งเป็นวันหยุดยาวประจำปีมีการเปลี่ยนแปลง โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 อันดับแรกในปีที่แล้วของนักท่องเที่ยวจีนคือ โตเกียว โซล โอซาก้า เกียวโต และกรุงเทพฯ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม โซลได้ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในปีนี้ แซงหน้าแชมป์เก่าอย่างโตเกียว ตามมาด้วยบาหลีที่ไม่เคยติดอันดับมาก่อน ส่วนกรุงเทพฯ และโอซาก้ายังคงอยู่ในกลุ่มจุดหมายปลายทางทมีการค้นหามากที่สุด ครองอันดับ 4 และ 5 ตามลำดับ
วันชาติจีนหรือโกลเด้นวีคตรงกับวันที่ 1-7 ตุลาคมของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวชาวจีนจะออกเดินทางท่องเที่ยวเนื่องจากมีวันหยุดยาวติดต่อกัน 1 สัปดาห์ โกลเด้นวีคจะมีขึ้นปีละ 2 ครั้ง ซึ่งจะตรงกับช่วงเทศกาลตรุษจีนและวันชาติจีน
![]()
นายแอนดรูว์ สมิธ รองประธานอาวุโส ฝ่ายซัพพลายของอโกด้ากล่าวว่า การค้นหาที่พักในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในช่วงโกลเด้นวีคของนักท่องเที่ยวชาวจีน แสดงให้เห็นความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นของชาวจีนในการออกไปค้นพบโลกกว้างและสัมผัสวัฒนธรรมอื่น ๆ เป็นเรื่องดีที่เห็นจุดหมายปลายทางใกล้ชายฝั่งตะวันออกของจีน อย่างโซลและโอซาก้าติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมในช่วงวันชาติจีน รวมถึงสถานที่ยอดนิยมสำหรับการพักผ่อนอย่างกรุงเทพฯ และบาหลีที่อยู่ทางใต้ เทรนด์การท่องเที่ยวนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการมีข้อเสนอที่ดสำหรับตัวเลือกการเดินทางที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของนักเดินทางบนแพลตฟอร์มอโกด้าได้อย่างดีที่สุด
อโกด้ามอบความสะดวกสบายให้กับนักเดินทางด้วยบริการจองที่พักกว่า 4.5 ล้านแห่งทั่วโลก เส้นทางการบินกว่า 130,000 เส้นทาง และกิจกรรมกว่า 300,000 รายการ ซึ่งสามารถจองร่วมกันได้ในครั้งเดียว สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเลือกการเดินทางในช่วงวันหยุดยาวโกลเด้นวีคของจีน กรุณาไปที่เว็บไซต์ agoda.com หรือดาวน์โหลดแอปอโกด้า
SAP NEWSBYTE — กรุงเทพฯ 24 กันยายน 2567 — วันนี้ SAP ได้ประกาศว่า บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ Taulia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเงินทุนหมุนเวียนภายใต้โครงการของบริษัทฯ ในการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานด้านการผลิตทั่วโลก ลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดย Taulia ซึ่งถูก SAP เข้าซื้อกิจการในปี พ.ศ. 2565 เป็นผู้ให้บริการโซลูชันการจัดการเงินทุนหมุนเวียนชั้นนำ และมีเป้าหมายที่จะช่วยให้ลูกค้าของ SAP สร้างกระแสเงินสดอิสระมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ และปรับปรุงความยืดหยุ่นและความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน
อินโดรามา เวนเจอร์ส มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก โดยมีโรงงานผลิตประมาณ 140 แห่งใน 5 ทวีป ในฐานะส่วนหนึ่งของโปรแกรมการเปลี่ยนแปลง IVL 2.0 และ Procurement 4.0 กระแสเงินสดอิสระถือเป็นเป็นเป้าหมายหลักของบริษัท ภายใต้โปรแกรมชำระเงินล่วงหน้าของ Taulia ซึ่งได้เริ่มใช้งานในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา อินโดรามา เวนเจอร์ส สามารถเสนอตัวเลือกการชำระเงินล่วงหน้าแก่ซัพพลายเออร์ในอัตราพิเศษ โดยมุ่งเป้าไปที่การปรับปรุงสภาพคล่องของห่วงโซ่อุปทานและเพิ่มประสิทธิภาพเงินทุนหมุนเวียน พร้อมทั้งสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจผ่านโซลูชันระดับโลกที่เป็นหนึ่งเดียว และคาดว่าซัพพลายเออร์ทั่วโลกของบริษัทฯ จะได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่องจากโปรแกรมนี้
การนำ Taulia มาใช้จะช่วยทำให้อินโดรามา เวนเจอร์ส สามารถลดระยะเวลาในการชำระเงินให้กับซัพพลายเออร์ได้ ช่วยทำให้สถานะทางการเงินของอุตสาหกรรมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ในเอเชียดีขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วการชำระเงินจะเกิดขึ้นภายใน 60 ถึง 90 วัน โมเดล ‘multifunder’ ของ Taulia จะช่วยทำให้อินโดรามา เวนเจอร์ส สามารถเข้าถึงระบบนิเวศของสถาบันการเงินต่างๆ ได้ ทำให้มีความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงผ่านแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ขณะที่ซัพพลายเออร์ก็สามารถเข้าถึงแหล่งสภาพคล่องที่มั่นคงสำหรับใบแจ้งหนี้ค้างชำระได้ การบูรณาการนี้จะช่วยให้ทีมการเงินและจัดซื้อของบริษัทฯ สามารถเปรียบเทียบเงินทุนหมุนเวียนกับคู่แข่งระดับโลกได้ พร้อมทั้งขับเคลื่อนประสิทธิภาพและการทำงานอัตโนมัติในกระบวนการจัดการเงินทุนหมุนเวียน
อินโดรามา เวนเจอร์ส เริ่มต้นเส้นทางการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลในปี พ.ศ. 2563 โดยนำเครื่องมือต่างๆ รวมถึงแพลตฟอร์ม SAP S/4HANA ERP มาใช้ โดยในขั้นตอนต่อไปของการเปลี่ยนแปลงนี้ บริษัทกำลังเปิดตัวโซลูชันดิจิทัลและ AI มากมายที่สามารถสร้างมูลค่าและประสิทธิภาพในด้านปฏิบัติการหลักๆ รวมถึงการผลิต การพาณิชย์ การจัดซื้อ การขาย ห่วงโซ่อุปทาน และด้านการเงิน
คุณซันเจย์ อาฮูจา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์และการเปลี่ยนแปลงองค์กร อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า "อินโดรามา เวนเจอร์ส เลือกที่จะใช้ Taulia เนื่องจาก Taulia มีประสบการณ์อันยาวนานในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์พิเศษ รวมถึงการบูรณาการเข้ากับ SAP ให้เป็นหนึ่งเดียว ระบบนิเวศของธนาคารหลายแห่ง การรับซัพพลายเออร์เข้าทำงานอย่างรวกเร็วภายใน 90 วินาที และเครือข่ายซัพพลายเออร์หลายล้านรายที่กว้างขวาง ซึ่งความร่วมมือกับ SAP และการนำ Taulia มาใช้จะช่วยปรับปรุงกระบวนการทางการเงินของเรา และปรับปรุงเป้าหมายด้านไอทีและการจัดการกระแสเงินสดของเราได้ โครงการริเริ่มนี้มุ่งหวังที่จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ของเราโดยการรับรองการชำระเงินที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งมีความสำคัญต่อการเติบโตและความมั่นคงของซัพพลายเออร์"
คุณกุลวิภา ปิยวัฒนเมธา กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอินโดจีน บริษัท SAP กล่าวว่า “การใช้ Taulia ของ อินโดรามา เวนเจอร์ส ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับธุรกิจในประเทศไทย การเร่งกระบวนการชำระเงินและปรับปรุงกระบวนการทางการเงินจะช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดหาสภาพคล่องที่จำเป็นต่อการเติบโตและก้าวหน้าให้แก่ซัพพลายเออร์ในประเทศได้ นอกจากนี้ ความคิดริเริ่มนี้ยังสอดคล้องกับพันธกิจของเราในการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศไทยและของรัฐบาลที่มุ่งเสริมสร้างความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานของประเทศ ซึ่งเราจะร่วมกันสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นสำหรับอนาคต”
คุณ Rene Ho ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Taulia กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ประกาศความร่วมมือกับ อินโดรามา เวนเจอร์ส ในการบรรลุเป้าหมายกระแสเงินสดอิสระภายใต้โครงการ IVL 2.0 เราเข้าใจถึงบทบาทสำคัญที่ห่วงโซ่อุปทานมีต่อความสำเร็จของบริษัท ผ่านโปรแกรมการชำระเงินล่วงหน้าของ Taulia เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ซัพพลายเออร์ทุกขนาดสามารถเข้าถึงสภาพคล่องที่ต้องการ ผ่านกลยุทธ์และกรอบการทำงานที่ได้รับการออกแบบมาอย่างรอบคอบ โครงการนี้ยังถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องของเราทั่วเอเชีย ซึ่งเราจะยังคงสนับสนุนบริษัทในเอเชียในการเติบโตและเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่นให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป”
ประเทศไทย- 24 กันยายน 2567 - ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้มีคนไทยมากถึง 67% ที่เลือกซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะสูงถึง 750,000 ล้านบาทภายในปี 25681 ซึ่งสะท้อนถึงการก้าวไปข้างหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอย่างมั่นคง ในขณะที่ภาค SMEs ตั้งเป้าหมายการเติบโตจากรายได้ 6.3 ล้านล้านบาทในปี 2566 เป็น 6.6 ล้านล้านบาทในปี 25672 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดออนไลน์และปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพและทันกระแสการค้าในยุคดิจิทัล
ล่าสุด ช้อปปี้ ผู้นำอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ครองใจผู้ใช้งานชาวไทย ร่วมกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) จัดโครงการ “The influencer journey TiJ#1” สร้างตัวตนให้ปัง สู่เส้นทางคนดังที่สำเร็จ โดยโครงการนี้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้เทคนิคสร้างแบรนด์บนร้านค้าออนไลน์จากรุ่นพี่ในวงการ Content Marketing กับ DBD Influencer Awards กิจกรรมเด็ดเพื่อเฟ้นหาสุดยอดอินฟลูเอนเซอร์ผ่านการไลฟ์สตรีมมิ่ง เรียกได้ว่ากระแสตอบรับดีมากๆ ทั้งยังช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพอีกด้วย
เปิดสูตรลับ 2 SMEs ไทย สู่ความสำเร็จทางธุรกิจบนโลกอีคอมเมิร์ซ
หัทยา คัมบารา กรรมการผู้จัดการ แบรนด์ส้มใส (SOMSAI) ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 รางวัล DBD Influencer Awards 2024 แชร์มุมมองการสร้างแบรนด์และเทคนิคการตลาดไว้ว่า “แบรนด์ส้มใสเริ่มต้นจากการตระหนักถึงปัญหาผิวของคนไทย เราจึงพัฒนาสบู่ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วผ่านการบอกต่อ จนเกิดเป็นสบู่น้ำส้มใส ในช่วงแรกเราเน้นการตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย แต่เมื่อโควิดทำให้ร้านค้าไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน ทำให้เห็นโอกาสช่องทางออนไลน์ จึงมาเปิดร้านบนช้อปปี้ แพลตฟอร์มที่ ‘น่าเชื่อถือ’ และ ‘ฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง’ ทำให้หลายคนได้กลับมาพบกับแบรนด์ส้มใสอีกครั้ง บวกกับแบรนด์ของเราได้รับเครื่องหมาย อย. และ DBD Registered ที่สร้างความมั่นใจว่าสินค้าของเราเป็นสินค้าที่ปลอดภัยและของแท้ 100% ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจในทุกการช้อปปิ้ง ระยะเวลาเกือบ 2 ปีบนช้อปปี้ รู้สึกประทับใจมากกับการดูแลอย่างใกล้ชิดและคำปรึกษาจากทีมงาน รวมถึงการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจผ่านกิจกรรมแคมเปญเครื่องมือและฟีเจอร์ทางการตลาด ในครึ่งปีแรกของปี 2567 ยอดขายแบรนด์เติบโตกว่า 10 เท่า และยอดออเดอร์เพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
![]()
“อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของแบรนด์ส้มใส คือการคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในรางวัล DBD Influencer Awards 2024 จากโครงการ “The influencer journey TiJ#1” ซึ่งถือเป็นโครงการที่เราได้เรียนรู้เทคนิคการสร้างยอดขายผ่านเครื่องมือการตลาดอย่าง ไลฟ์สตรีมมิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการระบบหลังบ้าน การจัดตารางไลฟ์สด การวางโครงสร้างช่อง การถ่ายทำ และการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พร้อมพัฒนาผลลัพธ์ด้วยการใช้ AI ที่ทันสมัย เราเชื่อว่า การนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปรับใช้ทันที เรียนรู้ระหว่างที่ลงมือทำ และพัฒนาต่อเนื่องแบบไม่หยุดนิ่ง ทำให้เราชนะใจกรรมการ จากการแข่งขันไลฟ์สตรีมบนช้อปปี้พบว่า แบรนด์สามารถเพิ่มยอดขายได้กว่า 150% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ อีกทั้งยังได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากๆ จากเหล่าลูกค้า ทำให้ตัวเราและทีมงานแบรนด์ส้มใสรู้เลยว่า สินค้าไทยยังคงเติบโตได้อีกไกล หากเราพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้รับการรับรองคุณภาพจากภาครัฐ และเลือกช่องทางการขายตรงตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา จะยิ่งช่วยขยายโอกาสในการเติบโต ต้องขอบคุณสำหรับโครงการนี้ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นเติบโตและก้าวสู่เวทีโลกอย่างมั่นคง” คุณหัทยา กล่าวทิ้งท้าย
ทิปส์เด็ดสู่ SMEs มือใหม่! สร้างความสำเร็จในโลกธุรกิจอย่างมืออาชีพ: ในช่วงที่การทำธุรกิจออนไลน์กำลังมาแรง ยิ่งเริ่มต้นเร็ว ยิ่งมีโอกาสเติบโตได้เร็ว ช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการขายออนไลน์ ด้วยเครื่องมือครบครัน ทั้งการส่งเสริมการขายและการวิเคราะห์ ช่วยเพิ่มการมองเห็นให้กับสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันการสั่งซื้อออนไลน์สะดวกและง่ายดายกว่าเดิมมาก นี่คือโอกาสที่คุณไม่ควรพลาด
กษิรา ขันติศิริ เจ้าของแบรนด์เผือกกรอบ ทันจิตต์ ถ่ายทอดความอร่อยสู่การไลฟ์ที่น่าจับตามอง เล่าว่า “ทันจิตต์เริ่มต้นจากความหลงใหลในการทำขนม สืบทอดสูตรลับเฉพาะจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็นแบรนด์ของฝากที่มีประวัติยาวนานกว่า 40 ปี โดยหัวใจหลักของเราคือการมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสูงสุด ส่งตรงถึงมือลูกค้าแบบกรอบใหม่เพื่อสร้างความประทับใจ เราพิถีพิถันในการสไลด์เผือกเป็นรูปตะแกรงด้วยตัวเองจนเกิดเป็น “เผือกกรอบรูปตะแกรง” ที่สวยงามเป็นที่กล่าวขานถึงทุกวันนี้ และปัจจุบันเราได้ขยายช่องทางการขายสู่แพลตฟอร์ม 'ช้อปปี้' พิจารณาจากที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผลการสำรวจกลุ่มลูกค้าขนมขบเคี้ยว ทำให้เรามั่นใจว่านี่คือช่องทางที่ตอบโจทย์การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ด้วยฟีเจอร์ Shopee Live เป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยให้แบรนด์ทันจิตต์เพิ่มยอดขายและเข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็ว โดยในปีนี้ ยอดผู้ชม Shopee Live ของเราเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ด้วยการตอบรับที่ดีกับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่อร่อยถูกปากคนไทยและโปรโมชันที่ดึงดูดใจ จึงพบว่า เผือกกรอบรูปตะแกรง ได้รับเลือกเป็นสุดยอดสินค้ายืนหนึ่งในใจนักช้อปประจำปี 2567
“การสร้างยอดขายของเรามาต้องมาพร้อมกับการเรียนรู้และพัฒนาเทคนิคในการเติบโตในโลกอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจร สำหรับการเข้าร่วมโครงการ The Influencer Journey TiJ#1 ได้เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้กลยุทธ์การสร้างยอดขายที่มีประสิทธิภาพ เราได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาทักษะการพูดและการนำเสนอในไลฟ์สตรีมมิ่ง ทำให้แบรนด์มีความมั่นใจและสามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม โดยพบว่ายอดขายใน Shopee Live ช่วงการแข่งขันเพิ่มขึ้นกว่า 200% อีกทั้งสามารถสร้างเอนเกจท์เม้นระหว่างแบรนด์และลูกค้าได้เป็นอย่างดี ท้ายนี้ เราเชื่อว่าความสำเร็จของ SMEs
มาจากการสร้างความแตกต่างและข้อได้เปรียบทางธุรกิจ รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน” กษิรา กล่าวเพิ่มเติม
ทิปส์เด็ดสู่ SMEs มือใหม่! สร้างความสำเร็จในโลกธุรกิจอย่างมืออาชีพ: หากคุณยังไม่เคยเปิดร้านบนช้อปปี้ แนะนำให้ลองเริ่มต้นหาความรู้บน Shopee University จะช่วยให้คุณเรียนรู้และเข้าใจการขายได้อย่างไม่ยากและคุณอาจพบว่ายอดขายของคุณเพิ่มขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เมื่อวันที่ 17-18 กันยายนที่ผ่านมา นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ผลกระทบนี้ส่งผลชัดเจนอย่างยิ่งต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มักมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจมหภาค เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจช่วยเสริมสภาพคล่อง และโอกาสในการเติบโต โดยเฉพาะการลดต้นทุนการกู้ยืมที่สามารถกระตุ้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนหลายคนจึงมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมากยิ่งขึ้น
ภาพรวมพื้นฐานเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย และนโยบายล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐฯ
อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายทางการเงิน ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการกู้ยืม การใช้จ่าย และการตัดสินใจลงทุน ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ได้ลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 23 ปีที่ 5.25%-5.50% ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมเงินเฟ้ออย่างเข้มงวดในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา โดยเงินเฟ้อได้ลดลงจาก 7.1% มาอยู่ที่ 2.5% โดยหลังจากวิกฤตโควิด-19 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้มีปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นถึง 11 ครั้งภายในช่วงเวลาเพียงหนึ่งปี เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อโดยไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
ศักยภาพในการฟื้นตัวของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
ในแง่ของสินทรัพย์ดิจิทัล ผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะโดยทั่วไปแล้ว สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บิทคอยน์ มักมีปฏิกิริยาเชิงลบต่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่มุ่งควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ในทางกลับกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยมักถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลเชิงบวกต่อสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์เสี่ยง
![]()
นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไบแนนซ์ ทีเอช (BINANCE TH) เผยความเห็นต่อทิศทางนี้ว่า “เราคาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน ซึ่งจะกระตุ้นความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น บิทคอยน์ที่เคยมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นถึง 375% ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึง 2565 ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยใกล้แตะระดับศูนย์”
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืม ส่งผลให้เกิดการไหลเข้ามาของเงินทุนที่มักมุ่งไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น สินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ ด้วยคุณสมบัติในการต้านภาวะเงินเฟ้อ อาจยิ่งทำให้บิทคอยน์มีแนวโน้มที่จะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผู้คนเกิดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ จากการคาดการณ์การใช้จ่ายและการกู้ยืมเงินที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมักเกิดขึ้นพร้อมกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจยิ่งช่วยทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น ในฐานะเกราะป้องกันความเสี่ยงจากลดค่าของเงินตรา
![]()
ปัจจัยเฉพาะที่มีผลต่อสินทรัพย์ดิจิทัล
นอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคแล้ว บิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ยังมีลักษณะเฉพาะที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโต หนึ่งในนั้นคือ การเกิด Bitcoin Halving ที่ในอดีตมักส่งผลให้มูลค่าของบิทคอยน์ปรับตัวสูงขึ้นภายในระยะเวลา 6-8 เดือน ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ในอดีตจะไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปรากฏการณ์ Bitcoin Halving อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางให้กับเหล่านักลงทุน และเมื่อผสานรวมกับการเข้ามาของ Spot ETFs รวมถึงสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ยิ่งอาจส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดคริปโตมากขึ้นตามไปด้วย
นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving และการเปิดตัวของ Spot ETFs ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่อาจมีส่วนช่วยเสริมสภาพคล่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งถึงแม้ว่าเดือนกันยายน มักเป็นช่วงที่สินทรัพย์ดิจิทัลอ่อนตัว แต่ราคาก็มักจะฟื้นตัวและดีดสูงขึ้นอีกครั้งตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ คาดว่าจะยิ่งเสริมแรงส่งให้ราคาดีดกลับตัวสูงขึ้นยิ่งกว่าเดิม”
นอกจากนี้ ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าเตรียมปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ อาจนำไปสู่ยุคใหม่ของการปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ (Economic recalibration) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตได้เช่นกัน
“ถึงแม้ว่าผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นยังคงมีความไม่แน่นอน แต่สัญญาณต่างๆ ได้บ่งชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ อาจเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุน เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลง และสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลมีความน่าสนใจ นอกจากนี้ จากการศึกษาเทรนด์ในอดีต รวมถึงปัจจัยเฉพาะด้านเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ยังตอกย้ำให้เห็นว่าการปรับนโยบายในครั้งนี้ อาจเป็นแรงกระตุ้นที่เร่งให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลได้อีกด้วย” นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล กล่าวปิดท้าย
Salesforce (NYSE: CRM) ผู้นำ CRM AI ชั้นนำของโลก ได้ประกาศแผนการขยายโอกาสในการพัฒนาทักษะ ด้วยการเปิดให้ทุกคนสามารถเข้ารับการฝึกอบรมด้าน AI ได้ฟรีแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย โดย Salesforce จะเปิดอบรมหลักสูตร AI ขั้นสูงและให้การรับรองมาตรฐานด้าน AI ผ่านทางแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ Trailhead ซึ่งจะเปิดให้บริการฟรีจนถึงสิ้นปี 2025
นอกจากนี้แล้ว Salesforce ยังจะเปิดพื้นที่ใหม่ ณ สำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งจะประกอบด้วยศูนย์ AI Center ชั่วคราวสำหรับจัดการฝึกอบรม AI เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้กันได้ภายในสถานที่ ในพื้นที่เหล่านี้ยังจะมีการจัดฝึกอบรมเพิ่มทักษะการใช้เครื่องมือ AI และ Agent ต่าง ๆ สำหรับพนักงาน โครงการทั้งหมดนี้นับเป็นการลงทุนมูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.6 พันล้านบาท) เพื่อช่วยยกระดับความสามารถให้กับพนักงาน และลดช่องว่างทางทักษะด้าน AI ที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น
ผลการวิจัยโดย Slack พบว่า ผู้บริหารระดับสูงมองว่าการนำเครื่องมือ AI มาใช้ในการดำเนินธุรกิจเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วนมากขึ้นถึง 7 เท่า ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือนที่ผ่านมา และมองว่าเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในขณะนี้ มากกว่าปัญหาเงินเฟ้อหรือสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยฉบับนี้ยังพบว่าพนักงานกว่าสองในสามยังไม่ได้ใช้งานเทคโนโลยี AI ในการทำงาน และมีเพียง 15% ของพนักงานเท่านั้นที่มองว่าตนเองได้รับความรู้และทักษะที่เพียงพอสำหรับการใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพ

ไบรอัน มิลแฮม (Brian Millham) ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Salesforce กล่าวว่า “การมาถึงของเทคโนโลยี AI และ Agent เป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของพวกเรา และสิ่งนี้จะเปลี่ยนวิธีการทำงานของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง” และเสริมว่า “เราจำเป็นต้องมั่นใจว่าทุกคนมีทักษะที่จำเป็น เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในยุคใหม่ซึ่งเป็นโลกของ AI”
ขยายโอกาสในการฝึกอบรมด้าน AI
ปัจจุบัน Salesforce ได้ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญหลายแสนคนสามารถพัฒนาทักษะเชิงเทคนิค ผ่านการฝึกอบรมขั้นสูงด้วยเนื้อหาที่มีคุณภาพซึ่งนำการสอนโดยผู้เชี่ยวชาญ พร้อมมอบใบรับรองที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับประวัติการทำงาน ทั้งนี้บริษัท Salesforce ได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนผู้เรียนถึง 100,000 คนที่ผ่านการอบรมเหล่านี้ พร้อมทั้งช่วยให้ผู้นำในชุมชนของ Salesforce หรือ Trailblazer ทุก ๆ คนได้พัฒนาสู่การเป็น Agentblazer ซึ่งคือผู้นำในการใช้ Agent
นอกเหนือจากเนื้อหาขั้นสูงที่มีคุณภาพแล้ว ล่าสุดแพลตฟอร์ม Trailhead ยังได้ขยายคอร์สออนไลน์ฟรีต่าง ๆ เพิ่มเติม สำหรับการฝึกอบรมทักษะด้าน AI โดยเฉพาะ ซึ่งประกอบด้วยหลักสูตรด้าน พื้นฐานของ AI และ การใช้ AI อย่างมีจริยธรรม รวมไปถึงการสร้าง คำสั่งพรอมต์ (Prompt) และหลักสูตรอื่น ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 ทำให้ทั้งพนักงานของ Salesforce รวมถึงผู้ที่กำลังสมัครงาน และผู้สนใจเรียนรู้รวมกว่า 2.6 ล้านคนได้รับใบรับรองด้าน AI และข้อมูล เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็น
สร้างพื้นที่เพื่อพัฒนาทักษะ AI ให้พนักงาน ด้วยการฝึกอบรมแบบลงมือปฏิบัติจริง Salesforce ได้เริ่มจัดตั้งพื้นที่สำหรับการฝึกอบรมด้าน AI ขึ้นในสำนักงานของบริษัททั่วโลก โดยได้เปิดศูนย์ AI Center ในเมืองลอนดอน เป็นแห่งแรกในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และได้วางแผนที่จะสร้างศูนย์ AI Center แบบชั่วคราวแห่งใหม่ขึ้นที่สำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโกในปี 2025 นอกจากนี้ยังได้วางแผนขยายพื้นที่ศูนย์ฝึกเหล่านี้ไปยังศูนย์กลางที่สำคัญอื่น ๆ ทั่วโลก เช่น เมืองชิคาโก โตเกียว และซิดนีย์ โดยศูนย์จัดอบรมเหล่านี้จะสอนหลักสูตร AI จากทางแพลตฟอร์ม Trailhead แบบที่ผู้เรียนสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ในสถานที่โดยตรง รวมถึงเป็นพื้นที่พบปะแลกเปลี่ยนระหว่างผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม พาร์ทเนอร์ และลูกค้าของ Salesforce เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรม AI ให้ก้าวหน้า และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาทักษะด้าน AI ได้อย่างรวดเร็ว
เสริมทักษะให้กับพนักงาน 72,000 คน ด้วย AI ที่มีความน่าเชื่อถือ
Salesforce ได้กำลังสนับสนุนให้พนักงานกว่า 72,000 คนของบริษัทสามารถยกระดับทักษะ ด้วยการจัดกิจกรรม “วันแห่งการเรียนรู้ AI” ที่จัดขึ้นทั่วโลกในทุก ๆ ไตรมาส เพื่อให้พนักงานได้ฝึกใช้นวัตกรรม AI ล่าสุดด้วยการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งรวมถึงการใช้นวัตกรรม Agentforce ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือ AI Agent อัจฉริยะที่ทำงานได้ด้วยตัวเองแบบอัตโนมัติ ช่วยเสริมความสามารถในการทำงานให้พนักงานได้ในหลากหลายหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริการ การขาย การตลาด หรือการค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของลูกค้า นอกจากนี้ Salesforce ยังเตรียมที่จะเปิดศูนย์ “AI Knowledge Center” ซึ่งจะใช้พื้นที่ทั้งชั้นของสำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโก เพื่อให้พนักงานทั่วโลกได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI อย่างเต็มรูปแบบ
ปัจจุบันบริษัทได้เปิดตัวเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI มากกว่า 100 รายการ เพื่อช่วยให้พนักงานทั่วโลกสามารถใช้ AI และมุ่งเน้นการทำงานที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น ซึ่งพนักงานของ Salesforce เองก็ได้ใช้แพลตฟอร์ม Trailhead เรียนรู้วิธีการใช้ AI และ Agent ในการทำงาน โดยเกือบ 40% ของจำนวนการออกใบรับรองด้าน AI และข้อมูล บนแพลตฟอร์ม Trailhead ทั้งหมดซึ่งมีมากถึง 2.6 ล้านรายการนั้นมาจากการฝึกอบรมของพนักงานบริษัท Salesforce

นอกจากนี้ ในฐานะผู้ที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของตนเองเป็นกลุ่มแรก พนักงาน Salesforce หลายพันคนได้ใช้เทคโนโลยี Agent ของ Agentforce ที่สามารถเชื่อถือได้ ให้ทำงานที่มีความซ้ำ ๆ จำเจ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการทำงาน โดยตั้งแต่ที่บริษัทได้เปิดตัว Slack AI ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งมีอินเทอร์เฟซแบบสนทนาเพื่อหาคำตอบ สรุปข้อมูล และสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ ๆได้ช่วยให้พนักงาน Salesforce ลดเวลาในการทำงานลงได้รวมเกือบ 3 ล้านชั่วโมง
นาทาลี สการ์ดิโน (Nathalie Scardino) ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบุคคลของ Salesforce กล่าวว่า “เช่นเดียวกับการปฏิวัติทางเทคโนโลยีอื่น ๆ AI จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเรา รวมทั้งสร้างตำแหน่งงาน และโอกาสใหม่ ๆ ซึ่งปัจจุบัน AI ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของเราในฐานะนายจ้าง ที่จะมอบโอกาสในการฝึกฝนพัฒนาให้กับพนักงาน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามีทักษะที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในบทบาทใหม่ ๆ เหล่านั้น” และกล่าวเสริมว่า “Salesforce เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงโดยตลอดมา และด้วยค่านิยมที่เป็นพื้นฐานของเรานี้ Salesforce จึงได้นำพลังและศักยภาพของเรา ทั้งเทคโนโลยี พื้นที่ และพนักงาน มาร่วมนำพาทุกคนให้ก้าวไปด้วยกัน”
อีริคสันประเทศไทยเปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ในโครงการ Thailand Digital Valley ยกระดับนวัตกรรม 5G และขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย
อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ โดยสตูดิโอนี้ถูกออกแบบเพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี 5G ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างกรณีศึกษายูสเคสใหม่ ๆ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ด้วยเครือข่าย 5G ที่ทันสมัยและยั่งยืน
ความร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) นี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการพัฒนาโซลูชันที่ล้ำสมัย อาทิ หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMR) และเทคโนโลยีกล้อง CCTV 360 องศา เพื่อแสดงศักยภาพของ 5G ที่จะเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจในอนาคต
มร.แอนเดอร์ส เรียน ประธานอีริคสันประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของ 5G ในการสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ สำหรับทั้งผู้บริโภคและองค์กร โดยมุ่งมั่นทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงข่าย 5G
ทั้งนี้ อีริคสันยังคาดการณ์ว่าในปี 2572 ผู้ใช้ 5G จะเติบโตถึง 60% ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั่วโลก พร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ได้ปรับราคาพื้นฐานของหุ้น WICE ขึ้นเป็น 7 บาท พร้อมคงคำแนะนำ "ซื้อ" เนื่องจากเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของอัตราค่าขนส่งทั้งทางทะเลและทางอากาศ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะเติบโตตามเป้า หลังจากอัตราค่าระวางเรือปรับตัวดีขึ้น และปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น
WICE มีโครงการใหม่ที่น่าสนใจ เช่น การขนส่งเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่งจาก สปป.ลาวมายังท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อนำส่งต่อไปยังญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ นอกจากนี้ยังมีโครงการขนส่งเมล็ดกาแฟดิบจาก OR ที่ใช้ยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 3 ส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังเติบโตตามเป้าหมาย
นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ WICE เปิดเผยว่า บริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วหลังค่าระวางเรือและปริมาณการขนส่งเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและจีน นอกจากนี้ WICE ยังเดินหน้าขยายธุรกิจผ่านการจัดตั้งบริษัทย่อยในฟิลิปปินส์และจีน ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าและขยายบริการในต่างประเทศ คาดว่ารายได้ทั้งปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของธุรกิจและการฟื้นตัวของตลาดขนส่ง
นอกจากนี้ นายชูเดช ยังมั่นใจว่า สถานการณ์ธุรกิจขนส่งจะกลับมาสู่ภาวะปกติหลังจากที่ช่วงหลังโควิดค่าระวางเรือปรับขึ้นอย่างรุนแรงและปรับลงในปี 2566 โดยครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ส่งผลให้ผลประกอบการของ WICE เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้
บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งค้าปลีก แม็คโคร-โลตัส ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเดินหน้านโยบายสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการ “เปลี่ยนขยะเป็นประโยชน์” โดยนำอาหารส่วนเกินจากสาขาแม็คโครและโลตัสทั่วประเทศ มอบให้เกษตรกรเพื่อนำไปใช้เพาะเลี้ยงแมลงโปรตีน (Black Soldier Fly – BSF) ในการลดขยะอาหารสู่เป้าหมาย Zero Food Waste ภายในปี 2573
โครงการนี้มีความมุ่งมั่นที่จะลดการสูญเสียอาหารและลดปริมาณขยะอาหารตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีพี แอ็กซ์ตร้า กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “ซีพี แอ็กซ์ตร้า มุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) เราร่วมกับพันธมิตรอย่างมหาวิทยาลัยขอนแก่นและ BEDO เพื่อนำอาหารส่วนเกินจากสาขากว่า 230 แห่งไปให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงแมลงโปรตีน ซึ่งช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ได้ถึง 50% อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากปุ๋ยที่ได้จากมูลหนอนและซากแมลงอีกด้วย”
![]()
นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้ยังเป็นการแก้ปัญหาขยะอาหารที่ยั่งยืน ช่วยเกษตรกรลดต้นทุน และส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียวเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายในพิธีมีบุคคลสำคัญจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นและ BEDO ร่วมงานด้วย
ซีพี แอ็กซ์ตร้าคาดหวังว่าโครงการนี้จะไม่เพียงลดขยะอาหารเท่านั้น แต่ยังสามารถขยายโอกาสทางธุรกิจและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนและเกษตรกรทั่วประเทศอีกด้วย
SABINA ย้ำความมั่นใจ ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดช้อปปิ้งออนไลน์ โดยยังคงรักษาตำแหน่งแบรนด์แฟชั่นอันดับหนึ่งในช่องทางขายที่ไม่มีหน้าร้าน (NSR) ได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีผู้เล่นใหม่เข้ามาในตลาด นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เปิดเผยว่า SABINA ไม่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีจุดแข็งในเรื่องคุณภาพสินค้า ราคา และบริการทั้งก่อนและหลังการขาย ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
SABINA ใช้ 3 ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนความสำเร็จ ได้แก่ การพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการลูกค้า การให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ SABINA ตั้งเป้ายอดขาย NSR เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ในปีนี้
ปัจจุบัน SABINA ขายสินค้าผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ ช่องทางค้าปลีก (Retail), ช่องทางที่ไม่มีหน้าร้าน (NSR), และรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่งในครึ่งปีแรกของปี 2567 ช่องทาง NSR เติบโตถึง 31.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จและความพึงพอใจของลูกค้า
นอกจากนี้ SABINA ยังไม่หยุดที่จะหาช่องทางการตลาดใหม่ ๆ และการพัฒนาธุรกิจในช่องทาง NSR ซึ่งเชื่อว่าจะขยายฐานลูกค้าออนไลน์ได้มากขึ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ ซึ่งบริษัทได้เข้าถือหุ้นใน Moda ฟิลิปปินส์ ทำให้ยอดขายออนไลน์ในประเทศนั้นเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมไม่ถึง 1% เพิ่มเป็น 8% ในปัจจุบัน ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตต่อไป
SABINA ยังคงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าผ่านการให้บริการที่ดีและการรักษาคุณภาพสินค้า ซึ่งช่วยให้แบรนด์ยังคงเป็นที่ยอมรับในตลาดออนไลน์และมีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ทีมนักศึกษาจากประเทศไทยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศอีกครั้ง โดยคว้ารางวัลทีมภาษาอังกฤษยอดเยี่ยมจากการแข่งขัน Global Brand Planning Competition (GBPC) 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่สิงคโปร์ โดยทีม "Win Won Won" ที่ประกอบด้วยนักศึกษาจาก 3 มหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ได้แสดงความสามารถโดดเด่นในการวางแผนการสร้างแบรนด์ ‘CP Bologna’ จนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในประเภทแผนภาษาอังกฤษได้สำเร็จ
การแข่งขันครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) ซึ่งทำหน้าที่คัดเลือกทีมตัวแทนและส่งเสริมศักยภาพของนักการตลาดรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในการแข่งขันระดับนานาชาติที่มีคู่แข่งจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจากจีน สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง และฟิลิปปินส์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานด้านการตลาดและเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ในวงการธุรกิจ
นอกจากการวางแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน ทีมไทยยังได้รับคำชื่นชมในเรื่องของการวิเคราะห์ตลาดและความสามารถในการเชื่อมโยงแผนการตลาดเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งนี้ GBPC เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาจากหลากหลายประเทศได้แสดงความสามารถ ทั้งด้านความรู้และทักษะด้านการตลาด รวมถึงการสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในวงการ
ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "MAT ภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนทีมนักศึกษาไทยให้ก้าวไปถึงเวทีระดับโลก การแข่งขันนี้ไม่เพียงเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางการตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างนักการตลาดรุ่นใหม่กับผู้เชี่ยวชาญระดับสากล ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในสายอาชีพในอนาคต"
จากการแข่งขันครั้งนี้ ทีม "Win Won Won" ได้พิสูจน์แล้วว่าความรู้ ความสามารถ และความมุ่งมั่นของนักศึกษาไทยสามารถสร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศได้อีกครั้งในเวทีสากล