December 16, 2025

ดร. สิรดนัย คนิษฐเสวี แพทยศาสตรบัณฑิตปี 2567 แบ่งปันประสบการณ์จากการศึกษาในคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จ (SGU) เพื่อทำตามฝันในการดูแลผู้คนในชุมชนประเทศไทย เรื่องราวนี้เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่สะท้อนถึงความชื่นชอบในการแพทย์ผ่านการศึกษาและการฝึกอบรมที่ SGU

ดร. สิรดนัย เติบโตที่ประเทศไทย โดยมีคุณพ่อเป็นแบบอย่าง ซึ่งคุณพ่อเปิดคลินิกในท้องถิ่นด้วยการยึดมั่นในอุดมการณ์ที่อุทิศตนให้งานและมีความเห็นอกเห็นใจผู้ป่วย ความมุ่งมั่นของคุณพ่อเป็นแรงบันดาลใจให้ ดร. สิรดนัย ตั้งใจกับอาชีพแพทย์เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายในชีวิตของผู้คน

ดร. สิรดนัย กล่าวว่า “สิ่งที่ผมได้รับจาก SGU ไม่ใช่แค่การศึกษา แต่ยังได้มุมมองระดับโลกที่หล่อหลอมวิสัยทัศน์ด้านการดูแลสุขภาพของผม มหาวิทยาลัยให้บทเรียนทางการแพทย์อย่างครอบคลุมและประสบการณ์ที่หลากหลาย ช่วยเตรียมพร้อมศักยภาพของผม เพื่อรับมือกับกระบวนการดูแลสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ”

ในระหว่างศึกษาอยู่ที่ SGU ดร. สิรดนัย มีโอกาสได้ขึ้นคลินิก (clinical rotation) ในสหรัฐอเมริกา และได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์ที่แตกต่างกันและได้ดูแลผู้ป่วยที่หลากหลาย ซึ่ง ดร. สิรดนัย เชื่อว่าประสบการณ์เหล่านี้จะช่วยพัฒนาบริการของคลินิกครอบครัวในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น

ดร. สิรดนัย ได้เล่าถึงประสบการณ์ในการเรียนที่ SGU ดังนี้:

SGU ช่วยให้ประสบความสำเร็จ:

“SGU มีบทบาทสำคัญในการกำหนดเส้นทางสู่ความสำเร็จของผม ทำให้ผมได้เรียนรู้การแพทย์อย่างครอบคลุมและปลูกฝังทัศนคติระดับสากลให้กับผม”

การเตรียมตัวของ SGU ในการสอบ USMLE:

“การบรรยายและการเรียนการสอนของ SGU รวมถึงเป็นสมาชิก UWorld เป็นเครื่องมือสำคัญในการเตรียมตัวสำหรับการสอบ USMLE”

การใช้ชีวิตในเกรเนดา:

“การเรียนและการใช้ชีวิตในเกรเนดามีสภาพแวดล้อมไม่เหมือนที่อื่น นักศึกษาที่มาจากต่างถิ่นมารวมตัวกันโดยมีเป้าหมายเดียวกันคือประสงค์ที่จะประกอบอาชีพทางการแพทย์”

การกลับประเทศไทยเพื่อประกอบวิชาชีพแพทย์:

“ที่ผมตัดสินใจกลับประเทศไทยเพราะอยากอยู่กับครอบครัวและกลับสู่วัฒนธรรมของผมอีกครั้ง”

แรงบันดาลใจในอาชีพการงานระยะยาว:

“ผมจินตนาการถึงการสร้างสถานพยาบาลที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของชุมชนของผม”

การสร้างอิมแพคในชุมชน:

"ผมตั้งใจจะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มารวมกันเพื่อเพิ่มคุณภาพการดูแลและการเข้าถึงผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น"

คำแนะนำสำหรับนักศึกษาแพทย์จากประเทศไทย:

"พิจารณาเป้าหมายการทำงานในอนาคตและการสนับสนุนด้านต่าง ๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจไปศึกษาต่อต่างประเทศ"

แรงบันดาลใจในการทำงานระยะยาวของ ดร. สิรดนัย มาจากความมุ่งมั่นตั้งใจที่มีต่อชุมชนในคลองหลวง โดยตั้งเป้าจะแนะนำนวัตกรรมการบริการและเทคโนโลยี เพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยที่คลินิกของครอบครัว และรับมือกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของชุมชนได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมแพทย์และแผนการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จ สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ SGU

บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้นำด้านธุรกิจพลังงาน ภายใต้การดำเนินงานของหัวเรือใหญ่ ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทฯ ที่เล็งเห็นความสำคัญด้านการศึกษาของเยาวชนเสมอมา ล่าสุดมีนโยบายร่วมส่งเสริม ผลักดันการเรียนรู้ และช่วยเหลือเยาวชนให้เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์โลกในอนาคต ผ่านกิจกรรม โครงการ “แนะแนวให้น้อง เตรียมความพร้อมสู่รั้วมหาวิทยาลัย” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีรุ่นพี่หลากหลายตำแหน่งของบริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับนิสิต นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่มาร่วมจัดแนะแนว แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง นักเรียนโรงเรียนราษฎร์นิยม จังหวัด นนทบุรี กว่า 90 คน กำลังจะก้าวไปศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้มีแนวทางในการตัดสินใจในการเลือกคณะและมหาวิทยาลัยที่เหมาะสม ตลอดจนสามารถเห็นแนวทางในการวางเป้าหมายสู่การเลือกอาชีพในฝันของตนเอง เมื่อเร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวได้เป็นที่ยอมรับจากทั้งคณะอาจารย์และนักเรียนโรงเรียนราษฎร์นิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของเยาวชน พร้อมกับนำไปใช้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในขณะนี้ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอ่านที่เป็นรากฐานสำคัญในการช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ พัฒนาทักษะต่างๆ อาทิ การคิดวิเคราะห์ ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ แก่เยาวชน จึงได้ทำการส่งมอบหนังสือเรียน หนังสือเตรียมสอบ และหนังสืออ่านนอกเวลาให้กับทางห้องสมุดโรงเรียนราษฎร์นิยมพร้อมกันด้วย

มุ่งสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ สานต่ออาชีพเกษตรกรในแบบตัวเอง ในธีม “Real-life Agri Journey จากพื้นที่การเรียนรู้ สู่วิถีชีวิตจริง”

ธุรกิจการเงินและประกันเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นและความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในบริการทางการเงิน ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้ แพลตฟอร์ม LINE ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของธุรกิจกลุ่มนี้ในการสื่อสาร ทำการตลาด ไม่เพียงเพราะความสามารถในการเข้าถึงคนไทยจำนวนมาก แต่ยังมีโซลูชันหลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าคนไทย พร้อมข้อมูลอินไซด์มากมาย เพื่อให้ภาคธุรกิจได้นำมาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนการเติบโต ล่าสุด LINE ประเทศไทย ได้จัดงาน Insight Sharing อัปเดตเทรนด์สำคัญในการใช้เทคโนโลยี LINE สำหรับธุรกิจการเงินและประกันโดยเฉพาะ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจาก LINE ประเทศไทย นำโดย คุณพันพิศุทธิ์ เอี๊ยเจริญ (ในรูป-กลาง) หัวหน้าทีมที่ปรึกษาธุรกิจการเงินและประกัน LINE ประเทศไทย พร้อมด้วย คุณราชัน รัชนิวรากรกุล (ในรูป-ซ้าย) และคุณภาคิณ ฤทธิ์คำรพ (ในรูป-ขวา) ที่ปรึกษาธุรกิจการเงินและประกัน LINE ประเทศไทย มาร่วมให้ข้อมูล

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เทรนด์การใช้ LINE ของกลุ่มธุรกิจการเงินและประกันในไทยพัฒนาไปอย่างมาก จากในระยะเริ่มต้น ที่เน้นใช้งานเครื่องมือหลักอย่าง LINE OA เพื่อสื่อสารทางเดียวในรูปแบบการบรอดแคสต์หาลูกค้าจำนวนมาก ด้วยคอนเทนต์เดียวกัน สู่ยุคแห่งการสร้างสรรค์การสื่อสารแบบ Personalized เฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคลมากขึ้น ด้วยอัตราการเติบโตของจำนวนข้อความรูปแบบดังกล่าว ในช่วงปี 2022-2023 เกิน 130% และการสื่อสารแบบสองทางผ่านแชตบอท ด้วยอัตราการเติบโตของแชตบอทเกิน 82% ชี้ให้เห็นว่า LINE กลายเป็นศูนย์กลางการสื่อสาร การให้บริการลูกค้าแต่ละบุคคลได้อย่างครบครัน  โดยสรุปเป็นภาพรวมความเคลื่อนไหวการใช้งานเครื่องมือดิจิทัลบน LINE สำหรับธุรกิจการเงินและประกันได้เป็น 4 เทรนด์ใหญ่ ดังนี้

1) เชื่อมต่อ LINE OA ด้วย API เพื่อสื่อสาร ให้บริการแบบ Personalized

หลากหลายแบรนด์มีการเชื่อมต่อ LINE OA กับระบบต่างๆ ที่ตนเองมีอยู่ผ่าน LINE API นอกจากเพื่อเสริมสร้าง ต่อยอดประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าใน LINE OA ให้ครบครัน ครอบคลุมและหลากหลายแล้ว ยังช่วยให้แบรนด์ได้รับข้อมูลส่วนตัวจากลูกค้าโดยตรง ด้วยเงื่อนไขที่ลูกค้าจำเป็นต้องผูกบัญชีและ Verify ตัวตนเบื้องต้นก่อนใช้งาน โดยแบรนด์สามารถนำข้อมูลดังกล่าว รวมถึง User ID ของลูกค้าที่ได้ มาร่วมจำแนก จัดเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไป เพื่อเลือกสื่อสาร นำเสนอคอนเทนต์ และบริการแบบ Personalized ให้ลูกค้าแต่ละคน แต่ละกลุ่ม ได้ตรงใจ ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การบรอดแคสต์ข้อความแบบ Narrowcast ตามกลุ่มลักษณะของลูกค้าที่แบรนด์ได้แบ่งกลุ่มไว้ การบรอดแคสต์ข้อความแบบ Multicast ถึงลูกค้ากลุ่มใหญ่โดยอาศัยข้อมูล User ID ที่แบรนด์ได้มา รวมไปถึงการส่งข้อความแชต 1:1 หาลูกค้าเป้าหมายรายบุคคล เป็นต้น ซึ่งการส่งข้อความแบบ Personalized เช่นนี้ ย่อมทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าเป็นที่น่าประทับใจ ลูกค้าได้รับข้อมูลตรงความสนใจ ลดอัตราการบล็อค LINE OA ไปด้วยในตัว จึงกลายเป็นที่นิยมของหลากหลายแบรนด์ในกลุ่มธุรกิจนี้ ด้วยอัตราการบรอดแคสต์ข้อความแบบ Narrowcast และ Multicast ในปี 2024 เติบโตจากปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า

2) ทำ Data Utilization ใช้ประโยชน์จากข้อมูลหลายแหล่งที่มา

ธุรกิจกลุ่มการเงินและประกันในไทย ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่ใช้ดาต้าเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้งานเครื่องมือ Business Manager ในการรวมทุกข้อมูลจากหลากหลายแหล่งที่มาไว้ในถังข้อมูลเดียวกัน เพื่อให้แบรนด์สามารถนำมาบริหารจัดการร่วมกัน และดึงมาใช้เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าในการสื่อสาร ทำการตลาดแบบ Cross-Targeting บน LINE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าที่เกิดขึ้นบน LINE OA เช่น การคลิกข้อความบรอดแคสต์หรือริชเมนู ข้อมูลที่ได้จากการติด Tag ฯลฯ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นต่อโฆษณาบน LINE เช่น การรับชม การคลิกโฆษณา ทั้งโฆษณาที่มาจากระบบประมูลผ่าน LINE Ads และโฆษณาในตำแหน่ง Smart Channel และ Master Banner เป็นต้น อีกทั้งแบรนด์ยังสามารถเพิ่มข้อมูล 1st Party Data เดิมที่แบรนด์มี เช่น เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ User ID มาร่วมเก็บไว้ในถังข้อมูลเดียวกัน เพื่อวิเคราะห์แบ่งกลุ่มร่วมกันได้อีกด้วย โดยจากผลทดสอบ การใช้ Business Manager สำหรับทำการตลาดแบบ Cross-Targeting บน LINE สามารถช่วยเพิ่ม CTR ได้มากถึง 1.46 เท่า และหากมีการใช้ข้อมูล 1st Party Data ร่วมด้วย จะช่วยเพิ่มผล CTR สูงถึง 1.76 เท่าเลยทีเดียว จึงทำให้กลุ่มธุรกิจการเงินและประกันในไทย เริ่มมีการเปิดใช้งาน Business Manager ในปีนี้เพิ่มมากขึ้นจากปี 2023 ถึง 90% และ 90% ของกลุ่มดังกล่าว เน้นความต้องการดึงข้อมูลพฤติกรรมต่อโฆษณาบน LINE เป็นสำคัญ

3) เสริมความมั่นใจ คงความปลอดภัยในการแจ้งเตือนด้วย LINE Official Notification (LON)

การแจ้งเตือนจากกลุ่มธุรกิจการเงินและประกัน มักเกี่ยวเนื่องกับข้อมูลสำคัญเชิงธุรกรรม จึงต้องการความปลอดภัยสูงในการสื่อสาร LON คือ โซลูชั่นการส่งข้อความแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติ ที่แบรนด์สามารถส่งหาลูกค้าด้วยระบบของ LINE ผ่านฐานข้อมูลที่เป็นเบอร์โทรศัพท์ โดยจะแสดงผลผ่าน LINE OA ของแบรนด์ดังกล่าว นับเป็นเครื่องมือใหม่จาก LINE ที่ช่วยเสริมความปลอดภัยในทุกการแจ้งเตือนจากแบรนด์สู่ลูกค้าได้ พร้อมเสริมความมั่นใจให้ลูกค้าไร้ความกังวลในการเปิดอ่าน โดยผลการใช้งานจริงจากธุรกิจโบรกเกอร์ชั้นนำอย่าง ‘หยวนต้า’ พบว่าการใช้งาน LON ช่วยประหยัดงบประมาณในการส่งข้อความ SMS ลดลงกว่า 80% พร้อมอัตราการส่งข้อความสำเร็จที่สูงขึ้นถึง 47.29% สะท้อนถึงประสิทธิภาพของโซลูชั่น LON ที่ตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจนี้ได้เป็นอย่างดี จนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยสัดส่วนข้อความแจ้งเตือน LON ที่ถูกส่งโดยกลุ่มธุรกิจนี้สูงถึง 37% ของจำนวนข้อความแจ้งเตือน LON ทั้งหมด นับว่าเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่นที่มีการเปิดใช้งาน LON

4) สร้างการรับรู้ผ่านโฆษณาบน LINE สู่ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้

ผลลัพธ์และประสิทธิภาพของเครื่องมือดิจิทัลที่วัดผลได้ชัดเจน เป็นสิ่งที่กลุ่มธุรกิจการเงินและประกันให้ความสำคัญ โดยกลุ่มธุรกิจนี้ นับเป็นกลุ่มธุรกิจที่ลงทุนในโฆษณาผ่าน LINE Ads มากที่สุดในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความคุ้มค่าในเม็ดเงินลงทุน โดยวัตถุประสงค์ 3 อันดับแรกของการใช้งาน LINE Ads สำหรับกลุ่มธุรกิจนี้ คือ Website Conversion 45% การเข้าชมเว็บไซต์หรือ Website Visit 30% และ Smart Channel Custom 11% พร้อมค่าเฉลี่ยผลลัพธ์การใช้งาน LINE Ads อันโดดเด่นจากกลุ่มธุรกิจนี้ (ณ เดือนก.ค. 2567) อาทิ ต้นทุนต่อการแสดงผลพันครั้งหรือ CPM 16 บาท ต้นทุนต่อการคลิกหรือ CPC 2.20 บาท อัตราการคลิกต่อจำนวนการมองเห็นหรือ CTR 0.57% เป็นต้น เมื่อมีมาตรฐานการชี้วัดผลลัพธ์ที่ชัดเจน LINE Ads จึงถือเป็นอีกหนึ่งเทรนด์การใช้งานดิจิทัลบน LINE ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มธุรกิจนี้เช่นกัน

ธุรกิจการเงินและประกันถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่เป็นผู้นำในด้านการใช้งานเทคโนโลยีในประเทศไทย เป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่มีการใช้งาน LINE เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์และความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดย LINE พร้อมเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนให้กลุ่มธุรกิจนี้เดินหน้าสู่การเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตลาดดิจิทัลไทยในภาพรวมได้เทียบเท่าระดับสากล กลุ่มธุรกิจธนาคารและประกัน ที่สนใจใช้งานแพลตฟอร์มหรือโซลูชั่นต่างๆ บน LINE สามารถกรอกแบบฟอร์มเพื่อติดต่อสอบถามทีมที่ปรึกษาธุรกิจองค์กร LINE ประเทศไทยได้ที่ https://lineforbusiness.com/th/contact หรือติดต่อสอบถามเอเจนซี่ที่ดูแลแบรนด์ของท่านได้ทันที หรือเลือกติดต่อพันธมิตรเอเจนซี่ของ LINE ได้ที่ https://lineforbusiness.com/th/partner

บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับมูลนิธิกรุงเทพประกันภัย มอบทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา ให้แก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ประจำปี 2567 รุ่นที่ 31 รวมจำนวน 37 ทุน โดยทุนการศึกษาดังกล่าวเป็นทุนให้เปล่าที่รวมถึงค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็น ซึ่งบริษัทฯ สนับสนุนทุนการศึกษาต่อเนื่องจนกว่าจะสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ด้วยบริษัทฯ เห็นความสำคัญในการส่งเสริมและสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชน จึงได้จัดโครงการนักเรียนทุนมูลนิธิกรุงเทพประกันภัยมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบัน โดยบริษัทฯ ได้มอบทุนการศึกษาไปแล้วรวมทั้งสิ้นจำนวน 808 ทุน เป็นเงินทุนทั้งสิ้น 172,476,681 บาท ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เมื่อเร็วๆ นี้

โตชิบา ไทยแลนด์ เผยผลประกอบการฉลองครบรอบ 55 ปี  ครึ่งปีแรกเติบโตดีเกินคาด  เติบโตสูงถึง 26% สูงเกินตลาด เตรียมรุกหนักครึ่งปีหลัง’67 ตั้งเป้าเติบโตทั้งปี 20% พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ 27 รุ่น เน้นขยายไลน์อัพสินค้า  ทำตลาด Mid to High มากขึ้น และส่งแคมเปญมากมายคืนกำไรให้ลูกค้า    

มร.อเล็กซ์ มา รองประธาน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน (ไม่รวมทีวี) ประเทศไทยในปี 2567 ครึ่งปีแรก มีอัตราการเติบโตรวมประมาณ 6% โดยหากมองเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ (Major Appliance) ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศ เติบโต 10%  แต่หากไม่นับรวมเครื่องปรับอากาศ นับเฉพาะตู้เย็นและเครื่องซักผ้าจะเติบโต 5% ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (Small Appliance) ติดลบ 7%”    

“ส่วนโตชิบา ไทยแลนด์  เราฉลองครบรอบ 55 ปีได้อย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยผลประกอบการครึ่งปีแรกที่เติบโตเกินคาด มากถึง 26%  จากทุกกลุ่มสินค้า โดยสินค้าที่เติบโตสูงสุด ได้แก่ เครื่องซักผ้า เติบโตมากถึง 47% เนื่องจากมีสินค้ารุ่นใหม่ ๆ ออกตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องซักผ้าฝาหน้า ประกอบกับสินค้าหลายรุ่นย้ายฐานการผลิตมาในประเทศไทย ทำให้มีความได้เปรียบในเรื่องราคา รวมไปถึงการบริหารซัพพลายเชน  สำหรับสินค้าที่เติบโตรองลงมา ได้แก่ กลุ่มไมโครเวฟ เติบโตถึง 19% กลุ่มตู้เย็น 15%  กลุ่มหม้อหุงข้าวและสินค้าชิ้นเล็ก 6% และกลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำ เช่น เครื่องทำน้ำอุ่น 1% สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำ แม้โตชิบาจะไม่ได้เติบโตมากนัก แต่ภาพรวมตลาดติดลบ  เนื่องจากอากาศไม่เอื้ออำนวย  และกลุ่มสุดท้ายคือเครื่องปรับอากาศ เราเติบโตมากถึง 103% เพียงแต่สัดส่วนการขายไม่มาก”

“จากผลประกอบการที่ดีต่อเนื่องมาตลอดหลายปี ทำให้ปัจจุบัน โตชิบามีมาร์เก็ตแชร์ติดอันดับท็อป 3 ในเกือบทุกกลุ่มสินค้า โดยไมโครเวฟมีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 ด้วยแชร์ 28.5%  ตู้เย็น อันดับ 2 ด้วยแชร์ 16% หม้อหุงข้าว อันดับ 2 ด้วยแชร์ 9.2% และเครื่องซักผ้า อันดับ 3 ด้วยแชร์ 10.8%  และถ้าดูสถิติย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2562-2566 จะเห็นได้ว่าบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) เฉลี่ย 12% ซึ่งจากตัวเลขทั้งหมดมาจากความเชื่อมั่นในแบรนด์ และผลิตภัณฑ์โตชิบาที่ผู้บริโภคให้การยอมรับ   ปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ เติบโตต่อเนื่อง และมีมาร์เก็ตแชร์อันดับต้น ๆ ของตลาด เพราะบริษัทฯ ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างตรงกลุ่ม ทั้งนี้ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ เปิดตัวสินค้าใหม่ไป 17 รุ่น โดยเน้นกลุ่มสินค้าที่เป็น Mid to High มากขึ้น นอกจากนี้เราบริหารจัดการภายใน ทั้งในเรื่องซัพพลายเชน และโอเปอเรชันทีมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่าย ตั้งแต่ต้นปี เราเพิ่มพนักงานขายหน้าร้าน ประมาณ 20% มีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น เพื่อปรับแนวทางการบริหารช่องทางให้เหมาะสม รวมถึงยังคงให้ความสำคัญกับการปรับโฉมหน้าร้านค้าให้สวยงาม ทันสมัย และเพิ่มเติมพื้นที่พิเศษให้เป็น Experience Zone มากขึ้น             

ในส่วนการตลาด เราเปิดตัวแคมเปญใหญ่ 55 ปี  โดยมีคุณหมาก ปริญ สุภารัตน์ เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์  รวมถึงทำกิจกรรมต่อเนื่องทั้งออฟไลน์และออนไลน์  มีโปรโมชันส่งเสริมการขายและทำกิจกรรม ณ จุดขายอย่างต่อเนื่อง  และส่วนสุดท้ายคือเรื่องบริการหลังการขาย  ที่เราอัพเกรดภาพลักษณ์ และคุณภาพงานบริการให้รวดเร็ว พร้อมตอบสนองการเติบโตของลูกค้าโตชิบาที่เพิ่มมากขึ้น”

มร.อเล็กซ์ กล่าวเสริมว่า “โตชิบา ไม่ใช่แค่มุ่งหวังการขายผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่เราต้องการสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค รวมถึงเติบโตยั่งยืนไปด้วยกัน  สำหรับแผนครึ่งปีหลัง โตชิบาตั้งเป้าเติบโต 14% ซึ่งจะทำให้ตัวเลขภาพรวมทั้งปี เติบโตประมาณ 20% โดยวางกลยุทธ์หลักทั้งในเรื่องการออกสินค้าใหม่อีก 27 รุ่น เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า เน้นสินค้ากลุ่มไฮเอนด์มากขึ้น และมีแผนเปิดตัวสินค้าเรือธง ตู้เย็น Japandi Series ที่จะมาสร้างปรากฎการณ์ใหม่ในตลาด นอกจากนี้ในส่วนของการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย มีแผนการเพิ่มพนักงานขายหน้าร้านมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วง High Season และ Promotion เพื่อสามารถช่วยเหลือลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้อย่างรวดเร็วทั่วถึงยิ่งขึ้น  รวมไปถึงการเพิ่ม Experience Zone ในสาขาหลักๆ เพิ่มมากขึ้น  สำหรับในส่วนการตลาด เรายังคงมีแคมเปญการตลาดต่อเนื่อง โดยมีคุณหมาก ปริญ เป็นคีย์หลักในการเผยแพร่  มีการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งต่อเนื่อง รวมถึงทำโปรโมชันแคมเปญ ทำโรดโชว์ และกิจกรรมต่างๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้ได้สัมผัสประสบการณ์ในการใช้งานสินค้าดียิ่งขึ้น  และสุดท้ายคือการให้ความสำคัญด้านบริการหลังการขาย ปรับโฉมศูนย์บริการโตชิบาทั่วประเทศ รวมถึงยกระดับการให้บริการมากขึ้น” นอกจากนี้ คุณอเล็กซ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในภาพรวมเศรษฐกิจ เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เรายังคงเชื่อมั่นในประเทศไทย  และเรามีความพร้อมและเตรียมแผนตั้งรับเสมอ”

นายเอกดนัย ตันติภูมิอมร ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ กล่าวว่า “ในครึ่งปีหลัง โตชิบามีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 27 รุ่น โดยแบ่งเป็นกลุ่มตู้เย็น 8 รุ่น กลุ่มเครื่องซักผ้า 5 รุ่น กลุ่มเครื่องครัว 9 รุ่น และกลุ่มเครื่องใช้ในบ้านอีก 5 รุ่น  แผนดังกล่าว สืบเนื่องจากภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครึ่งปีแรก สินค้ากลุ่มตู้เย็น และเครื่องซักผ้า มีอัตราการเติบโต 4.7% และสำหรับโตชิบาเอง ผลประกอบการครึ่งปีแรกของตู้เย็น และเครื่องซักผ้าเติบโตสูงถึง 26%  จนทำให้สัดส่วนการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ของสินค้า 2 กลุ่มดังกล่าวโตขึ้นถึง 2.9% ซึ่งถือว่าเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ โดยเฉพาะตู้เย็นขนาดใหญ่ กลุ่มไซด์บายไซด์ และ 4 ประตู มัลติดอร์ เราเติบโตถึง 114% ในขณะเดียวกัน เครื่องซักผ้าฝาหน้าก็โตถึง 88%”

ดังนั้นแผนในครึ่งปีหลัง เราจึงมีแผนเปิดตัวตู้เย็นซีรีย์ใหม่ JAPANDI จำนวน 2 รุ่น คือตู้เย็น 4 ประตู แบบมัลติดอร์ รุ่น GR-RF695WIA-PGTH(67)  ความจุ 18.9 คิว และตู้เย็น 4 ประตู แบบเฟรนช์ดอร์ รุ่น GR-RF690WI-PGTH(67) ความจุ 18.8 คิว ซึ่งทั้ง 2 รุ่นผสมผสานดีไซน์ความ Minimal สีขาวเรียบหรู Fuji White จากความเป็น Japan มาพร้อมมือจับสไตล์ Scandinavian ให้ความรู้สึกอบอุ่น  มาพร้อมไฟออโตเซนเซอร์ ให้ความสว่าง สะดวก และสวยงาม ในเวลากลางคืน ได้รับรางวัลการันตีจากทั้ง Good Design และ IF  ตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้ฟิตเข้าได้กับบิ้วอินแบบแนบสนิท ไม่ต้องเหลือพื้นที่ด้านข้างหรือด้านหลังตู้ เพื่อระบายความร้อนแบบตู้เย็นทั่วไป โดยระบายความร้อนที่ด้านล่างตัวเครื่องแทน  นอกจากนี้หน้าบานตู้เย็นเป็นแบบกระจก เพิ่มความหรูหรา และเคลือบสารถึง 10 ชั้น แข็งแรงทนทาน ลดรอยขีดข่วน ทำความสะอาดง่าย และสีไม่เหลือง แม้จะใช้งาน

ไปยาวนาน ตู้เย็นเป็นระบบอินเวอร์เตอร์ ประหยัดไฟ  โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยระบบทำน้ำแข็งขนาดใหญ่ถึง 1.45 กิโลกรัม สามารถทำน้ำแข็งอัตโนมัติได้รวดเร็ว โดยทำน้ำแข็งได้ภายใน 60 นาที  เร็วกว่าตู้เย็นทั่วไปถึง 2 เท่า  นอกจากนี้ยังมีระบบช่องแช่แข็งพิเศษ (Deep Freeze) สามารถปรับอุณหภูมิความเย็นได้ต่ำสุดถึง -30 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิเดียวกับที่ร้านอาหารใหญ่ ๆ ใช้แช่อาหาร ทำให้เกล็ดน้ำแข็งจะมีความละเอียดกว่า ไม่ทำลายวัตถุดิบที่จะนำไปประกอบอาหาร อีกฟังก์ชันที่โดดเด่นคือระบบกำจัดกลิ่น Pure Air ซึ่งเป็นเป็นเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของโตชิบา ที่จะปล่อยประจุออกมาทั้งในช่องแช่แข็งและช่องแช่เย็น เพื่อดูดซับกลิ่น ช่วยยับยั้งแบคทีเรียได้  เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มาทดแทนระบบกรอง Filter แบบเดิม ๆ ซึ่งควรเปลี่ยนแผ่นกรองทุก 6 เดือน ถึง 1 ปี แต่ในตู้เย็น ส่วนใหญ่ไม่มีใครเปลี่ยน  และไฮไลท์สำคัญคือ สามารถควบคุมการทำงานของตู้เย็นได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน TSmartLife  ให้ชีวิตคุณสะดวกสบายยิ่งขึ้น

สำหรับเครื่องซักอบผ้า รุ่น TWD-T21BU115UWT(MG) ความจุซัก 10.5 กิโลกรัม และอบ 7 กิโลกรัม  ตัวถังขนาดใหญ่ 510 มิลลิเมตร  ทำให้แรงในการปั่นผ้ามากขึ้น ผ้ายับน้อยลง  นอกจากถังใหญ่แล้ว ช่องใส่ผ้ายังกว้างถึง 330 มิลลิเมตร ช่วยให้ใส่ผ้านวมสะดวกมากขึ้น และสามารถมอนิเตอร์การทำงานผ่านมือถือได้ ดูโปรแกรมการซัก รอบการซักได้  ผ่านแอปพลิเคชัน TSmartLife ส่วนในเรื่องการทำความสะอาด มาพร้อมเทคโนโลยี Ultra Fine Bubble ที่จะปล่อยประจุไฟฟ้า สร้างฟองที่ละเอียดและเล็กกว่าเดิม ช่วยแทรกซึมเข้าสู่เส้นใยผ้า ขจัดคราบได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะคราบมัน คราบเหลืองของปกคอเสื้อ ช่วยให้ผ้าเหมือนใหม่อยู่เสมอ  และไฮไลท์ที่สำคัญอีกตัวคือ Aroma+ เพราะเราให้ความสำคัญกับเรื่องกลิ่นหอม เราจึงพัฒนาโปรแกรมเพิ่มระยะเวลาการปรับผ้านุ่มให้ยาวขึ้น เพื่อช่วยให้ผ้าหอมยาวนานกว่าปกติ ท้ายสุด มีการดีไซน์วาล์วน้ำเข้าแบบใหม่ ที่ช่วยแก้ปัญหาพื้นที่ที่มีแรงดันน้ำน้อย ให้ยังคงสามารถใช้งานได้  จากคุณสมบัติดังกล่าว ทำให้ครึ่งปีแรก เครื่องซักผ้าโตชิบากลุ่มขนาด 10 กิโลกรัม ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง มียอดขายขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของประเทศ จึงเป็นที่มาของการเปิดตัวเครื่องซักอบรุ่นนี้ ซึ่งจะมีคุณสมบัติทั้งหมดข้างต้น และเพิ่มเติมตัวเซนเซอร์ SenseDry ที่จะช่วยมอนิเตอร์เรื่องความชื้น รักษาระดับความชื้นในผ้าให้เหมาะสมเพื่อควบคุมไม่ให้ผ้าแห้งเกินไป

สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (Small Appliance) ภาพรวมตลาดในครึ่งปีแรก มีอัตราการเติบติดลบ 7%  ในขณะที่โตชิบา เติบโตสวนตลาด เติบโต 9% โดยสินค้าหลักคือ ไมโครเวฟ หม้อหุงข้าว และเครื่องทำน้ำอุ่น

เตาอบไมโครเวฟ รุ่น MX-1TH23SC(WH) ความจุ 23 ลิตร เป็นเตาอบไมโครเวฟ แบบ 4 in 1 สะดวกทั้ง นึ่ง อบ อุ่น และย่าง  ทำงานแบบระบบอินเวอร์เตอร์ ให้ความร้อนเสถียรและประหยัดไฟ  มีระบบ Cyclic Steam ที่ทำไอน้ำที่ 100 องศาได้อย่างรวดเร็ว ใช้นึ่งอาหารได้ดี โดยยังคงรักษารสชาติ  รูปลักษณ์ และคุณค่าอาหารได้ดี รวมถึงยังใช้ฆ่าเชื้อทำความสะอาดภาชนะต่าง ๆ ได้ อาทิ นึ่งขวดนม จานชามต่าง ๆ  โดดเด่นด้วยชุดทำความร้อนแบบ 3D ปล่อยความร้อนทั้งด้านบนและล่าง ทำให้อาหารสุกสม่ำเสมอ สีสันน่ารับประทาน   มีเมนูทำอาหารอัตโนมัติ 38 เมนู เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำอาหาร

หม้อหุงข้าวระบบอินดักชัน รุ่นใหม่ล่าสุด RC-18IH1TTH(N) ความจุ 1.8 ลิตร ระบบ Induction Heating หม้อด้านในหนา 3 มิลลิเมตร พร้อมสารเคลือบหนา 7 ชั้น ทำให้ข้าวไม่ติดหม้อ ทำความสะอาดง่าย มีระบบทำความร้อน 3 ทิศทาง (3D Heating) กระจายความร้อนทั่วถึง มาพร้อมระบบ MICRO-PRESSURE ช่วยกักเก็บแรงดันภายในหม้อ รักษาความชุ่มชื้นขณะหุง จึงทำให้ข้าวฟูนุ่ม น่าทาน  นอกจากนี้ยังมีระบบระบายความร้อนจากด้านบนลงด้านล่าง เมื่อหุงข้าวและเปิดฝาหม้อ จะไม่มีหยดน้ำตรงฝาหม้อตกใส่ข้าว

เครื่องทำน้ำอุ่น TWH-60EFNTH(K)-RS ขนาด 6000 วัตต์ ระบบ SensTemp เน้นเรื่องการควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม  โดยวาล์วน้ำเข้าจะทำการตรวจเช็คอุณหภูมิ ณ เวลานั้น เพื่อส่งค่าไปที่แผงวงจร และแผงวงจรจะส่งค่าพลังงานที่เหมาะสมกลับมา ทำให้ได้น้ำอุณหภูมิที่เหมาะสมและเสถียรมากขึ้น ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามแรงดันน้ำ และการใช้น้ำในพื้นที่ใกล้เคียง  นอกจากนี้ตัวแท็งก์เป็นแบบทองแดง แข็งแรง ทนทาน ไม่รั่วซึมง่าย ไม่เป็นตะกรัน และนำความร้อนได้ดี มีระบบความปลอดภัยสูง ตัดการทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงเกินไป  มีระบบป้องกันไฟรั่ว ไฟลาม และป้องกันน้ำซึมเข้าตัวเครื่อง   

นางสาวธัญปภัสส์ อริยะวรวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า “ปีนี้โตชิบา ไทยแลนด์ครบรอบ 55 ปี เราตั้งใจทำแคมเปญใหญ่ ทั้งเพื่อสร้างภาพลักษณ์ และตอบแทนผู้บริโภคทุกคน ประเดิมต้นปีโดยการเปิดตัวแบรนด์ แอมบาสเดอร์ คุณหมาก ปริญ สุภารัตน์ เพื่อปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้เด็กลง อบอุ่น สมาร์ท ทันสมัย และใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ  ซึ่งบริษัทได้ทุ่มงบโฆษณามากกว่าเดิม โปรโมททั้งในทีวี สื่อออนไลน์ โซเชียล รวมไปถึงสื่อนอกบ้าน สื่อเคลื่อนที่ และที่สำคัญสื่อ ณ จุดขาย นอกจากนี้ยังมีแคมเปญออนไลน์อีกมากมาย รวมถึงการใช้อินฟลูเอนเซอร์รีวิวสินค้า ให้ผู้บริโภคเข้าใจสินค้ามากขึ้น  ส่งผลให้ช่วยเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มยอดขายจนทำให้ครึ่งปีแรกบริษัทฯ มียอดขายเติบโตถึง 26% และยังช่วยเพิ่มฐานผู้ติดตามในโซเชียลของโตชิบาสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะช่องทางยูทูปที่เติบโตสูงมากจนได้รับรางวัล Youtube Silver Award และโตชิบายังได้รับรางวัลการันตี No.1 Most Admired Brand ในสินค้ากลุ่มตู้เย็นที่โตชิบาเป็น No.1 ต่อเนื่อง 15 ปีซ้อน ไม่เพียงแค่การสร้างแบรนด์ โตชิบายังจัดทำโรดโชว์ และโปรโมชันส่งเสริมการขายต่อเนื่อง เพื่อตอบแทนลูกค้าที่ซื้อสินค้าโตชิบา อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับพันธมิตรการค้า โดยปรับโฉมร้านค้าตัวแทนจำหน่ายให้สวยงามยิ่งขึ้น กว่า 100 สาขา รวมไปถึงการคัดเลือกร้านค้าหลักเพื่อสร้าง Experience Zone เปิดประสบการณ์ให้ลูกค้าเข้ามาทดลองใช้สินค้ามากขึ้น”

“สำหรับครึ่งปีหลัง โตชิบายังคงทำแคมเปญ 55 ปีต่อเนื่อง โปรโมทแบรนด์ และสินค้าผ่านสื่อออนไลน์กว่า 10 แคมเปญ รวมถึงจัดทำโปรโมชันส่งเสริมการขาย อาทิ Rainy Campaign ลุ้นรับฟรีเครื่องซักผ้า 55 เครื่อง มูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท ต่อด้วยจะมีโปรโมชันส่งท้ายปีอีก 2 แคมเปญ ที่ตั้งใจมาตอบแทนลูกค้าโตชิบา  นอกจากนี้ ยังมีแผนจัดโรดโชว์เปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะล็อนซในครึ่งปีหลัง  ซึ่งคุณหมาก ปริญจะมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงาน วันที่ 24-25 สิงหาคม 2567 นี้ ที่สยามพารากอน  และยังมีโรดโชว์ใหญ่ปลายปีอีกครั้งต้อนรับเทศกาลกิฟท์ “คิดถึงของขวัญ คิดถึงโตชิบา” ที่เราทำต่อเนื่องมา 3 ปี ซึ่งได้รับกระแสตอบรับดีมาก ในส่วนของร้านค้า โตชิบายังคงทุ่มงบ และให้ความสำคัญกับการปรับภาพลักษณ์ และการสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้า ณ จุดขาย  และสุดท้ายคือการให้ความสำคัญด้านบริการหลังการขาย  ปรับโฉมศูนย์บริการโตชิบาให้ดูสวยงาม ทันสมัย มีการเทรนนิ่งและพัฒนาเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ยกระดับบริการมากขึ้น ขยายเพิ่มพิเศษสำหรับรถโมบายเซอร์วิส ที่จะให้บริการพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้ากลุ่มพรีเมียม  รวมไปถึงการเปิดศูนย์บริการพิเศษ เพื่อรองรับการให้บริการผู้บริโภคเพิ่มขึ้น

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า ว่า “ปี 2567 นี้ โตชิบา ไทยแลนด์ ครบรอบ 55 ปี ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ให้ความสำคัญที่สุดในเรื่องการจัดหาและนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมมาตรฐานประเทศญี่ปุ่นในราคาที่จับต้องได้ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงพิถีพิถันในเรื่องบริการหลังการขายที่ดี เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจและได้รับความสะดวกสบายที่สุด และจากกลยุทธ์การตลาดดังกล่าว ส่งผลให้โตชิบา ไทยแลนด์ เติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงตลอดมา ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการเติบโตของคู่ค้าและดีลเลอร์ให้เติบโตไปด้วยกัน ด้วยการจัดอบรมเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ และทายาทร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าท้องถิ่นทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โตชิบา ไทยแลนด์ ต้องขอขอบคุณสังคมไทย ลูกค้า พาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่าย และพนักงานทุกคน ที่ให้ความไว้วางใจในบริษัทฯ และแบรนด์ ‘TOSHIBA’ มาโดยตลอด บริษัทฯ จะยังคงมุ่งมั่นที่จะ ‘นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต’ ซึ่งประกอบด้วยคุณค่าทุกประการที่คนไทยคู่ควรจะได้รับจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ทั้งความสะดวกสบายยิ่งขึ้น จากนวัตกรรมอันทันสมัย อย่าง IOT ความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและเสริมสร้างสุขภาพที่ดี ไปจนถึงความประหยัดและความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจะสร้างสรรค์โอกาสพิเศษต่าง ๆ เพื่อตอบแทนความไว้วางใจของลูกค้า ผ่านแคมเปญและโปรโมชันใหญ่ที่จะมีตามมาอย่างต่อเนื่อง”

บริษัท อินแทค แปซิฟิค จำกัด จากประเทศสิงค์โปร์ ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมประเภท อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยางสังเคราะห์ มอเตอร์สุญญากาศ และอุปกรณ์ทำความสะอาด ประกาศเดินหน้าลุยตลาดในประเทศไทย ชูสินค้าหลัก มอเตอร์และโบลเวอร์ ยี่ห้อ BISON/AMETEK จากอเมริกา, Vacuum pads สำหรับเครื่องจักรออโตเมชั่นในงานอุตสาหกรรมทุกประเภท และ Contact Probe หัวเข็มโพรบแบบสัมผัส จาก Sankei Engineering ประเทศญี่ปุ่น มุ่งทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ผลิต โรงงาน ผู้จำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม และผู้บริโภคทั่วไป

นางสาววรกมล เทิดน้ำเพ็ชร์ กรรมการ บริษัท อินแทค แปซิฟิค จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า “บริษัทดำเนินธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมประเภท อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยางสังเคราะห์ มอเตอร์สุญญากาศ และอุปกรณ์ทำความสะอาด ทั้งในประเทศไทยและในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัทแม่ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ เรามีสาขาอยู่ในหลายประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศไทยนั้นได้เข้ามาก่อตั้งดำเนินธุรกิจในปี 2547 ให้บริการจัดหาและจำหน่ายทั้งสินค้าจากยี่ห้อที่มีชื่อเสียงระดับโลก และสินค้าตามสั่งเฉพาะตามความต้องการของลูกค้า ภายใต้สินค้าหลัก 3 ประเภท คือ

1) มอเตอร์และโบลเวอร์ ยี่ห้อ BISON จากอเมริกา ซึ่งเป็นที่รู้จักและนิยมใช้กันทั่วโลกมาอย่างยาวนาน เป็นแบรนด์ภายใต้ธุรกิจของ AMETEK, Inc. ที่ได้รับการยอมรับในด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงเป็นต้นแบบของมอเตอร์และโบลเวอร์ในเรื่องคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ ทนทาน คุ้มค่า สามารถตอบสนองในเรื่องประสิทธิภาพที่ลูกค้าต้องการได้ในทุกการใช้งาน ลูกค้าในประเทศไทยอาจจะไม่คุ้นหูกับชื่อยี่ห้อ BISON มากนัก แต่ถ้ากล่าวถึงยี่ห้อ AMETEK จะรู้จักกันอย่างแพร่หลายมากในไทย โดยในปีที่แล้ว บริษัท AMETEK Dynamic Fluid Solutions (AMETEK DFS) ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้ธุรกิจของ AMETEK, Inc. ได้ควบรวมกับ บริษัท Bison Gear and Engineering Corp. และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น BISON/AMETEK เพื่อขยายไลน์สินค้าในกลุ่มมอเตอร์และโบลเวอร์ให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าในตลาดโลกได้มากขึ้น และได้เริ่มทำตลาดภายใต้แบรนด์ BISON/AMETEK แทน AMETEK DFS ซึ่งเป็นชื่อเดิม ทั้งนี้เราได้เป็นตัวแทนจำหน่ายมอเตอร์และโบลเวอร์ BISON/AMETEK ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีคลังมอเตอร์และโบลเวอร์ BISON/AMETEK ให้เลือกมากที่สุด ให้บริการด้วยความรวดเร็ว ลูกค้าไม่ต้องรอสินค้านาน เพราะเรานำเข้าโดยตรงจากโรงงานของผู้ผลิต พร้อมกับการรับประกันสินค้าที่สร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้า 

2) ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย Vacuum pads-ยางดูดจับชิ้นงานสำหรับเครื่องจักรออโตเมชั่นในงานอุตสาหกรรมทุกประเภทที่มีคุณภาพสูง มีชื่อเสียงและประสบการณ์มากกว่า 15 ปี เราเชี่ยวชาญ vacuum pad ที่ใช้หยิบจับชิ้นงานที่มีขนาดเล็กมากๆ โดยมีขนาด vacuum pad ให้เลือกตั้งแต่ 1.5 mm.-250 mm. ซึ่งต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการผลิตจริงๆ โดยเฉพาะการผลิต vacuum pad สเปคพิเศษๆ อย่างเช่น ESD vacuum pad โดยปกติ vacuum pad ขนาดเล็กนี้ ใช้กันมากในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิต เซมิคอนดักส์เตอร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เวชภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง งานแพจเกจจิ้งขนาดเล็ก และชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีขนาดเล็ก โดยเรามีความพร้อมในการช่วยเหลือลูกค้าที่ต้องการ vacuum pad ที่มีคุณภาพสูงในราคาจับต้องได้ พร้อมกับบริการที่รวดเร็ว ประทับใจ ไม่ต้องรอของนาน เพราะปัญหาหลักๆ ของลูกค้าคือ ผู้ใช้งานในสายการผลิตส่วนมาก ต้องการ vacuum pad ที่มีคุณภาพ แต่ไม่แน่ใจเวลาจะสั่งซื้อ เพราะข้อมูลเดิมของ vacuum pad ที่ใช้อยู่ไม่มีแล้ว หรืออาจจะมองหา vacuum pad ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับของเดิมในราคาที่ดีกว่า เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่เราตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด เพราะเรามีความเข้าใจในปัญหาหน้างานที่ลูกค้าต้องเจอ เราสามารถแนะนำลูกค้าและผู้ใช้งานเพื่อให้ได้ยางดูดจับชิ้นงาน - vacuum pad ที่เหมาะกับการทำงานที่ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด อีกทั้งช่วยลดปัญหาด้านการรอของนาน รวมถึงให้คำปรึกษาอย่างจริงใจตั้งแต่การเทียบสเปค รุ่น vacuum pad จนกระทั่งบริการหลังการขายที่เรียกว่า ครบวงจรจริงๆ 

3)  Contact Probe - หัวเข็มโพรบแบบสัมผัส จาก Sankei Engineering ประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะด้วยการมีสปริงอยู่ด้านนอกตัวโพรบ (Outer Spring type contact probes) หนึ่งในคุณสมบัติหลักของโพรบชนิดนี้ ทำให้ไฟฟ้ากระแสสูงสามารถไหลผ่านโครงสร้างของโพรบได้ การนำหัวเข็มโพรบที่ขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวนี้ไปใช้กับวงจรไฟฟ้า ทำให้ลดความผิดพลาดในการวัดค่าไฟฟ้าได้ และสามารถวัดความต้านทานได้อย่างแม่นยำและเที่ยงตรง หัวเข็มโพรบแบบมีสปริงอยู่ด้านนอกของ Sankei Engineering ใช้กันเป็นที่แพร่หลายกับงานที่ต้องการกระแสไฟฟ้าสูง เช่น การชาร์จและการคายประจุแบตเตอรี่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นที่นิยมใช้ในกระบวนการผลิตอิเล็กทรอนิกส์มาตรฐานสูง ไม่เพียงแต่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ยังรวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และอุปกรณ์ทางการแพทย์ อีกด้วย

“สำหรับรูปแบบการทำการตลาด ปัจจุบันบริษัทมุ่งเน้นการทำการตลาดออนไลน์ ผ่านเวปไซต์อย่างเป็นทางการ www.intactpacific.com พร้อมใช้การโพสต์ภาพสินค้าต่าง ๆ ของบริษัท เป็นประจำทุกสัปดาห์ และเพื่อให้เกิดการรับรู้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) จึงมุ่งเจาะตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายผ่านการใช้โซเชียลมีเดีย ทั้ง Google ads, Facebook ads และ LINE official พร้อมกับการทำตลาดในส่วน offline ควบคู่ไปด้วย เช่น ออกนิทรรศการตามงานแฟร์ต่าง ๆ เป็นต้น” วรกมล เทิดน้ำเพ็ชร์ กล่าวทิ้งท้าย

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการธนาคารออมสินมีมติอนุมัติต่อสัญญาจ้างให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เป็นสมัยที่ 2 มีผลเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเห็นชอบกรอบทิศทางการดำเนินงานธนาคารระยะ 4 ปี (2568 - 2572) ที่ก้าวต่อไปของธนาคารออมสินจะยังคงจุดยืนการเป็นธนาคารเพื่อสังคม โดยตั้งเป้าปรับลดกำไรลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อขยายผลการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อสังคม (Social Impact) ซึ่งจะทำให้ธนาคารสามารถทำภารกิจและโครงการช่วยเหลือประชาชนและสร้างประโยชน์ให้สังคมได้มากขึ้น ผ่านบทบาทพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ได้แก่ 1) บทบาทการเพิ่ม/ขยายโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง 2) บทบาทการแก้ปัญหาหนี้สิน 3) บทบาทการพัฒนาชุมชน/สังคม และ 4) บทบาทการสนับสนุนภาครัฐดำเนินนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นบทบาทใหม่ที่จะช่วยขับเคลื่อนขยายผลการสร้าง Social Impact ทั้งในเชิงลึกและวงกว้างมากขึ้น เป็นการทำให้เกิดความชัดเจนว่าบทบาทการช่วยเหลือสังคมทั้ง 4 ด้านนี้  มีความสำคัญเหนือกว่าภารกิจการสร้างอัตรากำไรทางธุรกิจ

นอกจากนี้ ธนาคารวางแผนเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแห่งแรก ที่มีการบริหารงานแบบกลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท มีที่มีเงิน จำกัด ให้บริการสินเชื่อที่ดินและขายฝาก บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการหนี้ NPL และ NPA บริษัท เงินดีดี จำกัด ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกลุ่มลูกค้าฐานราก ผ่านแอปพลิเคชัน “Good Money” และบริษัท จีเอสบี ไอที แมเนจเมนท์ จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับความสามารถด้านเทคโนโลยีสนับสนุนธนาคาร

ทั้งนี้ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้เห็นชอบการปรับเป้าหมายการดำเนินงานของธนาคาร ทำให้ธนาคารสามารถออกมาตรการหรือจัดทำโครงการที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกได้มากขึ้น อาทิ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) โครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ รวมถึงมาตรการลดดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และแก้ปัญหาหนี้สิน

จากความสำเร็จของ “ธนาคารเพื่อสังคม” ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันธนาคารสามารถสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อสังคม มีผู้ได้รับประโยชน์ผ่านโครงการและมาตรการต่าง ๆ เช่น การช่วยประชาชนกลุ่มเครดิตต่ำและไม่มีเครดิตให้เข้าถึงแหล่งเงินในระบบแล้วกว่า 3 ล้านคน มีผู้เข้าถึงดอกเบี้ยที่เป็นธรรมแล้วกว่า 5 ล้านคน เป็นต้น โดยธนาคารมีความมั่นคงแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจด้วยปริมาณเงินสำรองรวมเพิ่มขึ้นแตะระดับ 125,948 ล้านบาท และมีฐานลูกค้ารวม 24 ล้านรายในปัจจุบัน ทั้งนี้ การเดินหน้าภารกิจตามจุดยืนธนาคารเพื่อสังคม และตั้งเป้าขยายผลการสร้าง Social Impact ในอีก 4 ปีข้างหน้า จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม

นายเคนอิจิ ยามาโตะ (กลาง) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) รับมอบประกาศนียบัตร ESG100 Company จาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ (ขวา) ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะที่กรุงศรีได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียนทั้งสิ้น 920 บริษัท โดยกรุงศรีได้รับการคัดเลือกอยู่ในรายชื่อ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำปณิธานของกรุงศรีในการมุ่งสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศไทย

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ตอบโจทย์การทำธุรกรรมสกุลเงินตราต่างประเทศ เพิ่มทางเลือกและโอกาสออมเงินระยะสั้น พร้อมรับดอกเบี้ยสูง เอาใจลูกค้าผู้ถือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐด้วย “บัญชีเงินฝากประจำพิเศษ สกุลเงิน USD” ประเภท 3 เดือน และ 6 เดือน รับดอกเบี้ยสูงถึง 5.0% และ 5.1% ต่อปี ตามลำดับ โดยมียอดฝากขั้นต่ำ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ยังได้รับสถานะเพิ่ม KRUGNSRI EXCLUSIVE เมื่อเปิดบัญชี และฝากเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป หรือรับสถานะเพิ่ม KRUNGSRI PRIME เมื่อเปิดบัญชี และฝากเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป

ผู้ที่สนใจสำหรับบุคคลธรรมดาทั้งคนไทยและชาวต่างชาติสามารถขอเปิดบัญชีเงินฝากประจำเงินตราต่างประเทศ (FCD) สกุลเงิน USD  ประเภท 3 เดือน และ 6 เดือนได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2567 ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 50 สาขาที่ร่วมรายการเท่านั้น สำหรับลูกค้า KRUNGSRI PRIVATE BANKING และ KRUNGSRI EXCLUSIVE สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้จัดการการเงินส่วนบุคคล หรือดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/exclusive/foreign-currency-deposit-usd-3m-6m 


หมายเหตุ: *ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ ของธนาคาร

X

Right Click

No right click