

บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด การันตีความมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์ผ่านขนมที่อร่อยให้กับผู้บริโภคควบคู่ไปกับการตอบแทนสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคม พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ URGreen ด้วยการคว้า 2 รางวัลใหญ่ด้าน Sustainability โดยมีการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่พนักงานในเรื่องภาวะโลกร้อนผ่านกิจกรรมภายในองค์กร เพื่อให้ธุรกิจ และสังคมเติบโตไปด้วยกันอย่างแข็งแกร่ง
นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป ประเทศไทย ลาว และ กัมพูชา บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ยูอาร์ซี เราเชื่อในพลังของความร่วมมือ โดยที่ผ่านมาเรามุ่งมั่นปลูกฝังจิตสำนึกด้านความยั่งยืนให้กับผู้คน ทั้งกลุ่มลูกค้า รวมไปถึงพนักงานของเราเอง เพื่อเป้าหมายการทำให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้นไปพร้อมๆ กัน เช่นเดียวกับในปีนี้ ยูอาร์ซี ยังคงสานต่อเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงคน ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยการรณรงค์ให้รักษ์โลกจากกิจกรรมต่างๆ ภายใต้โครงการ URGreen เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมปรับสมดุลธรรมชาติให้กลับมามีคุณภาพอีกครั้ง โดยได้รับความร่วมมือจากบุคลากรภายในองค์กรเป็นอย่างดี จนผลักดันให้โครงการนี้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้”
ซึ่งในปี 2567 นี้ ยูอาร์ซี ตอกย้ำความสำเร็จในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนผ่าน 2 รางวัล ได้แก่

จากรางวัลแห่งความสำเร็จที่ได้รับ ยูอาร์ซี ยังได้จัดกิจกรรมภายในเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่พนักงานในเรื่องภาวะโลกร้อนผ่านโครงการ "URGreen Upcycling Uniform" โดยให้พนักงานร่วมกันเก็บขวดน้ำมารีไซเคิลเพื่อนำมาผลิตเป็นยูนิฟอร์มพนักงาน และจัดกิจกรรมแฟชั่นโชว์เพื่อประชาสัมพันธ์เสื้อยูนิฟอร์มเวอร์ชั่นใหม่ภายในองค์กร โดยคัดเลือกพนักงานที่มีความหลากหลายมาเป็นนางแบบและนายแบบ เป็นการสื่อสารถึงความแตกต่างอย่างลงตัวและความเท่าเทียมในองค์กร โดยปี 2568 เรามีแผนผลิตเสื้อยูนิฟอร์มรีไซเคิลเพิ่มเป็น 4,800 ตัว จากขวดน้ำรีไซเคิล 67,000 ขวด ตั้งเป้าลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมด 8,300 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 700 ต้น

ด้วยความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ยูอาร์ซี ยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่พนักงานทุกระดับ ภายใต้แนวคิด "ใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ใช้ชีวิตกับยูอาร์ซี" (Live sustainability, Live URC) เราพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมต่อไป
ความผันผวนทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาได้ทดสอบความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากรายงานผลสำรวจ UOB Business Outlook Study 2024 ที่ได้จากการสำรวจบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลางในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า ประมาณ 9 ใน 10 บริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ โดยร้อยละ 62 ระบุว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และ ร้อยละ 50 ระบุว่าต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ซึ่งแนวโน้มทางเศรษฐกิจเหล่านี้เชื่อมโยงกับความยั่งยืนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาทิ ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นอาจเกิดจากการขาดแคลนทรัพยากร และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM) ซึ่งเป็นมาตรการที่มีผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปรวมถึงผู้ส่งออกของไทย ก็เป็นตัวกระตุ้นต่อการเติบโตและการอยู่รอดของ SMEs ด้วยเช่นกัน
ด้วยแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ที่เป็นความท้าทายสำคัญสำหรับธุรกิจ SMEs แต่ยังมีโอกาสจะพลิกสถานการณ์และเพิ่มความยืดหยุ่นได้ หากผนวกความยั่งยืนเข้าไปในธุรกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย โดย ยูโอบี ฟินแล็บ จึงได้ดำเนินโครงการ Sustainability Innovation Programme หรือ SIP ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ,องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, PwC Thailand เป็นต้น เพื่อสนับสนุน SMEs กว่า 200 รายให้สามารถปรับธุรกิจสู่ความยั่งยืนได้ ด้วยการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เชิงลึก รวมถึงกลยุทธ์การทำธุรกิจยั่งยืน ให้สามารถยืดหยุ่นและเติบโตได้

นายบัลลังก์ ว่องธวัชชัย Head of Digital Engagement and FinTech Innovation ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการ SIP ได้ทำงานกับพันธมิตรหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยเหลือ SMEs ให้ปรับธุรกิจสู่ความยั่งยืน เพราะเราเข้าใจดีถึงการสนับสนุนที่ SMEs ต้องการได้รับจากธนาคารและภาครัฐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและความยั่งยืน อาทิ เทรนด์ความรู้ แนวทางปฏิบัติ คำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานด้าน ESG การเชื่อมต่อกับบริษัทที่อยู่ในระบบนิเวศอุตสาหกรรมเดียวกัน รวมถึงโซลูชันทางการเงินสีเขียวที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย”

นางสาวนรีรัตน์ สันธยาติ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการลงทุนอย่างยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กล่าวเสริมว่า “ประเด็นด้าน ESG ได้กลายเป็นเรื่อง Do or Die เพราะเป็นเรื่องของความอยู่รอดและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว ทุกธุรกิจจึงต้องกลับมาคิดทบทวนว่า จะปรับตัวให้อยู่รอดท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทายได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ SMEs และธุรกิจครอบครัวจะสามารถส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างไร SMEs จึงต้องเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อติดอาวุธให้ตัวเอง โดยควรพัฒนาความรู้ความเข้าใจและบริหารจัดการประเด็น ESG ที่สำคัญเพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งตัวอย่างการปรับตัวของธุรกิจให้ตอบโจทย์ทิศทางของโลกเรื่อง ESG ก็มีให้เห็น เช่น การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถย่อยสลายและกลับคืนสู่ระบบนิเวศน์ได้อย่างสมบูรณ์ หรือการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ ให้สามารถชี้แจงที่มาของวัตถุดิบ ตั้งแต่แหล่งกำเนิดของสินค้า เพื่อให้มั่นใจได้ว่าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า สอดรับกับ EU Deforestation Regulation เพื่อจับกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมชั้นนำในระดับโลก เป็นต้น”

ดร.ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์ นักวิชาการด้านการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) แนะนำ 5 แนวทางให้กับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับการทำธุรกิจในแนวทางของ ESG ดังนี้ 1. รู้บริบทธุรกิจ – เพื่อประเมินผลกระทบของธุรกิจของเรา 2. รู้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย – เก็บข้อมูลว่าแต่ละรายได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง 3. รู้ประเด็นไหนสำคัญ – งานหรือสิ่งไหนที่มีผลกระทบสูงต่อธุรกิจและผู้มีส่วนได้เสีย 4. รู้ว่าทำประเด็นไหนก่อน - คัดจากประเด็นที่สำคัญว่าอันไหนสำคัญที่สุด เรียงลำดับความสำคัญ แล้วค่อยทยอยปรับเปลี่ยนแนวทาง และ 5. รู้สื่อสาร- ต้องสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กร เผื่อผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทาง ESG อย่างต่อเนื่อง

นางสาวกุลธิดา วิรัตกพันธ์ หุ้นส่วนด้านความยั่งยืน ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส เอบีเอเอส ได้กล่าวว่า เพื่อตอบสนองต่อความต้องการธุรกิจเอสเอ็มอี พีดับบลิวซี ได้ร่วมกับ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย พัฒนา UOB Sustainability Compass ซึ่งเป็นเครื่องมือในรูปแบบของแบบประเมินออนไลน์ ที่จะช่วยวัดระดับและประเมินความพร้อมด้านความยั่งยืนของบริษัทว่าอยู่ในระยะใด บริษัทสามารถลงทะเบียนเพื่อทำแบบสอบถาม และรับรายงานที่รวบรวมแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน โดยรายงานมีการรวบรวมข้อมูลจำเพาะของกฎระเบียบ บรรทัดฐาน และมาตรฐานที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนที่จะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทของแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับโซลูชันทางการเงินที่เหมาะสมให้แก่บริษัททั้งนี้ รายงานความยั่งยืนจะเปรียบเสมือนคัมภีร์เล่มสำคัญที่สะท้อนภาพลักษณ์ของการดำเนินธุรกิจของกิจการในระยะยาว

ดร.รณกร ไวยวุฒิ สถาบันนวัตกรรมบูรณาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงการออกแบบโมเดลธุรกิจเพื่อความยั่งยืนด้วย S-BMC (Sustainable Business Model Canvas) ว่า สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงในการนำ Innovation มาพัฒนาร่วมกันกับ ESG ประกอบด้วย 1.ความต้องการอยากใช้นวัตกรรมของลูกค้า 2.ความคุ้มค่าทางธุรกิจ และ 3.สามารถทำได้จริง นับเป็น 3 องค์ประกอบหลักการสร้างนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในโลกปัจุบัน ครอบคลุม เรื่องของ Human Value , Business และ Technology
โดยทั้ง 3 องค์ประกอบ ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ความต้องการของลูกค้าไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ดังนั้นการสร้าง Innovation ในยุคนี้จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องของสิ่งรอบข้าง อย่างไรก็ดีควรนำ Social, Environmental และ Economic มาพัฒนารวมกัน นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ และสามารถทำได้จริงและวัดผลได้

ด้านนางสาวอโณทัย สังข์ทอง ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารและทะเบียนคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (TGO) เล่าว่า SMEs ที่เป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ หลังนโยบายทั้งไทยและต่างประเทศมุ่งเป้าจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พบว่ามีหลายๆ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายสู่ Net Zero มากขึ้น แต่ไม่มีความรู้ที่แน่ชัดว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหน ทาง TGO จะเข้ามาช่วย เสริมโครงการ SIP ในจุดนี้ได้ ด้วยการสนับสนุน SMEs ทั้งในเรื่องของแพลตฟอร์มการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์ รวมทั้งแพลตฟอร์มการขอขึ้นทะเบียนโครงการคาร์บอนเครดิต กับ TGO ตลอดการให้คำปรึกษาและข้อแนะนำต่างๆ ที่จะช่วยสร้างโอกาสและเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจ SMEs สามารถรุกตลาดคาร์บอนเครดิตต้องทำยังไง ทั้งเป็นหน่วยงานกลางให้ความรู้เทคนิควิชาการเรื่องการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตสินค้าให้มีการลดการใช้พลังงาน ลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย Net Zero ของธุรกิจ อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการติดต่อสอบถามและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้เว็บไซต์ฉลากคาร์บอน https://thaicarbonlabel.tgo.or.th/
สำหรับโครงการ SIP จะจัดมีเวิร์กชอปเกี่ยวกับด้านความยั่งยืนให้กับ SMEs อย่างต่อเนื่อง ตลอดปี พ.ศ. 2567 นี้ ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมของ โครงการ Sustainability Innovation Programme สามารถคลิกได้ที่นี่
ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์ smart device เสิร์ฟความสนุกด้วยการจัดกิจกรรม The Ai Portrait Workshop By HONOR 200 Series x BaNANA ที่จัดขึ้นเพื่อมอบความพิเศษให้เฉพาะลูกค้าที่ลงทะเบียนสั่งจองและซื้อสมาร์ตโฟน HONOR 200 Series กับทาง BaNANA เท่านั้น จำนวน 15 สิทธิ์ รวม 30 ท่าน โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ ร้านอาหาร Theatre Riverside

ภายในงาน มีการจัดเวิร์คช็อปและแชร์เทคนิคการภ่ายภาพให้น่าสนใจด้วยสมาร์ตโฟน HONOR 200 Serieโดยคุณแก้ว จากเพจ Mobile Photographer เจ้าของผลงานรูปถ่ายสวย ๆ บนโซเชียลมีเดียที่มีคนติดตามมากมาย ตลอดจนหลังจากการเวิร์คช็อปเสร็จสิ้นแล้ว ได้เปิดโอกาสให้ลูกค้าทดลองถ่ายภาพด้วยตัวเองในหมวดหัวข้อต่าง ๆ ได้แก่ หมวดภาพถ่ายบุคคล หมวดอาหาร และหมวดภาพวิว พร้อมมีการคัดเลือกและตัดสินผลงานที่ดีที่สุด พร้อมมอบของรางวัลสุดพรีเมียม HONOR 200 Series Gift Box และของรางวัลอื่น ๆ อีกมากมายให้กับผู้ชนะในแต่ละหมวดซึ่งบรรยากาศการทำกิจกรรมเต็มไปด้วยความสนุกสนาน คึกคัก ทุกคนต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและจบงานไปด้วยความประทับใจ

สามารถซื้อ HONOR 200 Series ได้แล้ววันนี้! โดยรุ่น HONOR 200 Pro มีทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีฟ้า (Ocean Cyan) และ สีดำ (Black) ราคา 19,990 บาท และรุ่น HONOR 200 มีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเขียว (Emerald Green), สีขาว (Moonlight White) และ สีดำ (Black) ราคา 14,990 บาท สามารถซื้อได้ที่ HONOR Experience Store ทุกสาขา และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.bnn.in.th
MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ได้รับผลคะแนนการประเมินความเสี่ยงการทุจริตตามเกณฑ์เชิงคุณภาพ "ระบบบริหารจัดการความเสี่ยงการทุจริต"(Corruption Risk Management Systems : CRMS) ในระดับดีเยี่ยม (Excellent) จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงานงาน ป.ป.ท.) เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 โดยคณะทำงานพิจารณาเกณฑ์การประเมินและผลการประเมินความเสี่ยงการทุจริตตามเกณฑ์ประเมินเชิงคุณภาพ "ระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงการทุจริต" (Corruption Risk Management Systems : CRMS) ประจำปี 2566 MEA ได้รับผลคะแนนการประเมินในระดับ Excellent : E (ดีเยี่ยม) จากการประเมินดังกล่าวได้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนและให้ความสำคัญในการปฏิบัติเพื่อป้องกัน สกัดกั้น ลด และปิดโอกาสการทุจริตให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล โปร่งใส ปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบต่อไป
“พฤกษา” มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่ดูแลสิ่งแวดล้อม จับมือ “TOA” ผู้นำเบอร์หนึ่งในตลาดสีทาอาคารและวัสดุก่อสร้างครบวงจร เดินหน้าพันธกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างยั่งยืน นำนวัตกรรมสีบ้านเย็น “ซุปเปอร์ชิลด์” การันตีด้วยฉลากลดโลกร้อน (CFR) มาใช้ในโครงการเครือพฤกษา พร้อมทั้งนำ พรีคาสท์คาร์บอนต่ำ และ วัสดุก่อสร้างสีเขียว มารวมพลังสร้างที่อยู่อาศัยที่ช่วยประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่ายและดูแลสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยว่า โลกร้อนเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ทุกคนต้องเผชิญกับปัญหาบ้านร้อนที่เกิดจากการสะสมความร้อนจากแสงแดดในเวลากลางวัน และคายความร้อนออกมาในเวลากลางคืน ส่งผลให้มีการใช้เครื่องปรับอากาศมากขึ้น พฤกษาในฐานะองค์กรที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 จึงกำหนดนโยบาย “Green Procurement” โดยยกระดับนโยบายจัดซื้อจัดจ้างและระเบียบในการคัดเลือกคู่ค้า มอบคะแนนโบนัสสำหรับเกณฑ์การคัดเลือกคู่ค้าและพันธมิตรธุรกิจทั้งรายใหม่และการต่อสัญญากับรายเดิม ให้กับผู้ที่ผลิตสินค้าและบริการ หรือมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้พฤกษาจึงเลือกใช้นวัตกรรมสีบ้านเย็น “ซุปเปอร์ชิลด์” จาก TOA ที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสงอาทิตย์ ช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน ทำให้ลดการใช้เครื่องปรับอากาศน้อยลง
พฤกษาให้การสนับสนุนคู่ค้าทางธุรกิจที่มีสินค้าและบริการที่ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ Carbon Footprint Reduction (CFR) หรือมีฉลากลดโลกร้อน ซึ่งหากคำนวณจากการใช้สีซุปเปอร์ชิลด์ในโครงการต่างๆ ของเครือพฤกษา ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา รวมจำนวน 21 โครงการ พบว่าช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 68.654 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (TonCO2e) การปลูกต้นสัก 3,991.5 ต้น และยังช่วยประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟฟ้าได้อีกด้วย
“นอกจากการใช้สีซึ่งช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอน ลดการใช้น้ำ และดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ทำให้พฤกษาได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ Green Mission จาก TOA ในฐานะกรีนพาร์ตเนอร์ที่ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เรายังใช้พรีคาสท์คาร์บอนต่ำที่ได้รับฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ Carbon Footprint Reduction (CFR) ด้วย ซึ่งเป็นพรีคาสท์รายแรกและรายเดียวของอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่ได้การรับรอง รวมทั้งใช้วัสดุก่อสร้างอื่นๆ ที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product) ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำที่สุดในอุตสาหกรรมเดียวกัน สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ของพฤกษาที่มุ่งสู่ผู้นําในการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิดใส่ใจเพื่อทั้งชีวิตอยู่ดี มีสุข” นายอุเทน กล่าว

นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA กล่าวว่า อุณหภูมิโลกที่ยกระดับสู่ยุคโลกเดือด หรือ Global Boiling ส่งผลให้หลายพื้นที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แม้แต่การอาศัยอยู่ในบ้านก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น ทำให้ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิในบ้าน ซึ่งนอกจากจะเพิ่มค่าใช้จ่ายจากค่าไฟที่ใช้มากขึ้นแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาสภาพอากาศให้เพิ่มมากขึ้นด้วย TOA ในฐานะผู้นำนวัตกรรมสีเขียว (Green Innovation) ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจสุขภาพ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสีซุปเปอร์ชิลด์ นับเป็นนวัตกรรมสีบ้านเย็นที่ตอบโจทย์ช่วยโลกได้เป็นอย่างดี

ความพิเศษของสีซุปเปอร์ชิลด์จาก TOA คือการใช้เทคโนโลยีสีเย็น Cooling Paint ที่ผสาน 3 ส่วนประกอบสำคัญเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คือ ไทเทเนียมไดออกไซต์ และแบเรียมซัลเฟต ที่ช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังช่วยคายความร้อนออกจากผนังบ้าน ช่วยให้อุณหภูมิในบ้านเย็นลง และซิลิกาที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ฟิล์มสีมีความคงทนยาวนาน 15 ปี ทนทานกว่าสีทั่วไปถึง 3 เท่า ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM (American Society for Testing and Materials) ช่วยยืดอายุฟิล์มสีให้สวยคงทน ไม่ลอกล่อน และฟิล์มสียังป้องกันฝุ่นเกาะ ด้วยเทคโนโลยี Self-Cleaning ทำให้ผนังบ้านสะอาดเสมอ ลดโอกาสการเกิดฝุ่น เชื้อรา แบคทีเรีย และตะไคร่น้ำ จากพื้นผิวผนังบ้านเสื่อมสภาพที่เราทุกคนมองข้าม
“สีซุปเปอร์ชิลด์ ผ่านการรับรองจากสถาบันชั้นนำที่การันตีว่าเป็นสีบ้านเย็นตัวจริง ไม่ว่าจะเป็นการสะท้อนแสงอาทิตย์สูงสุด 97.5% ซึ่งทดสอบโดย OTM Solutions Singapore และการคายความร้อนสูงถึง 90% ที่ทดสอบโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ตามมาตรฐาน ASTM C1371 และยังสามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านให้เย็นลงสูงถึง 5.5 องศาเซลเซียส ด้วยโปรแกรมการทดสอบ Energy Plus

นอกจากนี้ ‘สีซุปเปอร์ชิลด์’ ยังถือเป็นนวัตกรรมสีรักษ์โลก เพราะได้ผ่านการรับรองด้วยฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Reduction label : CFR) หรือ “ฉลากลดโลกร้อน” จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ที่ช่วยการันตีว่าหากผู้บริโภคหันมาตระหนักและใส่ใจโลกที่เราอยู่ให้มากยิ่งขึ้นด้วยการเลือกใช้สีทาอาคารบ้านเรือน ตึกสูงต่างๆ ที่ได้รับฉลากลดโลกร้อนนี้ ยังถือเป็นการช่วยโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) สู่ชั้นบรรยากาศได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางรอดของโลก ที่เราจะสามารถช่วยกันลดภาวะโลกเดือด และร่วมกันสร้างสังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างยั่งยืน

ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ของสีซุปเปอร์ชิลด์ จึงสอดรับกับวิสัยทัศน์ของพฤกษาที่ต้องการดูแลสิ่งแวดล้อม และยังทำให้ลูกบ้านพฤกษามั่นใจได้ว่าสีที่ใช้มีคุณภาพสูง และช่วยลดค่าใช้จ่ายจากค่าไฟฟ้าได้ นี่จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความสำเร็จในการมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมสินค้ามาตลอดระยะเวลา 60 ปี ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของ 7-Green Strategy เพื่อตอกย้ำ Green Mission การเดินหน้าพันธกิจพิชิต Net Zero ภายในปี 2593 ด้วยการบูรณาการและพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ตามหลัก ESG” นายจตุภัทร์ กล่าว
ทั้งนี้ พฤกษา โฮลดิ้ง จะยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมที่อยู่อาศัยที่สร้างความสะดวก ปลอดภัย แก่ลูกบ้านและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัย พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกช่วงวัยสมดั่งแนวคิดใส่ใจเพื่อทั้งชีวิตอยู่ดี มีสุข
โครงการห้องเรียนเคมีดาว (Dow Chemistry Classroom) โดยกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) เดินหน้าขจัดข้อจำกัดการเรียนวิชาเคมี เพิ่มโอกาสการเรียนรู้สู่คุณครูวิทยาศาสตร์และนักเรียนทั่วประเทศด้วยเว็บไซต์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับปฏิบัติการเคมีที่ ‘ย่อส่วน’ อุปกรณ์ชุดการทดลองเพื่อ ‘ขยาย’ โอกาสในการศึกษา ให้เด็กๆ ทั่วไทยได้สนุกกับการเรียนรู้ด้วยเทคนิคที่ได้รับการยอมรับจากยูเนสโก ในเว็บไซต์ www.DowChemistryClassroom.com ที่รวบรวมเกร็ดความรู้และเทคนิคการเรียนการสอนจากกูรูชั้นนำของประเทศแบบจัดเต็ม เพิ่มช่องทางการเรียนรู้ที่รวดเร็ว สนุก และสะดวกสบาย สามารถเข้าถึงได้ฟรีทุกที่ทุกเวลา เพื่อนำไปต่อยอดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์เครื่องแก้ว และสารเคมี ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลให้โรงเรียนจำนวนมากไม่สามารถทำการสอนวิชาเคมีในภาคปฏิบัติจริงได้ครบถ้วนทำให้นักเรียนขาดโอกาสในการทดลองด้วยตนเอง กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) จึงได้ร่วมมือกับสมาคมเคมีแห่งประเทศไทยในพระอุปถัมภ์ของศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี จัดตั้งโครงการ “ห้องเรียนเคมีดาว” ขึ้นในปี พ.ศ. 2556 เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนวิชาเคมีในประเทศไทย ผ่านการทดลองเคมีด้วยเทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วน (Small-Scale Chemistry Laboratory) โดยเป็นครั้งแรกที่ภาคเอกชนได้สนับสนุนหลักสูตรนี้ในระบบการศึกษาไทยอย่างเป็นรูปธรรม และยังได้รับความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (สพฐ.) เข้าร่วมเป็นพันธมิตรโครงการ

นอกจากการอบรมครูและการประกวดการทดลองปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนที่จัดเป็นประจำทุกปีแล้ว เพื่อขยายโอกาสให้กับคุณครูและนักเรียนทั่วประเทศ โครงการฯ จึงได้จัดทำเว็บไซต์ “ห้องเรียนเคมีดาว” ที่มาพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วน และยังมีเมนูน่ารู้ต่าง ๆ ที่สามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ได้แก่
นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า "Dow ให้ความสำคัญกับการสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจเรียนวิชาเคมี เพราะวิชาเคมีกระตุ้นให้เด็กเกิดความสงสัย อยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล รู้จักการตั้งคำถาม รวมทั้งหาคำตอบจากการทดลองและสังเกตด้วยตัวเอง เป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนวิทยาศาสตร์และช่วยพัฒนาศักยภาพของบุคคลากรที่จะเติบโตไปพัฒนาประเทศต่อไป"

เว็บไซต์ “ห้องเรียนเคมีดาว” ที่จะช่วยเปลี่ยนการอ่านข้อมูลการทดลองในตำรา หรือ Lab แห้ง ให้น่าสนใจยิ่งว่าเดิมด้วยการลงมือทดลองตามแนวทางปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วน เปิดให้เข้าชมได้ฟรีแล้ววันนี้ที่ www.DowChemistryClassroom.com และจะมีการเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องในอนาคต
เอปสัน ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์การแสดงในเทศกาลละครนานาชาติสำหรับเด็กและเยาวชน กรุงเทพฯ (Bangkok International Children’s Theatre Festival) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆ 2 ปี โดย BICT Fest 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 11 สิงหาคม 2024 งานครั้งนี้มาในธีม “Cross the Threshold, follow your butterflies” มีการแสดงรวม 13 การแสดงจากศิลปินไทยและต่างชาติกว่า 8 ประเทศ เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้สัมผัสโลกแห่งจินตนาการผ่านงานศิลปะการแสดงและกิจกรรมศิลปะหลากหลายรูปแบบ สำหรับงานครั้งนี้ เอปสันได้ร่วมสนับ สนุนโปรเจคเตอร์เพื่อการแสดงชุด “Little Night” ของศิลปินจากสเปน ซึ่งเป็นการแสดงแบบอินเตอร์แอคทีฟเพื่อกระตุ้นโสตประสาทและจุดประกายการเล่นสำหรับเด็กอายุ 2-5 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 – 11 สิงหาคม 2024 ณ ศูนย์ศิลปการละครสดใส พันธุมโกมล ชั้น 6 อาคารมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เอปสันขอเชิญชวนทุกคนออกมาเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมศิลปะการแสดงใจกลางกรุงเทพฯ ในครั้งนี้
นายวรยุทธ กิตติอุดม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะอุปนายก สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย แสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่รัฐบาลมอบนโยบายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้มีการยืดการผ่อนชำระไปจนถึงอายุ 80-85 ปี ว่าเป็นการช่วยลดภาระการผ่อนชำระรายเดือนของผู้กู้ในแต่ละเดือนลดลง ช่วยให้ผู้กู้สามารถวางแผนการเงินระยะยาวได้ง่ายขึ้น และมีเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ยืดหยุ่นขึ้น ซึ่งช่วยผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ที่มีภาระทางการเงินอื่นๆ มีโอกาสเป็นเจ้าของบ้านได้มากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งการยืดอายุการผ่อน ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องชำระในระยะยาวเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนรวมของบ้านสูงกว่าการผ่อนในระยะสั้น และผู้กู้มีภาระผ่อนบ้านจนถึงอายุ 85 ปี อาจทำให้ผู้กู้ต้องรับ ภาระการเงินในช่วงวัยเกษียณ ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่รายได้ลดลง

“โดยส่วนตัว ตนมองว่านอกจากมาตรการดังกล่าวซึ่งเป็นมาตรการระยะสั้น รัฐบาลควรดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น โดยเน้นที่การลดภาระทางการเงินและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย อาทิ รัฐบาลควรสนับสนุนธนาคารให้เสนอสินเชื่อบ้านที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ที่ซื้อบ้านครั้งแรก จัดตั้งกองทุนสนับสนุนที่อยู่อาศัยที่สามารถให้สินเชื่อบ้านในอัตราดอกเบี้ยต่ำหรือมีเงื่อนไขการชำระเงินที่ยืดหยุ่น รวมถึงมาตรการส่งเสริมการออมและการวางแผนการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งโปรแกรมการออมเงินเพื่อการซื้อบ้าน โดยมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือการให้เงินสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ออมเงินเพื่อการซื้อบ้าน รวมไปถึงการส่งเสริมให้มีกองทุนต่างๆ ให้ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง แต่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินได้ เช่น กองทุนพัฒนาโครงการบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เป็นต้น”
“การดำเนินมาตรการของรัฐดังกล่าว สามารถช่วยลดภาระทางการเงินและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้า ของบ้านได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมความมั่นคงในชีวิตและสังคมในระยะยาวได้ แต่หากภาครัฐมีการส่งเสริมให้มีกองทุนหรือโปรแกรมที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนการเป็นเจ้าของบ้าน ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการซื้อบ้านและสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับผู้ซื้ออีกทางหนึ่ง” นายวรยุทธ กล่าวทิ้งท้าย
บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) โดย นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนบนเวทีงาน 'Be the Change ยั่งยืนได้เมื่อเราเปลี่ยน’ จัดโดย สื่อออนไลน์ชื่อดัง The People เผยจุดยืนมุ่งเน้นนโยบายธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม เดินหน้าสร้างโอกาสการลงทุนที่เท่าเทียม
นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST กล่าวว่า “เมย์แบงก์ ให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายทางธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาใน 3 มิติ ได้แก่ การส่งต่อความรู้ด้านการลงทุนจากภายในสู่ภายนอกองค์กร พิชิตเป้าหมายทุกกลุ่มนักลงทุน เพื่อให้ประชาชนมีความมั่งคั่งและมั่นคงในระยะยาว โดยเริ่มจากปรับวัฒนธรรมภายในองค์กร ให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน คิดค้นและคัดสรรผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย และเพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงการลงทุนภายใต้แนวคิด Democratizing Investment ผ่านการให้ความรู้ด้านการลงทุนที่ถูกต้องและปลอดภัยทั้งแก่นักลงทุนและประชาชนทั่วไปอย่างเท่าเทียม การดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด การสร้างสังคมที่น่าอยู่และยั่งยืน โดยเราสนับสนุนเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนผ่านการลงทุนในธุรกิจที่ไม่สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมในองค์กร ทั้งนี้ จะมีการวัดผลด้านความยั่งยืนในระดับโลกภายใต้ธุรกิจในเครือเมย์แบงก์ทั้งหมด”

ในประเทศไทย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ ได้จัดกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยจัดทีมผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้ด้านการลงทุน เดินสายโรดโชว์ไปในองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้ความรู้ด้านการลงทุนกับพนักงาน ให้เข้าใจการออม การลงทุน การสร้างความมั่งคั่ง เป็นไปตามวิสัยทัศน์ อีกทั้ง ยังมีแอปพลิเคชัน “Maybank Invest (MBI)” ที่เป็นเครื่องมือ ช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงการลงทุนได้ง่าย ซึ่งไม่เพียงสามารถลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆได้ครบจบในแอปพลิเคชันเดียว แต่ยังมีส่วนในการให้ความรู้และช่วยวางแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าอย่างละเอียดอีกด้วย
“เมย์แบงก์เรามุ่งมั่นตั้งใจในการสร้างองค์กรแห่งความยั่งยืน เป็นบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนที่เน้นย้ำการลงทุนด้วยความรู้ มีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ มีความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ช่วยจัดการความมั่งคั่งและการลงทุน เดินหน้าตามวิสัยทัศน์ที่มุ่งสร้างโอกาสการลงทุนให้กับทุกคนได้อย่างเท่าเทียม” นายอารภัฏ กล่าวสรุป