

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่ 2.6% แม้ตัวเลขในไตรมาส 2/2567 ออกมาสูงกว่าที่คาดไว้อยู่ที่ 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือ 0.8% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าปรับฤดูกาล (QoQsa) ตามการเร่งเบิกจ่ายรายจ่ายภาครัฐ ตลอดจนการส่งออกสินค้าและบริการ (ท่องเที่ยว) ส่งผลให้จีดีพีครึ่งแรกของปี 2567 ขยายตัว 1.9% โดย ttb analytics ประเมินเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก (1) การบริโภคภาคเอกชนตามแรงส่งของการท่องเที่ยวและภาคบริการ โดยประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านคน หรือขยายตัวจากปีก่อนถึง 24.6% หลังนักท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียนและยุโรปที่เข้ามาเพิ่มขึ้นจนกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2562 ขณะที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาใกล้เคียงกับปกติมากขึ้น และ (2) การเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ ในช่วงท้ายของปีงบประมาณ (กรกฎาคม-กันยายน) รวมถึงผลของฐานต่ำจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 แต่คาดว่าอัตราการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม ณ สิ้นปีงบประมาณปี 2567 จะยังต่ำกว่าสิ้นปีงบประมาณปี 2566
อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวจำกัด ตามยอดจดทะเบียนรถบรรทุกเชิงพาณิชย์และยอดขายเครื่องจักรที่ชะลอตัวลงในหลายภาคส่วน สอดคล้องกับการลดลงอย่างมากของอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ในภาคอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับมูลค่าการส่งออกสินค้าปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 1.7% ลดลงจากประมาณการเดิม 2.0% (ฐานศุลกากรในรูปของดอลลาร์สหรัฐ) แม้การฟื้นตัวของวัฎจักรการผลิตในหลายกลุ่มสินค้าจะมีทิศทางดีขึ้นตามปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventory) ที่ทยอยปรับลดลง แต่ด้วย อุปสงค์จากต่างประเทศที่ส่งสัญญาณชะลอตัว รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการผลิตไทยค่อนข้างจำกัด จากปัญหาเชิงโครงสร้างเรื้อรัง สถานการณ์สินค้านำเข้าจากจีนที่รุนแรงขึ้น ตลอดจนประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย
สำหรับเสถียรภาพด้านนโยบายทางการเงินของไทย ttb analytics ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทั้งปีจะอยู่ที่ 0.8% และ 0.5% ตามลำดับ ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและมาตรการพยุงเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่มุมมองต่อเศรษฐกิจที่จะขยายตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.5% ตลอดทั้งปี 2567 เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) แต่มีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ย 0.25% หากมีปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้ออย่างมีนัย ส่วนการคาดการณ์การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประเมินว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% สู่ระดับ 4.50-4.75% ณ สิ้นปี 2567 สะท้อนช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และ
ไทยจะแคบลงที่ประมาณ 2.25% (ขอบบน) เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ที่ระดับ 3% ซึ่งมีส่วนให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนสูงในระยะสั้น ก่อนจะทยอยแข็งค่าขึ้นในกรอบ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2567
![]()
จากปัจจัยข้างต้น ttb analytics มองว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับตลอดทั้งปี 2567 แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำในปีก่อนตามตัวเลขการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังโควิด-19 และความล่าช้าในการเบิกจ่ายภาครัฐในปีงบประมาณ 2567 แต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังเปราะบางสูง จากโมเมนตัมการขยายตัวทางเศรษฐกิจรายไตรมาสที่เห็นสัญญาณแผ่วลงต่อเนื่อง รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังรั้งท้ายประเทศใกล้เคียงในภูมิภาค ขณะเดียวกันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจะเผชิญ “4 ข้อจำกัด” ที่รุนแรงและชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
1) การบริโภคมีข้อจำกัดจากหนี้ครัวเรือนสูง โดยตัวเลขการบริโภคในประเทศในระยะต่อไปจะกลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้นตามทิศทางของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือนระดับฐานรากยังค่อนข้างต่ำ และมีอุปสรรคในการก่อหนี้ใหม่จากหนี้ครัวเรือนสูงเรื้อรังและคุณภาพหนี้โดยรวมย่ำแย่ลง ทำให้หนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันที่สูงเกินระดับเหมาะสมที่เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ จะยิ่งส่งผลกระทบย้อนกลับมากดดันกำลังซื้อของครัวเรือนชัดเจนขึ้น
2) ท่องเที่ยวมีข้อจำกัดจากด้านอุปสงค์และอุปทาน เนื่องจากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติปัจจุบันกำลังเข้าใกล้เพดานสูงสุดที่ไทยเคยรับได้เกือบ 40 ล้านคน สามารถสร้างรายได้สูงถึง 2 ล้านล้านบาท ทำให้ภาคท่องเที่ยวจะมีข้อจำกัดในการเติบโตมากขึ้นในระยะต่อไป จากการเพิ่มขึ้นของ “จำนวน” นักท่องเที่ยว
ต่างชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศของแต่ละสายการบิน ในทางกลับกัน การเพิ่มขึ้นในมิติของ “คุณภาพ” ซึ่งสะท้อนผ่านรายจ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยไทยยังขาดการสร้างแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 25% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ทำให้ระดับการฟื้นตัวของรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปี 2566 ยังต่ำกว่าหลายประเทศในเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่นและสิงคโปร์
3) ส่งออกมีข้อจำกัดจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิต จากส่วนแบ่งมูลค่าส่งออกไทยในตลาดโลกที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยตลอด 30 ปีที่ผ่านมา จากประมาณ 1% ในปี 2536 เป็น 1.3% ในปี 2566 สวนทางกับเวียดนามที่เพิ่มขึ้นเกือบ 15 เท่า จาก 0.1% เป็น 1.5% และทำให้มูลค่าการส่งออกของเวียดนามแซงหน้าไทยไปแล้วตั้งแต่ปี 2562 ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ผลิตไทยส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นเพียง “ผู้รับจ้างผลิตและประกอบ” กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำและมีโอกาสถูกทดแทนได้ง่าย ส่งผลให้มูลค่าส่งออกของไทยมีทิศทางลดลงทั้งในมิติของราคาต่อหน่วยและปริมาณการส่งออก ขณะเดียวกัน ปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคอุตสาหกรรมของไทยที่ทวีความรุนแรงขึ้นในระยะหลัง ก็ยิ่งทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันยากขึ้น
4) เสถียรภาพเศรษฐกิจมีข้อจำกัดในหลายมิติ จากข้อมูล 6 เดือนแรกของปี 2567 ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสะสมเพียง 5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับที่ผ่านมาที่เคยเกินดุลประมาณ 3-4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่ง ttb analytics มองว่าไทยอาจไม่สามารถกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัดได้เหมือนในอดีต จากแนวโน้มเกินดุลการค้าลดลงตามการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนมากขึ้น อีกทั้งไทยยังเป็นประเทศที่นำเข้าพลังงานสูงถึงเกือบ 18% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด นอกจากนี้ เสถียรภาพด้านการคลังในระยะหลังเปราะบางขึ้น จากการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นและข้อจำกัดจากเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ประกอบกับความกังวลต่อเสถียรภาพด้านการเมืองที่อาจยึดโยงไปสู่การบริหารจัดการและการดำเนินนโยบายการคลังให้สอดคล้องกับบริบทของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ค่าเงินบาทในระยะข้างหน้าอาจไม่สามารถกลับมาแข็งค่าได้รวดเร็วเหมือนในอดีต
บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าระดับสากล เผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี 2567 เป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,659 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 4,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 995 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน* พร้อมเริ่มต้นธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ ด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ponder Solar มีกำหนดเริ่มดำเนินการเดือนสิงหาคมนี้ ทั้งยังลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ Gemeng International Energy เพื่อขยายการเติบโตของพลังงานสะอาดในจีน
![]()
นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “โรงไฟฟ้าของ BPP สามารถรักษาเสถียรภาพการผลิตและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนการผลิต จึงสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคง ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่การเป็นบริษัทผู้ผลิตพลังงานที่ยั่งยืน ผ่านการขยายพอร์ตให้ครอบคลุมมากไปกว่าการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า ตามแนวทาง ‘Beyond Megawatts Portfolio’ ทั้งการขยายกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน (Energy Infrastructure) และการพัฒนาธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน (Battery & Energy Storage System: BESS)”
ภาพรวมครึ่งปีแรก BPP มีผลการดำเนินงานที่ดี ส่วนสำคัญเกิดจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นของโรงไฟฟ้าแฝด Temple l และ Temple ll ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงการรับรู้รายได้จากการเดินเครื่องที่มีประสิทธิภาพและมีค่าความพร้อมจ่ายไฟ (Equivalent Availability Factor: EAF) ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องของโรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ใน สปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย อีกทั้งโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในจีนยังรายงานผลการดำเนินงานที่ดีจากการบริหารต้นทุนเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ
*หมายเหตุ: เทียบกับ EBITDA ที่ไม่รวมกำไรจากการวัดมูลค่าเงินลงทุนใหม่ในปี 2566
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในประเทศยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ได้ติดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ponder Solar ขนาด 2.5 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่แหล่งก๊าซธรรมชาติ บาร์เนตต์ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา มีกำหนดเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคม 2567 นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของ BPP ในสหรัฐฯ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ BPP ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ Gemeng International Energy ในการร่วมพัฒนาธุรกิจพลังงานในรูปแบบใหม่ ธุรกิจระบบจัดเก็บพลังงาน และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เพื่อขยายโอกาสการเติบโตของธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในประเทศจีน
![]()
ด้านธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานซึ่ง BPP ได้ลงทุนผ่านบ้านปู เน็กซ์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 มีความคืบหน้าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ได้ลงนามสัญญาเพื่อผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับพันธมิตรในประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 100 เมกะวัตต์ ธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน เริ่มสายการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของโรงงาน SVOLT Thailand และส่งมอบแบตเตอรี่ลิเธียมนิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ (NMC) ชุดแรกให้กับผู้ให้บริการรถบัสรายใหญ่ที่สุดในไทย ขณะที่โครงการแบตเตอรี่ฟาร์มอิวาเตะ โตโนะ (Iwate Tono) ในญี่ปุ่น มีความคืบหน้าในการก่อสร้างถึง 97% ธุรกิจอีโมบิลิตี้ รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi เดินหน้าขยายเส้นทางการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันได้ให้บริการรับส่งแล้วมากกว่า 13 ล้านเที่ยว ธุรกิจการบริหารจัดการพลังงาน ได้ลงนามในสัญญาบริการจำนวน 25 สัญญาให้แก่ SB Design Square ในจังหวัดภูเก็ต และ SB Design Square CDC ในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ หน่วยงาน Corporate Venture Capital ยังได้ลงทุนใน enspired ผู้นำในการพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการซื้อ-ขายพลังงานไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยี AI ที่จะยกระดับการดำเนินงานในธุรกิจแบตเตอรี่และการซื้อขายพลังงานของบ้านปู เน็กซ์
“BPP จะยังคงเดินหน้าขยายกำลังผลิตไฟฟ้าคุณภาพจากโรงไฟฟ้าที่มีก๊าซธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงในการผลิตและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ตอบสนองต่อความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นและรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต สะท้อนให้เห็นว่า เราคือพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ESG ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ ที่มุ่งส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม” นายอิศรา กล่าวปิดท้าย
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ BPP ได้ที่ www.banpupower.com
Artificial Intelligence (AI) กำลังพลิกโฉมในทุกแวดวง แม้กระทั่งวงการสาธารณสุข เมื่อเร็ว ๆ นี้ หนึ่งในกลุ่มธุรกิจผู้ให้บริการทางการแพทย์ (Healthcare Provider) ดำเนินกิจการที่ประกอบด้วยเครือโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เปิดเผยถึงการลงทุนพัฒนาด้านเทคโนโลยี AI และ ML ร่วมกับสตาร์ทอัพเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการในทุกมิติ ในขณะเดียวกัน เล็งเห็นว่าการจะใช้งานนวัตกรรมเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ ก็จำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนา User Adoption ทั้งกับบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน และผู้รับบริการ
OPEN-TEC ศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Tech Knowledge Sharing Platform) ภายใต้การดูแลของ TCC TECHNOLOGY GROUP ขอนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์บางส่วนจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มาร่วมอภิปรายในหัวข้อ AI-Driven Innovation for Longevity ในงาน TMA Digital Dialogue 2024 ที่บอกเล่าศักยภาพของเทคโนโลยี AI เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการแพทย์ การปรับตัวของบุคลากรและผู้ใช้งาน ทั้งในแง่ทักษะการใช้งาน, Mindset (วิธีคิด) และโครงสร้างของระบบ ว่าจะมีบทบาทและสนับสนุนความสำเร็จของกลุ่มธุรกิจในอนาคตได้อย่างไร
ศักยภาพของ AI เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการแพทย์
ผู้บริหารฝ่ายนวัตกรรมองค์กรยั่งยืนจากองค์กรผู้ให้บริการทางการแพทย์ กล่าวว่าในธุรกิจมีการใช้งาน AI ร่วมกับ IoT กลุ่มเครื่องมือแพทย์ที่สนับสนุนการรักษามานานกว่า 20 ปี ทั้งในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการรักษา การวิจัย และฝึกอบรมบุคลากร (Simulation / Scenario Training) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก ทำให้เกิดปัจจัยที่ช่วยการเห็นภาพ (Visibility) ที่ชัดเจนมากขึ้นเพื่อประกอบการตัดสินใจ เพิ่มความแม่นยำ และลดระยะเวลาในการวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งในระยะหลัง AI ได้ถูกนำมาใช้เพื่อรับมือกับความซับซ้อนของข้อมูลทางด้านพันธุกรรม โดยช่วยอ่านค่าผลทดสอบจากห้องปฏิบัติการ นำมาสู่ “แผนการรักษาและการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล” (Personalized Medicine) ซึ่งช่วยส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น นอกเหนือจากการวิเคราะห์จากข้อมูลที่ติดตัวแต่กำเนิด ข้อมูลเชิงพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของบุคคลนั้น ๆ เป็นองค์ประกอบ
ความท้าทายและขอบเขตการมีส่วนร่วมของ AI
ผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรผู้พัฒนาเทคโนโลยีให้ข้อมูลว่า AI ทางการแพทย์นั้น มีการพัฒนาและใช้งานมาหลายสิบปีแล้วในรูปแบบของ Machine Learning ตัวอย่างหนึ่งของเครื่องมือที่พัฒนาขึ้น ได้แก่ Healthcare API ที่ใช้ในการตรวจเบาหวานขึ้นจอประสาทตา สามารถอ่านผลเอ็กซเรย์เพื่อบ่งชี้ระดับอาการของโรคเพื่อวางแผนการรักษา ซึ่งมีการนำมาทดสอบและใช้งานแล้วกับผู้ป่วยหลายหมื่นรายในประเทศไทย สำหรับการพัฒนาในรูปแบบ Generative AI จะอยู่บนพื้นฐานของการนำข้อมูลจำนวนมากมาใช้งานบน Large Language Models (LLMs) เพื่อให้ส่งคำตอบที่เป็นคำอธิบาย หรือสรุปใจความจากเอกสารมากมายที่ป้อนข้อมูลให้ มากกว่าตอบเพียงว่าใช่หรือไม่ ตัวอย่างเช่น รายงานของแพทย์
แน่นอนว่าความสามารถในระดับที่สร้างปรากฏการณ์นี้ ย่อมมีความท้าทายในหลาย ๆ ด้านตามมา เช่น ความรับผิดชอบต่อข้อมูลส่วนบุคคล การด่วนสรุปและตัดสินใจด้วยข้อมูลจาก AI โดยขาดวิจารณญาณและการประเมินอย่างละเอียดถี่ถ้วนรอบด้าน รวมถึงความเสี่ยงจากการใช้งานในทางที่ผิดจริยธรรม ฯลฯ ความท้าทายเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้พัฒนาเทคโนโลยีและผู้ใช้งานจะต้องให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อหลักธรรมาภิบาลเพื่อป้องกันผลกระทบในภาพรวม
ในแง่ขอบเขตการมีส่วนร่วม เมื่อมีการนำ AI ไปใช้งาน การตระหนักรู้ว่า AI จะเข้ามามีบทบาท “เป็นส่วนหนึ่งกับมนุษย์และอาชีพต่าง ๆ” ไม่ว่าแพทย์ บุคลากรด้านสาธารณสุข หรืออาชีพใด ๆ เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง โดยอาศัยการปรับมุมมองและวิธีคิดว่า AI จะไม่ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์หรืออาชีพไหน แต่จะเข้ามาสนับสนุน และส่งเสริมความสามารถในการทำงานและการใช้ชีวิต (AI / Human-in-the-loop)
ส่งเสริมการเรียนรู้ เพิ่มทักษะให้ผู้ใช้งาน
ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการสอนและการเรียนรู้จากสถาบันอุดมศึกษา ให้มุมมองของ AI ต่อการเป็นแหล่งผลิตบุคลากรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญเข้าสู่ตลาดแรงงานว่า นอกเหนือจากการที่ผู้เรียนจะต้องเพิ่มทักษะการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์อย่างถูกวิธีแล้ว วิธีคิด (Mindset) ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การใช้ AI นั้นเกิดคุณประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อองค์กร อนาคตหลาย ๆ องค์กรอาจจะไม่ได้เสาะหาคนเก่งในเชิงวิชาการแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะหาคนที่ใช้ AI ได้เก่งและชำนาญด้วย เพราะจะนำมาซึ่งผลิตภาพ (Productivity) ทั้งในแง่มูลค่า ปริมาณ และเวลาที่มีประสิทธิภาพขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทักษะทางด้าน “Prompt Engineering” จะกลายเป็นทักษะที่สำคัญมาก เพื่อให้ชุดคำสั่งที่ป้อนเข้าสู่เครื่องมือ AI มีความชัดเจนตามโจทย์และวัตถุประสงค์ นำมาซึ่งคำตอบที่ต้องการครบถ้วน ได้คุณภาพ
ในแง่สถาบันการศึกษาเองก็จำเป็นต้องเร่งปรับตัว ปรับโครงสร้างหลักสูตรทางวิชาการที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมของบุคลากรให้เหมาะสมและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี ตัวอย่างหนึ่งของสถาบันพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ คือ การนำ AI มาใช้ฝึกอบรมเพื่อเป็นผู้ช่วยสำหรับหัวข้อ เนื้อหาวิชาขั้นพื้นฐาน หรือกิจกรรมที่ต้องทำเป็นประจำ (Routine Task) เพื่อเพิ่มเวลาให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์กับเคสผู้ป่วยจริงมากขึ้น ยกระดับทักษะและการเรียนรู้โดยใช้เวลาที่สั้นลง
ใช้งาน AI อย่างไร ให้เกิดความยั่งยืน
หนึ่งในปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จในการใช้งาน AI ในองค์กร ผ่านมุมมองของผู้บริหารฝ่ายนวัตกรรมองค์กรยั่งยืน คือ การมีส่วนร่วมและความไว้วางใจในเครื่องมือ AI ของเหล่าแพทย์และบุคลากร ซึ่งจะได้รับสิทธิในการทดสอบและประเมินว่าเครื่องมือ AI ประเภทไหนจากผู้พัฒนารายใดมีความเหมาะสม สามารถสนับสนุนการทำงานได้ตรงจุด และราบรื่นสอดรับกับขั้นตอนการปฏิบัติงาน
ผู้พัฒนานวัตกรรมหลากหลายที่ได้รับโอกาสให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนา AI เพื่อธุรกิจที่มีแนวโน้มความต้องการใช้งานสูงขึ้นเรื่อย ๆ (Market Pull) ส่วนใหญ่จะเป็นสตาร์ทอัพระดับประเทศ ยังไม่มีผลงานมากนักในระดับสากล แต่มีจุดเด่น คือ ความเป็นผู้ประกอบการที่มีไอเดีย มีมุมมองที่แตกต่าง มีทีมนักพัฒนาที่มีความสามารถ และแพสชั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อต่อยอดธุรกิจ (Technology Push) ซึ่งเป็นส่วนที่ทดแทนกันได้ มีศักยภาพที่เอื้อประโยชน์ต่อการสร้าง Ecosystem ที่ยั่งยืนในระยะยาว
ภาพรวมของเทคโนโลยี AI นั้นมีศักยภาพสูงในการสนับสนุนอุตสาหกรรมการแพทย์ทั้งในแง่การวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก เพื่อช่วยให้การวินิจฉัยและการรักษามีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้งานในทางที่เหมาะสมและยั่งยืนยังคงต้องอาศัยการพัฒนาทักษะและการปรับเปลี่ยนวิธีคิดของบุคลากรทั้งผู้พัฒนาและผู้ใช้งานเป็นสำคัญ ตลอดจนมีการปรับตัวของสถาบันการศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยีที่รวดเร็ว โดยให้ความสำคัญกับหลักธรรมาภิบาลเพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบ ท้ายที่สุดแล้ว การสร้าง Ecosystem ที่เอื้อต่อการเติบโตของนวัตกรรมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายนั้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำพาสู่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ได้อย่างยั่งยืน
ในชั้นเรียนภาษาอังกฤษปัจจุบัน โอกาสที่นักเรียนจะได้สื่อสารกับครูผู้สอนเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนนั้นมีค่อนข้างจำกัด หากนักเรียนมีโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็น สื่อสารกับครูได้โดยตรง ถึงสิ่งที่นักเรียนสนใจ ความต้องการของนักเรียน รวมถึงปัญหาอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอนของครูซึ่งอาจมีส่วนทำให้นักเรียนไม่สามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสียงสะท้อนและความคิดเห็นของนักเรียนนั้นจะเป็นส่วนสำคัญที่สามารถช่วยให้ครูได้กลับมาคิดไตร่ตรองถึงวิธีการสอนของตนเอง ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาการสอนของครูในชั้นเรียนได้อย่างมากและช่วยแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้ตรงจุด โดยการให้นักเรียนมามีส่วนร่วมในการพัฒนาการสอนของครูนั้น ถือเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการการทำวิจัยในชั้นเรียน
ในปี 2565 บริติช เคานซิล ประเทศไทย ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาทักษะการทำวิจัยในชั้นเรียน หรือ โครงการ Exploratory Action Research (EAR) ด้วยการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สำนักงานฝ่ายโปรแกรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษประจำภูมิภาค (Regional English Language Office: RELO) สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และสมาคมครูผู้สอนภาษาอังกฤษแห่งประเทศไทย (Thailand TESOL) โดยโครงการนี้จะเน้นให้ความรู้ทักษะการทำวิจัยในชั้นเรียน และให้ครูลงมือทำวิจัยในชั้นเรียนจริงเป็นระยะเวลา 5 – 6 เดือน ควบคู่ไปกับการได้รับความช่วยเหลือแบบตัวต่อตัวจากครูพี่เลี้ยง (Mentor) ผู้มีประสบการณ์ด้าน EAR จากหลากหลายประเทศ ซึ่งจะทำให้ครูที่เข้าร่วมสามารถพัฒนาด้านการสื่อสารงานวิจัยในชั้นเรียนของตนในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยในชั้นเรียนทั้งในระดับประเทศ และระดับนานาชาติ

มร.แดนนี่ ไวท์เฮด ผู้อำนวยการ บริติช เคานซิล ประเทศไทย กล่าวว่า “ทักษะภาษาอังกฤษถือเป็นตัวแปรที่สำคัญสำหรับการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่หน้าที่การงานที่ดีขึ้น การศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต เรามีความภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับคุณครู กระทรวงฯ และหน่วยงานที่สนับสนุนการศึกษาในประเทศไทยเพื่อพัฒนาการเรียน การสอน และการวัดระดับทักษะภาษาอังกฤษอย่างทั่วภูมิภาคของประเทศ ซึ่งจะช่วยให้เยาวชนไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย และความฝันของพวกเขา”
โครงการวิจัยในชั้นเรียนจะทำให้ครูได้พิจารณาถึงวิธีการสอนของตนเอง และคิดค้นวิธีที่จะสามารถพัฒนาการสอนภาษาอังกฤษเพื่อช่วยเหลือให้นักเรียนสามารถบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งกระบวนดังกล่าวจะไม่ใช่การทำวิจัยเชิงวิชาการ แต่จะเป็นการลงมือปฏิบัติจริงโดยการลงมือทำวิจัยกับนักเรียนในชั้นเรียนของตนเอง ส่งเสริมให้ครูได้ฝึกกระบวนการสะท้อนความคิด (Reflective Thinking) รวมถึงการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และยังช่วยให้ครูมีทัศนคติที่ดีในการตั้งคำถามถึงการสอนของตัวเองว่า วิธีการใดที่ใช้ได้ผลหรือไม่ได้ผลในห้องเรียนและเพราะสาเหตุที่ทำให้วิธีการนั้นได้ผลหรือไม่ได้ผลคืออะไร ซึ่งล้วนเป็นกระบวนการหาคำตอบผ่านการศึกษาอย่างเป็นระบบ เพื่อสรุปข้อค้นพบ (Findings) จัดทำแผนการสอนเพื่อแก้ไขปัญหาจากข้อค้นพบ นำแผนการสอนไปใช้สอนในห้องเรียน และนำผลมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงการสอนในจุดที่ยังเป็นปัญหาต่อไป ในขณะเดียวกันการรับฟังความเห็นจากนักเรียนยังทำให้ครูได้พัฒนาความสัมพันธ์กับที่ดีนักเรียน ทำให้ครูเข้าใจความต้องการและความสนใจของนักเรียนได้ดียิ่งขึ้น นักเรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียนมากขึ้น บรรยากาศห้องเรียนภาษาอังกฤษดีขึ้น การวางแผนการศึกษาอย่างเป็นระบบในลักษณะนี้จะทำให้ครูมีพัฒนาการในการสอนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อนักเรียน
นอกจากเป้าหมายในการพัฒนาทักษะวิจัยในชั้นเรียนให้กับครูสอนภาษาอังกฤษแล้ว โครงการ EAR ยังมีเป้าหมายในการสร้างครูพี่เลี้ยงด้านวิจัยในชั้นเรียน โดยการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการให้เข้ารับการพัฒนาเป็นพี่เลี้ยงให้กับครูคนอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งนับเป็นการสนับสนุนการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืนของประเทศไทย และสอดคล้องกับเป้าหมายของกระทรวงศึกษาธิการ โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมา โครงการวิจัยในชั้นเรียน (EAR) ในประเทศไทย ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยจำนวนผู้สมัครที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีจากทั่วประเทศ โดยในปัจจุบัน มีจำนวนครูผู้เข้าร่วมโครงการทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษามากกว่า 100 คน ประกอบด้วยครูสอนภาษาอังกฤษ 80 คน และครูพี่เลี้ยง 25 คน
![]()
จิตติมา ดวงมณี คุณครูสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ จังหวัดนครราชสีมา หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยในชั้นเรียน (EAR) ผู้ที่ทำวิจัยในหัวข้อ “การช่วยเหลือนักเรียนแก้ไขปัญหาการอ่านและทำความเข้าใจภาษาอังกฤษ” กล่าวว่า “ในการทำวิจัยครั้งนี้ มีจุดประสงค์ที่จะแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านการอ่าน ในกลุ่มนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยเริ่มจากการสำรวจหาสาเหตุของปัญหาทั้งจากพฤติกรรมการสอนของครู พฤติกรรมการเรียนและเจตคติของผู้เรียน เพื่อให้ได้สาเหตุที่แท้จริงของปัญหา และนำข้อมูลที่ได้มาวางแผนพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ซึ่งข้อมูลที่ครูได้รับในขั้นสำรวจปัญหา คือ ผู้เรียนชื่นชอบและเห็นความสำคัญของทักษะการอ่าน แต่มีปัญหาเรื่องการไม่รู้ความหมายคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ขาดเทคนิคการอ่านที่ดี และไม่สามารถสรุปใจความเรื่องที่อ่านได้ ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ได้นำไปสู่การ
ปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนเพื่อแก้ปัญหา โดยครูผู้สอนได้เพิ่มกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเดาความหมายคำศัพท์จากบริบท ฝึกใช้เทคนิคการอ่าน และทำแบบฝึกหัดการสรุปเรื่องที่อ่าน นอกเหนือจากนี้มีการสร้างความมั่นใจให้ผู้เรียนโดยการเพิ่มกิจกรรมกลุ่มให้มากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบคำตอบและแบ่งปันเทคนิคการอ่านกับเพื่อนในกลุ่มและในชั้นเรียน ซึ่งผลจากการดำเนินการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ผู้เรียนมีทักษะการอ่านที่ดี มีความมั่นใจ และมีความสุขในการเรียนรู้”
จิตติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในฐานะครูผู้สอนประสบการณ์มากกว่า 20 ปี จากที่เคยตัดสินสถานการณ์การเรียนรู้ตามความเชื่อและประสบการณ์ของตัวเอง มากกว่าการศึกษาหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งส่วนใหญ่ครูจะมองว่าปัญหาเกิดจากผู้เรียน ไม่ใช่ที่ตัวครูหรือการสอนของครู แล้วครูก็ดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการที่ครูเชื่อว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ดี โดยไม่เคยสำรวจและพิจารณาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง ดังนั้นการเข้าร่วมโครงการ EAR ในครั้งนี้ทำให้ครูมีมุมมองที่กว้างขึ้น และได้เรียนรู้วิธีการสำรวจและวิเคราะห์ปัญหา ฝึกตั้งคำถามการวิจัย การออกแบบเครื่องมือการวิจัย การดำเนินการวิจัย การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จนถึงขั้นการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชั้นเรียนของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังได้มีโอกาสแบ่งปันเรื่องราวของการวิจัยนี้ผ่านโปสเตอร์ บทความ และการประชุมวิชาการต่าง ๆ”
อีกหนึ่งผู้เข้าร่วมโครงการ อาตีกะห์ อาลีลาเต๊ะ คุณครูสอนภาษาอังกฤษจากโรงเรียนบ้านยือลาแป จังหวัดนราธิวาส ซึ่งทำการวิจัยในหัวข้อ “การช่วยเหลือนักเรียนให้จดจำและเขียนอักษรภาษาอังกฤษทั้งในตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็กได้” เนื่องจากเล็งเห็นว่าการจดจำตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นขั้นพื้นฐานของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในลำดับถัดไป ซึ่งหากนักเรียนมีปัญหานี้จะส่งผลต่อการพัฒนาทักษะอื่น ๆ ตามมา เช่น การสะกดคำ การสร้างประโยค ฯลฯ ซึ่งสถานการณ์ที่พบในชั้นเรียนคือ บางครั้งเวลาครูอ่านคำศัพท์ให้ฟังและลองถามตัวสะกด นักเรียนไม่สามารถตอบได้ว่าคำศัพท์นี้สะกดด้วยอักษรอะไร ซึ่งหากเด็กจำการออกเสียงไม่ได้ การสอน Phonics หรือวิธีการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ ในอนาคตก็จะทำได้ยาก”
![]()
“จากการทำวิจัย เมื่อรู้ปัญหา รวมถึงวิเคราะห์พฤติกรรมของนักเรียนที่มีมักมีสมาธิจดจ่อได้เพียง 10-15 นาทีแรกของการเรียน ก็ได้ทำโมเดลการสอนของตัวเองขึ้นมา นั่นคือโมเดล 4R – Review, Repeat, Rewrite และ Remember เพื่อใช้การสอนแต่ละครั้ง และช่วยให้ต่อยอดในการสร้างสื่อและกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมอีกด้วย เช่นการใช้ Flash Card การเล่นเกมส์ การขยับร่างกาย การฝึกเขียน ซึ่งหลังจากที่ได้ปรับปรุงรูปแบบการสอน มีการประเมิน เปรียบเทียบ ก็พบว่านักเรียนสามารถจดจำตัวอักษรได้ดีขึ้น”
“การทำวิจัย EAR ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณครูผู้สอนสามารถนำผลจากการวิจัยไปปรับปรุงการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง แต่เป็นการเจาะลึกถึงปัญหาจริง ๆ จากตัวของนักเรียนเอง ช่วยให้เราได้รับรู้ว่านักเรียนแต่ละคนอยากเรียนแบบไหน เพื่อหาวิธีการที่จะทำให้เด็กรู้สึกอยากเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น ไม่ต่อต้าน และมีความพร้อมจะรับการสอนจากเรา สุดท้ายจะเป็นประโยชน์เพื่อการพัฒนาของนักเรียนได้อย่างถูกทางและเท่าทันเพื่อนร่วมชั้น”
“โครงการวิจัยในชั้นเรียน (EAR) นี้ เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สามารถสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของสหราชอาณาจักร ที่มุ่งมั่นเป็นพันธมิตรกับประเทศไทยในการพัฒนายกระดับภาคการศึกษา เราภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับหน่วยงานด้านการศึกษาในประเทศไทยเพื่อพัฒนาการสอน การเรียนรู้ และการประเมินผลภาษาอังกฤษ ซึ่งจะช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้และช่วยให้เยาวชนมีอนาคตที่ดีขึ้น” มร.แดนนี่ กล่าวปิดท้าย
ช่วงนี้นอกจากข้าวของแพง เงินทองหายากแล้ว ชีวิตยังต้องลำบากกับการรับมือกลโกงมิจฉาชีพที่ระบาดหนักขึ้นทุกวัน แถมรูปแบบการหลอกลวงก็มีความหลากหลายและแนบเนียนขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งช่องทางพื้นฐาน ไปจนถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ทำให้ใครหลาย ๆ คน ถูกดูดเงินออกจากกระเป๋าไปง่าย ๆ เพียงเพราะความประมาท ขาดสติ และเท่าไม่ทันกลโกง วันนี้ fintips by ttb #เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ จึงอยากชวนรู้ทันกันโกงของเหล่านักโจรกรรมทางการเงิน เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ
ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เราสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทางไปธนาคารเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง ก็อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ ดังนั้น อย่าหลงเชื่อ เพราะเพียงแค่มีโลโก้ชื่อธนาคารหลอกให้ทำธุรกรรมปลอม หรือปล่อยสินเชื่อ
โดยมีวิธีการตรวจสอบง่าย ๆ ดังนี้
![]()
เช็กให้ชัวร์! ก่อนตกเป็นเหยื่อ
ยุคสมัยที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล มิจฉาชีพก็ขยันหาวิธีหลอกลวงใหม่ ๆ มาใช้มากมาย โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ ซึ่งนอกจากปลอมเป็นธนาคารแล้ว ยังมีวิธีต่าง ๆ อาทิ ล่อด้วยของรางวัลน่าสนใจ และส่ง URL หลอกให้คลิกลิงก์ผ่านทางข้อความ SMS, E-mail ที่สามารถหลอกดูดเงินได้อีกหลายทาง หรือกลโกงอีกแบบที่น่ากลัวคือ แฝงตัวมาบนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่าง ๆ แอบอ้างเป็นแบรนด์ดัง และทำการซื้อโฆษณาเพื่อเชื่อมโยงไปเว็บไซต์ปลอมเพื่อหลอกเอาข้อมูล หรือสามารถสวมรอยเพื่อดูดเงินในบัญชีได้ เป็นต้น
หากไม่อยากตกเป็นเหยื่อของภัยทางการเงินป้องกันได้! อย่าเปิดโอกาสให้คนร้ายใช้จุดอ่อนมากระตุ้นให้หลงเชื่อ เพราะภัยที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่มักเกิดจากอารมณ์ “โลภ” และ “กลัว” จนขาดสติ ดังนั้น ควรระมัดระวังและตั้งสติทุกครั้ง ไม่หลงเชื่อใครง่าย ๆ ท่องไว้ว่า อย่ากด อย่าโอน อย่าแชร์ข้อมูลให้ใคร จะช่วยเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด อย่ากลัวเทคโนโลยีที่เข้ามาอำนวยความสะดวกสบาย ขอแค่ให้ใช้อย่างสติ รับรองว่าห่างไกลภัยทางการเงินได้ไม่ยาก
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ร่วมกับศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความยั่งยืน (SEAMEO SEPS) และ Yunus Thailand ประกาศความสำเร็จโครงการ Waste Hero Education ในงาน ‘2024 Waste Hero Excellence Announcement’ ซึ่งจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของอินโดรามา เวนเจอร์ส ในกรุงเทพฯ ความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมการศึกษาด้านการจัดการขยะอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในหมู่ครู นักเรียน และชุมชน
โครงการ Waste Hero Education ได้เปิดตัวแคมเปญร่วมกันในปี 2566 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมทรัพยากรการศึกษา Waste Hero ให้แก่โรงเรียนและครูในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นไปที่ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และเมียนมาร์ โครงการนี้ได้มีส่วนร่วมกับนักการศึกษาจำนวนกว่า 1,700 คน ผ่านกิจกรรมริเริ่มต่างๆ ซึ่งรวมถึงการฝึกอบรมครูแกนนำ Waste Hero Master จำนวน 10 ครั้ง การประกวดรางวัล Waste Hero ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการสัมมนาผ่านออนไลน์ที่สร้างพลังบวก จำนวน 3 ครั้ง
ด้วยการสะท้อนผลกระทบที่สำคัญจากการประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment หรือ SROI) ในประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ แสดงให้เห็นว่า ทุกๆ ดอลลาร์ที่ใช้ไปสามารถสร้างมูลค่าทางสังคมได้เกือบห้าเท่า ตอกย้ำถึงอิทธิพลเชิงบวกของโครงการต่อชุมชน นอกจากนี้ การแข่งขันโรงเรียน Waste Hero ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการขยะ ได้มีโรงเรียนจากทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอื่นๆ เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 53 โรงเรียน โดยมี 5 โรงเรียน ที่ได้รับรางวัลสำหรับความสำเร็จที่โดดเด่นในการนำทรัพยากรการศึกษา Waste Hero มาใช้ในหลักสูตร กิจกรรม และนโยบายของโรงเรียน นอกจากนี้ โรงเรียนเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงการลดขยะลงอย่างมีนัยสำคัญ การสร้างรายได้จากการรีไซเคิล และการมีส่วนร่วมของชุมชน
โรงเรียนที่ได้รับรางวัลทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ โรงเรียน Dorokha ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในประเทศภูฏาน โรงเรียน SDN Hegarmanah Jatinangor Sumedang ในประเทศอินโดนีเซีย โรงเรียน La Salle Sentul ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในประเทศมาเลเซีย โรงเรียน San Luis National ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในประเทศฟิลิปปินส์ และโรงเรียนบ้านคำเม็กหนองนางฟ้า จังหวัดยโสธร ในประเทศไทย
![]()
นางสุจิตรา โลเฮีย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฯ และประธานคณะกรรมการกำกับดูแลการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า “เรายินดีฉลองความสำเร็จของโครงการ Waste Hero ร่วมกับพันธมิตรที่ทรงคุณค่าของเรา SEAMEO SEPS และขอแสดงความยินดีกับโรงเรียนที่มีความพยายามอย่างยอดเยี่ยมทุกแห่ง สำหรับอินโดรามา เวนเจอร์ส เรามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยการส่งเสริมทรัพยากรการศึกษาและการมีส่วนร่วมของโรงเรียน โดยความร่วมมือครั้งนี้จะส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีความสามารถในการจัดการขยะอย่างรับผิดชอบและปกป้องโลกของเรา”
นางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอว่าด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความยั่งยืน (SEAMEO SEPS) กล่าวว่า “SEAMEO SEPS มีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับทรัพยากรการศึกษา Waste Hero ในกลุ่มคุณครูและนักเรียน เราฝึกอบรมครูในการนำวัสดุเหล่านี้ไปใช้ในห้องเรียน และจัดการแข่งขันเพื่อแบ่งปันแนวคิดและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด เราภูมิใจกับการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกที่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการได้สร้างขึ้น และหวังว่าจะได้ร่วมมือกับอินโดรามา เวนเจอร์ส ในการส่งเสริมการจัดการขยะและเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านโครงการในอนาคตต่อไป”
ความสำเร็จเหล่านี้จะเป็นไปไม่ได้เลย หากปราศจากพันธมิตรเชิงกลยุทธ์หลักของโครงการฯ ซึ่งรวมถึงกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทย และ Yunus Thailand ที่ให้การสนับสนุนและทุ่มเทอย่างไม่ลดละ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการให้ก้าวไปข้างหน้า
ดร. พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ประเทศไทย ได้กล่าวแสดงความยินดีและชื่นชมต่อความสำเร็จของโครงการ “นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เห็นความสำเร็จอันโดดเด่นของโครงการ Waste Hero Education โครงการนี้ได้ส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ปลูกฝังให้พวกเขามีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความยั่งยืนที่ขยายออกไปนอกห้องเรียน เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่สดใสและยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับประเทศไทยและคนรุ่นต่อไป”
นายคาลัม แมคเคนซี่ กรรมการผู้จัดการ Yunus Thailand กล่าวว่า “โครงการ Waste Hero ไม่ได้เพียงแค่สร้างความรู้ในการจัดการขยะให้เป็นศูนย์เท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการปลูกฝังคุณค่าให้เยาวชนตระหนักถึงบทบาทของพวกเขาในฐานะพลเมืองโลกที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมที่เราอยู่ เป็นการเสริมสร้างความมั่นใจให้เยาวชนว่าพวกเขาสามารถเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลง แม้จะเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็มีความหมาย และเมื่อรวมกันแล้วสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับโลกได้ ที่สำคัญคือ โครงการนี้ช่วยส่งเสริมความรู้และทักษะที่เป็นรูปธรรมให้เยาวชนสามารถจัดการขยะให้เหลือศูนย์ได้อย่างถูกต้อง ทั้งในโรงเรียน ที่บ้าน และในชุมชนของพวกเขา โดยสรุปแล้ว โครงการนี้คือการสร้างผู้พิทักษ์ขยะ หรือที่เราเรียกว่า Waste Heroes นั่นเอง”
SCGP เสริมธุรกิจด้วยกลยุทธ์ ESG เพื่อขับเคลื่อนองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก (Megatrends) ชูการรับรองคาร์บอนฟุตพรินท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) การพัฒนา Private declaration Label เพื่อระบุปริมาณ CFP บนผลิตภัณฑ์ พร้อม “ซอฟต์แวร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ช่วยคำนวณปริมาณปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างรวดเร็ว เสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ช่วยจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 ของลูกค้า เพิ่มโอกาสธุรกิจและเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทย ตั้งเป้าขอการรับรอง CFP ในกลุ่มสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย 100% ภายในปี 2027
![]()
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจ เทคโนโลยี รวมถึงสภาพภูมิอากาศ SCGP ได้ทรานส์ฟอร์มธุรกิจในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการสร้างความยืดหยุ่น เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างมีคุณภาพ การพัฒนาพนักงานให้พร้อมรับทุกสถานการณ์ การใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และบริการตรงใจลูกค้า และอีกหนึ่งการทรานส์ฟอร์มที่ SCGP ให้ความสำคัญ คือ “Sustainability Transformation” หรือการขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยแนวคิด Inclusive Green Growth ที่เพิ่มการมีส่วนร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างสรรค์คุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ผ่านการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
SCGP ได้กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 โดยมีแผนการลดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการต่าง ๆ ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน การพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ตลอดจนการสนับสนุนคู่ค้าและลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งห่วงโซ่คุณค่า เพื่อร่วมลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
SCGP ยังเล็งเห็นว่า การผลิตบรรจุภัณฑ์ของบริษัทถือเป็น Scope 3 ของลูกค้าซึ่งเกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงได้ทุ่มเทความพยายามและร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ในการพัฒนาแนวทางและวิธีการ เพื่อขอรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมศักยภาพการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับลูกค้า ทำให้ล่าสุด SCGP ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO เป็นผลสำเร็จ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศ ได้แก่ กลุ่มสินค้าเยื่อกระดาษ กระดาษพิมพ์เขียน กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์พลาสติก จำนวน 128 ผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากกระบวนการพิมพ์และการขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์กระดาษรวม 16 กระบวนการ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์กระดาษ
นอกจากนี้ SCGP ยังได้พัฒนา ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ที่ออกโดย SCGP (Private Declaration Label) เพื่อแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบรรจุภัณฑ์ และได้พัฒนา “ซอฟต์แวร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ของผลิตภัณฑ์ ที่แม่นยำ ง่าย และรวดเร็ว เพื่อเป็นโซลูชันให้กับลูกค้า สามารถดำเนินธุรกิจได้สอดคล้องกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย พร้อมกับเอกสารรับรองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าเพื่อนำไปใช้เป็นเอกสารอ้างอิง ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของภาครัฐที่มีการบังคับใช้มากขึ้นในหลายประเทศ สามารถช่วยเพิ่มโอกาสการขาย การเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ให้ลูกค้าส่งออกกลุ่มต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาและเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ นับเป็นการช่วยเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทยให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมด้วย
“SCGP เดินหน้าการดำเนินธุรกิจตามกรอบแนวคิด ESG มุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม สร้างความร่วมมือกับผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าเติบโตไปพร้อมกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม (Inclusive Green Growth) รวมถึงการศึกษาและติดตามสถานการณ์ เพื่อเตรียมพร้อมรับกับมาตรการใหม่ (New Regulations) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันที่จะมาช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน” นายวิชาญ กล่าว
NEPS ร่วมกับ LONGi (ลอนจี) เปิดตัว 2 โปรดักส์โซลาร์นวัตกรรมใหม่ของโลกครั้งแรกในไทย! ชูจุดเด่นเทคโนโลยี BC ที่ให้ประสิทธิภาพสูง
มาพร้อมดีไซน์สวยหรู ได้แก่ “แผงโซลาร์เซลล์รุ่น HI-MO X6 Ultra Black” สีดำเรียบหรู ให้ประสิทธิภาพสูงสุดถึง 23.2% ซึ่งมากกว่าแผงโซลาร์ทั่วไป โดย NEPS ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรายแรก และรายเดียวในประเทศไทย และ “BIPV” (Building-integrated photovoltaics) แผงโซลาร์เซลล์นวัตกรรมใหม่ที่รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร สามารถนำไปผสานกับวัสดุก่อสร้างภายนอกได้ ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการคิดค้นและผลิตจาก LONGi มั่นใจตลาดโซลาร์ไทยเติบโต คาดทั้ง 2 สินค้าจะสามารถช่วยส่งให้ NEPS มีรายได้โตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง
![]()
นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิว เอ็นเนอร์จี พลัส โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ NEPS กล่าวว่า “NEPS ดำเนินธุรกิจโซลาร์มาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา เราเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยปัจจัยหลักมาจากโซลูชั่นงานบริการแบบ One Stop Solution ตั้งแต่การให้คำปรึกษา-ประเมินพื้นที่ก่อนติดตั้ง-การปรับปรุงโครงสร้างบ้าน/อาคาร – ประสานหน่วยงานราชการ - การบำรุงรักษา และบริการหลังการขาย ด้วยทีมวิศวกรมืออาชีพ รวมถึงในแง่ของงานดีไซน์ การออกแบบแผงให้สอดรับกับตัวบ้านหรือตัวอาคารต่างๆ ได้อย่างสวยงามและลงตัว โดยล่าสุด NEPS ได้รับความไว้วางใจจาก LONGi (ลอนจี) ซึ่งเป็นผู้นำและครองตำแหน่งผู้ผลิตแผงโซลาร์อันดับ 1 ของโลก ให้นำเข้าและจำหน่ายแผงโซลาร์เซลล์รุ่น “HI-MO X6 Ultra Black” รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ด้วยประสิทธิภาพแผง 23.2% ซึ่งมากกว่าแผงโซลาร์ทั่วไปในตลาด ดีไซน์สีดำเรียบหรู เจาะกลุ่มงานบ้านระดับไฮเอนด์ อีกทั้งงานนี้ยังมีการนำ BIPV หรือ แผงโซลาร์แบบผสานวัสดุอาคาร ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ เข้ามาเปิดตัวครั้งแรกในไทย และนับเป็นประเทศที่ 2 ในเอเชียด้านการผลิตและจำหน่ายอีกด้วย”
“ทั้งนี้ธุรกิจโซลาร์ในปัจจุบัน นับว่าเป็นยุคที่มีการแข่งขันสูงมาก แม้ว่าจะมีการตอบรับจากลูกค้าจำนวนมากกว่าในอดีตที่ผ่านมาก็ตาม แต่เรายังคงต้องพัฒนาตัวเองและคัดสรรสินค้าที่มีเทคโนโลยีใหม่ พร้อมด้วยดีไซน์ที่สวยงามเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยที่ผ่านมาเราเจาะกลุ่มเป้าหมาย โรงงาน โรงเรียน โรงแรม สนามกอล์ฟ โครงการบ้านจัดสรร และกลุ่มลูกค้าบ้านเดี่ยวเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันเราได้ขยายฐานลูกค้าทั้งกลุ่ม B2B และ B2C ที่มีความต้องการเฉพาะตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากยังมีช่องว่างทางการตลาดสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้อยู่มาก การร่วมมือกับ LONGi ในครั้งนี้ จึงนับเป็นโอกาสที่ดีมากของ NEPS”
![]()
คุณหม่า เหมิง (Ma Meng) ผู้จัดการประจำประเทศไทยและเวียดนาม บริษัท ลอนจี กรีน เอเนอร์จี เทคโนโลยี จำกัด หรือ LONGi กล่าวว่า “LONGi เริ่มเข้ามาทำตลาดโซลาร์ในไทยเมื่อปี 2560 เพราะเห็นถึงแนวโน้มความต้องการด้านโซลาร์ในประเทศไทย ประกอบกับไทยเปิดเสรีในด้านเทคโนโลยี รวมถึงปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายด้านพลังงานแสงอาทิตย์มากมาย เช่น การรับซื้อไฟฟ้าด้วยมาตรการ Feed-in Tariff (FIT) , การส่งเสริมไฟฟ้าสีเขียวด้วยมาตรการ Utility Green Tariff (UGT) , การส่งเสริมตลาดคาร์บอน และกลไกทางภาษีของ BOI เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้จึงส่งเสริมให้ตลาดโซลาร์ไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ จากข้อมูล BNEF* จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน LONGi ยังคงครองตำแหน่งผู้ผลิตแผงโซลาร์อันดับ 1 ของโลก ปัจจัยหลักคือ เราให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยทุ่มงบประมาณหลักพันล้านดอลลาร์ (Billion Dollar) ซึ่งนับว่าเป็นการลงทุนที่มากที่สุดในบริษัทผลิตแผงโซลาร์ เพื่อให้ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานที่สูงขึ้น อาทิ เทคโนโลยี BC (Back Contact) ที่ช่วยให้แผงโซลาร์ดูดซับแสงได้ดีในพื้นที่แสงน้อย เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตพลังงาน ที่นำมาใช้กับทั้ง 2 โปรดักส์ในวันนี้ เป็นต้น”
ด้านความร่วมมือกับ NEPS นั้น คุณหม่า เหมิง (Ma Meng) กล่าวต่อว่า “เรามองเห็นจุดแข็งของ NEPS ในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่อง วิสัยทัศน์ในการมุ่งมั่นนำพลังงานสะอาดมาช่วยขับเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกสู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยยึดหลักความรับผิดชอบต่อลูกค้า ต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิธีการทำการตลาดของ NEPS ที่เน้นเรื่องการให้ข้อมูลความรู้เป็นสำคัญ อีกทั้งการให้บริการลูกค้าแบบ One Stop Solution ทำให้สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและครอบคลุม เราจึงมั่นใจในการเลือกนำสินค้าที่มีนวัตกรรมสูงของ LONGi มาให้ทาง NEPS เป็นผู้เปิดตลาดเจ้าแรกและเจ้าเดียวในไทย ได้แก่ “HI-MO X6 Ultra Black” อีกทั้งสินค้าตัวนี้ ยังคว้ารางวัลระดับนานาชาติได้ถึง 2 รางวัล ได้แก่ รางวัล A’ Design Award & Competition และ French Design Awards นอกจากนี้ LONGi เรายังเป็นบริษัทที่คิดค้นและผลิต BIPV หรือ เซลล์แสงอาทิตย์แบบผสานวัสดุอาคารรายต้นของโลก ซึ่งนับเป็นการเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันด้านโซลาร์ ด้วยเทคโนโลยีที่ผสานเข้ากับวัสดุอาคาร เพื่อมุ่งสู่การสร้างอาคารเขียว (Green Building) ที่ไม่เพียงผลิตพลังงานไฟฟ้า แต่ยังสามารถป้องกันความร้อน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรียกว่าเป็นการยกระดับธุรกิจพลังงานในไทยไปอีกขั้น ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าการผนึกกำลังกับ NEPS ในครั้งนี้ จะยิ่งเป็นการต่อยอดธุรกิจโซลาร์ของไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”
![]()
ด้านการเปิดตัวสินค้าใหม่ ดร.สุธี ไตรวิวัฒนา ผู้อำนวยการด้านการขาย บริษัท ลอนจี กรีน เอเนอร์จี เทคโนโลยี จำกัด หรือ LONGi ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ LONGi ได้นำเทคโนโลยี BC (Back Contact) คือ การเชื่อมวงจรทั้งหมดที่ด้านหลังของเซลล์ ทำให้หน้าแผงสามารถรับแสงได้ 100% จึงทำให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของเซลล์ที่มีเทคโนโลยี BC สูงกว่า 25% ซึ่ง แผงโซลาร์เซลล์รุ่น HI-MO X6 Ultra Black” ที่มาพร้อมศักยภาพการผลิตไฟฟ้าได้ดีในสภาวะที่อุณหภูมิสูง และการแผ่รังสีต่ำ ทำให้การทำงานของตัวแผงโซลาร์เซลล์สามารถมีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าผลิตสูงถึง 23.2% ด้วยขนาด 1722 x 1134 x 30 mm โดยใช้ฟิล์ม POE ชนิดพิเศษห่อหุ้มแผงเซลล์ ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานสูง แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิและความชื้นสูง ควบคู่กับดีไซน์หรูหราสวยงามด้วยตัวแผงสีดำสนิท และพื้นผิวที่มีความหยาบทำให้แสงที่ตกกระทบลงมาไม่สะท้อนออก เพิ่มการดูดซับแสงได้ดีกว่าปกติ เหมาะสำหรับการติดตั้งบนหลังคาบ้านเรือน ที่ได้ทั้งเรื่องการประหยัดไฟและความสวยงาม ขณะที่การรับประกันตัวแผงและวัสดุอยู่ที่ระยะเวลา 25 ปี และรับประกันประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ระยะเวลา 30 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการรับประกันสินค้าและประสิทธิภาพที่สูงสุดในไทย”
“ขณะที่ “BIPV” หรือ เซลล์แสงอาทิตย์ที่รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร เป็นการนำแผงโซลาร์มาผสานกับวัสดุก่อสร้างที่ใช้ประกอบภายนอกอาคารได้ เช่น กำแพง หน้าต่าง Façade ช่องกระจก หรือผนัง ซึ่งจะช่วยให้อาคารสามารถรับพลังงานแสงอาทิตย์ได้รอบด้าน โดย LONGi เป็นบริษัทต้นในโลกที่คิดค้น พัฒนา และผลิตด้วยตัวเอง 100% BIPV มาพร้อมประสิทธิภาพสูงสุดถึง 25.80% ขณะเดียวกันในแง่ของงานดีไซน์สามารถแมตช์กับงานสถาปัตยกรรมได้ทุกรูปแบบ และ Custom ได้เองทั้งหมด ทั้ง ขนาด รูปทรง และสี ทั้งนี้ทาง LONGi ได้กำหนด 5 สีหลักที่เหมาะสมกับงานดีไซน์อาคาร ได้แก่ Ocean Blue, Space Gray, Eclipse Red, Galaxy Silver และ Cosmic Beige และหากลูกค้าต้องการสีที่นอกเหนือจากทั้ง 5 สีนี้ก็สามารถกำหนดได้โดยการดู Code สีจากอาคารภายนอกของลูกค้าเอง มาพร้อมการรับประกันสินค้านานถึง 15 ปี รับประกันการผลิตพลังงาน 25 ปี และรับประกันตัวสี 10 ปี”
ในมุมมองนักออกแบบ นายวิญญู วานิชศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิร์คเวล สตูดิโอ จำกัด และ เลขานุการและกรรมการสถาบันอาคารเขียวไทย เผยว่า “จากวิกฤตสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างหนักที่ผ่านมา ทำให้ทุกภาคส่วนเร่งหาวิธีการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ที่ใช้แนวทางการก่อสร้าง Green Building (อาคารเขียว) มาเป็นแนวทางเพื่อใช้แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก โดยที่การติดตั้งโซลาร์เซลล์ ถือเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่สำคัญในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน และวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ปัจจุบันมีการคิดค้นโซลาร์เซลล์ ที่ติดตั้งกับตัวบ้านหรือตัวอาคารได้อย่างเหมาะสม มีรูปทรงและสีสัน ที่ สวยงามส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับตัวบ้านและตัวอาคาร อย่างเช่นที่มาเปิดตัววันนี้คือ โซลาร์เซลล์ รุ่น HI-MO X6 Ultra Black ที่มีขนาดเล็กกว่าแผงทั่วไป แต่ให้ประสิทธิภาพมากกว่าแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ และสำหรับแผงแบบ BIPV เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจ เพราะเราสามาถใช้ผนังอาคารส่วนทึบที่ในหลักการของอาคารที่ต้องประหยัดพลังงานนั้น จะต้องมี Windows to Wall Ratio หรือสัดส่วนหน้าต่างต่อผนังทึบ น้อยกว่า 0.5 หมายความว่าเรามีผนังทึบของอาคารมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ต้องออกแบบและเลือกวัสดุก่อสร้างที่ต้องแข็งแรง และมีผิวภายนอกในการทำหน้าที่ป้องกันสภาพแวดล้อมภายนอก ทั้งแดด ลม ฝน ความชื้นและความกดอากาศ ถ้าลองจินตนาการว่า จะดีแค่ไหน!? ถ้าผนังทึบนี้สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้ ทำให้ลดค่าไฟฟ้าและสร้างรายได้ให้โครงการได้ตลอดชีวิตของอาคาร สุดท้ายนี้ผมเชื่อว่า เทคโนโลยีด้านโซลาร์เซลล์ ยังพัฒนาด้านต่างๆ ต่อไปและสามารถสร้างจุดเปลี่ยนของโลกนี้ได้อีกมาก”
![]()
สำหรับภาพรวมตลาดโซลาร์ในปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง **จากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบีพบว่า ตั้งแต่ปี 2565 ตลาดโซลาร์รูฟในประเทศไทยมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 22% และจะเติบโตไปถึง 6.7 หมื่นล้านบาทในปี 2568 ทั้งนี้ผลพวงมาจากการพัฒนาโซลาร์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ คนสามารถเข้าถึงโซลาร์รูฟได้มากกว่าแต่ก่อน อีกทั้งพฤติกรรมของคนในสังคม ที่เปลี่ยนแปลงไปก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น ทั้งเรื่องทำงานในรูปแบบ Work From Home , การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ใช้ชีวิตในบ้านเป็นส่วนใหญ่, ปริมาณการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้า (EV), กลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ (Pet Humanization) และข้อสำคัญคือ ค่าไฟฟ้าที่แพงมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดโซลาร์รูฟโตขึ้นเป็นเงาตามตัว
“ดังนั้นการทำการตลาด เพื่อพัฒนาสินค้าและหาจุดเด่นทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความสวยงามและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นเรื่องสำคัญ การที่ NEPS ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายรายแรก และรายเดียวในไทยสำหรับตัว “HI-MO X6 Ultra Black” ซึ่งให้ทั้งประสิทธิภาพสูง ดีไซน์สวย เมื่อนำไปติดตั้งบนหลังคาบ้านแล้วจะเห็นเป็นสีดำสนิททั้งแผง ไร้รอยต่อ เหมาะกับบ้านที่เน้นความหรูหรา จึงนับเป็นโอกาสที่สำคัญของ NEPS ในการยกระดับสินค้าสำหรับผู้บริโภคไปพร้อมกับการตอกย้ำวิสัยทัศน์ร่วมกับ LONGi ในการขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน” นายตรีรัตน์ กล่าวปิดท้าย
นับเป็นเวลาหลายทศวรรษที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมเร่งพัฒนาการให้บริการด้วยแนวคิด "จัดเต็ม" ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมมากขึ้น ความเร็วที่มากขึ้น หรือการเข้าถึงการใช้ดาต้าได้มากขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง จากการคาดการณ์ว่าในเอเชียจะมีการใช้งานดาต้ามือถือเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี พ.ศ. 2573 ยิ่งต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพของเครือข่ายและพัฒนาสู่ความยั่งยืน ควบคู่ไปกับความท้าทายที่เกิดจากการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้อย่างรวดเร็ว
ประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีผู้ให้บริการที่มีผู้ใช้งานมากสุดในประเทศ ทำให้เข้าใจในมิติของปรากฏการณ์และการรักษาสมดุลการพัฒนาเครือข่ายและความต้องการใช้งานมือถือเป็นอย่างดี อีกทั้ง จากประสบการณ์อันยาวนานในวงการโทรคมนาคม เมื่อครั้งอยู่ที่ดีแทคเขาได้รับประสบการณ์ที่ท้าทาย สู่ภารกิจสำคัญในการเริ่มต้นวางเครือข่ายในเมียนมาตั้งแต่ก้าวแรกกับเทเลนอร์ โดยในวันนี้เขากำลังทุ่มเทกับภารกิจอันยิ่งใหญ่และท้าทายอีกรูปแบบ ด้วยการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายของทรู คอร์ปอเรชั่นให้ทันสมัยหลังจากการควบรวมกิจการโทรคมนาคมครั้งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลุยขับเคลื่อนการใช้งานดิจิทัลเชื่อมต่อเพื่อทุกคน
"การทำงานในเมียนมาสร้างแรงบันดาลใจให้ผมอย่างมาก ผมได้เห็นพลังของการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตผู้คนผ่านเทคโนโลยีโทรคมนาคมด้วยตาตัวเอง มันสร้างโอกาสใหม่ๆ มากมายให้กับคนในชุมชน สร้างธุรกิจขนาดเล็ก ทุกพื้นที่แม้อยู่ห่างไกลในชนบท การเชื่อมต่อผ่านมือถือพลิกเปลี่ยนชีวิตผู้คนได้จริงๆ" ประเทศ กล่าว
ทุกวันนี้ ประเทศในฐานะ CTO ทรู คอร์ป ยังคงมุ่งมั่นที่จะลุยไปข้างหน้านำความล้ำสมัยของดิจิทัลไปสู่ทุกคนในประเทศไทย แต่เขาต้องเผชิญกับความท้าทายบทใหม่ที่แตกต่างออกไป ทรูและดีแทคกำลังรวมโครงข่ายที่มีสถานีฐานหลายหมื่นแห่งที่ครอบคลุมทั่วไทยเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับให้บริการประชาชนมากกว่า 50 ล้านเลขหมาย นอกจากนี้ คนไทยยังเป็นหนึ่งในผู้ใช้ข้อมูลที่มากสุดในโลก โดยใช้งานเฉลี่ยราว 30 GBต่อคนต่อเดือน (ข้อมูลไตรมาส 2/2567)
"นี่เป็นการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และอยู่ในระดับต้นๆ ของเอเชีย" ประเทศ เล่าเพิ่มเติม "เราวางแผนที่จะพัฒนาเสาสัญญาณหลายพันแห่ง โดยทำงานร่วมกับทีมขายในพื้นที่ซึ่งรู้จักชุมชนที่พวกเขาให้บริการเป็นอย่างดี"
ในการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 ทรู คอร์ปอเรชั่นระบุว่า ได้ดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยเสร็จสมบูรณ์แล้ว 7,100 แห่ง หรือ 42% ของเป้าหมายทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ประเทศยอมรับว่าโครงการนี้เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
"แม้จะมีการทดสอบอย่างหนักและจัดทำโครงการนำร่องในสถานการณ์จริงเพื่อให้มั่นใจว่าการติดตั้งจะราบรื่น แต่การพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยทั่วประเทศก็ยังคงท้าทายกว่าที่คิดมาก ทีมวิศวกรภาคสนามจำนวนมากต้องได้รับการฝึกอบรมใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาปฏิบัติตามมาตรฐานที่เข้มงวดของทรู" ประเทศ กล่าว "สิ่งสำคัญที่สุดคือประสบการณ์ของลูกค้า ที่เป็นเป้าหมายหลักของเรา"
![]()
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการปล่อยคาร์บอน
นอกเหนือจากประสิทธิภาพของเครือข่าย ประเทศกำลังมองไปยังอนาคตที่ AI จะมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านประสบการณ์ผู้ใช้และความยั่งยืน
"ทรู คอร์ปอเรชั่นตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2573 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593" เขากล่าว "AI เป็นกุญแจสำคัญในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ของเรา เราใช้ AI วิเคราะห์รูปแบบและกลยุทธ์การใช้งานและปิดอุปกรณ์ในช่วงที่มีการใช้งานต่ำ ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 15%"
นอกจาก AI แล้ว ทรูยังใช้ประโยชน์จากการปรับปรุงเครือข่ายเพื่อเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น และเพิ่มจำนวนสถานีฐานที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีสถานีฐานที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์แล้ว 10,490 แห่ง จากนี้ต่อไปเขาคาดการณ์อย่างมั่นใจว่า AI จะยิ่งเป็นปัจจัยหลักที่นำมาใช้ทั้งในแง่การปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าและการแก้ไขปัญหาต่างๆ
"ด้วย AI เราจะสามารถตรวจจับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในเครือข่ายได้ก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อลูกค้า นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเครือข่าย 'self-healing' หรือ 'self-optimizing' AI ยังช่วยปรับปรุงประสบการณ์การบริการลูกค้าอย่างมาก เนื่องจากพนักงานบริการจะยิ่งสามารถใช้ AI co-pilots มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือลูกค้าได้เร็วขึ้นและแม่นยำมากขึ้น" ประเทศ กล่าว
การเปลี่ยนแปลงบุคลากรสู่ยุค AI
ความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่นในการใช้ AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย บริษัทวางแผนที่จะมี "พลเมืองดิจิทัล (Digital Citizens)" 5,000 คนภายในปี 2568 รวมถึงผู้เชี่ยวชาญระดับสูงด้าน AI และ วิทยาการข้อมูล (Data Science) จำนวน 1,000 คน และเมื่อเร็วๆ นี้ได้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี (Center of Technology Excellence) เพื่อทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับโลกที่มีความสามารถด้าน AI ขั้นสูง
"เราให้ความสำคัญกับการนำ AI มาใช้งานแต่ต้องควบคู่กับความปลอดภัย" ประเทศ กล่าว "เราเริ่มโครงการนำร่องการใช้ AI co-pilots ที่เราสามารถบริหารจัดการดาต้า และผลลัพธ์จาก AI ทั้งหมดจะได้รับการตรวจสอบโดยมนุษย์ก่อนนำไปใช้งานจริง"
ประเทศมองว่า AI จะมาพลิกโฉมรูปแบบคนทำงาน โดยงานบางอย่างอาจล้าสมัย ในขณะที่งานอื่นๆ ต้องการชุดทักษะใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานคือการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
"สิ่งที่คุณเรียนในโรงเรียนอาจไม่เกี่ยวข้องเมื่อคุณได้งานทำ" เขาให้คำแนะนำ "แต่ด้วยการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คุณจะประสบความสำเร็จได้ อย่างไรก็ตาม AI ยังคงต้องการมนุษย์ในการสร้าง ฝึกฝน และดำเนินการ . . . อย่างน้อยก็ในขณะนี้"
การรักษาสมดุลระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นสำคัญที่เขาให้ความสำคัญอยู่เสมอ ในขณะที่ทรู คอร์ปอเรชั่นกำลังนำศักยภาพพลังของ AI มาใช้และเผชิญกับความท้าทายด้านความยั่งยืน ความเป็นผู้นำของเขาในฐานะหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ทุกคนยังคงเชื่อมต่อกัน ไปพร้อมๆ กับการดูแลรักษาโลก
บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้นอกเวลางาน ประเทศ CTO ทรู คอร์ป ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลในชีวิตครอบครัว โดยแบ่งเวลาระหว่างการช่วยเหลือลูกๆ ทำการบ้าน และการใช้เวลาร่วมกันทำกิจกรรมกลางแจ้ง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่ผสานความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ากับการใกล้ชิดธรรมชาติได้อย่างลงตัว อันเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่มีความหมายในโลกปัจจุบัน
ลาซาด้า ส่ง LazMall Brand Members Day เซลแบรนด์ดัง ดีลปังเฉพาะเมมเบอร์ หวังตอกย้ำ LazMall ในฐานะแหล่งช้อปปิงที่นักช้อปมั่นใจ สำหรับสินค้าแท้และประสบการณ์การช้อปแบรนด์พรีเมียมชั้นนำ เผยแบรนด์ที่เข้าร่วมแคมเปญทั่วภูมิภาคมีอัตราการเติบโตของยอดขายและมูลค่าการสั่งซื้อสินค้าต่อครั้งเพิ่มขึ้นถึงสองหลัก โดยยอดขายรวม (GMV) เติบโตขึ้นถึง 1.9 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ เตรียมส่งโปรโมชันสุดพิเศษ พร้อมส่วนลดสูงสุด 70% จากแบรนด์ดังระดับโลกและแบรนด์ไทยที่เข้าร่วมรายการ อาทิ Enfagrow, Huawei, L’Oreal Paris, Samsung, Xiaomi และอื่นๆ อีกมากมาย ระหว่างวันที่ 16 - 18 สิงหาคม 2567 นี้
เจสัน เฉิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ ลาซาด้า กรุ๊ป กล่าวว่า “ลาซาด้ามุ่งมั่นที่จะส่งมอบสินค้าราคาที่ดีที่สุด พร้อมประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับนักช้อป โดยเราให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์แคมเปญอย่าง LazMall Brand Members Day ซึ่งนำเสนอดีลและส่วนลดสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับสมาชิกร้านค้าของแบรนด์ดัง ทั้งระดับนานาชาติและประเทศ พร้อมตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของ LazMall ในฐานะแหล่งช้อปปิงที่ได้รับความไว้วางใจจากนักช้อปที่มองหาสินค้าแท้และประสบการณ์การช้อปปิงแบรนด์ชั้นนำ นอกจากนี้ แคมเปญนี้ยังช่วยสร้างการรับรู้ให้แก่โปรแกรม Brand Membership ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่แบรนด์บน LazMall สามารถสร้างการมีส่วนร่วมและมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่กลุ่มลูกค้าประจำได้”
![]()
ในประเทศไทย LazMall มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจากแคมเปญ 6.6 ที่ผ่านมามียอดขายพุ่งสูงขึ้นถึง 11 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ และมีนักช้อปไทยสมัครเป็นสมาชิกแบรนด์บน LazMall แล้วกว่าหลายล้านคน จากข้อมูลล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2567
Brand Membership เป็นโปรแกรมที่เปิดโอกาสให้นักช้อปเข้าร่วมเป็นสมาชิกของแบรนด์โปรดบน LazMall เพื่อรับสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิกในหลากหลายรูปแบบ เช่น การสะสมคะแนนทุก ๆ การสั่งซื้อ คูปองส่วนลดและของขวัญ เป็นต้น นอกจากนี้ เมื่อสะสมคะแนนจากการซื้อสินค้าตามเงื่อนไข ยังสามารถเลื่อนขั้นการเป็นสมาชิกเพื่อรับสิทธิประโยชน์ที่พิเศษขึ้นได้อีกด้วย โดยโปรแกรมของแต่ละแบรนด์จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป และนักช้อปสามารถสมัครเป็นสมาชิกกับหลายแบรนด์ได้แบบไม่จำกัด นักช้อปสามารถสมัครเป็นสมาชิกของร้านค้าแบรนด์โปรดบน LazMall ที่เข้าร่วมโปรแกรมได้ง่าย ๆ เพียงคลิก ‘เข้าร่วมสมาชิก’ บนหน้าเพจของแบรนด์ที่เข้าร่วมโปรแกรม
“นักช้อปที่เป็นสมาชิกของแบรนด์มีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อสินค้าสูงขึ้น และมียอดการสั่งซื้อต่อครั้งที่สูงขึ้นเช่นกัน ลาซาด้าจึงพัฒนาโปรแกรม Brand Membership ขึ้นมาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักช้อปมีส่วนร่วมกับแบรนด์อย่างต่อเนื่องในระยะยาว เราพบว่า แบรนด์ที่เข้าร่วมโปรแกรมมีมูลค่าการสั่งซื้อต่อครั้งและรายได้เพิ่มสูงขึ้นในระดับเลขสองหลัก และยอดขายรวม (GMV) ในช่วงแคมเปญเติบโตขึ้นถึง 1.9 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ โดยลาซาด้ามุ่งมั่นที่จะผลักดันจุดแข็งของเราในการนำเสนอสินค้าแบรนด์แท้มีคุณภาพผ่าน LazMall และสร้างสรรค์กิจกรรมที่มอบความพิเศษให้แก่นักช้อปอย่างต่อเนื่อง” เจสัน กล่าวเสริม
สำหรับแคมเปญ LazMall Brand Members Day ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 16 -18 สิงหาคม 2567 นักช้อปที่เป็นสมาชิกของแบรนด์ที่ชื่นชอบบน LazMall สามารถร่วมเพลิดเพลินกับสิทธิพิเศษมากมาย ดังนี้
สำหรับนักช้อปที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของแบรนด์ ระหว่างวันที่ 16 -18 สิงหาคม 2567 ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ และของขวัญพิเศษสำหรับสมาชิกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคูปองส่วนลดสำหรับสมาชิกใหม่ และรับคะแนนสะสมฟรีอีกด้วย
แคมเปญ LazMall Brand Members Day เซลแบรนด์ดัง ดีลปังเฉพาะเมมเบอร์ ได้ขนทัพดีลสุดพิเศษแบรนด์ดังมากมาย นำโดย 5 แบรนด์หลัก ได้แก่ Enfagrow, Huawei, L’Oreal Paris, Samsung, Xiaomi พร้อมด้วยอีกกว่า 15 แบรนด์ไทยและระดับโลก เช่น Lesasha, MLB, Nescafe Dolce Gusto, PANDORA, Ray-Ban, Sabina, SiamLatex, Sulwhasoo, Supersports, Tefal, Unilever Beauty, Unilever Home, Unilever Professional, Vickteerut และ Welcare Thailand นอกจากนี้ ยังมีผู้ขายไทยบน LazMall อีกมากมายที่เข้าร่วมแคมเปญ พร้อมจัดโปรโมชันสุดพิเศษ เอาใจสมาชิกนักช้อปชาวไทยแบบไม่อั้น
เตรียมพบกับดีลสุดพิเศษในช่วงแคมเปญ LazMall Brand Members Day เซลแบรนด์ดัง ดีลปังเฉพาะเมมเบอร์ ได้ดังนี้