December 16, 2025

นางสาววชิรา การสุทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานความยั่งยืน นางญดาภรณ์ ศรีพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานกิจการสาขา 6 พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงานธนาคารออมสิน ร่วมกิจกรรมปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต (โครงการปลูกป้องโลก) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการของธนาคารออมสินที่สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ควบคู่กับการพัฒนาชุมชนสู่ความยั่งยืน

 

โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในการจัดสรรพื้นที่ปลูกป่าทดแทน ประกอบด้วย พันธุ์ไม้ป่าชายเลนรวม 3 ชนิด ได้แก่ ต้นตีนเป็ด หยีทะเล และโปรงแดง รวมกว่า 20,000 ต้น ที่บริเวณแปลงปลูกป่าคลองกะลาเส และป่าคลองไม้ตาย ต.บ่อหิน อ.สิเกา จ.ตรัง โดยมี นายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เป็นประธานเปิดกิจกรรม และมีนายภาณุวรรณ รามศรี ผู้อำนวยการศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 20 หัวหน้าหน่วยงานราชการในพื้นที่ นักเรียน และตัวแทนชาวบ้านรวมกว่า 100 ชีวิต ร่วมกันปลูกป่าชายเลน เมื่อเร็ว ๆ นี้

ดร.วรปรัชญ์ พ้องพงษ์ศรี รองผู้ว่าการ (กฎหมาย) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในกิจกรรมการให้ความรู้และฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัย และกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษในเขตทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ประจำปี ๒๕๖๗ และกิจกรรมรณรงค์ขับขี่ปลอดภัย ณ บริเวณโรงเรียนคลองบางปิ้ง ตำบลบางเมือง อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

ดร.วรปรัชญ์ พ้องพงษ์ศรี รองผู้ว่าการ (กฎหมาย) กทพ. กล่าวว่า นอกจากภารกิจหลักในการให้บริการทางพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางของประชาชนรวมถึงการขนส่ง และเป็นทางเลือกในการเดินทางของพี่น้องประชาชนแล้ว กทพ. ยังได้ตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะชุมชนรอบเขตทางพิเศษ จึงได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์มาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญอีกภารกิจหนึ่ง การจัดกิจกรรมการให้ความรู้การป้องกันและระงับอัคคีภัย และกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษในเขตทางพิเศษเฉลิมมหานครในวันนี้ นับเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่าง กทพ. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนรอบเขตทางพิเศษ โดยในวันนี้ ได้รับความร่วมมือจาก เทศบาลตำบลบางเมือง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ชุมชนคลองบางปิ้ง ชุมชนมิตรไมตรี 1  ชุมชนมิตรไมตรี 2  ชุมชนราชศุภนิมิต 1  ชุมชนราชศุภนิมิต 2  โรงเรียนคลองบางปิ้ง เข้าร่วมกิจกรรม โดยในวันนี้ ได้มีการให้ความรู้พร้อมทั้งสาธิตการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัย รวมถึงการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยฟื้นคืนชีพ (First Aid & CPR) ให้กับชาวชุมชนรอบเขต ทางพิเศษ ในการป้องกันและระงับอัคคีภัยรวมถึงให้ความช่วยเหลือในกรณีเกิดอัคคีภัย นอกจากนี้ยังมีการอบรมหลักสูตรการขับขี่ปลอดภัย จาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมทั้งได้นำเครื่องจำลองการขับขี่ มาให้ให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ทดลองขับขี่ ในการนี้ กทพ. ได้มอบถังดับเพลิง รวมจำนวน 50 ถัง อุปกรณ์กีฬา จำนวน 1 ชุด และมอบอุปกรณ์ป้องกันอันตรายหมวกนิรภัย จำนวน 80 ใบ อีกด้วย

“การทางพิเศษฯ ได้ทำการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานใกล้เคียง ในการรองรับหากเกิดอัคคีภัยในเขตทางพิเศษ หรือในชุมชนใกล้เคียง แสดงให้เห็นว่าการทางพิเศษฯ กับชุมชนรอบเขตทางพิเศษมีความร่วมมือที่ดีต่อกัน ผมหวังว่ากิจกรรมในวันนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างการทางพิเศษฯ และชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลดพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ชุมชนช่วยกันดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการทางพิเศษฯ จะจัดกิจกรรมดี ๆ อย่างนี้ต่อไป” ดร.วรปรัชญ์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับสโมสรฟุตบอลชื่อดังระดับโลก ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ จากประเทศอังกฤษ จัดกิจกรรม “Special Workout Session with Coach Lily” โดยโค้ช “ลิลลี่ เจอร์วิส (Lily Jervis)” Development Coach จากสโมสระดับโลก “ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์” ซึ่งมีผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย พร้อมด้วยเพื่อนพนักงานกว่า 50 คน ร่วมสนุกกับคลาส HIIT Workout การออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา เพิ่มการเผาผลาญไขมัน ให้การออกกำลังกายสนุกและสร้างสรรค์ เผาผลาญได้หลายร้อยแคลอรี่และยังเบิร์นต่อเนื่องหลังออกกำลังกาย โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ “Rethink Healthy – ปรับความคิดเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” ที่ได้ชวนทุกคนมาสร้างนิยามใหม่ของคำว่า "สุขภาพดี” สอดคล้องกับพันธกิจ AIA One Billion เพื่อมุ่งสนับสนุนให้คนไทยและผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วเอเชียแปซิฟิกมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives.

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ในกลุ่มธุรกิจการเกษตร โดยสถาบันไทยพัฒน์ สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของบริษัทที่มุ่งมั่นจะเป็นผู้นำด้านการผลิตยางพาราและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ  เปิดเผยว่า ESG Rating สถาบันไทยพัฒน์ได้ประกาศให้ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (NER) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2567 จากการคัดเลือกหลักทรัพย์จดทะเบียนทั้งหมด 920 หลักทรัพย์ ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) ในกลุ่มธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) ซึ่งบริษัทมีรายชื่ออยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน (พ.ศ.2562-2567) นับตั้งแต่ที่เป็นบริษัทจดทะเบียน

การที่บริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 บริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของบริษัทที่มุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และหลักบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) หรือ ESG และเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินธุรกิจเพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

บริษัทฯ ยังคงดำเนินโครงการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ โดยเน้นการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ร่วมกับการลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการดำเนินงาน ทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และการใช้ไบโอแก๊สที่ผลิตเพื่อใช้งานเองที่ช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี

โดยตัวอย่างการดำเนินโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืน โครงการตลาดสีเขียว โครงการห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ โครงการ NER ร่วมใจลดขยะพลาสติก โครงการตรวจสุขภาพกลุ่มเปราะบาง โครงการส่งสุขความรู้ สู่ดวงใจพนักงาน ผ่านคาราวานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น

สำหรับการจัดอันดับของสถาบันไทยพัฒน์ จะพิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน ขณะที่การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจในครั้งนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

เจาะลึกเศรษฐกิจโลกพร้อมสินทรัพย์ลงทุนในครึ่งปีหลังมองกลุ่มAIอนาคตเติบโต

นับเป็นครั้งแรกในทวีปเอเชีย แปซิฟิกที่มีการประกาศใช้ฟิล์มรัดสินค้าที่ผลิตจากพลาสติกใช้แล้ว อย่างเต็มรูปแบบ โดย บริษัท มาคิตะ แมนูแฟคเจอริ่ง (ไทยแลนด์) จำกัด เจ้าของแบรนด์เครื่องมือไฟฟ้าชั้นนำระดับโลก “MAKITA” ในประเทศไทย ได้ประกาศใช้ฟิล์มยืดรัดสินค้านวัตกรรมใหม่ที่มีส่วนผสมของพลาสติกใช้แล้ว (Post- Consumer- Recycled resin: PCR) ในการขนส่งสินค้าของบริษัท ด้วยเทคโนโลยีใหม่จากความร่วมมือของกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์ระดับโลก และ MMP ผู้ผลิตฟิล์มยืดอันดับ 1 ในประเทศไทย ซึ่งทำให้ได้ฟิล์มที่มีคุณภาพเทียบเท่าฟิล์มจากพลาสติกใหม่ แต่ช่วยลดขยะได้กว่า 5 ตันต่อปี พร้อมชูไทยเป็นต้นแบบ เพื่อวางแผนขยายการใช้งานไปยังประเทศอื่นๆ

ฟิล์มยืดรัดสินค้านวัตกรรมใหม่ดังกล่าว มีส่วนผสมของพลาสติกใช้แล้วถึง 30% แต่ยังคงความใสและประสิทธิภาพเทียบเท่าฟิล์มยืดชนิดเดิม ไม่ว่าจะเป็นด้านความแข็งแรง ความเหนียว ความยืดหยุ่น ซึ่งสามารถใช้พันลังสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อความสะดวกในการขนส่งสินค้าได้ทั้งแบบพันด้วยมือและพันด้วยเครื่องจักร ช่วยลดขยะพลาสติกได้มากกว่า 5 ตันต่อปี อีกทั้งยังสามารถนำกลับมารีไซเคิลซ้ำได้อีก

นายฮิเดอากิ คูโรโนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาคิตะ แมนูแฟคเจอริ่ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า "ความกังวลเกี่ยวกับมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่เกิดจากขยะพลาสติกรั่วไหลลงสู่มหาสมุทร ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในสังคมในการพยายามที่จะลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว MAKITAมีการดำเนินการเพื่อลดปริมาณการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวในบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ของเรา ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การสร้างสังคมที่ยั่งยืนและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ นอกเหนือไปจากความพยายามที่ดำเนินการอยู่แล้ว MAKITAได้เริ่มใช้ฟิล์มยืดพันสินค้าที่ผสมพลาสติกใช้แล้วที่มีการนำเสนอมาจากDOW ซึ่งหากได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการโลจิสติกส์ เราก็มีแผนที่จะขยายการใช้ฟิล์มใหม่นี้ต่อไปอย่างมุ่งมั่น"

นายเอนก จงเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มเอ็มพี คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “MMP ในฐานะผู้นำด้านการผลิตฟิล์มยืดที่ยั่งยืนในประเทศไทย เราคัดสรรแต่ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อตอบโจทย์ความต้องการให้แก่ลูกค้าของเรา เราจึงเลือกใช้เม็ดพลาสติกผสมพลาสติกใช้แล้วนวัตกรรมใหม่ของ Dow ซึ่งผลการทดสอบยืนยันว่าแม้จะมีส่วนผสมของพลาสติกใช้แล้วถึง 30% ฟิล์มยืด PCR ที่เราผลิตนี้ก็สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานที่กำหนด โดยฟิล์มนี้ยังได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกในการรีไซเคิลจาก Global Recycled Standard (GRS) เพื่อยืนยันว่าเราผ่านเกณฑ์ที่เข้มงวดทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม จึงเรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนช่วยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมในประเทศไทย ได้ใช้ฟิล์มที่มีความยั่งยืนในการขนส่ง ช่วยลดโลกร้อน ลดขยะได้อย่างเป็นรูปธรรม”

นายเอกสิทธิ์ ลัคนานิธิพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจและพัฒนาธุรกิจคาร์บอนต่ำ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “Dow ขอแสดงความยินดีกับมาคิตะ ประเทศไทยที่เป็นบริษัทแรกในเอเชีย ที่ประกาศใช้ฟิล์มนวัตกรรมใหม่นี้ โดยต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ MAKITA และ MMP ให้ความไว้วางใจใช้ นวัตกรรมเม็ดพลาสติกผสมพลาสติกใช้แล้ว REVOLOOP™ ของ Dow ในการพัฒนาฟิล์มยืดรัดสินค้าที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้ฟิล์มจากพลาสติกใหม่ 100% โดยเม็ด PCR นี้ของ Dow ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกจาก Global Recycled Standard (GRS) เช่นกัน ทั้งในด้านแหล่งวัตถุดิบต้นทางที่ตรวจสอบได้ และคุณภาพของพลาสติกใช้แล้วที่เป็นไปตามข้อกำหนด ซึ่ง Dow มุ่งมั่นในการสนับสนุนให้ลูกค้าของเราลดการปลดปล่อยคาร์บอน และลดขยะพลาสติกตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อช่วยให้ลูกค้าของเราบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม และเติบโตอย่างยั่งยืน”

มาคิตะ ประเทศไทย ได้เริ่มใช้ฟิล์มที่มีส่วนผสมของพลาสติกใช้แล้วนี้ในการพันลังสินค้าเพื่อขนส่งภายในประเทศ รวมทั้งใช้กับสินค้าที่มีการส่งออกจากประเทศไทยแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 และจะมีการประเมินเพื่อวางแผนการขยายผลไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป

เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมพอลิเมอร์เพื่อความยั่งยืน ร่วมกับ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันยานยนต์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย สู่การเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์คาร์บอนต่ำ” เพื่อยกระดับศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลกให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและผู้ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกเพื่อยานยนต์ของไทย เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนำดิจิทัลโซลูชันสู่อุตสาหกรรมยานยนต์อย่างครบวงจร เน้นการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขานรับนโยบายของภาครัฐที่ผลักดันให้ใช้วัสดุและชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศไทย เพื่อเป็นยานยนต์ที่ “สะอาด ประหยัด และปลอดภัย” สร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม

  • ความร่วมมือระหว่าง SCGC และสถาบันยานยนต์ ได้แก่ การพัฒนานวัตกรรมพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ และการพัฒนาวัสดุสำหรับแบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้า รองรับความนิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
  • การเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยี Industrial and Digital Solutions เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในกระบวนการผลิตอย่างครบวงจร

ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ และประธานเจ้าหน้าที่สายงานนวัตกรรม SCGC เผยว่า “ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ ถือเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ซึ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์คาร์บอนต่ำ จะช่วยยกระดับศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลกได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป  ทั้งนี้ SCGC มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนานวัตกรรมพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Polymers) ตามแนวทาง Low Waste, Low Carbon  โดยได้พัฒนานวัตกรรมพอลิเมอร์เพื่อความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ บรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งช่วยตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมทั้งแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน สำหรับความร่วมมือกับสถาบันยานยนต์ในครั้งนี้  ได้แก่ 1) การพัฒนานวัตกรรมพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ครอบคลุมทั้งการออกแบบ การขึ้นรูป และการคำนวณคาร์บอน  2) พัฒนาวัสดุสำหรับแบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้า และ 3) นำความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลโซลูชันสำหรับภาคอุตสาหกรรม (Industrial & Digital Solutions) จาก REPCO NEX ในกลุ่มธุรกิจ SCGC มาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในกระบวนการผลิตอย่างครบวงจร พร้อมทั้งช่วยผลักดันสู่ยานยนต์เพื่อความยั่งยืน เน้นการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์”

ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการ สถาบันยานยนต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สถาบันยานยนต์มีความตั้งใจที่จะผลักดันวงการยานยนต์สู่การเป็น Future Mobility ไปพร้อมกับการพัฒนาวัสดุในการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปัจจุบัน อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตแบบดั้งเดิม เป็นการผลิตแบบใหม่ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ผลักดันให้ใช้วัสดุและชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศไทย เพื่อเป็นยานยนต์ที่ “สะอาด ประหยัด และปลอดภัย” สร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ควบคู่ไปกับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน  การร่วมมือกับ SCGC ในครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการใช้องค์ความรู้ทางนวัตกรรมพอลิเมอร์และดิจิทัลโซลูชันมาช่วยเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทย ให้เกิดความยั่งยืนทางเศรษฐกิจควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์คาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม”

อลิอันซ์ อยุธยา นำโดย นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารงานลูกค้า บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต พร้อมด้วยตัวแทนพนักงาน ในฐานะหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักการแข่งขันโอลิมปิกและพาราลิมปิก ร่วมต้อนรับ 7 นักกีฬาทีมชาติไทย ในงาน Welcome Back Thai Team ขอบคุณที่สุดแห่งนักกีฬาไทย!” เพื่อเฉลิมฉลองและขอบคุณนักกีฬาไทยที่ทุ่มเทการฝึกซ้อมเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย โดยมี บี-จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง เจ้าของรางวัลเหรียญทองแดง มวยสากลหญิง รุ่น 66 กก. ปอป้อ-ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย แบดมินตันคู่ผสม เฟรม-ธนาคาร ไชยยาสมบัติ นักปั่นน่องเหล็ก ฝน-เบญญาภา จันทวรรณ นักกีฬาไคท์บอร์ดสาว เฟี้ยว-จุฑามาศ จิตรพงศ์ มวยสากลหญิง รุ่น 54 กก. จุฑามาศ จิตรพงศ์ นักกีฬาสเกตบอร์ดทีมชาติไทยอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ โซเฟีย-เกล มอนโกเมอรี่ นักกีฬาเรือใบทีมชาติ ตัวแทนนักกีฬาไทยที่สร้างความสุข ความประทับใจให้กับคนไทยตลอดการแข่งขันโอลิมปิก 2024  ที่ผ่านมา ณ ชั้น 5 สยามพารากอน

เพราะไอศกรีมคือความสุขเล็กๆ ที่เรียบง่ายของมวลมนุษยชาติ ด้วยความหวานเย็นสดชื่นช่วยฮีลใจ “เย็นเย็น” เครื่องดื่มสู้ร้อนเย็นลึกจากภายในดีต่อสุขภาพ จึงผนึกกำลังความเย็นร่วมกับ “เนสท์เล่ ลา ฟรุ๊ตต้า” เบอร์ 1 ไอศกรีมผลไม้ไขมันต่ำเย็นสดชื่นถึงใจ ส่ง “เย็นเย็น x เนสท์เล่ ลา ฟรุ๊ตต้า” มาพร้อมลำไยผสมชิ้นเฉาก๊วยแท้ชิ้นใหญ่เคี้ยวหนึบหนับเจ้าแรกในไทย มาพร้อมสูตรโลว์แฟต เพียง 60 แคลอรีเบาๆ แต่ความอร่อยฉ่ำเย็นชื่นใจยกกำลัง 2 กับความเย็นลึกจากภายในแบบโลกตะวันออกของเย็นเย็น เชื่อมกับความเย็นแบบโลกตะวันตกของไอศกรีมเนสท์เล่ รุกกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ ทานได้บ่อย ฉ่ำใจได้ทุกวัน

ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เย็นเย็น” ในฐานะผู้นำตลาดเครื่องดื่มสมุนไพรเย็นลึกจากภายในเพื่อสู้ร้อนสู้เผ็ดเคียงข้างคนไทย มีแบรนด์ดีเอ็นเอที่ไม่หยุดนิ่ง พร้อมที่จะสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคอยู่เสมอ เราทำงานร่วมกับเนสท์เล่อย่างต่อเนื่องมาถึง 2 ปี ส่งสินค้าอิชิตันที่เคยเป็นเครื่องดื่มพร้อมดื่มมาสร้างประสบการณ์ใหม่ เพราะเนสท์เล่ ไอศกรีม เป็นผู้นำตลาดไอศกรีมที่มีนวัตกรรมระดับโลก ภายใต้แบรนด์ ลา ฟรุ๊ตต้า เบอร์ 1 ไอศกรีมผลไม้ไขมันต่ำ สำหรับ “เย็นเย็น x เนสท์เล่ ลา ฟรุ๊ตต้า” พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ความเย็นจากสองวัฒนธรรม East meet West พลิกโฉมจากเครื่องดื่มรสชาติดั้งเดิมแบบโลกตะวันออกของเย็นเย็น สู่ความทันสมัยแบบโลกตะวันตกของไอศกรีมเนสท์เล่ เป็นการคอลแลปที่ลงตัวกลายเป็นไอศกรีมเย็นเย็น มาพร้อมลำไยผสมชิ้นเฉาก๊วย มีประโยชน์ดีต่อสุขภาพมาพร้อมความอร่อยเย็นฉ่ำใจ สินค้าพร้อมวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ แต่อาจจะต้องรีบหน่อย เพราะ เป็นสินค้าลิมิเต็ดอิดิชั่นเฉพาะซีซั่น หมดแล้วหมดเลยครับ”

ด้านวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวถึงการจับมือในครั้งนี้ว่า “การที่เราเลือกเครื่องดื่มเย็นเย็น มาทำเป็นไอศกรีม ลา ฟรุ๊ตต้า รสลิมิเต็ดรสใหม่เพราะสามารถตอบโจทย์สภาพอากาศร้อนของประเทศไทยได้อย่างดี ด้วยความที่เครื่องดื่มเย็นเย็นมีฤทธิ์เย็นช่วยดับร้อน ตรงกับความตั้งใจและสโลแกนของ ลา ฟรุ๊ตต้าที่อยากให้คนไทย ‘ฉ่ำใจได้ทุกวัน’ ได้ผลลัพธ์เป็นไอศกรีมลา ฟรุ๊ตต้า เย็นเย็น ลำไยผสมชิ้นเฉาก๊วย เจ้าแรกในประเทศไทย ที่มาพร้อมชิ้นเฉาก๊วยแท้ขนาดใหญ่เคี้ยวหนึบหนับพอดีคำ นอกจากจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ สดชื่น และไขมันต่ำแล้ว ยังมีราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้เพียง 20 บาทเท่านั้น

ลา ฟรุ๊ตต้า และ เย็นเย็นมีกลุ่มเป้าหมายคล้ายกัน การร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ ที่ยังคงความอร่อย เนสท์เล่ ไอศกรีม ตั้งเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์ ลา ฟรุ๊ตต้า โดยรวมอยู่ที่ 50% และเพิ่มยอดขายให้ถึง 650 ล้านบาท ผ่านกลยุทธ์หลักอย่าง Music Marketing โดยมีการสนับสนุนจากเหล่า KOL (Key Opinion Leader) จากหลากหลายวงการ และสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ไอศกรีม ลา ฟรุ๊ตต้า x เย็นเย็น ลำไยผสมชิ้นเฉาก๊วยนี้ เราตั้งเป้าไว้ 70 ล้านบาท ทาง ลา ฟรุ๊ตต้า มีความตั้งใจที่จะไม่หยุดพัฒนานวัตกรรมความสดชื่นแบบไขมันต่ำให้ชาวไทย เพื่อตอกย้ำความเป็นอันดับหนึ่งของไอศกรีมผลไม้ไขมันต่ำแสนอร่อยอย่างแท้จริง”

ชวนสายคอนเท้นต์มาอัพเดตก่อนใคร กับ Branded Effect Ads บนแพลตฟอร์ม Tiktok ที่ Gen Z เอ็นจอย https://bit.ly/3YHvobJ ที่พาพรีเซ็นเตอร์สุดฮอต ต้าห์อู๋-พิทยา แซ่ฉั่ว ศิลปินไอดอลหนุ่มขี้เล่นมาดับความยมประจำวันและเสิร์ฟความอร่อยฉ่ำใจยกกำลัง 2 แบบไขมันต่ำ ที่คนรักสุขภาพถูกใจสิ่งนี้กับ เย็นเย็น x เนสท์เล่ ลา ฟรุ๊ตต้า” ลำไยผสมชิ้นเฉาก๊วยแท้ ชิ้นใหญ่ แน่น หนึบหนับ ในราคาเพียง 20 บาทเท่านั้น ไปหาซื้อมาลอง ได้ที่  7-Eleven และแอปพลิเคชัน 7- Delivery link : https://7eleventh.page.link/Wk56 ในเดือนกันยายนจะมีขายในร้านค้าที่มีตู้ไอศกรีมเนสท์เล่สีฟ้า ติดตามคลิปสนุกๆ ภายใต้ #ฉ่ำใจลาฟรุ๊ตต้าเย็นเย็น #ฉ่ำใจได้ทุกวัน ได้ที่ Tiktok : tanpassakornnatee และ Tiktok : ichitandrinkth

ในวันที่ทั้งโลกกำลังพยายามมุ่งไปสู่ “สังคม Net Zero”

‘วิกฤติโลกรวน’ สร้างผลกระทบให้คนทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีการตกลงร่วมกันใน ‘ความตกลง​ปารีส’ เพื่อควบคุมไม่ให้อุณภูมิของโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่ปัจจุบันอุณหภูมิของโลกขึ้นไปที่ 1.42 องศาเซลเซียสแล้ว ทำให้เป้าหมายที่จะไปสู่ “สังคม Net Zero” ของประเทศไทย ภายในปี พ.ศ. 2608 ดูเป็นเรื่องยากและท้าทายขึ้นไปอีก ‘ร่วมมือ-เร่ง-เปลี่ยน’จึงเป็นหนทางที่เราจะหยุดอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นได้และไปถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น

เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ “เป็นไปได้” ถ้าเรา “เปลี่ยน”

‘การเปลี่ยน’ สู่ ‘ความเป็นไปได้’ ถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของ ‘โปรจีน - อาฒยา ฐิติกุล’ บนเส้นทางการไปสู่ระดับโลก เริ่มต้นด้วยภาพในอดีตที่เห็นการแข่งขันที่ ‘โปรจีน’ พลาดโอกาสทำคะแนน แต่ถึงจะพบกับอุปสรรค ความยาก ความท้าทาย และความพ่ายแพ้ แต่ ‘โปรจีน’ เชื่อเสมอว่า “ยากไม่ได้แปลว่าเป็นไปไม่ได้”

“ไม่อยากแพ้อีกแล้ว” เป้าหมายของ ‘โปรจีน’

เป็นการส่งสัญญาณ ‘ความพร้อม’ ทั้งจิตใจและร่างกาย เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเป็น ‘โปรกอล์ฟระดับโลก’ ‘โปรจีน’ จึงมุ่งมั่น ตั้งใจ ‘ลงมือทำ’ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ก็พบว่า การทำด้วยวิธีการเดิม ๆ ไม่เพียงพอต่อการไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก

ถ้าอยากไปไกลให้ถึงระดับโลก ต้อง “เร่งเปลี่ยนเพื่อเพิ่มโอกาส”

ภาพของ ‘โปรจีน’ และทีม สะท้อนให้เห็น “การเปลี่ยน” จากวิธีการเดิม ๆ ไปสู่ ‘การเปลี่ยนวิธีคิด’ พร้อมปลุกความเชื่อร่วมกันว่า ‘เรื่องยากไม่เท่ากับเป็นไปไม่ได้’ ลุกขึ้นมา ‘เปลี่ยนวงสวิง’ เพื่อตีให้ได้ไกลขึ้น และ ‘ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ยากขึ้นกว่าเดิม’ ไปพร้อมกับทีม

แม้ว่า ‘การเปลี่ยน’ ครั้งนี้ อาจไม่ทำให้เห็นผลสำเร็จในทันที แต่ ‘โปรจีน’ เชื่อเสมอว่า ‘ทุกนาทีที่ลงมือทำคือโอกาสที่จะเข้าใกล้ความเป็นไปได้’ จนกระทั่งความมุ่งมั่น ทุ่มเท และความพยายามนำไปสู่ความสำเร็จ ก้าวสู่ “นักกอล์ฟหญิงมือ 1 ของโลก” ได้สำเร็จในวัยเพียง 19 ปี

เรื่องราวของ ‘โปรจีน’ สะท้อนให้เห็นว่า เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ที่ดูเหมือนจะยาก และท้าทาย ‘เป็นไปได้’ เช่นเดียวกับเป้าหมายสู่ “สังคม Net Zero” ที่เป็นไปได้เช่นเดียวกัน

ภาพการหวดวงสวิงของ ‘โปรจีน’ เปรียบเสมือนแรงส่งให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจของคนทั่วโลก ที่ได้ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อก้าวสู่เป้าหมาย “สังคม Net Zero” ให้ได้ เช่น นวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด พร้อมระบบการซื้อ-ขายพลังงานสะอาดด้วยเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ แบตเตอรี่กักเก็บความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงการใช้พลังงานชีวมวล นวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อม เช่น พอลิเมอร์รักษ์โลก บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน นวัตกรรมการก่อสร้างรักษ์โลก ด้วยเทคโนโลยี BIM (Building Information Modeling) เพื่อใช้บริหารจัดการการก่อสร้าง รวมถึงอาคารประหยัดพลังงาน รวมถึงนวัตกรรมด้านกรีนโลจิสติกส์ แต่เพื่อเร่งไปให้ถึงเป้าหมาย ‘สังคม Net Zero’ โดยเร็ว ‘เรา’ จึงต้อง “ร่วมมือ” และ “เร่งเปลี่ยนเพื่อเพิ่มโอกาส” ไปด้วยกัน

เรื่องราวของ ‘โปรจีน’ เป็นแรงบันดาลใจและเน้นย้ำให้เราเชื่อมั่นว่า “การลุกขึ้นสู้เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ อย่างการมุ่งไปสู่ “สังคม Net Zero” แม้จะยาก ท้าทาย แต่สำเร็จและเป็นไปได้

รับชมคลิป“ยากไม่เท่ากับเป็นไปไม่ได้”เพื่อสร้างแรงบันดาลใจสู่สังคมคาร์บอนต่ำไปด้วยกันที่

เตรียมพบกับการรวมตัวครั้งสำคัญในงาน “ESG Symposium 2024: Driving Inclusive Green Transition” เพื่อเร่งให้เกิดการเปลี่ยนสู่สังคม Net Zero ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างธุรกิจให้เติบโตได้ในระยะยาว และมีโลกที่ยั่งยืนจากความร่วมมือของเราทุกคน เร็วๆ นี้

X

Right Click

No right click