

พลังผลักวงล้อเศรษฐกิจ แห่งยามานาชิ
บทบาทสำคัญของสถาบันการเงินในโลก โดยหลักการแล้วล้วนตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของการดำเนินกิจการ
เช้าวันที่ 3 ของทริปยามานาชิ ไกด์อาสาคือคุณป้าโอนิชิ และตัวแทน ททท.ของเมืองโคฟุ มารับทีม MBA ไปพบประสบการณ์ “รับพลังชีวิต เพิ่ม” พลังคิดบวก” ที่ Power Spot จุดสำคัญของเมืองโคฟุ คือศาลเจ้าคะนะซากุระ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วม 2,000 ปี

ถนนโชเซ็นเคียวได คือเส้นทางที่ทอดขึ้นไปสู่ศาลเจ้าอันเป็นเป้าหมาย ตลอดทางที่ขับขึ้นเขา คุณป้าโอนิชิบอกเล่าตลอดเส้นทางอย่างภูมิใจว่า “ดอกซากุระที่นี่จะมีสีสันแตกต่างจากที่อื่น กลีบจะมีสีเหลืองเหมือนสีของขมิ้น ในฤดูที่ซากุระบานเวลากระทบกับแสงอาทิตย์ จะเห็นเป็นภาพดอกซากุระเหลืองอร่าม ราวกับเป็นซากุระสีทองทั่วไปทั้งป่าและเขา จึงเรียกซากุระนี้ว่า อุกอน ซากุระ โดยเชื่อกันว่า ณ ที่แห่งนี้เป็นหนึ่งใน Power spot หรือจุดรับพลังที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่จะส่งเสริมในเรื่องโชคลาภ โดยเฉพาะในด้าน เงินทอง” ดังนั้น คุณป้าโอนิชิจึงชักชวนให้มาชมซากุระสีทองที่ภูเขาแห่งนี้ในช่วงปลายเดือนเมษา ต้นพฤษภาคมให้ได้


ศาลเจ้าคะนะซากุระตั้งอยู่บนภูเขาสูงกว่า 2,500 ฟุต จนรู้สึกได้ถึงอาการหูอื้อเป็นระยะจากระดับของความสูงที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ขณะที่รถแล่นไต่ระดับเขาขึ้นไป แต่ความงดงามของทิวทัศน์ก็ไต่ระดับความงามขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้งเช่นเดียวกัน สำหรับผู้ที่ชอบการขับรถและเที่ยวชมธรรมชาติแนวป่าเขา เราเชื่อว่า โซเซ็นเคียวได แห่งนี้เป็นคำตอบที่ดีเยี่ยม เมื่อขึ้นมาถึงที่ศาลเจ้า เป็นศาลที่ถูกก่อสร้างขึ้นมาใหม่ ในปี 1958 เพื่อทดแทนศาลเจ้าเดิมที่ถูกไฟไหม้ เสาสองต้นของศาลเจ้าด้านหน้ามีการแกะสลักรูปมังกร
หันหัวขึ้นและลงสลับกัน ซึ่งคุณป้าโอนิชิอธิบายว่า ศาลเจ้าโบราณแห่งนี้น่าจะรับอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนในสมัยโบราณ เพราะชาวจีนนิยมสลักรูปมังกร เพราะความเชื่อว่าเป็นสัตว์ในเทพนิยาย และมังกรแกะสลักทั้งสองนี้แกะสลักขึ้นใหม่ เพื่อให้เหมือนของเดิมในอดีต คุณป้าโอนิชิยังเล่าต่ออีกว่า ในช่วงซากุระบานศาลเจ้าจะมีเทศกาลและพิธีกรรม บางครั้งก็มีการจัดแสดง “ละครโน” (ใส่หน้ากากที่ทำด้วยเครื่องเขิน) ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีความสนุกสนานมาก

Power Spot หรือจุดรับพลัง เป็นกระแสในความนิยมของคนรุ่นใหม่ในประเทศญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าในสถานที่ที่พิเศษจะบรรจุพลังพิเศษเก็บงำไว้ และหากไปยังที่มี Power Spot ก็จะได้รับการเพิ่มพลัง ซึ่งมักเป็นเรื่องการคิดบวก โดยแตกต่างไปจากการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

อย่างไรก็ดีการรับพรจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ โคฟุ มิได้จำกัดเฉพาะเพียงแต่ “ผู้คน” ทว่า “รถยนต์” ก็ยังมีความนิยมนำมาทำพิธีรับพรเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แคล้วคลาดจากภยันตราย สังเกตว่าจะเห็นการ “ตีเส้น” กำหนดจุดบนลานจอด บอกพิกัดตำแหน่งสำหรับรถที่จะเข้าพิธีกรรมอย่างมีระเบียบวินัย สมกับเป็นคุณลักษณะของรถและชาวญี่ปุ่นโดยแท้


เรื่องและภาพ : กองบรรณาธิการ
จุดพลิกผัน: ทั่วโลกมีการเดินทางด้วยรถยนต์ที่ใช้ร่วมกัน มากกว่ารถยนต์ส่วนบุคคล
ภายในปี 2025: 67 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น
ความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวก็คือ เทคโนโลยีที่ช่วยเสริมความสามารถของหน่วยย่อย (Technology-Enable Entities) (ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือองค์กรก็ตาม) ให้สามารถแบ่งปันการใช้สินค้า/ทรัพย์สิน ที่คนอื่นแบ่งให้ใช้ หรือเป็นผู้แบ่งปัน/ จัดหาบริการ ให้ผู้อื่นร่วมใช้กับเรา ในระดับที่มีประสิทธิภาพหรือมีความเป็นไปได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การแบ่งปันสินค้าหรือบริการดังกล่าวเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทั่วไปบนตลาดออนไลน์, แอปมือถือ/ บริการระบุตำแหน่งหรือแพลตฟอร์มที่เสริมด้วยเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งช่วยให้ต้นทุนของการทำธุรกรรมและความไม่ลงรอยกันในระบบ จนถึงจุดที่เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย แบ่งผลประโยชน์ส่วนเพิ่มโดยละเอียดมากขึ้น
ตัวอย่างที่รู้จักกันดีของเศรษฐกิจแบ่งปัน เกิดขึ้นในภาคส่วนของการคมนาคมขนส่ง เช่น Zipcar ซึ่งเป็นวิธีที่คนใช้เพื่อการแบ่งปันพาหนะเป็นเวลาที่สั้นลงและเหมาะสมกว่าการใช้บริการบริษัทรถยนต์เช่าแบบเดิม หรือกรณีของ Turo (เดิมชื่อ RelayRides) จัดทำแพลตฟอร์มเพื่อการระบุตำแหน่งและขอยืมพาหนะส่วนตัวของคนอื่นเป็นระยะเวลาหนึ่ง ส่วน Uber และ Lyft ให้บริการ “คล้ายแท็กซี่” อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจากบุคคล แต่เป็นกลุ่มก้อน ในรูปของบริการซึ่งเสริมด้วยบริการระบุตำแหน่งและการเข้าถึงด้วยโมบายล์แอป นอกจากนี้ยังพร้อมใช้ประโยชน์ได้ทันที
เศรษฐกิจแบ่งปันมีองค์ประกอบ ลักษณะเฉพาะหรือตัวบ่งชี้อยู่หลายอย่างด้วยกัน ได้แก่ เทคโนโลยีเสริม ความชอบการเข้าถึงมากกว่าการเป็นเจ้าของโดยตรง เป็นบริการแบบ Peer to peer (ระหว่างคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย) การแบ่งปันทรัพย์สินส่วนบุคคล (เปรียบเทียบกับทรัพย์สินของบริษัท) สามารถเข้าถึงได้ง่าย มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเพิ่มขึ้น การบริโภคร่วมกัน และฟีดแบ็คของผู้ใช้อย่างเปิดเผยร่วมกัน (ส่งผลให้เกิดความเชื่อถือไว้ใจกันมากขึ้น) แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าธุรกรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะเป็น “เศรษฐกิจแบ่งปัน” ทั้งหมด
ผลกระทบเชิงบวก
- มีการเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรทางกายภาพมากขึ้น
- ผลลัพธ์ทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น (มีการผลิตและใช้ทรัพย์สินเพื่อการดังกล่าวน้อยลง)
- มีบริการแบบส่วนบุคคลมากขึ้น
- สามารถอยู่ได้ด้วยเงินหมุนมากขึ้น (โดยไม่จำเป็นต้องอดออมก็สามารถใช้ทรัพย์สินที่ต้องการได้)
- มีการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินมากขึ้น
- มีโอกาสที่จะละเมิดความไว้วางใจในระยะยาวน้อยลง เพราะมีวงจรป้อนกลับสาธารณะโดยตรง
- การสร้างเศรษฐกิจขั้นทุติยภูมิ (คนขับรถยนต์ของอูเบอร์ให้บริการใหม่ คือจัดส่งสินค้าและอาหาร)
ผลกระทบเชิงลบ
- ฟื้นตัวช้าหลังการสูญเสียงาน (เพราะการออมลดลง)
- มีแรงงานตามสัญญาจ้างที่ระบุเวลา/ เฉพาะกิจมากขึ้น (เปรียบเทียบกับการจ้างงานระยะยาวซึ่งโดยทั่วไปมีความมั่นคงมากกว่า)
- ความสามารถในการวัดเศรษฐกิจสีเทาที่มีศักยภาพดังกล่าวนี้ลดลง
- มีโอกาสละเมิดความไว้วางใจในระยะสั้นมากขึ้น
- มีเงินลงทุนในระบบน้อยลง
ไม่ชัดเจนหรือเป็นไปได้ทั้งสองทาง
- ความเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติเปลี่ยนไป
- มีโมเดลของการบอกรับเป็นสมาชิกมากขึ้น
- ออมทรัพย์น้อยลง
- ขาดความชัดเจนว่า “ความมั่งคั่ง” และ “มีอันจะกิน” คืออะไร
- มีความชัดเจนน้อยลงว่า สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็น “งาน” นั้นมีอะไรบ้าง
- ยากที่จะวัดเศรษฐกิจ “สีเทา” ที่ว่านี้ (ไม่มีความชัดเจน)
- การปรับแก้ไขเรื่องการจัดเก็บภาษีและการควบคุมจากโมเดลของความเป็นเจ้าของ/ การขาย สู่โมเดลของการใช้งานเป็นหลัก
การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์
ความหมายของความเป็นเจ้าของสะท้อนอยู่ในคำถามดังต่อไปนี้
- ร้านค้าปลีกรายใหญ่สุดซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าของร้านค้าแม้เพียงแห่งเดียวคือใคร? (Amazon)
- ผู้ให้บริการห้องพักค้างคืนรายใหญ่สุดซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรมแม้แต่เพียงแห่งเดียวคือใคร? (Airbnb)
- ผู้ให้บริการการขนส่งรายใหญ่สุดซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์แม้แต่คันเดียวคือใคร? (Uber)
เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา
จุดพลิกผัน: หุ่นยนต์เภสัชกรตัวแรกในสหรัฐอเมริกา
ภายในปี 2025: 86 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผัน ดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น
จุดพลิกผัน: งานตรวจสอบภายในของบริษัท (Audits) จะทำโดย AI ถึง 30 เปอร์เซ็นต์
ภายในปี 2025: 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจุดพลิกผันดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น
AI มีความสามารถในการจับคู่ข้อมูลที่มีลักษณะเป็น Patterns และสร้างกระบวนการทำงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งทำให้เทคโนโลยีสามารถตอบสนองต่อการทำหน้าที่ในองค์กรขนาดใหญ่ได้หลายอย่าง เราสามารถวาดภาพสภาพแวดล้อมในอนาคตที่ AI จะเข้ามาแทนที่การทำหน้าที่ซึ่งปัจจุบันเป็นสิ่งที่ทำโดยคนได้สารพัดอย่าง การศึกษาของ Oxford Martin ชิ้นหนึ่งได้พิจารณาความอ่อนไหวของงานต่อการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาทำงานในรูปของ AI และ โรโบติกส์ (วิทยาการหุ่นยนต์) และเกิดเป็นผลลัพธ์ที่ร้ายแรงไม่น่าพอใจ โมเดลที่ใช้ในการศึกษาได้พยากรณ์ว่างานในสหรัฐฯ เมื่อปี 2010 มีแนวโน้มที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์มากถึง 47 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลา 10 ถึง 20 ปีนับจากนั้น
ผลกระทบเชิงบวก
- การลดต้นทุน
- ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
- การปลดล็อกนวัตกรรม โอกาสสำหรับธุรกิจขนาดย่อม สตาร์ตอัพ (ขจัดอุปสรรคในการเข้ามาทำธุรกิจที่มีขนาดเล็ก, “ซอฟต์แวร์บริการ” สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง)
ผลกระทบเชิงลบ
- การสูญเสียงาน
- ความรับผิดชอบ และ ความรับผิด
- การเปลี่ยนแปลงในส่วนของกฎหมาย การเปิดเผยความลับทางการเงิน ความเสี่ยง
- การทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ (อ้างถึงการศึกษาของ Oxford Martin)
การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์
มีการรายงานเรื่อง ความก้าวหน้าด้านการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ ในนิตยสาร Fortune ดังนี้: “คอมพิวเตอร์วัตสันของไอบีเอ็ม ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องความสามารถอันโดดเด่นของมันในรายการเกมโชว์ทางทีวีชื่อ Jeopardy! ได้แสดงให้เห็นในการทดสอบ ว่ามีอัตราการวินิจฉัยโรคมะเร็งปอด ถูกต้องแม่นยำกว่ามนุษย์ หรือประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 50 เปอร์เซ็นต์ (ของมนุษย์) เหตุผลก็คือมีข้อมูลเป็นตัวช่วยนั่นเอง เพราะการที่คุณหมอจะตามทันข้อมูลทางการแพทย์ทั้งหมดได้นั้น ต้องใช้เวลาถึงสัปดาห์ละ 160 ชั่วโมงเลยทีเดียว ดังนั้นคุณหมอจึงไม่สามารถพิจารณาข้อค้นพบใหม่ๆ หรือแม้แต่หลักฐานทางคลินิกซึ่งช่วยให้มีความได้เปรียบในการวินิจฉัยโรคได้ทั้งหมด ปัจจุบันศัลยแพทย์ได้ใช้ระบบอัตโนมัติช่วยในการผ่าตัดประเภทบาดแผลขนาดเล็ก (Low Invasive Operations) กันแล้ว”
จากบทความของ Erik Sherman, FORTUNE, February 25, 2015, HYPERLINK “http://fortune.com/2015/02/25/5-jobs-that-robots-already-are-taking/” http://fortune.com/2015/02/25/5-jobs-that-robots-already-are-taking/

เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา
จุดพลิกผัน: มีเครื่องจักรปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (artificial intelligence) เครื่องแรก ดำรงตำแหน่งอยู่ในคณะกรรมการบริษัทด้วย (เคียงข้างกับมนุษย์)
ภายในปี 2025: 45 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่ามันจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น
นอกจากการขับรถยนต์แล้ว AI ยังสามารถเรียนรู้จากสถานการณ์ครั้งก่อนๆ หรือประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาทุกครั้ง เพื่อให้ข้อมูลป้อนเข้าและสร้างกระบวนการตัดสินใจในอนาคตที่ซับซ้อนได้โดยอัตโนมัติ ถือเป็นระบบที่เรียนรู้ด้วยตัวเองของเครื่องจักร (Machine Learning) ทำให้ได้ข้อสรุปตามข้อมูลและประสบการณ์ในอดีตอย่างเป็นรูปธรรมด้วยความง่ายดายและรวดเร็วขึ้น
ผลกระทบเชิงบวก
‘ การตัดสินใจด้วยเหตุผลมีข้อมูลประกอบมากขึ้น อคติน้อยลง
‘ กำจัด “ความกระตือรือร้นจนเกินเหตุ” (มีการพิจารณาข้อมูล ความเป็นจริงเป็นหลัก)
‘ การปรับองค์กรระบบราชการที่ล้าสมัยเสียใหม่
‘ มีงานและนวัตกรรมเพิ่มขึ้น
‘ ความเป็นอิสระด้านพลังงาน
‘ ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ การกำจัดโรคร้าย
ผลกระทบเชิงลบ
- ความรับผิดชอบ (ใครเป็นผู้รับผิดชอบ สิทธิของบุคคลผู้ได้รับความไว้วางใจจากกฎหมาย)
- การสูญเสียงาน
- การแฮก/ อาชญากรรมไซเบอร์
- ความรับผิดและความรับผิดชอบ การควบคุม
- กลายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก
- มีความไม่ทัดเทียมกันมากขึ้น
- “เป็นการละเมิด/ ฝ่าฝืนอัลกอริธึ่ม”
- เป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ
การเปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์
เมื่อไม่นานมานี้ ConceptNet 4 ซึ่งเป็น AI ด้านภาษา สามารถทำการทดสอบ IQ ได้คะแนนสูงกว่าเด็กอายุสี่ขวบส่วนใหญ่ ทั้งที่เมื่อสี่ปีก่อน มันแทบจะแข่งกับเด็กอายุหนึ่งขวบไม่ได้เลย คาดกันว่ารุ่นถัดไป น่าจะทำงานได้ในระดับเดียวกับเด็กอายุ ห้าถึงหกขวบ
ที่มา: “Verbal IQ of a Four-Year Old Achieved by an AI System” : HYPERLINK “http://citeseers.ist.psu.edu/viewdoc/download?%20doi=10.1.386.6705&rep=rep1&type=pdf” http://citeseers.ist.psu.edu/viewdoc/download? doi=10.1.386.6705&rep=rep1&type=pdf
ถ้ากฎของ Moore ยังคงมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราความเร็วอย่างที่เป็นเมื่อ 30 ปีก่อน ซีพียู (หน่วยประมวลผลกลาง) ก็คงจะมีความสามารถในการประมวลผลระดับเดียวกับสมองของมนุษย์ภายในปี 2025 ทั้งนี้ Deep Knowledge Ventures ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ฮ่องกง และเน้นการลงทุนในด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ การวิจัยเรื่องมะเร็ง โรคที่เกี่ยวกับอายุและเวชศาสตร์การฟื้นฟูสภาวะเสื่อม ได้แต่งตั้งอัลกอริธึ่มปัญญาประดิษฐ์ ชื่อว่า VITAL (Validating Investment Tool for Advancing Life Sciences) ให้นั่งอยู่ในคณะกรรมการบริษัทของตนด้วย
ที่มา: “Algorithm appointed board of director,” BBC: HYPERLINK “http://www.bbc.com/news/technology-27426942” http://www.bbc.com/news/technology-27426942
เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา
แม้ในบ้านเรา จะมีความเคลื่อนไหวของการประกอบวิสาหกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) มานานระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ On ในระดับ Mass ที่สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสังคม เหตุผลที่ถูกยกมาอ้างถึงความไม่คืบหน้าของการพัฒนา SE มาโดยตลอด คือ การที่ไม่มีกฎหมายรองรับสถานะของกิจการประเภท SE จึงทำให้ ไม่เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบการในลักษณะดังกล่าว การผลักดันเรื่องการพัฒนา SE ของไทย จึงไปฝากความหวัง (ทุกสิ่งอย่าง) ไว้กับการคลอด พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ไม่เชื่อว่า อุปสรรคดังกล่าว มาจากเรื่องกฎหมาย และแม้การมีกฎหมายรองรับสถานะของ SE จะเป็นเงื่อนไขหนึ่ง แต่มิใช่ปัจจัยหลักของการพัฒนา SE ไปสู่ฝั่งฝันได้ โดยส่วนตัว ผมมองว่าพื้นฐานของ SE ไม่ได้แตกต่างจาก SME ที่ใช้รูปแบบทางธุรกิจในการประกอบการ คือ ต้องมีการผลิตสินค้า สร้างบริการ หาตลาด หาลูกค้า ขายหรือให้บริการ และมีกำไร เลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดได้ วันนี้ ใครที่ต้องการประกอบกิจการหรือดำเนินการเพื่อสังคม ก็สามารถตั้งบริษัท เพื่อทำธุรกิจ โดยมีความมุ่งประสงค์ทางสังคม หรือ Social Purpose ที่จะแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม ภายใต้สถานะกิจการแบบ SME ได้
วิธีคิดของผู้ประกอบการสังคมคือ แทนที่จะผลิตสินค้าหรือสร้างบริการที่ตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแบบธุรกิจหากำไรทั่วไป ก็ปรับให้เป็นการออกแบบสินค้าหรือบริการของตน ให้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนหรือสังคมกลุ่มเป้าหมาย หรือตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเด็นที่ตนเองต้องการเข้าไปแก้ไขและพัฒนาและแทนที่จะกำหนดส่วนตลาด (Market Segment) ที่เป็นกลุ่มลูกค้าทั่วไปในแบบธุรกิจปกติ ก็พิจารณาให้น้ำหนักในส่วนตลาดที่ยังมิได้รับการตอบสนอง (Unserved Market) หรือที่ยังตอบสนองได้ไม่เต็มที่ (Underserved Market) เช่น การออกแบบและพัฒนาสินค้าและบริการตามกำลังซื้อของคนในระดับฐานราก เพื่อการพัฒนา
คุณภาพชีวิตหรือความจำเป็นขั้นพื้นฐานทั้งหมดที่ว่านี้ จริงๆ ไม่มีข้อห้ามในกฎหมายข้อใด ที่การจดทะเบียนแบบ SME จะทำธุรกิจช่วยเหลือชุมชน สังคม ในแบบเดียวกับที่ SE ทำ ไม่ได้เช่นนี้แล้ว เรายังต้องการกฎหมาย SE ไปเพื่ออะไร
มี 2 ข้อหลัก ข้อแรก คือ สิทธิประโยชน์ทางภาษี พูดง่ายๆ คือ ต้องการเว้นภาษี เพราะการทำ SE เป็นการประกอบกิจการหรือการดำเนินการเพื่อสังคมส่วนรวม ข้อสอง คือ การอุดหนุนจากภาคส่วนต่างๆ หลักๆ คือ จากภาครัฐ เพราะการทำ SE ให้สำเร็จนั้น ยากกว่าทำธุรกิจทั่วไป ตรงที่การเข้าถึงตลาดมีความหินกว่า ลูกค้ามีกำลังซื้อต่ำกว่า จึงต้องมีการให้แต้มต่อ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้เข้ามาประกอบการในแบบ SE มากขึ้น
เรื่องการเว้นภาษีของ SE ผมขออนุญาตใช้ตรรกะว่า ในเมื่อคิดจะมาเป็นผู้ประกอบการสังคม การเสียภาษี คือ หน้าที่ของผู้ประกอบการภาคเอกชน ที่จะจัดสรรกำไรส่วนหนึ่งให้แก่รัฐ เพื่อทำหน้าที่ดูแลพัฒนาสังคมส่วนรวมแทนเรา การเสียภาษี จึงเป็นบทบาทที่พึงกระทำของผู้ประกอบการสังคมอยู่แล้ว (ส่วนรัฐ จะเอาเงินภาษี ไปบริหารจัดการ ดูแลพัฒนาสังคม อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้องปรับแก้ที่ตรงนั้น ไม่เกี่ยวกับว่า หากรัฐบริหารจัดการไม่ดี เราเลยจะเลี่ยงจ่ายภาษี) ส่วนเรื่องการอุดหนุนให้แก่ SE ผมขออนุญาตใช้ตรรกะว่า ถ้าจะทำ SE ให้สำเร็จ ก็ต่อเมื่อต้องมีแต้มต่อหรือพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอกเป็นหลัก แสดงว่า SE ที่ได้รับการสนับสนุนนั้น อาจจะไม่สามารถอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง หรือเป็นไปอย่างยั่งยืน (ความสำเร็จหรือความอยู่รอดของ SE ต้องเกิดจาก คน-ของ-โมเดลทางธุรกิจ จากภายในกิจการเป็นหลัก)
เมื่อใดที่การสนับสนุนที่ SE ได้รับนั้น ต้องมีอันยุติลง กิจการก็อาจไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ หรือหากต้องการให้ดำเนินต่อไป ก็ต้องคงการสนับสนุนนั้นไปตลอด ซึ่งไม่ตอบโจทย์การพัฒนากิจการให้ไปสู่ความเข้มแข็งในระยะยาวได้มาถึงตรงนี้ ท่านที่กำลังผลักดันเรื่องการส่งเสริม SE อาจแย้งว่า เราจำเป็นต้องส่งเสริมในช่วงเริ่มต้น เมื่อ SE ที่ตั้งขึ้นอยู่รอดแล้ว จะปล่อยให้เขาเติบโตได้ด้วยตัวเอง การส่งเสริมและสนับสนุนที่ว่านี้ ก็จะหันไปให้กับ SE ที่ยังไม่เข้มแข็งรายใหม่ๆ ต่อไป เป็นวงรอบ เพื่อขยายจำนวนกิจการ SE ให้เพิ่มมากขึ้น ถ้างั้น เรามาส่งเสริม SME ที่มีกว่า 3 ล้านราย จากการทำธุรกิจหากำไรในแบบปกติ ปรับเปลี่ยนให้มีความมุ่งประสงค์ทางสังคม หรือ Social Purpose
ที่จะแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม ในแบบ SE (ที่ไม่ต้องยกเว้นภาษีเพิ่ม และไม่จำเป็นต้องได้รับการอุดหนุน เพราะอยู่รอดและแข็งแรงในระดับหนึ่งแล้ว) ทำได้ซัก 1% ก็ได้ 3 หมื่นรายแล้ว จะดีกว่ามั้ยครับ
ผมเห็นว่า การส่งเสริม SE ให้สำเร็จนั้น ต้องเริ่มจาก Mindset ของการเปิดวงให้มีผู้เล่นในแบบ Inclusive ไม่ใช่การขีดวงให้เกิดผู้เล่นในแบบ Exclusive ท้ายที่สุด หากกฎหมายที่จะคลอดฉบับนี้ ทำให้เกิด SE ได้เพียงหยิบมือเดียว ผมยิ่งไม่แน่ใจว่า จะออกมาเพื่อส่งเสริม SE หรือเพื่อสำนักงานที่จะส่งเสริม SE ครับ

ดร. สิงหะ ฉวีสุข รองคณบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและสถานที่ และประธานบริหารหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตและบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาบริหารธุรกิจอุตสาหกรรม (นานาชาติ)
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกในปัจจุบัน ทำให้สถาบันการศึกษาทุกแห่ง ล้วนแล้วแต่ต้องพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่ เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค Thailand 4.0 รวมถึงโลกยุคดิจิทัลด้วย
นวัตกรรมและเทคโนโลยีเมื่อนำมาผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ในการบริหารจัดการทำให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ในช่วงเวลาที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกำลังส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงบนโลกอย่างน่าตื่นเต้น