December 16, 2025

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง และดร.ธนวันต์ สินธุนาวา นายกสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง การขับเคลื่อนสถานศึกษาคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) โครงการ Energy Mind Award Season 2 ระหว่าง MEA และสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย) พร้อมมอบรางวัลกิจกรรมการประกวดคลิปสั้นหัวข้อ "การอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน โครงการ Energy Mind Award Season 2 " โดยมี นายสมบัติ จันทร์กระจ่าง รองผู้ว่าการ MEA เป็นผู้มอบรางวัล

นอกจากนี้ MEA เปิดสตูดิโอให้เยาวชนเยี่ยมชมการทำงานเบื้องหลังถ่ายทำผลิตรายการ และเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าชิดลมที่มีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทันสมัยในการควบคุมระบบไฟฟ้าที่เรียกว่า ระบบ SCADA/EMS/DMS (Supervisory Control and Data Acquisition/Energy Management System/Distribution Management System) ใช้ในการตรวจสอบสถานะของการจ่ายกระแสไฟฟ้า วิเคราะห์สถานการณ์หรือสภาพการจ่ายกระแสไฟฟ้า การทำงานของระบบควบคุมไฟฟ้า ช่วยให้การบริหารจัดการควบคุมแรงดันและการจ่ายกระแสไฟฟ้ามีประสิทธิภาพ มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ณ การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานเพลินจิต

 

ผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญในด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายที่จะต่อยอดจากการดำเนินงานที่ผ่านมา โดยพัฒนาสถานศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ก้าวไปสู่การเป็นสถานศึกษาต้นแบบด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สร้างเสริมนักเรียนให้เป็นเยาวชนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเป็นนักเรียนแกนนำด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ปลูกฝังและสร้างเยาวชนรุ่นใหม่หัวใจสีเขียว (Green Youth) ส่งมอบสู่สังคมไทย เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมต่อไป

แต่ก่อนถ้าไปเที่ยวเชียงใหม่ หรือหาดใหญ่ หลายคนคงต้องเคยได้นั่ง “รถแดง” หรือ “ตุ๊กตุ๊ก” รถสาธารณะของคนท้องถิ่นที่กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำจังหวัด ที่ไม่ว่านักท่องเที่ยวชาวไทย หรือชาวต่างชาติต้องขอมาถ่ายรูป และลองนั่งดูสักครั้ง แต่เมื่อวิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป ทางเลือกในการเดินทางที่สะดวกสบายมีมากขึ้น ทำให้การนั่ง “รถแดง” หรือ “ตุ๊กตุ๊ก” ไม่ได้รับการนิยมเหมือนแต่ก่อน ทำให้คนขับรถรับจ้างเหล่านี้ต้องปรับตัวให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคใหม่ เหมือนเช่นสองคนขับ ไพรัช ชัยลำพูน คนขับรุ่นใหญ่ที่ให้บริการรถแดงที่เชียงใหม่เป็นเวลากว่า 20 ปี และ ธนัท กิตติภูริคุณ คนขับรถตุ๊กตุ๊กในหาดใหญ่ผู้มีใจรักงานบริการ ที่เริ่มหันมาให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันแกร็บเพื่อเป็นรายได้เสริม

กู้ชื่อเสียง “รถแดง” เอกลักษณ์คู่เมืองเชียงใหม่ที่คนหลงลืม 

“รถแดง” เป็นรถโดยสารสาธารณะที่อยู่คู่จังหวัดเชียงใหม่มาอย่างยาวนาน การขึ้นรถแดงเดินทางรอบเมืองเชียงใหม่ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสสัมผัสวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด โดย “ไพรัช ชัยลำพูน” หรือ พี่ไพรัช คนขับรถแดงวัย 53 ปี ที่ให้บริการขับรถแดงมากว่า 20 ปี เล่าว่า เหตุผลที่ทำให้เขาสามารถทำอาชีพนี้มาได้อย่างยาวนาน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาภูมิใจที่สิ่งที่ตัวเองทำ รถแดงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ และยังสนุกที่ได้พานักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมเชียงใหม่ เมืองบ้านเกิดที่เขารัก 

พี่ไพรัช เผยว่า ในช่วงปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเริ่มโบกเรียกรถแดงน้อยลง เนื่องจากความกังวลในราคาที่ไม่ชัดเจน หรือเคยโดนโก่งราคาแบบไม่สมเหตุสมผลมาก่อน ซึ่งในขณะที่เขากังวลว่าจะไปไม่รอด เป็นจังหวะเดียวกับที่แกร็บติดต่อเข้ามาผ่านสหกรณ์ เพื่อชวนคนขับรถแดงให้มาร่วมให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งพี่ไพรัชก็ไม่รอช้า ตัดสินใจเข้าร่วมให้บริการผ่านแกร็บเป็นกลุ่มแรกๆ “ผมไม่เคยมีรายได้เยอะขนาดนี้มาก่อน จนได้ลองมารับผู้โดยสารกับแกร็บ” พี่ไพรัชกล่าว การเข้าให้บริการผ่านแอปพลิเคชันเพื่อหารายได้เสริมทำให้เขาเห็นแสงสว่างของการรักษาอาชีพที่เขารักเอาไว้

“ปกติถ้าจะขึ้นรถแดงเที่ยวเชียงใหม่ ผู้โดยสารสามารถโบกรถขึ้นได้เลยตามทาง ซึ่งส่วนใหญ่รถแดงจะจอดอยู่ตามสถานที่สำคัญต่างๆ ในเมือง อย่างสถานีขนส่ง หรือโซนนิมมาน ในขณะที่เวลาให้บริการบนแกร็บ ผู้โดยสารจะเรียกเราจากที่ไหนก็ได้ จะเรียกไปส่งไกลถึงแม่สอด ปาย หรือแม้แต่เชียงรายก็ได้ ซึ่งง่ายต่อทั้งผู้โดยสารและคนขับ”

พี่ไพรัชเล่าต่อว่าตั้งแต่ให้บริการผ่านแกร็บมา 5 ปี เขามีโอกาสรับส่งลูกค้าในระยะที่ไกลขึ้น มีรายได้มากขึ้น อีกทั้งการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังสะดวกสบาย คนขับไม่ต้องถูกต่อราคา ผู้โดยสารก็ไม่ต้องกลัวโดนเรียกค่าบริการที่แพงเกินไป 

“การเรียกรถแดงผ่านแอปฯ ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวในเรื่องของราคาที่มีมาตรฐาน ในขณะที่คนขับก็สามารถพาผู้โดยสารไปส่งยังจุดหมายได้อย่างถูกต้องตาม GPS ทำให้นักท่องเที่ยวมั่นใจและอยากกลับมานั่งรถแดงอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการรักษาเอกลักษณ์ท้องถิ่นของเชียงใหม่เอาไว้”

พี่ไพรัชยังเสริมว่า นักท่องเที่ยวชอบถ่ายรูปกับรถแดง เพราะให้ความรู้สึกว่ามาถึงเชียงใหม่แล้ว บางคนไม่ได้เป็นลูกค้าแต่ขอถ่ายรูปกับรถ เขาก็ไม่เคยเก็บเงิน ยินดีให้ถ่ายเต็มที่ เพราะการที่คนให้ความสนใจถ่ายรูปกับรถแดง ถือว่าได้โปรโมทเชียงใหม่ไปในตัวด้วย

“รถตุ๊กตุ๊ก” รถท้องถิ่นของคนหาดใหญ่ที่ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว

นอกจากจังหวัดท่องเที่ยวสุดฮอตอย่างเชียงใหม่แล้ว รถสองแถวที่คนหาดใหญ่เรียกกันว่า “รถตุ๊กตุ๊ก” ก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย  ซึ่งเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่อยู่ไม่ไกลจากอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

“ธนัท กิตติภูริคุณ” หรือ พี่ธนัท คนขับตุ๊กตุ๊กวัย 47 ปีจากหาดใหญ่ เล่าว่า “รถตุ๊กตุ๊ก คือรถที่สามารถสร้างความสุขให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวแนวครอบครัว เพราะเด็กๆ จะรู้สึกสนุก แฮปปี้ ส่วนผู้สูงอายุก็มีพื้นที่ในการยืดขา อายุเท่าไหร่ก็เลยขึ้นได้ไม่มีปัญหา” 

พี่ธนัท ยังเสริมว่า “การขับรถตุ๊กตุ๊กที่หาดใหญ่ค่อนข้างสบายและเป็นอิสระ เพราะสามารถเลือกเวลาทำงานได้เอง ไม่เหมือนรถสาธารณะประเภทอื่นที่ต้องมีตารางเวลางานที่ชัดเจน” การเลือกเวลาทำงานได้เป็นข้อดีที่ตรงกับวิถีการใช้ชีวิตของพี่ธนัท เพราะเขาสามารถช่วยภรรยาดูแลสวนยางที่บ้านตอนเช้าก่อนออกไปขับตุ๊กตุ๊ก พร้อมได้มีเวลาอยู่ดูแลลูกที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายได้มากขึ้น  

พี่ธนัทขับตุ๊กตุ๊กมาเกือบ 17 ปีแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำงานขับรถบรรทุก ก่อนที่จะผันตัวมาขับตุ๊กตุ๊กบริเวณตลาดอาเซียน ไนท์บาซาร์ และ บขส.หาดใหญ่ เป็นหลัก รวมถึงให้บริการบริเวณตัวเมืองสงขลา ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ และด่านศุลกากรสะเดา เป็นครั้งคราว เนื่องจากตลาดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวมาเลเซีย “ผมตัดสินใจเข้าร่วมให้บริการผ่านแกร็บมาได้กว่า 6 เดือนแล้ว ตั้งแต่นั้นก็ทำให้มีรายได้เข้ามาตลอดไม่ขาดมือ เพราะนักท่องเที่ยวสามารถเรียกรถจากตรงไหนก็ได้ ตอนไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอช่วงไฮซีซั่นหรือบริเวณที่มีคนมาก ถึงแม้ในช่วงโลว์ซีซั่นรายได้จะลดลงบ้าง แต่ว่ายังดีกว่าช่วงก่อนเข้าร่วมกับแกร็บ ก่อนนั้นถือว่าค่อนข้างลำบาก ต้องคอยรอนักท่องเที่ยวจากจุดประจำที่มีคนเยอะบ้างน้อยบ้างตามเวลา เนื่องจากรายได้หลักของครอบครัวมาจากการขับตุ๊กตุ๊ก ถือว่าแกร็บได้ช่วยเพิ่มทางเลือก ทำให้เราได้มีลูกค้ามากขึ้นนอกจากการรอลูกค้าที่โบกรถ” พี่ธนัทกล่าว

“จริงๆ นักท่องเที่ยวหลายคนมีรถตู้ส่วนตัวไว้เดินทางกัน แต่พอถึงหาดใหญ่เขาเลือกที่จะจอดไว้ที่โรงแรม แล้วกดแอปฯ เรียกรถตุ๊กตุ๊กกัน เพราะเขาชอบที่ได้เห็นวิว บรรยากาศรอบเมืองโดยไม่ต้องมีกระจกมากั้น” พี่ธนัทเล่าด้วยความดีใจผ่านน้ำเสียงที่ซาบซึ้ง ที่รถตุ๊กตุ๊กยังเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวมองหาและเลือกใช้บริการ 

“แกร็บเป็นเหมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่างคนขับและนักท่องเที่ยว คนขับไม่ต้องหาลูกค้าเอง ราคาชัดเจน ไม่ต้องต่อรอง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่นได้อย่างใกล้ชิด ได้รู้จักเอกลักษณ์การเดินทางของประเทศไทยแบบที่หาไม่ได้จากที่ไหน” พี่ธนัทกล่าวทิ้งท้าย

ปี 2567 นับเป็นปีแห่งการเลือกตั้งที่สำคัญอย่างมากครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เนื่องจากมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้นหลายประเทศในทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งที่ผ่านไปแล้วอย่าง รัสเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส อังกฤษ และที่ต้อง จับตาอย่างมากคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ย่อมส่งผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจและกระทบต่อภูมิทัศน์การลงทุนทั่วโลกอย่างแน่นอน

ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ กับจุดเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจโลก

การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการเลือกตั้งที่น่าจับตามองมากที่สุดด้วยหลายเหตุผลไม่ว่าจะเป็น อิทธิพลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายจากผู้นำคนใหม่ย่อมจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งความไม่แน่นอนทางการเมืองนี้สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงและอาจจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่น ในด้านของเศรษฐกิจที่นโยบายของสองผู้สมัครที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน โดย โดนัลด์ ทรัมป์ เน้นนโยบายการลดภาษี การลดข้อบังคับทางธุรกิจ และเการเจรจาทางการค้าที่ยุติธรรมและเป็นมิตรต่อธุรกิจ ซึ่งนโยบายเหล่านี้อาจนำไปสู่การเติบโตของภาคธุรกิจในประเทศและการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น ในขณะที่ ความตึงเครียดทางการค้ากับประเทศอื่นอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนระหว่างประเทศ ในขณะที่ คามาลา แฮร์ริส มีนโยบายไม่แตกต่างจาก ประธานาธิบดี โจ ไบเดน มากนัก โดยยังคงเน้นนโยบายการลงทุนในพลังงานสะอาด การเพิ่มภาษีคนรวย และการเสริมสร้างระบบสวัสดิการสังคม โดยนโยบายเหล่านี้อาจนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจในระยะยาว แต่ในระยะสั้นอาจสร้างความไม่แน่นอนและความผันผวนในตลาดการลงทุน

ทิศทางการลงทุนก่อน-หลังเลือกตั้ง

เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดช่วงระหว่างก่อนและหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ผ่านมา จะพบว่าตลาดหุ้นผันผวนสูงทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง แต่การฟื้นตัวของตลาดหลังการเลือกตั้งมักเป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากมีปัจจัยจากนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน เช่น การเลือกตั้งในปี 2559 ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นตอบสนองในทางบวกช่วงหลังการเลือกตั้ง ตรงกันข้ามกับช่วงก่อนการเลือกตั้งที่ตลาดมีความผันผวนสูง และการเลือกตั้งในปี 2563 ที่โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นต่างมีความผันผวนทั้งก่อน และหลังการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน และสำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้ คาดการณ์ว่าภาพรวมการลงทุนของตลาดจะอยู่ในทิศทางบวก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นต่อได้ เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศ ยังคงแข็งแกร่ง แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงแรก แต่หลังจากสถานการณ์เงินเฟ้ออ่อนตัวดีขึ้น พร้อมทั้งถ้อยแถลงจากประธาน FED ล่าสุดมีการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนกันยายนนี้ โดยที่ตลาดคาดการณ์ว่า FED มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้

นอกจากนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น หลังจากที่มีการเปลี่ยนผู้ท้าชิงจากฝั่งเดโมแครต ส่งผลให้การแข่งขันของทั้งสองพรรคกลับมาสูสีกัน และยากที่จะคาดเดาว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป ทำให้เกิดความผันผวนสูงกว่าเมื่อเทียบกับในอดีต ดังนั้น การกระจายการลงทุนและจัดการด้านความเสี่ยงถือเป็นหลักสำคัญในสภาวะตลาดเช่นในปัจจุบัน

กระจายการลงทุนตามหลักการ Risk-Based Asset Allocation คือทางออกในการรับมือกับความผันผวน ALL ROADS Series โอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคง จำกัดผลกระทบแม้ในสถานการณ์ไม่แน่นอน

ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและคาดการณ์ได้ยากจากสถานการณ์เช่นนี้ KBank Private Banking แนะนำให้นักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนตามหลักการ Risk-Based Asset Allocation โดย แบ่งเงินลงทุน 50-70% ของพอร์ตลงทุนในกองทุน ALL ROADS Series ไม่ว่าจะเป็น K-ALLRD-UI-A(A),  K-ALLGR-UI-A(A) และ K-ALLEN-UI-A(A) ที่กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภททั่วโลก ช่วยให้พอร์ตการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนพร้อมทั้งจำกัดความเสียหายในทุกสภาวะตลาด และยังมาพร้อมกลไกอัจฉริยะที่กำหนดสัดส่วนการลงทุนให้สมดุลโดยอัตโนมัติ ในสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน อาทิ ในช่วงตลาดปกติเพิ่มอัตราทดเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ขณะเดียวกันในช่วงตลาดผันผวน ลดสัดส่วนการลงทุน ถือครองเงินสดมากขึ้นเพื่อลดความเสียหาย ที่ผ่านมาในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ กองทุนสามารถจัดการกับความเสียหายให้อยู่ในกรอบที่กำหนด สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในสภาพตลาดที่หลากหลาย โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมากองทุนหลัก LO FUNDS - ALL ROADS Series ในต่างประเทศสร้างผลตอบแทนและควบคุมความผันผวนได้ดีสมํ่าเสมอ และสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ ถ้าลงทุนอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป

นอกเหนือจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่นักลงทุนต้องติดตาม ยังมีสิ่งอื่นที่นักลงทุนต้องจับตาเพิ่มเติม ไม่ว่าเป็น ความกังวลต่อเรื่อง Recession ที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ หรือยังเป็น Soft Landing ตามที่เคยคาดไว้ การลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ที่จะลดครั้งละ 0.25% ในเดือนกันยายน พฤศจิกายน และธันวาคมในปีนี้ โดยคาดว่าดอกเบี้ยจะลดลงไปอยู่ที่ 3.75% และคงอยู่ในระดับสูง (Higher for longer) ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะจบลง ซึ่งล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุน ดังนั้น นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงได้ในทุกสถานการณ์  

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ของ KBank Private Banking ได้ที่ https://kbank.co/3ETkS5v


คำเตือน

กองทุน ALL ROADS Series ประกอบด้วย กองทุน K-ALLRD-UI-A(A),  K-ALLGR-UI-A(A) และ K-ALLEN-UI-A(A) (เป็นกองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ

  1. ระดับความเสี่ยงกองทุน : ระดับ 8+ / ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน : การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน
  2. โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า/เงื่อนไขผลตอบแทน/ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
  3. ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน
  4. สนใจลงทุน และขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทที่จัดการและผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน

 

เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ศูนย์การค้าเกทเวย์ แอท บางซื่อ ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร จัดกิจกรรม “RMUTP OPEN HOUSE X GATEWAY AT BANGSUE เปิดประตูสู่ทุกโอกาส” โดยศูนย์การค้าเกทเวย์ แอท บางซื่อ ได้เปิดพื้นที่ ให้แก่นักศึกษาและคณาจารย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เพื่อแสดงศักยภาพและผลงานของนักเรียน นักศึกษา รวมถึงคณาจารย์ออกสู่สายตาประชาชน ที่ชั้น M ศูนย์การค้าเกทเวย์ แอท บางซื่อ

นำโดย คุณเอกกฤตา แก้วพูลศรี ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าเกทเวย์ แอท บางซื่อ เป็นตัวแทนศูนย์การค้าร่วมทำพิธีเปิด ในวันที่ 21 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยมีการมอบเกียรติบัตรให้แก่พิธีมอบเกียรติบัตรแสดงความขอบคุณแก่คณาจารย์และนักศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ ที่ได้ร่วมกันเพนท์ผนังกับผลงานชื่อ “บางซื่อที่คิดถึง” ให้กับศูนย์การค้า

ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย ได้แก่ การประกวดขับร้องเพลงไทยสากลชายหญิงระดับมัธยมศึกษา ชิงทุนการศึกษา: RMUTP Singing Award 2024 การแสดงแฟชั่นโชว์ จากคณะอุตสาหกรรมสิ่งทอและออกแบบแฟชั่น การแสดงศิลปะการต่อสู้มวยไทย โดยชมรมกีฬาต่อสู้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร การแข่งขันกีฬาครอสเวิร์ด มทร.พระนคร และการแข่งขันกีฬา E-Sport พระนครเกมส์ ครั้งที่ 17 และมีการออกบูธแสดงผลงานทางวิชาการแนะนำหลักสูตร การรับสมัครนักศึกษา ปีการศึกษา 2568 การแนะแนวการศึกษา การแสดงผลงานโดดเด่นจาก 9 คณะ 2 สถาบัน  ประกอบด้วย คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ผลงานนวัตกรรมหุ่นยนต์อัตโนมัติเดินตามเส้น, คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ กิจกรรมแสดงผลงานด้านคหกรรมศาสตร์, คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน ผลงานเกมจากเทคโนโลยีแว่น VR, คณะบริหารธุรกิจ ผลงานหุ่นยนต์ช่วยสอนภาษาอังกฤษ Ajarn Robot, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผลงานวิจัยผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์คริสตัลจากวัสดุธรรมชาติ และโมเดลฟิกเกอร์ 3D, คณะวิศวกรรมศาสตร์  กิจกรรมแนะนำหลักสูตร, คณะศิลปศาสตร์ ผลงาน Gamification กับการเรียนรู้อย่างยั่งยืน กิจกรรมนันทนาการดิจิทัลสู่เมืองอัจฉริยะ แหล่งเรียนรู้เส้นทางท่องเที่ยวในยุคศตวรรษที่ 11, คณะอุตสาหกรรมสิ่งทอและออกแบบแฟชั่น ผลงานการออกแบบชุดแฟชั่นโชว์ของนักศึกษาและชุมชน, คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ กิจกรรมถ่ายภาพด้วยเทคโนโลยี AR และ 3D Printing, สถาบันสหวิทยาการดิจิทัลและหุ่นยนต์ ผลงานสาธิตแขนกลหุ่นยนต์ Dobot และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี, สถาบันอัญมณี เครื่องประดับไทย และการออกแบบ กิจกรรมเรียนรู้และสาธิตการทำเครื่องประดับอัญมณี,  กิจกรรมเช็คดวงการเรียนจากไพ่ทาโรต์ ฟรี! จากคณะงานสื่อสารองค์กร

“ดีพร้อม” หนุนอุตสาหกรรมเครื่องดื่มชุมชน เร่งให้การส่งเสริม 3 กลุ่มหลัก กาแฟ , โกโก้ และสุราพื้นบ้าน ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อยกระดับเข้าสู่มาตรฐานสากล และขยายไปสู่ตลาดในวงกว้าง พร้อมจัดงานใหญ่ “CRAFT DRINK BY DIPROM” ระดมสินค้าเครื่องดื่มชุมชนทั่วประเทศกว่า 120 ราย ร่วมจำหน่ายสินค้าคุณภาพสูง

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเครื่องดื่มชุมชน เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมพื้นบ้านที่สำคัญของไทย ที่สร้างรายได้ให้กับชุมชนเป็นจำนวนมาก และยังช่วยส่งเสริมการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตในท้องถิ่น จึงทำให้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มในแต่ละพื้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน ซึ่งหากนำมาพัฒนาต่อยอด ก็จะสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นได้อีกมาก

ดังนั้น ดีพร้อม จึงได้ให้การส่งเสริมอย่างเต็มที่ โดยได้มุ่งเน้นในสินค้า 3 กลุ่มที่สำคัญ คือ 1. กาแฟ 2. โกโก้ และ3. สุราพื้นบ้าน โดยในส่วนของ กาแฟ ดีพร้อม ได้มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในต้นน้ำ จะมุ่งเน้นการสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตกับเกษตรกร เพื่อพัฒนาและสนับสนุนเทคโนโลยีเครื่องจักรการปลูก การเก็บเกี่ยว และการหมักเมล็ดโกโก้กลางน้ำ จะมุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม กระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์โกโก้ เพื่อพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยี การยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากล ส่วนปลายน้ำ จะมุ่งเน้นการสนับสนุนการทำงานในรูปแบบคลัสเตอร์ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานโกโก้ เพื่อรองรับการนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ ด้วยการ Matching เกษตรกรหรือผู้ผลิตและผู้ค้าในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาระบบตลาด E-commerce พร้อมทั้งเชื่อมโยงการเข้าถึงแหล่งทุน และมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ

ส่วน โกโก้ จะมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยในส่วนของต้นน้ำจะมุ่งเน้นการ สนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตกับเกษตรกร เพื่อพัฒนาและสนับสนุนเทคโนโลยีเครื่องจักรการปลูก การเก็บเกี่ยว และการหมักเมล็ดโกโก้กลางน้ำ จะมุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมกระบวนการผลิตโกโก้ เพื่อพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ และการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากล ส่วนปลายน้ำ จะเน้นการสนับสนุนการทำงานในรูปแบบคลัสเตอร์ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานโกโก้ เพื่อรองรับการนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ ด้วยการ Matching เกษตรกรหรือผู้ผลิตและผู้ค้าในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาระบบตลาด E-commerce พร้อมทั้งเชื่อมโยงการเข้าถึงแหล่งทุน และมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ

สำหรับ สุรา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสุราชุมชนตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยในต้นน้ำ จะมุ่งเน้นการเสริมสร้างองค์ความรู้ และพัฒนามาตรฐาน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการผลิตผลผลิตทางการเกษตรให้มีคุณภาพและความปลอดภัย กลางน้ำจะมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากล และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของไทย ส่วนปลายน้ำ จะมุ่งเน้นใช้ช่องทางการตลาดที่หลากหลายและตรงกลุ่มเป้าหมาย” เพื่อทดสอบตลาดของผู้ประกอบการ ให้คนทั่วไปรู้จัก

ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาตลาดสินค้าเครื่องดื่มชุมชนเหล่านี้ให้เป็นที่แพร่หลาย ดีพร้อม จึงได้จัดงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM” หรือ ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ในระหว่างวันที่ 5 – 10 กันยายน 2567 โดยภายในงาน ได้นำผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชนด้านผลิตภัณฑ์ โกโก้ กาแฟ และสุราชุมชน นำสินค้าเข้าร่วมจัดแสดง และจำหน่ายให้กับผู้ที่เข้าชมงาน กว่า 120 ร้านค้า

นอกจากนี้ ยังได้กิจกรรมให้คำปรึกษาแนะนำทางธุรกิจ และการให้บริการสินเชื่อ รวมทั้งการประกวดแข่งขันเพื่อกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เข้าถึง ผลิตภัณฑ์โกโก้ และกาแฟ อาทิ การแข่งขัน Cocoarista DIPROM Contest ทำเครื่องดื่มจากโกโก้ในโจทย์ที่ท้าทาย เน้นความคิดสร้างสรรค์ โดดเด่นด้านการตกแต่ง และรสชาติ ชิงเงินรางวัลมากกว่า 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และการแข่งขัน Speed Latte Art DIPROM Contest ที่ประชันทั้งฝีมือและการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนด้วยกาแฟ ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด ชิงเงินรางวัลมากกว่า 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และยังมีมินิคอนเสิร์ต จากศิลปินชื่อดัง อาทิ sarah salora , อะตอม ชนกันต์ และคริส พีรวัส มาร่วมให้ความบันเทิงกับผู้ร่วมงาน

ตอกย้ำความสำเร็จด้านทรัพยากรบุคคล จาก HR Excellence Awards

กระทรวงดีอี และ ดีป้า จัดงาน The Success Story: Smart School Bus ยกระดับผลิตภัณฑ์ - บริการดิจิทัลสัญชาติไทย ด้วยมาตรฐาน dSURE ชูโครงการ Smart School Bus รถโรงเรียนรุ่นใหม่เด็กปลอดภัย เป็นต้นแบบของการขับเคลื่อนกลไกการยกระดับผลิตภัณฑ์-บริการดิจิทัลที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการไทย ก่อนกระตุ้นให้เกิดการประยุกต์ใช้ดิจิทัลตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานอย่างตรงจุด พร้อมเปิด depa Tech Showcase พื้นที่จัดแสดงผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลจากผู้ประกอบการไทยบนพื้นที่ SCB NEXT TECH ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงาน The Success Story: Smart School Bus ยกระดับผลิตภัณฑ์ - บริการดิจิทัลสัญชาติไทย ด้วยมาตรฐาน dSURE โดยมี ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาร่วมภายในงานโดยพร้อมเพรียง ณ พารากอนซินีเพล็กซ์ โรงภาพยนตร์ที่ 13 ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

นายสุทธิเกียรติ กล่าวในปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ‘กลไกกระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัล’ ว่า รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล โดยที่ผ่านมา กระทรวงดีอี โดย ดีป้า มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนไทยทุกกลุ่มและทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต

โครงการ Smart School Bus รถโรงเรียนรุ่นใหม่เด็กปลอดภัย ที่ดำเนินการโดย ดีป้า จึงถือเป็นโครงการต้นแบบของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ได้มาตรฐาน dSURE มาประยุกต์ใช้ยกระดับด้านความปลอดภัยให้กับรถรับ-ส่งนักเรียน ลดความสูญเสียจากเหตุการณ์เด็กถูกลืม ถูกทิ้งให้อยู่ในรถตามลำพัง ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลที่ถูกนำมาใช้ในโครงการได้รับการขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัลของ ดีป้า จึงช่วยช่วยคลายความกังวล และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง และโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวว่า เทคโนโลยีที่นำมาประยุกต์ใช้ในโครงการ Smart School Bus รถโรงเรียนรุ่นใหม่เด็กปลอดภัยนั้น ประกอบด้วย เซ็นเซอร์ที่มีหน้าที่แตกต่างกัน เช่น เซ็นเซอร์การตรวจตำแหน่งของรถ (GPS), เซ็นเซอร์การตรวจสอบความเคลื่อนไหว เซ็นเซอร์การตรวจจับอุณหภูมิ และ อุปกรณ์ส่งสัญญาณสื่อสาร 4G เป็นต้น รวมถึงการพัฒนาโซลูชันเพื่อแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างเรียลไทม์ผ่านอุปกรณ์อัจฉริยะ ซึ่งทั้ง Hardware และ Software ที่ใช้ในโครงการนี้ ล้วนพัฒนาโดยผู้ประกอบการดิจิทัลไทย ที่ผ่านการคัดกรองมาตรฐานได้รับตราสัญลักษณ์ dSURE และ
ขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัล

บัญชีบริการดิจิทัล คือหนึ่งในกลไกยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลไทยที่มีการรวบรวมสินค้าและบริการดิจิทัลจากดิจิทัลสตาร์ทอัพและผู้ให้บริการดิจิทัลสัญชาติไทย เป็นตัวช่วยในการคัดกรองผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและเป็นไปตามข้อกำหนดตามมาตรฐาน dSURE (ดีชัวร์) หรือ Digital Sure ที่ ดีป้า กำหนดขึ้นสำหรับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน อาทิ มาตรฐานด้านความปลอดภัยในการใช้งาน และมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ มั่นใจข้อมูลถูกจัดเก็บในประเทศ ไม่รั่วไหล อีกทั้งมีการระบุราคาที่ชัดเจน เชื่อถือได้ และเป็นไปตามข้อกำหนดของกรมบัญชีกลาง นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนทั่วไปที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการดิจิทัล อีกทั้งสามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200%” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ผศ.ดร.ณัฐพล ระบุว่า ปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน dSURE แล้ว 10 อุปกรณ์ และมีอุปกรณ์ที่รอขึ้นทะเบียนอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันมีผู้ประกอบการนำผลิตภัณฑ์และบริการของตนเองมาขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัลแล้วกว่า 400 รายการ

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการบรรยายในหัวข้อ มาตรฐานยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล “dSURE” โดย ดร.ศุภกร สิทธิไชย ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส ด้านโครงการพิเศษและศูนย์พัฒนาดิจิทัลและนวัตกรรมดีป้า และเสวนาในหัวข้อ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยด้วยเทคโนโลยี โดย นายจุลนภ ศานติพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจ ดีป้า นางสาวทักษพร รักอยู่ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาระบบงานพัสดุ กรมบัญชีกลาง นายคงพันธ์ ฉมารัตน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อาร์ติคูลัส จำกัด นายอมฤต ฟรานเซน CBDO และ Co-Founder บริษัท แอพแมน จำกัด และ นายนิธิกร บุญยกุลเจริญ Product Manager บริษัท เมตามีเดีย เทคโนโลยี จำกัด

นอกจากนี้ ดีป้า ยังได้รับความอนุเคราะห์จาก กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ เปิดพื้นที่จัดแสดงผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลจากผู้ประกอบการไทยในชื่อ depa Tech Showcase ณ SCB NEXT TECH ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการดิจิทัลที่ได้มาตรฐาน เชื่อถือได้ ขณะเดียวกันยังเป็นพื้นที่ให้คำปรึกษาด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก่ทุกภาคส่วน

สำหรับผู้ประกอบไทยที่สนใจนำผลิตภัณฑ์หรือบริการด้านซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มมาขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัล หรือหน่วยงานที่สนใจจัดซื้อบริการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัล สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.depa.or.th/th/thailanddigitalcatalog หรือติดตามข่าวสารกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ได้ทาง www.depa.or.th, Facebook Page: depa Thailand และ LINE OA: @depaThailand

เครื่องดื่มเป๊ปซี่®  โดย บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ต่อยอดความสำเร็จจากกิจกรรมในปีที่ผ่านมา พร้อมเดินหน้ารันวงการอาหารให้กลับมาคึกคักอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่กับแคมเปญ “เป๊ปซี่มิตรชวนกิน 2024” พร้อมแนะนำร้านอร่อย ซ่า ฟิน ปี 2 ที่เพื่อนจะไม่พลาดชวนเพื่อนไปกิน ตอกย้ำความเป็นเครื่องดื่มอัดลมคู่มื้ออาหารสำหรับสายกิน ตอกย้ำจุดขาย “มื้อไหนก็อร่อย ถ้ามีเป๊ปซี่” เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความเป็นมิตรแท้สายกินตัวแม่ ตัวพ่อที่เรียงรายมาชวนเพิ่มเพื่อนเป็นสมาชิกในเป๊ปซี่มิตรชวนกินทางไมโครไซต์ ชวนเพื่อนเช็กอินร้านอร่อย ซ่า กว่าจาก 150 ร้านอาหารทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู และอาหารนานาชาติ และรีวิวคอนเทนต์แบบจริงใจ รับรองว่าถ้าเพื่อนชวนเมื่อไหร่ก็อร่อย แซ่บ ซี้ด ซ่ากันทุกมื้อแน่นอน!

นางลัดดาวรรณ เลิศวศิน ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเป๊ปซี่®  บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปีนี้ เป๊ปซี่พร้อมต่อยอดความสำเร็จของแคมเปญ ‘เป๊ปซี่มิตรชวนกิน’ จากปีที่ผ่านมา โดยนำเสนอรายชื่อร้านอาหารที่คัดสรรโดยเหล่ามิตรแท้สายกินและเพื่อน ๆ เพื่อชวนทุกคนมาอร่อยไปด้วยกันในทุกมื้ออาหารที่คุณโปรดปราน เมื่อมีเป๊ปซี่และเป๊ปซี่ไม่มีน้ำตาลช่วยเสริมความอร่อย โดยในแคมเปญนี้ เราได้รวบรวมร้านอาหาร 150 ร้านที่ได้รับการเลือกสรรจากเซเลบสายกินกว่า 150 คนจากหลากหลายวงการทั่วประเทศ เช่น เต้ย จรินทร์พร, ป้าตือ, จ๋า ยศสินี และอีกมากมาย ครอบคลุมเมนูอร่อยหลากหลายประเภท ทั้งอาหารไทย นานาชาติ หมูกระทะ และร้านลับแสนอร่อย พร้อมเปิดตัวระบบสมาชิก ‘เป๊ปซี่มิตรชวนกิน’ แบบเต็มรูปแบบครั้งแรก เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลร้านอาหารแบบเรียลไทม์ได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสนุก ๆ เช่น การสะสมแต้มจากการเล่นเกม รีวิว หรือเช็คอินร้านอาหารที่เข้าร่วมแคมเปญเพื่อแลกรับของรางวัล เพราะเราเชื่อว่าความอร่อยมีให้สัมผัสได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็อร่อยซ่าได้เต็มที่”

นอกจากนี้ เป๊ปซี่ ยังดึงสองหนุ่มคู่จิ้นสุดฮอต เจมีไนน์ นรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์ และโฟร์ท ณัฐวรรธน์ จิโรชน์ธิกุล ร่วมสร้างสีสันพร้อมเสิร์ฟความอร่อยฉ่ำกับรายการ “เป๊ปซี่ มิตรชวนกิน Guide with Gemini – Fourth” ที่จะพาไปตะลุยกินฉันมิตรที่ร้านอร่อย ร้านลับ และร้านในดวงใจ พร้อมชวนแก๊งเพื่อนสุดซี้ในวงการมาแชร์โมเมนต์แห่งมิตรภาพที่ทั้งขำและซึ้งแบบไม่มีกั๊ก ใครอยากรู้ว่าร้านไหนเด็ด ร้านไหนแซ่บต้องตามไปดู ออนแอร์ทุกวันศุกร์เว้นศุกร์ เวลา 18.00 น. ทาง Facebook และ YouTube : GMMTV หรือติดตามตอนใหม่ล่าสุด ep. 12 ในวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2567 รับประกันความอร่อยติดแกลม แซ่บ ซี้ด ซ่ากันทุกมื้อ!

ติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ พร้อมกิจกรรมสุดเอกซ์คลูซิฟอีกมากมายได้ทางไมโครไซต์ https://www.pepsimitrchuankin.com/ หรือ Facebook: PepsiThai, LINE Official Account: @Pepsi, Twitter: Pepsi-Cola และ YouTube: Pepsi Thailand   

เรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพสวยแบบมือโปรกับ คุณแก้ว จากเพจ Mobile Photography

X

Right Click

No right click