

ในยุคปัจจุบันที่เยาวชนรุ่นใหม่ห่างไกลจากเกษตรกรรม อาชีพเกษตรกรที่ถือเป็นรากฐานของประเทศไทยแต่กลับได้รับความสนใจลดน้อยลงตามยุคสมัย เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนหันกลับมาสนใจภาคการเกษตรอีกครั้ง สยามคูโบต้าซึ่งเป็นผู้อยู่เคียงข้างภาคการเกษตรไทยมาอย่างยาวนาน จึงได้จัดโครงการ “KUBOTA Smart Farmer Camp” ขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้ด้านการเกษตรและนวัตกรรม ผ่านการสัมผัสประสบการณ์จริงจากเกษตรกรตัวจริงและบรรยากาศจริง โดยแคมป์นี้จะช่วยให้เยาวชนกลับมาใกล้ชิดกับการเกษตรและเห็นคุณค่าในอาชีพเกษตรกรรมอีกครั้ง
สยามคูโบต้าจึงได้จัดที่สุดของแคมป์เกษตรยุคใหม่ "KUBOTA Smart Farmer Camp 2024" ปีที่ 10 ในธีม “Real-Life Agri Journey” แคมป์ที่จะพาเยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมปลุกไอเดีย สร้างการทำเกษตรในฝันไปกับนวัตกรรม จากแคมป์เกษตร ทำจริง ปลูกจริง ขายจริง พร้อมให้น้องๆ นักศึกษาได้นำประสบการณ์กลับไปใช้พัฒนาวิถีการทำเกษตรในแบบของตัวเองได้จริง ซึ่งในปีนี้กิจกรรมที่จัดขึ้นมุ่งเน้นให้เยาวชนที่เข้าร่วมได้สัมผัสกับการทำเกษตรตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ผ่านการเรียนรู้นวัตกรรมเกษตร ตลอด 4 วัน 3 คืน ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ณ ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-หนองผักบุ้ง ตำบลนายม ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบ Smart Farming Model ที่สามารถถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรหรือผู้ที่สนใจในแต่ละชุมชนได้เกิดการขยายผล และการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน

นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า สยามคูโบต้ามีนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้นตามหลักการ Sustainable Development Goals หรือ SDGs 4 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร การศึกษาของเยาวชน ความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม และการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่ง โครงการ KUBOTA Smart Farmer Camp ถือเป็นหนึ่งในโครงการด้านความมั่นคงทางอาหาร การยกระดับกระบวนการผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืนเพื่อเกษตรกร ชุมชน และสังคมและคงไว้ซึ่งการรักษาแหล่งอาหารของโลก โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างทัศนคติที่ดีและกระตุ้นให้เยาวชนรุ่นใหม่ใส่ใจการทำอาชีพเกษตรกรรม ตลอดจนตระหนักถึงการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำเกษตรแม่นยำ สำหรับปี 2567 นี้ กิจกรรม “KUBOTA Smart Farmer Camp” ได้คัดเลือกกลุ่มคนรุ่นใหม่ กว่า 650 คน จนเหลือเพียง 60 คน ที่มีความตั้งใจจะกลับไปพัฒนาหรือสานต่อเจตนารมณ์ของครอบครัวในการทำเกษตรกรรมสัมผัสกับการทำเกษตรสมัยใหม่ โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว ทั้งสิ้น 920 คน ตั้งแต่ปี 2558

โดยมีกิจกรรม Smart Farming Experience ให้น้องๆได้เข้าใจวิถีการทำเกษตรของจริง เริ่มจาก ฐานที่ 1 การบริหารจัดการเครื่องจักรกล จะได้เรียนรู้การทำธุรกิจการเกษตร การบริหารเครื่องจักรตามสิ่งที่ปลูก รวมถึงปฏิทินการใช้เครื่องจักรและผลตอบแทนการบริหารการจัดการเครื่องจักรกลการเกษตร ฐานที่ 2 การทำนาและปลูกพืชหมุนเวียน เป็นฐานที่ให้น้องๆได้ทดลองขับนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร ได้แก่แทรกเตอร์ รถดำนานั่งขับ 8 แถว รถเกี่ยวนวดข้าว และโดรนการเกษตร ฐานที่ 3 การแปรรูปสินค้าการเกษตร โดยมีคุณ “โอวา” เจ้าของเพจ “โอวากะเทยขายข้าว” มาร่วมสร้างสีสรรค์สอนการไลฟ์ขายของผ่านช่องทางออนไลน์ ฐานที่ 4 ปลูกผักสร้างรายได้ สอนวิธีการปลูกผักในทุกกระบวนการปลูก ตั้งแต่การปรุงดิน การเลือกเมล็ดพันธุ์ผัก วิธีการปลูก และการทำปฏิทินการเพาะปลูกผัก ฐานที่ 5 การปรับปรุงบำรุงดิน เป็นเทคนิคการปรับปรุงดินให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก และ ฐานที่ 6 การบริหารจัดการพื้นที่ทางการเกษตร จะได้พูดคุยกับ นางบุญเลิศ ปราบภัย ประธานศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-หนองผักบุ้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดพื้นที่เกษตรตัวจริงจากชุมชนต้นแบบ Smart Farming Model หนองผักบุ้ง นอกจากฐานยังมีองค์ความรู้จากผู้ประสบความสำเร็จด้านการเกษตร อีก 3 ท่านด้วยกัน Real Life โดยนายนิทัศน์ เจริญธรรมรักษา จากศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย เปิดมุมมองให้คนเห็นความสำคัญของ "ข้าว" และ "ชาวนา" Real Agri โดย คุณหนึ่ง ธนากร ทองศักดิ์ เจ้าของ Believe Farm เพชรบูรณ์ วิศวกรหนุ่มที่ผันตัวมาเป็นเกษตรกร ปลูกพืชผักและมะเขือเทศหลากสีเพื่อสร้างรายได้เสริม Real Journey โดย นายไพโรจน์ คล้ายแก้ว ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสรรหาสินค้าท้องถิ่นและจริงใจ ฟาร์มเมอร์ส มาร์เก็ต นายชัยพร หล้าต๋า เจ้าหน้าที่อาวุโสกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด และนางหยวน หมื่นนาอาน คณะทำงานแปรรูปสินค้าเกษตร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกข้าวหอมมะลิหนองผักบุ้งพัฒนา จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มาร่วมแชร์องค์ความรู้เส้นทางสู่การเป็นผู้ประกอบการเกษตรเชิงธุรกิจ

น้องทัดดาวน์ - วิชิตา ผลจันทร์ อายุ 22 ปี คณะวิทยาลัยพลังงานทดแทน สาขาวิศวกรรมฟาร์มอัจฉริยะและนวัตกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ชั้นปีที่ 4 เล่าว่า ได้มีโอกาสร่วมทำงานที่โครงการหลวงห้วยน้ำริน จ.เชียงราย เกี่ยวกับการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรที่ล้นตลาดให้เกิดมูลค่าเพิ่ม และได้ใช้นวัตกรรมเครื่องจักรกลที่ทำร่วมกับเพื่อนๆ และอาจารย์ ซึ่งจะนำไอเดียกล้วยฮักมะขามที่ได้เรียนรู้จากแคมป์นี้ไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์โครงการหลวงอื่นๆ ลองผสมกับวัตถุดิบใหม่ๆ เพื่อต่อยอดและเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตผลการเกษตรในพื้นที่” น้องทัดดาวน์ เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจเปลี่ยนการเกษตรในรูปแบบเดิมๆ เพื่อพัฒนาการเกษตรให้ดียิ่งขึ้นด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ ลดแรงงาน สร้างผลิตภัณฑ์ และเพิ่มรายได้ให้ท้องถิ่น

น้องโจอี้ - กิตติธัช กิตติภูวนาท อายุ 21 ปี คณะเกษตร สาขาเกษตรนวัตกรรม มหาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ชั้นปีที่ 4 เล่าเกี่ยวกับการเกษตรในท้องถิ่นของตนเองว่า “จากที่สินค้าเกษตรมีราคาต่ำตอนนี้ชาวนาในท้องถิ่นของผมจึงนิยมแค่ปลูกไว้กินภายในครัวเรือน ผมจึงมาเข้าร่วมโครงการนี้เพื่อมาหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ผมเชื่อว่าการได้เห็นอะไรใหม่ๆ เช่น นวัตกรรมก่อนคนอื่น จะเป็นโอกาสที่ให้เราได้ลงมือทำก่อนคนอื่น ผมอยากใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีไปช่วยการเกษตรท้องถิ่นให้ดีขึ้น เพื่อให้ข้าวมีคุณภาพดี ขายได้กำไร มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว ความเจริญของเกษตรกรรมก็จะกลับคืนสู่ท้องถิ่นอีกครั้ง ผมอยากให้คนรุ่นใหม่กลับไปบ้านเกิดตัวเอง นำความรู้ไปช่วยกันพัฒนาท้องถิ่นของเราให้ดียิ่งขึ้นครับ”

น้องตันตัน – นายกิติพงศ์ แซ่จาง อายุ 23 ปี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี สถาบันราชสุดา สาขาวิชาเอกล่ามภาษามือ มหาวิทยาลัยมหิดล ชั้นปีที่ 4 น้องตันตันนักศึกษาแพทย์ที่สนใจในการเกษตร เล่าว่า “สาขาที่เรียนมีการใช้ล่ามภาษามือเพื่อผู้พิการทางการได้ยิน ผสานกับองค์ความรู้เกี่ยวกับการเกษตรที่ได้จากการมาแคมป์นี้ จะช่วยสื่อสารกับผู้พิการทางการได้ยินที่เป็นเกษตรกรหรือพูดคุยเรื่องการเกษตรกับคนไข้ได้ค่ะ หนูมองว่าความรู้ด้านการเกษตรจะเห็นภาพยากมากถ้าไม่ได้มาลงมือปฏิบัติจริง อย่างวันนี้หนูได้เห็นภาพจริงของการทำเกษตร สามารถนำภาพที่เห็นไปแปลเป็นภาษามือให้แก่ผู้พิการทางการได้ยินได้รับรู้และเข้าใจการเกษตรได้มากขึ้น และถ่ายทอดเป็นเรื่องราวผลิตสื่อดิจิทัลทำเป็นคอนเทนต์ลงในช่องทาง TikTok ของหนูเองค่ะ”
ทั้งนี้กิจกรรม KUBOTA Smart Farmer Camp 2024 ก็ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนเข้าปีที่ 10 ทางสยามคูโบต้า ได้มุ่งหวังส่งเสริมความฝันของเกษตรกรยุคใหม่ให้เกิดขึ้นจริง จากนวัตกรรมและเครื่องจักรกลการเกษตร ที่ให้น้องๆ ได้ทดลองทำจริง ลงมือจริง วางแผนจริง พร้อมทั้งการออกแบบแผนการเกษตรในอนาคตของตัวเอง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนสามารถนำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปต่อยอดและพัฒนาภาคการเกษตรไทย ให้เป็น Smart Farmer ในรูปแบบของคนรุ่นใหม่ที่มาสานต่ออาชีพเกษตรกรของครอบครัวได้ และนี่เป็นสิ่งที่ทางบริษัทฯ มุ่งตอบแทนสังคม และหวังเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมเกษตรกรรมไทยให้มั่นคงอย่างยั่งยืน
เอไอเอ ประเทศไทย นำทีมโดย นางสาวญดา วงศ์ทองคำ รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารสิทธิพิเศษ และกิจกรรมลูกค้า สานต่อโครงการฝึกทักษะฟุตบอลให้แก่เยาวชนไทย ภายใต้กิจกรรม “เอไอเอ ไทยแลนด์ สเปอร์ส ฟุตบอล คลินิก 2024” เพื่อมุ่งเปิดโอกาสให้เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 8-14 ปี กว่า 400 คน ได้เข้าร่วมกิจกรรมลงสนามฝึกทักษะฟุตบอลระดับมาตรฐาน กับโค้ชสเปอร์ส ซึ่งเป็นโค้ชพัฒนาระหว่างประเทศจากสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนทีมผู้ฝึกสอนจากสเปอร์ส ไทยแลนด์ แฟนคลับ ที่ได้มาร่วมปลูกฝังพื้นฐานที่ดีในด้านการกีฬา และพัฒนาทักษะให้กับเยาวชนไทย พร้อมก้าวไปสู่การเป็นนักกีฬาฟุตบอลในระดับอาชีพ โดยกิจกรรม “เอไอเอ ไทยแลนด์ สเปอร์ส ฟุตบอล คลินิก 2024” จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2567 ที่ผ่าน ณ สนามฟุตบอล ฟิวเจอร์ อารีน่า รังสิต

นอกจากนี้ สำหรับเยาวชนที่มีอายุ 12-14 ปี ที่ฉายแววนักเตะดาวรุ่ง ยังมีโอกาสได้รับคัดเลือกจากโค้ชสเปอร์ส เข้าร่วมเก็บตัวฝึกซ้อมทักษะฟุตบอลในแบบฉบับของสเปอร์ส เวย์ ในโครงการ “เอไอเอ สเปอร์ส อีลิท ฟุตบอล แคมป์ 2024” ซึ่งจะจัดขึ้นที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎธานี ในวันที่ 20-25 ตุลาคม นี้ โดยมีเยาวชนได้รับการคัดเลือกจากโค้ชสเปอร์สทั้งหมด 24 คน และตัวสำรองอีก 4 คน ได้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว

นางสาวญดา วงศ์ทองคำ รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารสิทธิพิเศษ และกิจกรรมลูกค้า เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการ เอไอเอ ไทยแลนด์ สเปอร์ส ฟุตบอล คลินิก 2024 ครั้งนี้นับเป็นปีที่ 11 ที่กิจกรรมนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อมุ่งสานฝันเยาวชนที่รักในกีฬาฟุตบอล อีกทั้งยังเป็นการสานต่อความมุ่งมั่นของเอไอเอ ในการสนับสนุนให้เยาวชนได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้านกีฬาฟุตบอล พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนรักในการเล่นกีฬา เพื่อส่งเสริมให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากโค้ชสเปอร์สมากประสบการณ์จากทีมสโมสรฟุตบอลระดับโลก ที่ได้วางแผนการฝึกซ้อมมาอย่างเข้มข้น เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนได้รับความรู้ และนำประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกทักษะไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ตอกย้ำถึงพันธกิจของเอไอเอ ที่ต้องการส่งเสริมให้เยาวชนและผู้คนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives”
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในหลายจังหวัดทางภาคเหนือของไทยอย่างเต็มกำลัง โดยล่าสุดได้ส่งทีมเน็ตเวิร์กลงพื้นที่ประสบภัยเพื่อดูแลสถานีฐานและเน็ตบ้านให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ ทั้งในจังหวัดน่าน เชียงราย พะเยา และแพร่ เป็นต้น พร้อมทั้งทีมภูมิภาคของทรู คอร์ปอเรชั่นเร่งนำอาหาร น้ำดื่มช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม

ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้มอบความช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่ประสบภัย ซึ่งรวมถึงการขยายวันใช้งานสำหรับลูกค้าเติมเงิน การระงับการตัดสัญญาณ และการขยายเวลาชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ารายเดือนของทรูมูฟ เอช ดีแทค ทรูออนไลน์ และทรูวิชั่นส์ เป็นเวลา 7 วัน แก่ลูกค้าในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดต่างๆ (รอรับ SMS ยืนยัน)

บริษัทฯ ยังคงดำเนินการตามแผนฉุกเฉินอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีทีมปฏิบัติการพิเศษประจำ BNIC (ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ) พร้อม AI คอยเฝ้าระวังและดูแลเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังได้เตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น รถโมบายล์ชุมสายเคลื่อนที่เร็ว (COW) และยานพาหนะสำหรับเข้าพื้นที่น้ำท่วม เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพแม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมเดินหน้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างเต็มกำลัง
นายพีระพงศ์ พิตรพิบูลพาทิศ (กลาง) ผู้บริหารสูงสุดสายงานสำนักกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับผู้ช่วยศาสตราจารย์รักขิต รัตจุมพฏ (ที่ 7 จากซ้าย) รองคณบดีฝ่ายวิชาการ และนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี รวม 19 คน ซึ่งมาร่วมศึกษาดูงานมหกรรมไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดี ครั้งที่ 33 ที่เคทีซีจัดขึ้นร่วมกับกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้นักศึกษาได้สัมผัสประสบการณ์จริงนอกห้องเรียนเป็นกรณีศึกษา และเรียนรู้แนวคิด รูปแบบ รวมทั้งเทคนิคการระงับข้อพิพาท เทคนิคของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ เทคนิคกระบวนการยุติธรรมชุมชน และหลักการของกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามกฎหมาย โดยมีนายณัชฐปกรณ์ หะไว (ที่ 6 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมเป็นเกียรติในงานฯ ณ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้
อนึ่ง งานมหกรรมไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดี ครั้งที่ 33 นี้ มีผู้เข้าร่วมไกล่เกลี่ยหนี้และรับเงื่อนไขการชำระ 1,479 ราย คิดเป็นภาระหนี้รวมทั้งสิ้น 158 ล้านบาท
เพราะพฤติกรรมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องใช้การดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ผู้คนมองหาโซลูชันที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง และยินดีที่จะลงทุนเพิ่มเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งไม่เพียงแค่ด้านการรักษาโรคแต่ยังรวมถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมอีกด้วย
จากการสำรวจโดย แมคคินซี แอนด์ คอมพานี (McKinsey & Company) พบว่าปัจจุบันมี 6 มิติของการดูแลสุขภาพที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ ได้แก่ Better Health มีสุขภาพที่ดี, Better Fitness มีสมรรถภาพร่างกายที่ดี, Better Nutrition มีโภชนาการที่ดี, Better Appearance มีรูปลักษณ์ที่ดี และ Better Mindfulness มีสติหรือความสงบทางใจที่ดี ดังนั้นผู้ให้บริการจึงต้องมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร เทคโนโลยี ฯลฯ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว
โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน พร้อมตอบรับการเปลี่ยนแปลงพลวัตทางสังคม เดินหน้าสู่ Digital Transformation นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยยกระดับการดูแลผู้ป่วยให้ลื่นไหลและสะดวกมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อดูแลสุขภาพก่อนเจ็บป่วย โดยเฉพาะในกลุ่ม Active Lifestyle ในทุกช่วงวัย ด้วยบริการทางแพทย์ที่เทียบเคียงระดับนานาชาติ และบุคลากรชำนาญการในหลากหลายสาขา เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าของทุกคน
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์ ยกระดับการรักษาที่มีคุณภาพ ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ได้แก่
สถาบันกระดูกและข้อ บริการตรวจวินิจฉัย ให้คำปรึกษาอาการทางกระดูกและข้อ ให้การรักษาโดยนำนวัตกรรม เทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามาช่วยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาทิ เทคโนโลยีการผ่าตัดกระดูกสันหลังแบบส่องกล้อง การส่องกล้องซ่อมแซมข้อไหล่ ข้อศอก และข้อเข่า ในผู้ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง และทีมสหสาขาวิชาชีพที่มีประสบการณ์สูง

ศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัดผ่านกล้อง ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การตรวจคัดกรองไปจนถึงการผ่าตัดโรคต่างๆ ในช่องท้อง รวมถึงโรคยากในช่องท้อง ได้แก่ โรคเกี่ยวกับระบบลำไส้ใหญ่ ไส้ติ่งอักเสบ ไส้เลื่อน นิ่วในถุงน้ำดี ภาวะอุดตันจากมะเร็ง ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่ทะลุ เลือดออกในลำไส้ใหญ่ ริดสีดวงทวารหนัก มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น โดยศัลยแพทย์ชำนาญการเฉพาะด้าน และใช้เทคโนโลยีการผ่าตัดส่องกล้อง แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นยำและปลอดภัยในการผ่าตัด

ศูนย์ทันตกรรมดิจิตอลและรากเทียม Digital Dentistry ถือเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกๆ ของไทยที่นำนวัตกรรมดิจิทัลมารักษาด้านทันตกรรมที่ได้มาตรฐานสากล ให้บริการดูแล รักษา ให้คำปรึกษาเรื่องทันตกรรมกับทุกวัยในครอบครัว ด้วยบริการที่รวดเร็ว แม่นยำ ตอบโจทย์กลุ่ม Active lifestyle เช่น นวัตกรรมทางทันตกรรมแบบดิจิตอล CAD/CAM เป็นเทคโนโลยีล่าสุด ที่ช่วยตอบโจทย์ในผู้ที่ต้องการรักษารากฟันเทียม, ครอบฟัน, สะพานฟัน, วีเนียร์ และการอุดฟันแบบอินเลย์ ออนเลย์ ช่วยลดระยะเวลาการรักษาให้เหลือเพียงวันเดียว จากที่เคยใช้เวลานาน รวมถึงศัลยกรรมปรับโครงหน้า ศัลยกรรมกระดูกใบหน้า และขากรรไกร นอกจากช่วยเรียกคืนความ มั่นใจ ยังช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น

พัฒนาการเด็ก Child Development ที่มีแพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่นดูแล ให้คำปรึกษาปัญหาพฤติกรรมและพัฒนาการในเด็กปกติทั่วไป เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า หรือกลุ่มเด็กพิเศษ ตลอดจนแนวทางการเลี้ยงดู รวมถึงด้านโภชนาการ เพื่อส่งเสริมศักยภาพการเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีพัฒนาการที่ดี สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม และสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คลินิกลดน้ำหนัก Weight Wellness ให้การดูแลรักษาสุขภาพด้วยแพทย์ผู้ชำนาญการ นักกายภาพบำบัด และทีมนักกำหนดอาหาร มุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่สาเหตุ เพราะการควบคุมน้ำหนักจะได้ผลดีและต่อเนื่องนั้นจำเป็นต้องทราบถึงปัญหาของน้ำหนัก ว่าเกิดจากน้ำหนักเกินหรือต่ำกว่าเกณฑ์หรือเป็นโรคอ้วน ดังนั้นผู้รับบริการจะได้รับการตรวจด้วยเครื่อง Inbody ทุกราย และได้ประเมินภาวะสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วย
นอกจากร่างกายที่ต้องได้รับการดูแลแล้ว จิตใจก็ต้องดูแลด้วยเช่นกัน ซึ่งปัญหาสุขภาพจิตนับเป็นภัยเงียบที่สังคมไทยแลทั่วโลกกำลังเผชิญ เพราะด้วยวิถีชีวิตคนเมืองที่มีความวุ่นวายและการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ทำให้เกิดภาวะเครียดสะสม นอนไม่หลับ วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ อารมณ์แปรปรวน Burn Out หรือภาวะหมดไฟในการทำงาน โดยจากข้อมูล Mental Health Check-in ของกรมสุขภาพจิต พบว่าคนไทยทุกช่วงอายุในปี 2563 - 2567 มีความเครียดสูง 8.04% มีภาวะเสี่ยงซึมเศร้า 9.47% และเสี่ยงฆ่าตัวตาย 5.39% ซึ่งที่ โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน พร้อมให้การดูแลสุขภาพใจของคนไทย โดยมีศูนย์ดูแล ได้แก่

ศูนย์จิตเวช Let’s talk ให้ความสำคัญเรื่องการดูแลสุขภาพกายและจิตใจควบคู่ไปพร้อมกัน พร้อมพื้นที่ทำกิจกรรมบำบัดในบรรยากาศอบอุ่น ปลอดภัย มีความเอาใจใส่รายละเอียดของความรู้สึกและอารมณ์ เพื่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ภายใต้การดูแลจากทีมจิตแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางที่มากประสบการณ์ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข และมีคุณค่า

นอกจากนี้ยังมี คลินิกเติมรัก Love Space พื้นที่ Safe Zone สำหรับทุกคน ดูแลครอบคลุมทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทางเพศ รวมถึงกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ด้วยโปรแกรมที่เหมาะสมเฉพาะรายบุคคล ด้วยคุณภาพและมาตรฐานภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ดูแลด้านสุขภาพเพศ ที่มีประสบการณ์ดูแลรักษากลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศในทุกช่วงวัย อีกทั้งยังสามารถรับคำปรึกษาผ่าน Telecare ได้
ตอกย้ำการเป็นโรงพยาบาลแห่งอนาคต นำเทคโนโลยีและระบบเอไอ อำนวยความสะดวกการดูแลสุขภาพของคนทุกเจนเนอเรชัน แก้ Pain Points การหาหมอไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้งโรงพยาบาลบนฟ้า โรงพยาบาลบนดิน และโรงพยาบาลโบยบิน เมื่อเร็วๆ นี้ ณ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา เพราะ #เราไม่อยากให้ใครป่วย โดยมี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธีแถลงข่าว นพ.ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช นพ.ภราดร กุลเกลี้ยง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา แขกผู้มีเกียรติและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ร่วมงานอย่างคับคั่ง
หลังจากนำร่องให้บริการประชาชนในพื้นที่ภาคตะวันออก ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา และโรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาการให้การบริการทางการแพทย์สู่ยุคดิจิทัล ขยายฐานการดูแลประชาชนในภาคตะวันออก ตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการในปัจจุบันและอนาคต วันนี้ “สมิติเวช” เดินหน้าเต็มสูบ เปิดตัวโรงพยาบาลบนฟ้า โรงพยาบาลบนดิน และโรงพยาบาลโบยบิน (Cloud Hospital) ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการสุขภาพทางไกลมากถึง 246,205 ครั้ง ช่วยประหยัดเวลาได้ถึง 30% เฝ้าติดตามสุขภาพโดยทีมสหวิชาชีพให้ผู้รับบริการกว่า 322 คน โดย 99% ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากค่าน้ำตาลสูงหรือต่ำเกินไป ในระยะแรกจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 08.00-20.00 น.

นพ.ชัยรัตน์ ปัญฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวชและโรงพยาบาลบีเอ็นเอช กล่าวว่า ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงอย่างมากและรวดเร็ว ความต้องการของผู้รับบริการก็เปลี่ยนไปเช่นกัน “สมิติเวช” ทำเรื่องเกี่ยวกับนวัตกรรมมากว่า 10 ปี และทุกนวัตกรรมสิ่งสำคัญคือ ต้องสร้างคุณค่าให้กับผู้คน เราไม่ต้องการองค์กรแห่งความสำเร็จ แต่เราต้องการเป็นองค์กรแห่งคุณค่า เพราะเป็นประโยชน์กับชุมชน เป็นประโยชน์กับผู้รับบริการทั้งสิ้น
จากนี้ไป ใครอยากหาหมอแต่ไม่อยากมาโรงพยาบาล จะพบกับสมิติเวชในรูปแบบของ “โรงพยาบาลบนฟ้า” เป็น Cloud Hospital มีความแตกต่างจากทั่วๆ ไปมากมาย ด้วยระบบแพลตฟอร์มของ TeleSmartCare ให้คำปรึกษา วินิจฉัย และรักษาปัญหาสุขภาพเฉพาะบุคคล ผ่านระบบบริการสุขภาพทางไกลโดยแพทย์เฉพาะทาง รวมทั้งนัดหมายแพทย์ จ่ายเงิน จัดส่งยาถึงบ้าน บริการช่องทางด่วนในการตรวจสุขภาพ และฉีดวัคซีน ช่วยแก้ปัญหา ผู้รับบริการไม่อยากมาโรงพยาบาล ไม่อยากรอนาน เน้นผู้รับบริการที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ผู้รับบริการที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตอบโจทย์การเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้วยราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้

ถ้ามาโรงพยาบาลไม่อยากรอ สมิติเวช จัด “โรงพยาบาลบนดิน” มี Smart OPD / Smart IPD เป็นตัวช่วยของผู้รับบริการ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ทั้งการดูประวัติการรักษา นัดหมายแพทย์ จ่ายเงิน แจ้งเตือนการกินยา ติดตามสถานะการผ่าตัด ติดตามแผนการรักษา ช่วยแก้ปัญหา ไม่อยากรอนาน คลายกังวล สะดวกสบาย เมื่อเข้ามาใช้บริการ โดยทุกอย่างเป็นแบบเรียลไทม์
รวมถึงกรณีที่ต้องการยกโรงพยาบาลไปอยู่ที่บ้านก็สามารถทำได้ ด้วย “โรงพยาบาลโบยบิน” เป็นลักษณะแพลตฟอร์มของ Samitivej@Home นำบริการของโรงพยาบาลไปสู่ผู้รับบริการที่บ้าน เช่น บริการเจาะเลือด บริการล้างแผล เฝ้าไข้ กายภาพบำบัด ดูแลมารดาหลังคลอด ด้วยทีมวิชาชีพ ช่วยแก้ปัญหา เมื่อผู้รับบริการไม่สะดวกมาโรงพยาบาล มีผู้ใช้บริการแล้ว 1,200 คน ดูแลสุขภาพคนในชุมชนมากกว่า 20 ชุมชน ช่วยฟื้นฟูความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่า 97% เมื่อทำกายภาพต่อเนื่องที่บ้าน ลดอัตราการกลับมารักษาซ้ำที่โรงพยาบาลมากกว่า 95% นอกจากนี้ ยังนำระบบ AI เข้ามาช่วยในการมอนิเตอร์ควบคุมโรคของผู้รับบริการได้ดียิ่งขึ้น เหล่านี้คือมิติใหม่ทางการแพทย์ที่สมิติเวชพยายามจัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการทั้งปัจจุบันและอนาคต
“โครงการนี้เป็นโครงการเพื่อชุมชนและเพื่อประเทศชาติ ถ้าสามารถนำโครงการนี้ ซึ่งสมิติเวชทำเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ไปขยายต่อ ไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องมีหมอจำนวนมาก และค่าใช้จ่ายต่างๆ จะลดลง เมื่อค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพลดลง ทุกคนแข็งแรง ค่าจีดีพีก็จะดีขึ้น นำไปสู่ประเทศชาติเจริญ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และตอบโจทย์ทุกเจนเนอเรชัน”

นพ.ชัยรัตน์ บอกอีกว่า ในเฟซต่อไปจะมีระบบเอไอเข้ามาอีกมาก เพียงแต่ว่าต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะระบบเอไอจะต้องมีความแม่นยำ ซึ่งโดยรวมจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนมาก ยกตัวอย่าง โรงพยาบาลบนดิน เมื่อมีการใช้ระบบ #ไม่อยากให้ใครป่วย สามารถช่วยผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจได้มากถึง 217 ราย ด้วยระบบ Smart Care ทำให้ทราบความเสี่ยงก่อนและสามารถช่วยชีวิตได้ นี่เป็นเรื่องของการสร้างคุณค่าอย่างแท้จริง

ทางด้าน นพ.ภราดร กุลเกลี้ยง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา กล่าวเสริมในส่วนของโรงพยาบาลโบยบินว่า ในบางสถานการณ์ที่ต้องการกลับไปดูแลที่บ้าน สมิติเวชจะนำมาตรฐานทางการแพทย์ที่สูง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องช่วยหายใจก็ดี การจัดเตียงดูแลผู้ป่วยที่บ้านก็ดี เพื่อทำให้เกิดความสะดวกสบายและเหมาะสมขึ้นกับคนไข้ในแต่ละราย เช่นกรณีของผู้ป่วยรายหนึ่งที่เข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลังเสื่อม โดยปกติจะต้องอยู่ดูแลที่โรงพยาบาล 7-10 วันจึงจะเริ่มหัดเดิน เราสามารถออกแบบแผนการรักษาแค่ 3 วัน และมีแพทย์ไปดูแลรักษาที่บ้าน มีพยาบาลตามไปดูแลติดตามอาการ ผู้รับบริการมีความสุขมากขึ้น และฟื้นตัวเร็ว ซึ่งมีตัวเลขแสดงผลชัดเจน เช่นรายนี้เพียงสัปดาห์เดียวสามารถเดินได้แล้ว

ปัจจุบัน โรงพยาบาลโบยบิน ไม่เพียงให้บริการในเขตจังหวัดชลบุรี ยังครอบคลุมพื้นที่จังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา ซึ่งผลจากการวิจัยและดูแลเฝ้าระวังสุขภาพพบว่า ส่งผลดีกับผู้ป่วย ระยะเวลาฟื้นตัวเร็วกว่า 75% ลดอัตราการรักษาซ้ำ ระยะเวลารอคอยในโรงพยาบาล ลดเวลาการเดินทาง สามารถกลับมาทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
การเจ็บป่วยบางครั้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อเกิดการเจ็บป่วย สมิติเวชมีมาตรฐานการดูแลที่แตกต่างจากที่อื่น ใช้เทคโนโลยีช่วยเพื่อให้คนไข้ได้ประโยชน์สูงสุด
Reachly เอเจนซี่ผู้เชี่ยวชาญด้าน Lead Generation (กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่จะช่วยเพิ่มลูกค้า สร้างยอดขาย โดยการดึงดูดลูกค้า) ได้ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการสำหรับการให้บริการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ก่อตั้งโดยคุณมาร์ค แมคโดแว็ล ซีอีโอของบริษัท ไพรมอล (Primal) ซึ่งเป็นหนึ่งในเอเจนซี่ด้าน SEO ชั้นนำของประเทศไทย และคุณทิโบ การ์เซีย อดีตพนักงานบริษัท อโกด้า (Agoda) ที่มีประสบการณ์ยาวนานในด้านการขายและการตลาดแบบ B2B โดย Reachly ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการสำหรับบริษัท B2B ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
บริการของ Reachly มุ่งเน้นที่กลยุทธ์การสร้าง Lead Generation ผ่านการใช้ Linkedin และอีเมล เพื่อพัฒนาการตอบโจทย์ในแต่ละองค์กรเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย และนำเสนอโซลูชันที่ครบวงจรให้กับบริษัทที่ต้องการขยายตลาด ผ่านการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้ข้อมูลที่มีความสำคัญเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
คุณมาร์ค แมคโดแว็ล และ คุณทิโบ การ์เซีย ได้ก่อตั้ง Reachly ขึ้นจากประสบการณ์ในวงการมาอย่างยาวนาน จากความรู้ความเชี่ยวชาญกว่า 10 ปีในด้านการตลาดดิจิทัลและการบริหารงานที่บริษัท Primal ส่วนคุณแมคโดแว็ลนั้นมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการสร้างช่องทางการขายที่นำไปสู่ความสำเร็จ ทางด้านคุณการ์เซีย อดีตที่ปรึกษาด้านการสร้าง Lead Generationได้สร้างความสำเร็จให้ลูกค้ากว่า 450 รายผ่านการดำเนินการด้านกลยุทธ์ และสร้างดีลที่มีมูลค่าสูงสุดถึง 7 หลัก ความเชี่ยวชาญของทั้งสองท่านจึงเป็นข้อพิสูจน์ถึงคุณภาพของบริการที่ Reachly นำเสนออย่างแท้จริง
นอกจากการสร้างโอกาสในการขายแล้ว Reachly ยังให้บริการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลหรือ Personal branding สำหรับ LinkedIn เพื่อการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์แก่ผู้นำด้านธุรกิจ โดยบริการของ Reachly เหมาะกับเจ้าของธุรกิจ กรรมการผู้จัดการ ซีอีโอ และผู้ก่อตั้งบริษัท B2B ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ไทย และออสเตรเลีย
ทางเอเจนซี่เน้นไปที่ธุรกิจที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ และมีราคาผลิตภัณฑ์/บริการ (หรือ LTV) ขั้นต่ำ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ Reachly ยังมุ่งเป้าไปที่บริษัทที่ซีอีโอหรือผู้ก่อตั้งต้องการสร้างระบบ Lead Generation อีกด้วย ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ โดยเฉพาะธุรกิจที่สนใจการตลาดดิจิทัลและการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคล จะได้รับประโยชน์จากบริการของ Reachly จากผลของความสำเร็จที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า Reachly จะสามารถช่วยให้ลูกค้าได้รับการตอบแทนจากการลงทุน 5 ถึง 10 เท่าภายใน 6 เดือน ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและผลกระทบของบริการการสร้าง Lead Generation แบบครบวงจรของ Reachly
คุณทิโบ การ์เซีย ผู้ร่วมก่อตั้ง Reachly กล่าวว่า “การเปิดตัว Reachly ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างท่วมท้นและนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้เห็นถึงการเดินทางของเรา ตั้งแต่การสร้างช่องทางการขายที่ประสบความสำเร็จของบริษัท Primal ไปจนถึงการสร้างบริการและสร้างโอกาสในการขายของ Reachly ที่สามารถโดนใจผู้คนมากมาย ซึ่งเราให้ความสำคัญกับข้อแนะนำและการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยในช่วงต้นนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณค่าของแนวทางและความต้องการผ่านความเชี่ยวชาญของเรา”
การเปิดตัวของ Reachly นับว่าเกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่เหมาะสม ขณะที่ธุรกิจจำนวนมากในภูมิภาคกำลังมองหาวิธีที่มีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเพิ่มยอดขายในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยความทุ่มเทในการนำเสนอโซลูชันแบบครบวงจรของทางเอเจนซี่นั้น เป็นการให้คำมั่นสัญญาว่าเราจะเดินหน้านำเสนอการให้บริการที่มีคุณค่าต่อบริษัท B2B ที่ต้องการพัฒนาการเติบโตของธุรกิจอย่างแท้จริง
เราขอเชิญให้ธุรกิจต่าง ๆ ทำความรู้จักกับเราพร้อมเรียนรู้ถึงวิธีการที่ Reachly จะสามารถช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตได้อย่างไร หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Reachly และบริการต่าง ๆ สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์