

RackCorp และ Treasure Hub ผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำระดับโลก ได้จัดงานเปิดตัว RackCorp.ai แพลตฟอร์มปัญญา ประดิษฐ์แบบ Sovereign AI อย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในประเทศไทย ถือเป็นก้าวสำคัญในวงการเทคโนโลยีของประเทศไทย
งานเปิดตัว RackCorp.ai ครั้งนี้ ได้จัดบรรยายรูปแบบสัมมนาเพื่อการเรียนรู้เทคโนโลยี AI ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้องค์กรก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืน และปลอดภัยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ คุณลอเรนซ์ ไมเคิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RackCorp คุณธภัทร ยุวบูรณ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Treasure Hub ตัวแทน RackCorp.ai ประเทศไทย คุณพรหมินทร์ (ลัคกี้) ซิงห์ ผู้อำนวยการพันธมิตร RackCorp คุณเพรม นาไรน์ดาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Katonic AI คุณจอร์จ ดรากาสซิส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี Hitachi Vantara คุณ Shankar Raghavan ผู้อำนวยการอาวุโส Hewlett Packard Enterprise (HPE) และวิทยากรพิเศษจาก NVIDIA โดยผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเป็นอธิปไตยด้านข้อมูลและบทบาทของ AI รักษาความมั่นคงในอนาคตดิจิทัลของประเทศไทย รวมถึงการใช้งานในชีวิตจริงและจะเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาทุกธุรกิจที่ได้ใช้งาน

ลอเรนซ์ ไมเคิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RackCorp กล่าวว่า การเปิดตัวแพลตฟอร์ตปัญญาประดิษฐ์แบบ Sovereign AI ของ RackCorp ในประเทศไทย เป็นก้าวสำคัญทางเทคโนโลยีของประเทศ “เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ธุรกิจไทยมีเครื่องมือที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล พร้อมกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก”
เพรม นาไรน์ดาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Katonic AI กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างเรากับ RackCorp ที่สร้างสรรค์โซลูชั่นปัญญาประดิษฐ์แบบ Sovereign AI อย่างครบวงจร ด้วยการนำฮาร์ดแวร์ล้ำสมัย ซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนของ Katonic รวมกับบริการที่ปรับแต่งเพื่อสร้างระบบ AI ที่สมบูรณ์สำหรับธุรกิจไทย โดยยังคงรักษาความเป็นอธิปไตยและความปลอดภัยของข้อมูล “สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะจุดเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีที่องค์กรต่างๆนำ AI มาใช้ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดภายในกรอบการทำงานที่มีความปลอดภัยและเป็นอธิปไตย”

คุณธภัทร ยุวบูรณ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Treasure Hub ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่าย RackCorp.ai ประเทศไทยกล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญสำหรับอุตสาหกรรม AI ในประเทศไทย ด้วย RackCorp.ai ไม่ได้แค่นำเสนอ AI ที่ล้ำสมัย แต่ยังทำให้มั่นใจว่าโซลูชั่นเหล่านี้สามารถปรับและนำมาใช้ให้เข้ากับความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อทำให้ธุรกิจไทยมั่นใจได้ต่อการใช้ประโยชน์จาก AI
คุณธภัทร กล่าวเพิ่มเติมถึงแพลตฟอร์ม RackCorp.ai ว่า เป็นความร่วมมือร่วมกันของบริษัทชั้นนำของโลก ได้แก่ RackCorp, Katonic AI, Hitachi Vantara, HPE, และ NVIDIA โดยมีเป้าหมายการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ใช้งานได้ง่าย มีความปลอดภัยสูง และเป็นไปตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบของไทย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถนำ AI มาใช้ได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความถูกต้องของข้อมูลหรือการพึ่งพารูปแบบ AI จากต่างประเทศ มั่นใจว่าข้อมูลจะถูกเก็บรักษาและดำเนินการภายในประเทศ ซึ่งเรามี Data Center ที่มี GPU ตั้งอยู่ในประเทศไทยถึง 2 แห่งอยู่ที่บางนาและอมตะนคร ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้งาน AI ได้อย่างปลอดภัย ข้อมูลสำคัญต่างๆจะไม่รั่วไหลหรือถูกส่งต่อไปยังที่อื่นโดยเราไม่รู้ตัว ภายใต้โครงสร้างพื้นฐานที่มีความปลอดภัยสุงสุด เพื่อรักษาความมั่นคงและอธิปไตยทางระบบดิจิทัล โดยมีคุณสมบัติสำคัญ ได้แก่ ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ภายในประเทศไทย, มีการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างครบถ้วน
เรามั่นใจว่า RackCorp.ai มีศักยภาพสร้างการเปลี่ยนแปลง พลิกโฉมอุตสาหกรรมที่สำคัญต่อการเติบโตของประเทศไทย เช่น เกษตรกรรม การผลิต การท่องเที่ยว เศรษฐกิจและสังคม ด้วย AI ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการ และยังสอดคล้องกับเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทย คาดหวังว่าการเปิดตัว RackCorp.ai จะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมของหลายอุตสาหกรรมของไทย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศตามแผนพัฒนาไทยแลนด์ 4.0 และผลักดันให้ประเทศไทยมีบทบาทเป็นผู้นำในเทคโนโลยี AI ในภูมิภาคอาเซียน ดึงดูดการลงทุนและบุคลากรคุณภาพจากทั่วโลก”
สำหรับการจัดงานครั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงาน sign up เพื่อนัดหมายการทดลองใช้ระบบแพลตฟอร์ม RackCorp.ai และรับคำปรึกษาการนำ AI มาใช้ในองค์กรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือข้อผูกมัดใดๆ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงาน ทั้งที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้บริหารระดับสูงและตัวแทนจากหลากหลายบริษัท สำหรับผู้ที่พลาดงานดังกล่าว สามารถทดลองใช้ฟรีหรือขอคำปรึกษาได้เช่นกัน โดยสามารถนัดหมายได้ที่ treasurehub.ai
นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ช้อปออนไลน์เป็นหมวดใช้จ่ายที่คนไทยมีความคุ้นเคยและใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแพลตฟอร์มหลักที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับหนึ่งในไทย คือ ช้อปปี้ หรือ Shopee ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเคทีซีมายาวนานนับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย และเติบโตด้วยกลยุทธ์ของการจัดวันมหกรรมแห่งการช้อปปิ้งออนไลน์ 9.9 จนกลายเป็นกระแสความนิยมแบบก้าวกระโดดในหมู่นักช้อปออนไลน์และขยายวงกว้างในกลุ่มผู้บริโภค และธุรกิจอื่นๆ”
“สำหรับลักษณะการใช้จ่ายออนไลน์ของสมาชิกเคทีซีในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กรกฎาคม 2567) เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยสมาชิกมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าบ่อยครั้งขึ้น ในขณะที่ยอดการซื้อต่อครั้งน้อยลง โดยสังเกตจากจำนวนรายการใช้จ่ายบัตรเครดิตผ่านแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเกือบ 40% และทางอีมาร์เก็ตเพลสเอง ก็มีรายการส่งเสริมการขายต่างๆ มากมาย เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคเข้าใช้บริการในแพลตฟอร์มมากขึ้น อาทิ การแจกโค้ดส่วนลดในช่วงเทศกาล Double Date, PAYDAY ต่างๆ รวมถึงการ ไลฟ์ขายสินค้าในราคาพิเศษ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น พร้อมสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ามากขึ้น”
เคทีซีได้ร่วมกับช้อปปี้คัดสรร 3 สิทธิพิเศษ สำหรับการใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น เพื่อร่วมแบ่งเบาภาระใช้จ่ายให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี และสมาชิกบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ในแคมเปญ 9.9 โดยสิทธิพิเศษที่ 1 รับส่วนลดสูงสุด 2,500 บาท เมื่อช้อปสินค้า 12,000 บาท ที่แอปฯ Shopee และทำรายการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท สิทธิพิเศษที่ 2 รับส่วนลดสูงสุด 1,200 บาท เมื่อช้อปผ่านบัตรเครดิตเคทีซีหรือบัตรเคทีซีพราว มาสเตอร์การ์ด เฉพาะวันที่ 9 กันยายน 2567 สิทธิพิเศษที่ 3 ใช้คะแนน KTC FOREVER แลกรับโค้ด Shopee มูลค่าสูงสุด 500 บาท ผ่านแอปฯ KTC Mobile ระหว่างวันที่ 2-16 กันยายน 2567 และใส่นำโค้ดส่วนลดในแอปฯ Shopee ก่อนชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่ร่วมรายการ
นายการัน อำบานี ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ บริษัท ช้อปปี้ ประเทศไทย กล่าวว่า “จากแนวโน้มการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคชาวไทยมีการปรับตัว และหันมาใช้ช่องทางออนไลน์ในการจับจ่ายสินค้าและบริการมากขึ้นเป็นอย่างมาก โดยนักช้อปนิยมจับจ่ายสินค้าประเภท Home & Living สูงสุดผ่านบัตรเครดิตเคทีซี บนแอปพลิเคชั่นช้อปปี้ สำหรับกลยุทธ์ที่เรามุ่งมั่นจะเดินหน้าพัฒนาให้ช้อปปี้เป็นมากกว่าแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซผ่าน 3 โมเมนต์ (3S Moments) คือ ความเซอร์ไพรส์ (Surprise) ความคุ้มค่า (Saving) และความสำเร็จ (Success) ยังคงเป็นแนวทางที่เราให้ความสำคัญตลอดทั้งปีนี้”
“ช้อปปี้ ในฐานะอีคอมเมิร์ซเบอร์หนึ่งครองใจนักช้อปชาวไทย มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับเคทีซีตลอดมา เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่สะดวกสบายและเป็นการแบ่งเบาภาระทางการเงิน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ท้าทายทางเศรษฐกิจอย่างปัจจุบัน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดียิ่งขึ้น และเราจะพัฒนาบริการของเราต่อไปเพื่อให้ตรงกับความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคในอนาคต”
ทรู คอร์ปอเรชั่น ลุยแจ้งจับโจรลักทรัพย์เสามือถือเหตุกระทบบริการลูกค้า ตั้งสำนักงานกฎหมายตัวแทนเพื่อร่วมกับตำรวจเอาจริงทุกคดี ทั้งลักทรัพย์แบตเตอรี่ลิเธียม สายไฟ หรืออุปกรณ์ประจำสถานีฐานทั่วไทย ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับการให้บริการในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะภาคตะวันออก และภาคอีสาน พร้อมขยายผลร่วมมือกับตำรวจสืบหาแหล่งแก๊งโจรและเส้นทางการเงินเพื่อจับกุมมาดำเนินคดีทุกรายให้ถึงที่สุด และสืบค้นตลาดมืดรับซื้อของโจรต่อไป พร้อมเตือนด้วยความห่วงใยคนซื้อแบตเตอรี่ลิเธียมมือสองระวังถูกหลอกรับซื้อของโจร ความเสียหายจากขบวนการลักทรัพย์เสามือถือในพื้นที่ต่างๆ ประกอบด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม สายไฟ เครื่องปรับอากาศ โซลาร์เซลล์ ซึ่งหลายแห่งมีการลักทรัพย์อุปกรณ์ที่เป็นเหล็ก บันได รั้ว รวมถึงถอดน็อตทำให้เกิดเหตุเสาล้มนำความเสียหายมาให้แก่ประชาชนในพื้นที่
ล่าสุด บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้มอบหมายให้สำนักงานกฎหมายบี แอนด์ แอล เป็นผู้แทนรับมอบอำนาจจากทรู คอร์ปอเรชั่น เข้าพบ เข้าพบ พ.ต.ท. ชาติคณิณพ์ อินทร์สอน สารวัตร(สอบสวน) สถานีตำรวจภูธรพานทอง จ. ชลบุรี เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับโจรลักทรัพย์อุปกรณ์เสาสัญญาณมือถือทรูในพื้นที่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ. ชลบุรี จากเหตุโดนโจรตัดสายไฟเพื่อลักทรัพย์นำไปขายต่อ อันจะทำให้เกิดเหตุเสาสัญญาณหยุดบริการสะดุดชั่วคราว พร้อมมอบหลักฐานสำคัญเพื่อให้เจ้าหน้าที่ขยายผลการสืบสวนต่อไป
นายฤทธิรอน เพริดพร้อม ทนายความจากสำนักงานกฎหมายบี แอนด์ แอล ตัวแทนทรูคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “เหตุการณ์ลักทรัพย์นี้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งนับเป็นสาธารณูปโภคดิจิทัลพื้นฐาน เนื่องจากสถานีฐานต้องหยุดทำงานชั่วคราวเพราะขาดระบบจ่ายไฟ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถใช้บริการโทรศัพท์มือถือได้ตามปกติ ทั้งการติดต่อสื่อสารพื้นฐาน การใช้แอปพลิเคชันในชีวิตประจำวัน การทำธุรกิจ ธุรกรรมออนไลน์ และการศึกษา ซึ่งสร้างความเดือดร้อนแก่สาธารณชนอย่างกว้างขวาง
ทางสำนักงานกฎหมายจะดำเนินการฟ้องร้องทางอาญาในข้อหาลักทรัพย์โดยเน้นความผิดสถานหนัก ในทุกกรณีไม่ว่าจะกระทำความผิดคนเดียวหรือตั้งแต่สองคนขึ้นไป ใช้ยานพาหนะ หรือลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ซึ่งถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเหตุฉกรรจ์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 โดยระวางโทษจำคุกได้ถึง 7 ปี และปรับสูงสุดถึงหนึ่งแสนบาท แล้วแต่กรณี โดยมีโทษทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ การฟ้องร้องดำเนินคดีในความผิดฐานนี้ไม่สามารถยอมความได้ พร้อมทั้งจะฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายจากทรัพย์สินด้วยมูลค่าสูงสุด"
ทั้งนี้ สำนักงานกฎหมายบี แอนด์ แอล ตัวแทนบริษั ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ในทุกพื้นที่ในการสืบสวนและขยายผลเพื่อจับกุมผู้ร่วมขบวนการลักทรัพย์ทั้งหมด รวมถึงการทลายแหล่งที่ใช้ในการแปรรูปและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ถูกขโมยมา ไม่ว่าจะเป็นการขายในตลาดมืดหรือผ่านช่องทางออนไลน์
“ขอให้ประชาชนระมัดระวังในการซื้ออุปกรณ์มือสอง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมที่มักนำไปใช้ร่วมกับระบบโซลาร์เซลล์ในบ้านเรือน ควรเลือกซื้อจากผู้ขายและร้านค้าที่น่าเชื่อถือ และสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาการนำเข้าของสินค้าได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นผู้เสียหายจากการรับซื้อของโจรโดยไม่รู้ตัว” นายฤทธิรอน กล่าวในที่สุด
นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย รับมอบรางวัล “สุดยอดแบรนด์ทรงพลัง” (The Most Powerful Brands of Thailand 2024) ในสาขาแพลตฟอร์มส่งอาหาร (Food Delivery Platform) จากภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะที่ GrabFood ได้ัรับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 29 แบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในประเทศไทย จากการสำรวจและเก็บข้อมูลผู้บริโภคมากกว่า 24,000 ตัวอย่างทั่วประเทศ ครอบคลุมใน 4 มิติ ได้แก่ ความตระหนักในแบรนด์ ความชื่นชอบในแบรนด์ การใช้ผลิตภัณฑ์ และภาพลักษณ์ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเร็ว ๆ นี้
“แกร็บรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่แบรนด์แกร็บฟู้ด (GrabFood) ได้รับรางวัลสุดยอดแบรนด์ทรงพลัง (The Most Powerful Brands of Thailand) จากภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 โดยจากผลการวิจัยในปีนี้ แกร็บฟู้ดยังคงเป็นแบรนด์ที่ครองใจคนไทยทุกช่วงวัย (18-69 ปี) ทุกเพศ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และเราจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาบริการและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อให้แพลตฟอร์มของแกร็บสามารถตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกยุคทุกสมัย โดยยังคงรักษาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความยั่งยืนในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นไปตามพันธกิจในการดำเนินธุรกิจที่เรียกว่า GrabForGood” นายวรฉัตร กล่าวเสริม
สำหรับการประกาศรางวัล "สุดยอดแบรนด์ทรงพลังของประเทศไทย 2024" (The Most Powerful Brands of Thailand 2024) จัดขึ้นในปีนี้เป็นครั้งที่ 7 โดยภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการวิจัยและสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องทุก 2 ปี โดยปีนี้มีการเก็บข้อมูลจาก 24,000 ตัวอย่าง แบ่งเป็นกลุ่มในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 12,000 ตัวอย่าง และใน 13 จังหวัดหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศอีก 12,000 ตัวอย่าง เพื่อจัดอันดับความแข็งแกร่งของแบรนด์ พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้แบรนด์แข็งแกร่ง เพื่อนำมาเป็นองค์ความรู้ในการกำหนดกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดต่อไป
งาน Meta Marketing Summit ประจำปี Meta นำเสนอนวัตกรรมด้านการตลาดล่าสุดสำหรับธุรกิจไทย ผู้ประกอบการและนักการตลาดและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเสริมพลังให้กับธุรกิจไทยด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่จะเข้ามาพลิกโฉมการทำธุรกิจและสร้างการเติบโตพร้อมยกระดับพลังเศรษฐกิจไทยบนเวทีโลก
ลงทุนเพื่ออนาคต: ประสิทธิภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI กับ Meta Advantage
การลงทุนด้าน AI ของ Meta กำลังปฏิวัติวิธีการที่ธุรกิจเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานประจำวันกว่า 3.27 พันล้านคนบนแพลตฟอร์มปัจจุบัน Meta ลงทุนไปแล้ว 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ทั่วทั้งบริษัท โดย 81% ของการลงทุนนี้ได้ถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงแอปพลิเคชันหลัก ซึ่งรวมถึง Facebook, Instagram และ Messenger ตลอดจนบริการอื่นๆ สำหรับผู้ใช้งาน ครีเอเตอร์ และธุรกิจต่างๆ
![]()
ในงานประจำปีด้านการตลาดของ Meta ได้โชว์เคสชุดโซลูชัน AI ล่าสุดสำหรับภาคธุรกิจ นำโดย Meta Advantage+ ชุดเครื่องมือด้านการตลาดที่ครอบคลุม ออกแบบมาเพื่อเสริมพลังให้กับธุรกิจทุกขนาด ด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ปรับแต่งเฉพาะ เช่น Advantage+ Shopping Campaigns หรือ Advantage Apps+ Campaigns บริการนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณาพร้อมทั้งสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนด้านโฆษณา (ROAS) ที่สูงขึ้น โดยนำระบบ AI เข้ามาใช้ตั้งแต่การระบุกลุ่มเป้าหมาย ไปจนถึงการปรับปรุงกระบวนการเชิงกลยุทธ์ การวางตำแหน่งโฆษณา และการทำความเข้าใจเส้นทางของผู้บริโภค Meta Advantage ช่วยเสริมพลังให้กับธุรกิจด้วยการปรับปรุงที่วัดผลได้
ประสิทธิภาพจากการใช้งาน Meta Advantage+ สร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่นให้กับธุรกิจ: Advantage+ Shopping Campaigns ช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการใช้จ่ายด้านโฆษณา (ROAS) ถึง 32% และสำหรับโซลูชัน Advantage+ app campaigns ผลศึกษาชี้ว่าช่วยลดต้นทุนต่อการดำเนินการ (cost per action) ลงกว่า 9% นอกจากนั้น ยังพบว่าทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ใช้จ่ายใน Advantage+ Shopping Campaigns สามารถสร้างรายได้เฉลี่ย 4.52 ดอลลาร์สหรัฐกลับคืนมาให้กับธุรกิจ หรือคิดเป็นสัดส่วนของ ROAS ที่เพิ่มขึ้นกว่า 22% ในช่วงปีที่ผ่านมา
![]()
Generative AI: ยุคใหม่แห่งความคิดสร้างสรรค์ในการโฆษณา
การสร้างชิ้นงานโฆษณา (creative) นับเป็นกลยุทธ์สำคัญยิ่ง ในการดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและมีส่วนในการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้เป็นผู้ซื้อ (conversion) Meta ได้เปิดตัวการอัปเดตที่น่าสนใจหลายอย่างสำหรับชุดบริการและเครื่องมือ Advantage+ Creative ซึ่งรวมถึง Meta Gen AI ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการเวลา ทรัพยากร และประสิทธิภาพในการทำงาน ด้วยเครื่องมือ Meta Gen AI นักสร้างสรรค์สามารถออกแบบเนื้อหาโฆษณาที่หลากหลายได้อย่างง่ายดายและสร้างรูปแบบโฆษณาที่แตกต่างกันให้เหมาะสมกับความชอบของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
Meta Gen AI: ประโยชน์ที่ธุรกิจไทยจะได้รับ
คุณแพร ดํารงค์มงคลกุล Country Director ประจำ Facebook ประเทศไทย กล่าวว่า "ด้วยรูปแบบกระบวนการสร้างสรรค์แบบอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ธุรกิจสามารถสร้างเนื้อหาคอนเทนต์ที่หลากหลายได้ง่ายขึ้น ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและเพิ่มอัตราการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้เป็นผู้ซื้อ จึงช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากร ทำให้ Meta เป็นโซลูชันที่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจที่ต้องการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือสร้างสรรค์อันทรงพลังและโซลูชันที่สร้างผลลัพธ์ได้จริง"
"เครื่องมือและนวัตกรรมเพื่อการค้นพบ (discovery engine) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของเราได้พลิกโฉมวิธีที่ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างผลลัพธ์ที่แท้จริง เครื่องมือด้าน AI ของ Meta ตั้งแต่แชทบอท AI ที่สามารถฝึกฝนได้สำหรับการส่งข้อความทางธุรกิจ ไปจนถึงผู้ช่วยเสมือนฟรีที่สามารถถามคำถามเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงเทคโนโลยีที่ให้บริการผ่านชุดเครื่องมือ Meta Advantage+ ของเรา มุ่งสร้างการเชื่อมต่อเชิงลึกและมีความหมายมากขึ้นผ่านการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม" คุณแพรกล่าวเสริม
![]()
Meta Llama 3.1: ขับเคลื่อนวาระแห่งชาติและเศรษฐกิจซอฟต์พาวเวอร์ของไทย
Meta Llama 3.1 (ลาม่า) เวอร์ชันล่าสุดของ AI แบบโอเพ่นซอร์สของ Meta มีทิศทางที่จะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เนื่องจากโมเดลประมวลผลด้วยภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) ล่าสุดเพิ่มการรองรับภาษาไทย มอบความยืดหยุ่น การควบคุม และความสามารถที่ไม่มีใครเทียบได้ให้กับนักพัฒนาในประเทศไทย
ดร. ราฟาเอล แฟรงเคิล ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Meta ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงแผนการของ Meta สำหรับ Llama 3.1 ในประเทศไทยว่า "Llama 3.1 เวอร์ชันล่าสุดของเรากำลังยกระดับมาตรฐานใหม่สำหรับโมเดล AI ที่เปิดให้ใช้งานได้อย่างอิสระ ซึ่งทั้งหมดนี้รองรับภาษาไทยแล้ว การเปิดให้โมเดลของเราเป็นโอเพ่นซอร์สทำให้นักพัฒนาทั่วทุกมุมโลก รวมถึงในประเทศไทย สามารถพัฒนานวัตกรรมและแอปพลิเคชันได้อีกมากมาย ซึ่งพิสูจน์ได้จากตั้งแต่การเปิดตัว Llama รุ่นแรกเมื่อปีที่แล้ว มียอดดาวน์โหลดกว่า 300 ล้านครั้ง และมีโมเดลถูกพัฒนาต่อยอดมากว่า 20,000 โมเดล เราเชื่อว่า AI มีศักยภาพมากกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่อื่นๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ รวมถึงเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ช่วยปลดล็อกความก้าวหน้าสำหรับธุรกิจและชุมชนทั่วโลกและในประเทศไทย"
เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกของ Meta Llama ให้มากยิ่งขึ้น Meta ได้จัดแคมเปญและโครงการต่างๆ ทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ ซึ่งออกแบบมาเพื่อสนับสนุนนักพัฒนาและชุมชนผู้ใช้ Llama ประกอบด้วยโครงการให้ความรู้ด้าน AI สำหรับธุรกิจท้องถิ่น เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพและขยายธุรกิจ, เงินทุนสนับสนุนเพื่อสร้างประโยชน์สู่สังคม มูลค่าสูงสุด 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, การแข่งขันสำหรับนักพัฒนา Llama ในระดับประเทศและระดับภูมิภาค โดยผู้เข้าร่วมมีโอกาสชิงเงินทุนสนับสนุนพิเศษมูลค่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำโครงการที่ใช้ AI เพื่อสังคมไปสู่การใช้งานจริง
ความร่วมมือในประเทศไทยของ Meta: ผลักดันการท่องเที่ยวและการค้าข้ามพรมแดน
นอกเหนือจากการนำเสนอโซลูชัน AI ที่ล้ำสมัยแล้ว Meta ยังมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนวาระแห่งชาติของไทยเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจซอฟต์พาวเวอร์ (Economic Soft Power) ของประเทศ ด้วยเหตุนี้ Meta จึงได้จับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อเสริมพลังให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของการทำความเข้าใจเส้นทางความสนใจของผู้บริโภค นอกจากนี้ Meta ยังประกาศเปิดตัว "คู่มือการท่องเที่ยว" (Travel Playbook) ฉบับสมบูรณ์ ซึ่งจะมอบข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์ที่ธุรกิจการท่องเที่ยวสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถดาวน์โหลดคู่มือท่องเที่ยวได้จากช่องบรอดแคสสำหรับธุรกิจ “Meta Thailand for Business” ของเพจ Meta Thailand ที่ https://m.me/j/Abb33bI6aY9FYiBx/ หรือผ่านทางเพจพันธมิตรได้ที่นี่
นอกเหนือจากความร่วมมือในภาคการท่องเที่ยวแล้ว Meta ยังร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ของไทยในการปลดล็อกการค้าข้ามพรมแดนให้กับธุรกิจไทย ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการเจาะตลาดใหม่ๆ และสร้างการเติบโตได้มากกว่าการดำเนินธุรกิจเฉพาะในตลาดภายในประเทศถึงสองเท่า เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ Meta จะเปิดอบรมหลักสูตรการตลาดด้วย AI สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย เพื่อสอนแนวปฏิบัติเชิงกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตไปสู่ตลาดนอกประเทศ
ดร. ราฟาเอล เสริมว่า "ประเทศไทยเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเติบโตผ่านเทคโนโลยี ด้วยการมอบเครื่องมือและข้อมูลเชิงลึกด้าน AI ที่ล้ำสมัยให้กับธุรกิจไทย เราไม่เพียงแต่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกำลังสำคัญให้พวกเขาสามารถแบ่งปันวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์ในระดับโลกอีกด้วย"
หมดปัญหาเศษเหรียญล้นพอร์ต! กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Gulf Binance) ส่งฟีเจอร์ Small Convert มอบโอกาสให้นักลงทุนนำเศษสกุลเงินดิจิทัล (Crypto Dust) ที่เหลือจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในพอร์ตโฟลิโอ มาแปลงเป็นเหรียญ Binance Coin (BNB) เพื่อเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ พร้อมต่อยอดการลงทุน โดยนักลงทุนทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนเศษสกุลเงินดิจิทัลเป็นเหรียญ BNB บนแพลตฟอร์ม ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Binance TH by Gulf Binance) ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เศษสกุลเงินดิจิทัล (Crypto Dust) คืออะไร?
เศษสกุลเงินดิจิทัล หรือ Crypto Dust คือเศษเหรียญหรือโทเค็นจำนวนเล็กน้อยจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่หลงเหลืออยู่ในพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุน โดยเศษเหรียญดังกล่าวมีมูลค่าไม่มากพอที่จะนำไปต่อยอดเพื่อทำธุรกรรมอื่นๆ หรือถือครองเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุนได้
“ด้วยวิสัยทัศน์ของ กัลฟ์ ไบแนนซ์ ที่ต้องการเสริมประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างความคุ้มค่าในการลงทุน เราจึงได้พัฒนาฟีเจอร์ Small Convert เพื่อให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ได้ถือครองเหรียญ BNB ซึ่งเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุด ผ่านการแลกเปลี่ยนเศษสกุลเงินดิจิทัลที่ตกค้างสะสมอยู่ในพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งจะยิ่งเพิ่มโอกาสต่อยอดการลงทุนให้มากยิ่งขึ้น” นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าว
![]()
ทำความรู้จัก BNB หรือ Binance Coin
เหรียญ BNB หรือ Binance Coin เป็นโทเค็นที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยไบแนนซ์ (Binance) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเหรียญดังกล่าวเปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2017 บนเครือข่าย Ethereum ภายใต้มาตรฐาน ERC20 ที่ต่อมาภายหลังเหรียญ BNB ได้ถูกย้ายมาอยู่บนเครือข่าย Binance Chain ซึ่งเป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่พัฒนาขึ้นโดยไบแนนซ์ และถือเป็นหนึ่งในระบบนิเวศในโลกคริปโตเคอร์เรนซีและเทคโนโลยีบล็อกเชนที่กว้างขวางและหลากหลายที่สุด โดย Binance Chain ทำหน้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกและรองรับการทำธุรกรรมซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นเครือข่ายแบบกระจายอำนาจ ทำให้มีความปลอดภัยสูงและสามารถเชื่อถือได้
โดย ณ ปัจจุบัน เหรียญ BNB ถือเป็นเหรียญที่มีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับที่ 4 รองจาก Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), และ Tether (USDT) ด้วยจุดเด่นด้านการใช้งานมากมาย เช่น ส่วนลดค่าธรรมเนียมแก่ผู้ใช้งานเมื่อใช้เหรียญ BNB ทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance นอกจากนี้ ประวัติการเติบโตที่แข็งแกร่งของเหรียญ BNB ในอดีตยังทำให้เหรียญ BNB เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลที่เหมาะแก่การลงทุนในระยะยาวบนพอร์ตโฟลิโออีกด้วย
เปลี่ยนเศษสกุลเงินดิจิทัลสู่เหรียญ BNB ด้วยฟีเจอร์ Small Convert ใน 4 ขั้นตอน
ฟีเจอร์ Small Convert ถูกออกแบบมาเพื่อมอบโอกาสให้เหล่านักลงทุนนำเศษเหรียญที่เกิดจากการซื้อขายในพอร์ตโฟลิโอของตัวเองมาแลกเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าอย่างเหรียญ BNB โดยผู้ที่สนใจสามารถทำการแปลงเศษสกุลเงินดิจิทัลตามขั้นตอนง่ายๆ ได้ดังนี้
1. เข้าสู่ระบบและเลือกเมนูกระเป๋าเงินของฉัน (My Wallet) บนแพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance
2. เลือกโทเค็นสำหรับการแปลงเศษสกุลเงินดิจิทัล
3. ตรวจสอบรายละเอียดการแปลงเศษสกุลเงินดิจิทัล และคลิก “ยืนยัน” เพื่อดำเนินการทำธุรกรรมการแปลงสกุลเงินดิจิทัลให้เสร็จสมบูรณ์
4. ตรวจสอบประวัติการแปลงเศษสกุลเงินดิจิทัล สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ Binance TH by Gulf Binance X: Binance TH และ Facebook: Binance TH
ททท. ร่วมกับเคทีซีส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สนับสนุนโรงแรมและรีสอร์ตที่ผ่านมาตรฐานโครงการโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) กว่า 900 แห่งทั่วประเทศไทย ด้วยการออกแคมเปญกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวช่วงกรีนซีซั่น รวมถึงเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวรับรู้ถึงเป้าหมายของภาครัฐเรื่องการยกระดับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Tourism Goals (STGS) และเข้าร่วมใช้งานแพลตฟอร์ม CF-Hotels เพื่อจัดเก็บข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Tourism รองรับเทรนด์โลกที่นักท่องเที่ยวเลือกใช้บริการสถานประกอบการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผย ว่า ททท. ร่วมมือกับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางและใช้จ่ายในช่วงกรีน ซีซั่น รวมถึงส่งเสริมการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการที่พักที่ใส่ใจการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ททท. ในฐานะผู้นำด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวมีภารกิจโดยตรงในการส่งเสริมให้การท่องเที่ยวไทย มีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน มีความยินดีอย่างยิ่งที่เคทีซี ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชน มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และเห็นความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมจัดแคมเปญนี้ร่วมกัน ถือเป็นการนำเครื่องมือทางการตลาดมาใช้ในการขับเคลื่อนมิติด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมเดินทางท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ รวมถึงการใช้เวลาอย่างมีคุณค่ากับคนที่คุณรักอย่างทั่วถึง ตามสโลแกน “สุขทันที ที่เที่ยวไทย” ของ ททท.
นางสาวปริม ปัญญาเสรีพร ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซีได้กำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจนในเรื่องการผลักดันการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้สมาชิกได้ท่องเที่ยวอย่างมีความหมายและตระหนักถึงการใส่ใจสิ่งแวดล้อม จึงได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีเมื่อใช้จ่ายที่โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) กว่า 900 แห่ง ได้แก่ 1) รับส่วนลดสูงสุด 55% โดยไม่ต้องใช้คะแนน สำหรับค่าห้องพัก และค่าอาหาร-เครื่องดื่ม ที่โรงแรมและรีสอร์ตที่เข้าร่วมรายการ และ 2) แลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 13% ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม 2567 – 31 พฤษภาคม 2568 นอกจากนี้ เมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ครบทุก 1,000 บาท ณ โรงแรมที่ร่วมรายการ รับ 1 สิทธิ์ลุ้นรับบัตรกำนัลห้องพัก 10 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 128,000 บาท (จำกัด 10 สิทธิ์ ต่อท่าน ต่อวัน) ลงทะเบียนครั้งเดียวรับสิทธิ์ลุ้นตลอดรายการ ระหว่างวันที่

15 สิงหาคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/hotel-resort/domestic-hotel/greenhotels
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตาม โปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ประกาศวิสัยทัศน์ “AI for All Thais” ตอกย้ำความมุ่งมั่นเสริมศักยภาพให้กับทุกคนและทุกองค์กรในประเทศไทยด้วยพลังแห่ง Generative AI อันล้ำสมัย ผ่านกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ สร้างทักษะ เสริมขีดความสามารถ และสานต่อความมั่นคง ตอกย้ำพันธกิจของไมโครซอฟท์ในการร่วมพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อสร้างการเติบโตและชีวิตที่ดีให้กับคนไทยและประเทศไทย
12 เดือนที่ผ่านมา นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของไมโครซอฟท์ในประเทศไทย จากการมาเยือนของนายสัตยา นาเดลลา ที่ได้ประกาศพันธสัญญาเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตในยุค AI และคลาวด์ ผสานความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในโครงการใหม่ๆ เพื่อยกระดับประเทศไทย และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน Datacenter region เพื่อขยายการให้บริการคลาวด์จากไมโครซอฟท์ให้กว้างขวางและทั่วถึงยิ่งขึ้น มอบเสถียรภาพและสมรรถนะที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานระดับองค์กรมากยิ่งขึ้น ทั้งยังรองรับมาตรฐานของประเทศไทยด้านการจัดเก็บและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอย่างครบถ้วน
นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไมโครซอฟท์ เห็นโอกาสที่ AI และคลาวด์จะเข้ามายกระดับและสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับคนไทยและประเทศไทย ทั้งภาคการศึกษา
การท่องเที่ยว เกษตร อุตสาหกรรม เป็นต้น พันธกิจที่เราได้ประกาศออกไปเกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI และคลาวด์
ดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นกุญแจสำคัญที่เข้ามาสร้างโอกาสให้คนไทย บริษัทไทย และประเทศไทย ประสบความสำเร็จในเวทีโลก จึงเป็นที่มาของการประกาศวิสัยทัศน์ “AI for All Thais” ด้วยเจตนารมณ์ที่จะมอบพลังและศักยภาพของ AI ให้คนไทย ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ สร้างทักษะ AI เสริมขีดความสามารถให้เกิดการนำ AI ไปใช้ในวงกว้าง และสานต่อความมั่นคงเพื่อให้ทุกคนใช้งานได้อย่างมั่นใจ รวมทั้งส่งเสริมอีโคซิสเท็มของ AI ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้”
สร้างทักษะ
เพื่อตอกย้ำความตั้งใจในการพัฒนาทักษะด้าน AI ให้กับคนไทยอย่างยั่งยืน ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ ไมโครซอฟท์ เตรียมเปิดตัวโครงการ ‘AI National Skill Initiative’ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนทักษะ AI ที่จำเป็นให้กับคนไทย 1 ล้านคนภายในปีหน้า ผ่านหลากหลายหลักสูตรฝึกอบรมที่เป็นหลักสูตรภาษาไทยกว่า 80% ซึ่งออกแบบให้ครอบคลุมผู้ใช้งานทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ใช้งานทั่วไป ผู้บริหาร และนักพัฒนา เพื่อนำศักยภาพของ AI ไปประยุกต์ใช้เพิ่มความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน ตลอดจนการสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ด้วยฝีมือคนไทย
เสริมขีดความสามารถ
ไมโครซอฟท์ มุ่งมั่นเสริมศักยภาพให้กับคนไทยและองค์กรไทยได้รับประโยชน์จากขุมพลังอันไร้ขีดจำกัดของ AI เพื่อนำไปประยุกต์ใช้งานในวงกว้างทั้งระดับบุคคลและองค์กร โดยในระดับบุคคล ไมโครซอฟท์ พร้อมขับเคลื่อนการใช้งาน AI ให้กับผู้ใช้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น บุคคลทั่วไป นักเรียนนักศึกษา ครูอาจารย์ นักสร้างสรรค์คอนเทนต์ ข้าราชการ และอีกมากมาย โดยเปิดให้ผู้ใช้เข้าถึงเครื่องมือและประสิทธิภาพของเครื่องมือและบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI อันหลากหลาย เช่น Copilot บน Windows และ Edge, Microsoft Designer บนแอปพลิเคชันและผ่านเว็บ, Cocreator และ Paint บน Windows 11, ฟีเจอร์ Reading progress ใน Microsoft Teams และ Reading immersive ใน Microsoft Words, GitHub Copilot รวมถึง Copilot+ PC ยุคใหม่ของพีซีที่มอบสมรรถนะสูงสุดและคุณสมบัติการใช้งานที่ชาญฉลาดที่สุดบนแพลตฟอร์ม Windows
ในระดับองค์กร ไมโครซอฟท์ ขับเคลื่อนการนำศักยภาพของ AI ที่มีการพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดในระดับโลก จนกลายเป็นผู้ช่วยที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับการดำเนินงานให้กับองค์กรยุคใหม่ และช่วยรับมือความท้าทายต่างๆ ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นรวดเร็วและคาดเดาได้ยาก ด้วยนวัตกรรมโซลูชันที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และความคล่องตัว เพื่อให้ทุกภารกิจสำเร็จได้อย่างราบรื่น โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน และครอบคลุมในทุกอุตสาหกรรม
สานต่อความมั่นคง
ไมโครซอฟท์ เชื่อว่าความปลอดภัยคือประเด็นสำคัญอันดับหนึ่งที่ทุกผลิตภัณฑ์ ทุกบริการด้านเทคโนโลยีจะต้องมี เพราะผู้ใช้ต้องเกิดความไว้วางใจก่อน จึงจะสามารถได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนั้นๆ ซึ่งการทำงานด้านความปลอดภัยเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน โดยไมโครซอฟท์จะขยายความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศ เสริมทักษะด้านการใช้ AI เพื่อความปลอดภัยไซเบอร์ และแนวทางการใช้งาน AI อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และมีความรับผิดชอบ
ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย พร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนอนาคตดิจิทัลของประเทศไทย โดยส่งเสริมทักษะ AI และขยายการเข้าถึงเทคโนโลยี และสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัย เพื่อให้คนไทยได้รับประโยชน์จากศักยภาพ AI ที่พัฒนาไปอย่างก้าวล้ำในระดับโลก และสนับสนุนทุกคนและทุกองค์กรในประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ไปพร้อมกัน
กระแสความนิยมในแบรนด์ไทยสำหรับตลาดต่างประเทศกำลังไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดภายใต้โครงการบ่มเพาะแบรนด์ไทยรุ่นที่ 7 หรือ IDEA LAB 7 ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ DITP ได้จัดขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย ในด้านการสร้างคุณค่าของแบรนด์สินค้าให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และสร้างโอกาสทางการค้าผ่านช่องทางออนไลน์กับตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ โดยได้จัดกิจกรรม Online Business Matching เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิต/ผู้ประกอบการแบรนด์ไทยได้นำเสนอสินค้าแก่ผู้นำเข้า จากกิจกรรมนี้มีแบรนด์กลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์และกลุ่มสินค้าอาหารที่ได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าประเทศอินเดียและจีนอยู่ไม่น้อย สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการไทยที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดต่างประเทศได้เป็นอย่างดี
เหตุผลหลักๆ ที่แบรนด์ไทยถูกใจตลาดนานาชาติ
หนีไม่พ้นเรื่องของ ความคิดสร้างสรรค์และความมีเอกลักษณ์ เช่น การผสมผสานวัฒนธรรมไทยกับสากล ทำให้สินค้ามีความน่าสนใจและแตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่ในตลาด คุณภาพและความพิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียด รสชาติแบบต้นตำรับ รูปแบบที่ทันสมัย สะดวกต่อการใช้งาน ตลอดจนเรื่องราวและคุณค่าของแบรนด์ที่เชื่อมโยงกัน สร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค รวมถึงการยึดมั่นในแนวทางของความยั่งยืนที่ปัจจุบันเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคในตลาดโลก
ติดตาม 5 สินค้าไลฟ์สไตล์ ที่ได้รับความสนใจ
![]()
103 Paper Shop ภายใต้คอนเซปต์ "A Next Life" ได้มอบชีวิตใหม่ให้กับกระดาษรีไซเคิลที่นำมาผสานเข้ากับวัสดุให้สีธรรมชาติต่างๆ อาทิ กากกาแฟ ใบชา และเกสรดอกไม้ กลายเป็นผลงานประติมากรรมแฮนด์เมดที่ถูกรังสรรค์แบบชิ้นต่อชิ้นจนเกิดเป็นสินค้าตกแต่งบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย การสร้างร่องรอยที่เกิดการซ้อนทับทำให้มีลักษณะคล้ายกับหินและสายแร่ธรรมชาติ เชื่อมต่อการอยู่อย่างเข้าใจและเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ แนวทางการออกแบบนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าของวัสดุที่ใช้ อีกทั้งยังตอกย้ำถึงพลังของสิ่งแวดล้อมที่เป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบต่างๆ อย่างยั่งยืน
![]()
KAAZRA หรือเดิมในชื่อ KARA แบรนด์เครื่องประดับจาก Yufa Jewelry ที่ถ่ายทอดพันธกิจในรุ่นแม่ที่ต้องการปกป้องและเปลี่ยนโลก สู่ภารกิจการอยู่คู่กับโลกให้ได้อย่างยั่งยืนในรุ่นลูก ใช้ความถนัดในการเป็นผู้ผลิตเครื่องประดับเงินมาสร้างสรรค์เครื่องประดับจาก Electronics Waste สร้างวงจรชีวิตใหม่ให้กับวัสดุเหลือใช้จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นเครื่องประดับที่มีมูลค่า เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์นั้นทำลายยาก ควรนำเข้าสู่กระบวนการที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นการนำกลับมาสร้างสรรค์ใหม่เช่นนี้จึงเป็นการช่วยลดภาระให้โลก ทั้งยังมีโอกาสสร้างเครือข่ายของอีโคซิสเต็ม (Ecosystem) ธุรกิจต่อไปได้ในอนาคต
![]()
Bioplustiq (ไบโอพลัสทีค)
หรือที่เคยได้ยินกันในชื่อ Hempology แบรนด์สินค้าพลาสติกชีวภาพที่ แตกไลน์จากผู้ผลิตเก้าอี้พลาสติกชื่อดังแบรนด์ "สหชัย" ที่ใช้กันทั่วประเทศ โดยมีแกนกัญชงเป็นตัวชูโรง หลังจากที่ เส้นใยถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมแฟชั่นแล้ว แกนที่เหลืออยู่นั้นกลายเป็นวัสดุที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าพลาสติก ซึ่งเน้นการใส่ความคิดสร้างสรรค์และสร้างเอกลักษณ์ (Unique) ให้กับสินค้า นอกจากนี้ยังมีวัสดุธรรมชาติอื่นๆ ที่นำมาใช้ผลิตเพื่อให้เกิด BCG Model เช่น แกลบ ฟางข้าว และเศษไม้ที่เหลือใช้จากการผลิตเฟอร์นิเจอร์ต ซึ่งเป้าหมายสำคัญของแบรนด์คือการพัฒนาสินค้าพลาสติกชีวิภาพสู่ตลาดโลกและได้รับการยอมรับในฐานะสินค้าคุณภาพดี
![]()
THE KEYHOLE BANGKOK
แบรนด์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่หยิบยกเรื่องราวประวัติศาสตร์ในทั่วทุกมุมโลก ความเชื่อจากหลากหลายวัฒนธรรม มาผสมผสานผ่านการตีความและถ่ายทอดออกมาในรูปแบบงานศิลปะ ผนวกเข้ากับดีไซน์และเทคนิคพิเศษที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ภายใต้คอนเซปต์ "The House of Extraordinary Pieces" เปรียบเสมือนบ้านที่รวบรวมสิ่งของที่มีความเป็นเอกลักษณ์และทรงคุณค่า ด้วยแนวความคิดที่จะสร้างความสุขในทุกช่วงเวลา จึงออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความพิเศษ เหมาะกับการใช้งานในทุกมื้ออาหาร เพราะช่วงเวลาที่ได้รวมตัวกันรับประทานอาหารคือหนึ่งในนิยามแห่งความสุข เต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นและมีค่า
![]()
PORANA
แบรนด์เครื่องประดับที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของการออกแบบ ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพอย่างเพชรและอัญมณี ไปจนถึงการเลือกโลหะที่ทนทานต่อการใช้งาน มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์เครื่องประดับคุณภาพสูงที่สามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส ในราคาที่เข้าถึงได้ และมีดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยและสากล ที่สำคัญคือผู้ออกแบบยังได้ใช้เทคนิคทางวิศวกรและมีความเชี่ยวชาญทางสถาปนิก ทำให้การออกแบบชิ้นงานแต่ละชิ้นมีความประณีต แม่นยำ คงทน
![]()
ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งต่อรสชาติไทยอันเป็นเอกลักษณ์ ผลิตจากวัตถุดิบคุณภาพ และง่ายต่อการรับประทานนั้นก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน อาทิ KOONGTUNG SEAFOOD (กุ้งถังซีฟู้ด) น้ำจิ้มซีฟู้ดสำเร็จรูปพร้อมปรุง เพียงแค่ฉีกซอง ต้ม และผสม ก็สามารถเพลิดเพลินกับรสชาติอาหารทะเล ด้วยส่วนผสมของเครื่องเทศถึง 15 ชนิดและเก็บได้นานถึง 1 ปี MEK OORT (เมฆออร์ต) แบรนด์เครื่องดื่มคอมบูชาจากฟาร์มเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเกิดจากความตั้งใจสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัว โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติและกระบวนการผลิตที่ใส่ใจในทุกขั้นตอน KIMIN CURRY (คิมิน เคอรี่) เครื่องแกงไทยสำเร็จรูปพร้อมปรุงในรูปแบบฟรีซดราย ที่คงรสชาติความอร่อยแบบต้นตำรับไว้ได้อย่างครบถ้วน สะดวกในการใช้งานและเก็บรักษา อีกหนึ่งทางเลือกของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน
นี่คือสิ่งที่พิสูจน์อย่างชัดเจนถึงความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของแบรนด์ไทยที่ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังสามารถก้าวข้ามพรมแดนไปสร้างความประทับใจให้กับตลาดโลกได้อย่างน่าชื่นชม และยังมีแบรนด์ไทยอีก 20 แบรนด์ที่ให้ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาแบรนด์สู่ตลาดต่างประเทศ
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ (ที่2 ซ้าย) รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมด้วยนายคมกฤช เกียรติดุริยกุล (ที่2 ขวา) กรรมการและที่ปรึกษากฎหมาย ด้านการเงินการธนาคาร การวางแผนธุรกิจครอบครัวและตลาดทุน บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด ให้ความร่วมมือกับ SCB WEALTH ในการเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายและภาษีอากร ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพย์สินและมรดกของครอบครัว การจัดตั้ง Holding Company การจัดทำธรรมนูญครอบครัว และการจัดโครงสร้างธุรกิจครอบครัว ให้กับกลุ่มลูกค้า WEALTH ของธนาคาร เพื่อให้การจัดการทรัพย์สินมรดกสามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีนายศรชัย สุเนต์ตา (ที่ 1 ซ้าย) , CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ และนางสาวเบญจ สุพรรณกุล (ที่1 ขวา) กรรมการและที่ปรึกษากฎหมาย ด้านการเงินการธนาคาร การวางแผนธุรกิจครอบครัวและตลาดทุน บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด ร่วมงานด้วย ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆนี้
ทั้งนี้ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด เป็นสำนักงานกฎหมายระหว่างประเทศชั้นนำดำเนินงานในประเทศไทยมานานกว่า 40 ปี มีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายที่มีความซับซ้อนที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และด้วยประสบการณ์ที่ยาวนาน ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าในภาคธุรกิจต่างๆ ในการเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายเพื่อช่วยให้การดำเนินธุรกิจของลูกค้าสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง ธนาคารเห็นว่าเป็นบริษัทที่มี
ศักยภาพ มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญสูง จากฐานลูกค้าที่มีความหลากหลายในทุกภาคธุรกิจจากทั่วโลก โดยเฉพาะกฎหมายและภาษีอากร ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพย์สินและมรดกของครอบครัว การจัดตั้ง Holding Company การจัดทำธรรมนูญครอบครัว และการจัดโครงสร้างธุรกิจครอบครัว ที่สามารถตอบทุกโจทย์ตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคารได้เป็นอย่างดี