December 15, 2025

Food design สไตล์ยามานาชิ

ดีไซน์และการจัดวาง ตลอดจนการออกแบบอาหารของญี่ปุ่น มองผิวเผินแล้วแทบไม่ต่างกันในแต่ละสถานที่ แต่หากสังเกตลงไปในรายละเอียดจะพบความแตกต่างที่ไม่เหมือนกัน หนึ่งในเสน่ห์ของญี่ปุ่น คือการดีไซน์ที่จับจุดได้โดนใจ และไม่ลืมที่จะบรรจุอัตลักษณ์ของความเป็นตัวตนของตัวเองลงไปในชุดงาน ดั่งเช่น ชุดอาหารมื้อเย็นที่จัดเสิร์ฟที่โรงแรม Tokiwa เมืองโคฟุ ชุดนี้ ที่มีใบไม้ในฤดูเปลี่ยนสีเป็นส่วนหนึ่งในหลายๆ จาน

 

 

น้ำอร่อยต้องที่ยามานาชิ

ข้อสังเกตที่ต้องจับตาคือ คนยามานาชิ สุขภาพดี ยิ้มแย้มและ อายุยืน นอกจากการมีสภาพแวดล้อมสีเขียวอยู่รอบตัว แล้วเคล็ดลับคือ “เรื่องน้ำ” ที่แทบทุกคนที่พบที่ยามานาชิ ต่างพูดตรงกันราวกับเสียงประสานว่า “ที่ยามานาชิ น้ำอร่อย” เหตุเช่นนี้ก็เพราะว่า ยามานาชิเป็นเมืองที่มีภูเขานับร้อยๆ ลูก และเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำมากมาย โดยเฉพาะน้ำจาก มินามิแอลป์ มีชื่อเสียงในด้านรสชาติและความบริสุทธิ์ ส่วนแบ่งการตลาดน้ำแร่กว่า 30% ของประเทศญี่ปุ่นมาจากแหล่งน้ำแห่งนี้

 

 

วิสกี้ และ ไวน์ ชั้นเลิศ

ด้วยองค์ประกอบของการมี “แหล่งน้ำ” และ “องุ่น“ คุณภาพดีในจังหวัด เป็นปัจจัยประกอบสำคัญในการเป็น “แหล่งผลิต วิสกี้ และไวน์ ชั้นเลิศ” วิสกี้ ฮะคุชู (Hakushu Whisky) และ ไวน์ของซันโตรี่ ระดับพรีเมี่ยมผลิตที่เมืองยามานาชิแห่งนี้ และที่สำคัญ ยามานาชิมีไวน์เนอรี่มากถึง 70 แห่งทั่วทั้งจังหวัด หมายความว่าการมาเที่ยวที่ยามานาชิคือการเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายทั้งรสชาติและการท่องเที่ยว

 

 

HOTO

“โฮโต” บะหมี่เส้นใหญ่เหนียวนุ่มในซุปเต้าเจี้ยว มีเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่หรือแม้แต่เนื้อม้า เลือกได้ตามบริการของทางร้าน ส่วนผักที่ใส่ก็จะมีหลายชนิดรวมๆ เป็นผักที่ปลูกและเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล “โฮโต” เป็นอาหารที่ชาวโคฟุนิยมทำรับประทานกันเองในบ้าน และมีสูตรเฉพาะของแต่ละครอบครัว ส่วนนักท่องเที่ยวก็หา “โฮโต” รับประทานได้ทั่วไป ถือเป็นการเข้าถึงวัฒนธรรม “การกิน” แบบท้องถิ่นยามานาชิ ในอีกหนึ่งเมนู

 

Raisin Sand

เรซิ่น-แซน สแน็คแห่งความภูมิใจของชาวยามานาชิ เป็นเสมือนขนมหวานการทูตที่สื่อให้รู้จักของดีของจังหวัด เพราะไรซิ่นแซนใช้วัตถุดิบจากองุ่นและไวน์ชั้นดีที่ปลูกและผลิตในจังหวัดยามานาชิ และได้ชื่อว่าเป็นนัมเบอร์วัน ประเด็นสำคัญคือการจะได้ลิ้มรสและซื้อหาไรซิ่น-แซนได้ก็จะต้องมาที่ยามานาชิเท่านั้นโดยบูโดยะคือร้านต้นตำรับที่ทำไรซิ่น-แซนในแบบโฮมเมด สดใหม่ทุกวัน

 

“เมืองผลไม้”

หนึ่งในภาพลักษณ์ของยามานาชิ คือ “เมืองผลไม้” โดยมีลูกพีช (Peach) และองุ่น (Grape) เป็นเหมือนดั่ง ราชา-ราชินี แห่งอาณาจักรพืชผล ด้วยรสชาติและคุณภาพของผลไม้ทั้งสองได้รับการจัดอันดับว่าเป็นที่ 1 ของประเทศญี่ปุ่นจนทุกวันนี้ ส่วนฉายานาม “เมืองผลไม้” นั้น สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการเดินทางมาสัมผัสด้วยสายตาของตนเอง เพราะเมืองแห่งนี้ มองไปรอบด้าน ทั้งบ้านพักอาศัยไปจนถึงสวนเกษตร จะพบว่ามีการปลูกต้นผลไม้ในแทบทุกบ้านเรือน โดยที่พบมากที่สุดคือต้นพลับ (Persimmon) ที่แม้ว่าจะไม่ได้รับการจัดอันดับแต่ต้องยอมรับในรสชาติที่หวานละมุนอย่างเป็นธรรมชาติ เคล็ดลับความอร่อยของผลไม้ของเมืองนี้ คือ อุณหภูมิและสภาพอากาศที่ธรรมชาติมอบให้มา

 

 

Soft cream – Local language of Yamanashi

ซอฟท์ครีม 1 กรวยที่ยามานาชิ มิได้มีความหมายเพียงไอศกรีม 100 หรือ 200 กรัม และยิ่งไม่ใช่เข้าไปอีกหาเราจะพยายามเปรียบเทียบว่า รสชาติของ Soft Cream ที่ยามานาชิ กับที่ ฮอกไกโด ที่ไหนจะอร่อยกว่ากัน เพราะนั่นจะทำให้ความหมายของคำว่า Destination หรือปลายทางของการท่องเที่ยว อวสานลงในทันทีทันใด แต่ Soft Cream 1 กรวยที่ได้ลิ้มลองที่ยามานาชิ คือ รสสัมผัสของ “ท้องถิ่น” ในแบบฉบับเฉพาะที่ลิ้มลองได้ที่จังหวัดยามานาชิ “เท่านั้น”

 

ซันโตรี่ (Suntory) แบรนด์เครื่องดื่มชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นและรู้จักกันดีอย่างแพร่หลาย สินค้าของซันโตรี่มีการ export ไปจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่รู้จักเบียร์และวิสกี้ซันโตรี่จากรสชาติที่มีเอกลักษณ์และโดดเด่นเฉพาะตัว แต่คนไทยน้อยคนจะรู้ว่าซันโตรี่ยังมี “น้ำแร่” ที่ครองความเป็นอันดับ 1 ในตลาดน้ำแร่ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่ง “น้ำดี” ที่ว่านี้เป็นหัวใจสำคัญเพราะเป็น “ตัวกำหนดรสชาติ” ในการผลิตเบียร์และวิสกี้ของซันโตรี่ อันเป็นที่มาของความสำเร็จในการครองใจและครองตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาอย่างยาวนาน

 

 

เป็นโอกาสอันดีที่ทีมงาน MBA ได้ไปสัมผัสและเยี่ยมชมโรงงานซันโตรี่ที่เมืองยามานาชิในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา “4-5 ปี คือเวลาที่ผู้บริหารซันโตรี่ใช้ในการเสาะแสวงหาทำการสำรวจและวิจัย เพื่อค้นหา” แหล่งน้ำชั้นดี “ที่เหมาะสม เพื่อที่จะผลิตวิสกี้และเบียร์ เพื่อให้มีคุณภาพที่ดีของซันโตรี่ ในหลายปีก่อน บนเป้าหมายที่ต้องการจะขยายโรงงานและการผลิต จนมาพบกับพื้นที่ขนาดใหญ่ในกลางป่าเขา ห่างจากตัวเมืองโคฟุ จังหวัดยามานาชิประมาณ 40 กม. เป็นพื้นที่ผืนงามที่รายล้อมไปด้วยภูเขาและป่าไม้เขียวชอุ่ม อุดมไปด้วยอากาศบริสุทธิ์และที่สำคัญยังมีแหล่งน้ำจากภูเขามินามิแอลป์ อันเป็นแหล่งน้ำสำคัญของการผลิตน้ำแร่ที่ได้รับการยอมรับว่า “ดีที่สุดของประเทศญี่ปุ่น” และเป็นที่มาของโรงงานซันโตรี่ที่ยามานาชิ

 

 

ซึ่งทุกวันนี้มีไลน์การผลิตเครื่องดื่มของซันโตรี่มากมาย ทั้งวิสกี้ ฮาคุชุ ซันโตรี่(Hakushu –Suntory Whisky) เบียร์ซันโตรี่ น้ำแร่ สปาร์คกิ้ง โซดา และล่าสุดปีที่ผ่านมายังออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มนวัตกรรมใหม่ “น้ำดื่มใส แต่ให้รสชาติ” ทั้งรสชา กาแฟ โยเกิร์ต ผลไม้ ชามะนาว ซึ่งกำลังได้รับความนิยมติดตลาดเครื่องดื่มของคนรุ่นใหม่อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน (ซื้อหาดื่มได้ตามตู้แช่ในร้านค้าปลีกทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น) เหนือไปกว่านั้น การเยี่ยมชมโรงงานซันโตรี่ที่มีทั้งโรงกลั่นวิสกี้โรงงานหมัก-บ่ม เบียร์ โรงผลิตน้ำแร่และเครื่องดื่มนวัตกรรมที่หลากหลาย ภายใต้บริเวณโรงงานที่สะอาดสวยงาม ยังมีร้านค้าและจุดชมวิวที่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของทางจังหวัดยามานาชิ แห่งนี้

รีสอร์ตเพื่อการพักผ่อนและทำกิจกรรมสุดสัปดาห์กึ่งผจญภัยที่จังหวัดยามานาชิ มีอยู่หลายๆ แห่ง โดยหนึ่งในความนิยมและเป็นรีสอร์ตกึ่งแคมป์ปิ้งที่จัดกิจกรรมให้กับเยาวชน และครอบครัว เพื่อการพักผ่อนและสัมผัสธรรมชาติ คือที่ เซเซ็น-เรียว รีสอร์ต (SEISEN-RYO) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงคิโยซาโตะ ห่างจากเมืองโคฟุ ประมาณ 46 กม. เซเซ็น-เรียว รีสอร์ต เป็นรีสอร์ตสไตล์ตะวันตกที่ก่อสร้างขึ้นมากว่า 70 ปี มีรูปแบบอาคารและห้องพักที่มีขนาดกว้างขวาง และจัดวางพื้นที่เหมาะกับกิจกรรมสำหรับเยาวชน และนักท่องเที่ยวประเภทครอบครัว ที่สามารถเลือกห้องพักที่อยู่รวมกัน 2 หรือ 4 คน ได้อย่างสะดวกสบาย

 

 

โปรแกรมสันทนาการที่ รีสอร์ตเซเซ็น-เรียวสามารถจัดให้กับผู้มาพักผ่อน ประกอบไปด้วย การเดินป่า ศึกษาธรรมชาติ เลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม กิจกรรมรีดนมวัว หรือแม้แต่การสัมผัสบรรยากาศชมหิมะในฤดูหนาว ก็เป็นอีกบรรยากาศและกิจกรรมที่หาประสบการณ์ได้ที่รีสอร์ตแห่งนี้ ส่วนไฮไลน์ในช่วงฤดูหนาว คือการดูดาว ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ตบอกเล่าว่า เป็นช่วงเวลาที่ฟ้ามืดและดาวสว่างสุกใส งดงามอย่างเป็นที่สุด เป็นช่วงระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ห้องพักสามารถจับจองได้ง่ายและราคาต่ำที่สุดในรอบปีสำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เพราะโดยปกติ รีสอร์ตแห่งนี้จะถูกจับจองห้องพักจนเต็มเกือบตลอดฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนที่มีกิจกรรมสันทนาการทางธรรมชาติและกลางแจ้งอีกประการที่สำคัญคือที่ตั้งของรีสอร์ตเซเซ็น-เรียว ยังเอื้ออำนวยต่อการเดินทางไปท่องเที่ยวที่แหล่งท่องเที่ยวที่ใกล้อีกหลายแห่งอาทิเช่น Hall of Halls, ที่ราบคิโยซาโตะ, ธารน้ำธรรมชาติ Doryuno, ฟาร์ม มากิบะ (Makiba Park) รวมทั้งสะพาน Yasugatake Kogen เป็นต้น

 

โปรแกรมสันทนาการที่ รีสอร์ตเซเซ็น-เรียวสามารถจัดให้กับผู้มาพักผ่อน ประกอบไปด้วย การเดินป่า ศึกษาธรรมชาติ เลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม กิจกรรมรีดนมวัว หรือแม้แต่การ
สัมผัสบรรยากาศชมหิมะในฤดูหนาวก็เป็นอีกบรรยากาศและกิจกรรมที่หาประสบการณ์ได้ที่รีสอร์ตแห่งนี้ ส่วนไฮไลน์ในช่วงฤดูหนาว คือการดูดาว ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ตบอกเล่าว่า เป็นช่วงเวลาที่ฟ้ามืดและดาวสว่างสุกใส งดงามอย่างเป็นที่สุด เป็นช่วงระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ห้องพักสามารถจับจองได้ง่ายและราคาต่ำที่สุดในรอบปีสำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เพราะโดยปกติ รีสอร์ตแห่งนี้จะถูกจับจองห้องพักจนเต็มเกือบตลอดฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนที่มีกิจกรรมสันทนาการทางธรรมชาติและกลางแจ้ง อีกประการที่สำคัญคือที่ตั้งของรีสอร์ตเซเซ็น-เรียว ยังเอื้ออำนวยต่อการเดินทางไปท่องเที่ยวที่แหล่งท่องเที่ยวที่ใกล้อีกหลายแห่งอาทิเช่น Hall of Halls, ที่ราบคิโยซาโตะ, ธารน้ำธรรมชาติ Doryuno, ฟาร์ม มากิบะ (Makiba Park) รวมทั้งสะพาน Yasugatake Kogen เป็นต้น 

บริเวณด้านหน้าของโทคิวะ โฮเต็ล เมืองโคฟุ ยังไม่อาจสะกิดให้ผู้มาเยือนเกิดความรู้สึกผิดแผกหรือแตกต่างไปจากโรงแรมหรือที่พักอื่นใด แต่เชื่อว่า ณ วินาทีที่ย่างก้าวล่วงเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ บริเวณต้อนรับของโรงแรม ในทันทีที่สายตามองทอดทะลุผนังกระจกแผ่นใหญ่ออกไปยัง “สวนญี่ปุ่น ที่ถูกจัดวางบริเวณใจกลางของโรงแรม” ความตื่นตาและความตื่นใจจะถูกจุดติดในฉับพลันและทันใด ด้วยภาพของสวนญี่ปุ่นที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า โดยเป็นสวนญี่ปุ่นที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นที่ 3 จากการคัดกรองเทียบกับสวนญี่ปุ่นนับ 1,000 แห่งทั่วประเทศในปี 2012-2013

 

 

 สวนญี่ปุ่น Tokiwa

โดยทั่วไปแนวคิดการจัดสวนของญี่ปุ่นจะผูกพันและเกี่ยวข้องกับหลักทางความเชื่อ จึงมีข้อกำหนดของการจัดวางอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับที่โทคิวะแล้ว ความโดดเด่นเสมือนเป็นจุดขายที่ทำให้ “สวนญี่ปุ่น” แห่งนี้ ติดอันดับชั้นนำคือความ practical ในเรื่องการใช้สอย เพราะสวนญี่ปุ่นทั่วไปมักจัดไว้เพียงเพื่อการดูชม แต่จะเหยียบย้ำก้าวล่วงล้ำเข้าไปนั้นไม่ได้ แต่สำหรับที่โรงแรมโทคิวะแห่งนี้ ได้จัดวางให้ผู้ดูชมสามารถเดินเข้าไปภายในบริเวณสวนได้เลย และที่สำคัญยังอนุญาตให้คนภายนอก ที่แม้จะไม่ได้เป็นแขกมาพักที่โรงแรมก็สามารถจะเข้ามาชมสวน หรือถ่ายภาพภายในบริเวณสวนก็ได้

 

 

ภายในสวนแห่งนี้นอกจาก ต้นเคยากิ อายุ 88 ปี เท่ากับอายุของโรงแรม ที่ยืนตระหง่านอยู่กลางสวนแล้ว ก็ยังมีต้นไม้น้อยใหญ่นานาชนิด ทั้งต้นสนดำ สนแดง เป็นไม้ใบ และยังมีไม้ดอกที่สลับกับผลิดอกแตกต่างกันไปตามสีสัน ของแต่ละฤดูกาล เช่น ซากุระ ดอกพีช ดอกอาซีเรีย ดอกโบตั๋น และอีกหลายพืชพันธุ์ไม้ กล่าวได้ว่า ความงามของสวนญี่ปุ่นแห่งนี้มาเวลาไหน ฤดูใด ก็สัมผัสความงามได้ในทุกโมเม้น ทุกๆ ฤดูกาล แบบไม่ซ้ำกันตลอดปี

 

 

เกร็ดและเคล็ดลับในการชมสวนญี่ปุ่น

การจัดวางสวนญี่ปุ่น เป็นการจัดวางความงามที่ต่างมุม และต่างการมอง ดั่งเช่นที่โทคิวะแห่งนี้ มีมุมในการชมสวนที่สวยงามจากหลายจุด อาทิ มุมชงชา ด้านปีกขวาของโรงแรมอีกจุดคือมองจากโซฟาบริเวณล็อบบี้ และอีกด้านคือการมองจากภายในห้องพักที่เป็นรีสอร์ตสไตล์ญี่ปุ่น ที่องค์พระจักรพรรดิทรงนิยมชมชอบ เสด็จมาพักผ่อนและชื่นชมกับความงามของสวนแห่งนี้อยู่สม่ำเสมอ (กล่าวได้ว่าโรงแรมโทคิวะแห่งนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนที่โปรดปรานอันดับ 2 รองจากที่เมืองนารา) และที่ไม่ควรพลาดคือการชมสวนแห่งนี้ในยามค่ำคืน ที่จะมีแสงเทียนจากโคมโบราณจุดประดับให้แสง และยังส่องสะท้อนกับผิวน้ำเป็นความงามอีกมิติที่หาได้ที่โรงแรมโทคิวะแห่งนี้เพียงเท่านั้น

โทคิวะ เรียวกัง ก่อตั้งขึ้นในปี 1929 หรือ 88 ปีก่อน และเป็นสมาชิกรายแรกของสมาคมเรียวกัง ซึ่งต่อมายุคการบริหารงานของทายาทรุ่นหลังได้ทำการปรับบริการของโรงแรมให้มีผสมผสานของกลิ่นอายของที่พักสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม โดยเพิ่มเติมความเป็นสากลเข้าไป ตลอด 88 ปีที่ผ่านมา โรงแรมโทคิวะเป็นสถานที่รองรับบุคคลชั้นนำของประเทศ ตั้งแต่องค์พระจักรพรรดิพระองค์ก่อน ตลอดจนศิลปินและนักเขียนที่มีชื่อเสียง ที่มักมาเก็บตัวเพื่อผลิตงานเขียนและภาพวาดที่สถานที่โรงแรมนี้อยู่ประจำ

 

 

หนึ่งในสิ่งที่คนไทยและทั่วโลกยอมรับต่อชาวญี่ปุ่นคือความเป็นเลิศของการเป็น Craftsmanship หรือ “ช่างฝีมือ” ที่มีบทพิสูจน์ของความสามารถคือความสำเร็จของเศรษฐกิจช่างศิลป์ (Artisan Economy) ผ่านสิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ สิ่งของที่สวยงาม และฟังก์ชันในการใช้สอยได้อย่างเป็นที่พออกพอใจของผู้ใช้ สร้างเป็นการตลาดสินค้าได้ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสิ่งนี้ในจังหวัดยามานาชิก็มีงานศิลป์เช่นนี้อยู่ไม่น้อย และหนึ่งในนั้นอีกทั้งยังเป็นความภูมิใจของท้องถิ่นคือ อินเด็นยะ (INDEN-YA) งาน “ลงรัก” พิมพ์ลายบนแผ่นหนังกวาง จากนั้นทำเป็นผลิตภัณฑ์ใช้สอยที่งดงามทั้งกระเป๋าสตางค์ ซองนามบัตร กระเป๋าถือ พวงกุญแจ และผลิตภัณฑ์อีกหลากหลาย

 

ข้อสังเกตหนึ่งซึ่งทีมงาน MBA พบเห็นจากการพบปะบุคคลสำคัญหรือแม้แต่บุคคลทั่วไปที่พบเจอในจังหวัดยามานาชิ คือ คนส่วนใหญ่จะใช้ซองนามบัตรของ INDEN-YAแทบทั้งสิ้น (สังเกตพบในการแลกนามบัตรกับทุกคน) เป็นการสะท้อนถึงความสำเร็จของ INDEN-YA ที่ไม่ได้ถ่ายทอดเพียงความงดงาม แต่ยังหีบห่อความรัก-ศรัทธา และความไว้วางใจของคนในพื้นที่ไว้ได้อย่างกลมกลืน

 

เมื่อเราได้มีโอกาสสอบถามผู้จัดการร้าน INDEN-YA ที่เมืองโคฟุ หลังรับชมวีดิทัศน์ที่ฉายแสดงถึงประวัติความเป็นมา และกระบวนการผลิตงานบนพิพิธภัณฑ์ INDEN-YA ที่ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของร้าน ที่เมืองโคฟุ ว่าอะไรคือคติพจน์หรือ ปรัชญาที่ INDEN-YA ทั้งผู้บริหารและทีมงานยึดถือและคิดว่าคือสิ่งที่ทำให้ INDEN-YA ครองใจลูกค้ามาได้ถึงกว่า400 ปี ซึ่งตอบที่ได้คือ “สิ่งที่ INDEN-YA ทำคือเราพยายามรักษาประวัติศาสตร์ในงานช่างศิลป์ของเราให้คงความยืนยาว ในขณะเดียวกันเราก็พยายามทำให้ลูกค้าพึงพอใจให้มากที่สุดเป็นปรัชญาของบริษัทแห่งนี้ และที่ผู้บริหารมักเน้นย้ำและให้ความสำคัญที่สุดคือ การสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าของเราไปแม้จะนาน เมื่อเกิดมีความชำรุดหรือเสียหาย ในวันหน้าเราก็พยายามช่วยซ่อมแซมให้อย่างเต็มที่ และอย่างเต็มใจ”

 

 

หัวใจสำคัญของ INDEN-YA ที่ยังรักษาและคงความคลาสิคของผลิตภัณฑ์ คือ การใช้วัสดุจากหนังกวางพันธ์ุเฉพาะ ซึ่งในอดีตเป็นสัตว์ที่มีอยู่มากในประเทศญี่ปุ่น และมีการนำมาประยุกต์ทำเสื้อเกราะนักรบยุคศตวรรษที่ 10-12 ซึ่งในตอนนั้น INDEN-YA ก็ได้เริ่มคิดค้นการสร้างความงดงามของลวดลายด้วยวิธีการลงรักพิมพ์ลายให้กับเสื้อเกราะนักรบจนต่อมาเมื่อหมดยุคสงคราม องค์ความรู้ในการสร้างงานศิลป์ คือการ “ลงรัก” สร้างลวดลายนี้ก็ได้ถูกประยุกต์ไปสู่การสร้างสิ่งของใช้สอยทั่วไปของชาวบ้าน สืบต่อมาจนยุคปัจจุบันที่พัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นกระเป๋าถือ กระเป๋าสตางค์ และผลิตภัณฑ์อีกหลายชนิด

 

 

INDEN-YA ไม่ได้ขยายสาขาหรือแม้แต่ส่งออก (Export) ผลิตภัณฑ์ออกไปยังต่างประเทศโดยตรง แม้จะมีกิจกรรมไปร่วมแสดงสินค้าในนิทรรศการในต่างประเทศบ้าง แต่ INDEN-YA มีความร่วมมือกับแบรนด์สินค้าชั้นนำระดับโลก เช่น Gucci รวมทั้ง Tiffany ในการสร้างสรรค์กระเป๋าเป็น collection พิเศษ ซึ่งสินค้าทุกงานออกแบบจะถูกจัดแสดงในShop ของ INDEN-YA ในกลางเมืองโคฟุอย่างหลากหลายละลานตา และเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่นักช้อปไม่พึงควรที่จะพลาดการเยี่ยมชมหากมาถึงที่ยามานาชิทุกวันนี้ทายาทของตระกูลอูเอะฮาระยังคงสืบทอดและดูแลการผลิตและสร้างสรรค์งานของ INDEN-YA บนความมุ่งมั่น และถือเป็นพันธกิจที่สำคัญเป็นอันดับ 1

โคฟุ เป็นเมืองหลวงของจังหวัด ยามานาชิ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคชุบุ (Chubu) อยู่ห่างจากกรุงโตเกียวด้วยระยะเวลาขับรถประมาณ 2 ชม. หรือนั่งรถไฟ 1.30 ชม โคฟุมีภูมิประเทศและพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างมากมายนับแต่อดีต เคยมีการทำเหมืองทอง เจียระไนหินสี ทำเป็นสินค้าอัญมณีจนมีชื่อเสียงโด่งดัง และมีส่วนในรากฐานของการพัฒนาทักษะฝีมือช่างชั้นสูงสืบทอดมาถึงปัจจุบันโดย “โคฟุ” ยังได้รับการเรียกขานกันในนาม “เมืองแห่งอัญมณี” เพราะเป็นสถานที่ซึ่งอุตสาหกรรมการผลิตอัญมณีหินสีเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก และได้รับการยอมรับในด้านฝีมือว่าเป็นที่สุดของประเทศญี่ปุ่น

 

 

นอกจากนั้น “โคฟุ” ที่ “ยามานาชิ” ยังเป็นที่ล่วงรู้และยอมรับกันเป็นอย่างดี ว่าเป็นจังหวัดที่มีแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติที่ดีที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ทั้งในด้านรสชาติและความบริสุทธิ์ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ โคฟุ เป็นต้นกำเนิดการผลิตไวน์ท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับ 1 อีกด้วยเช่นกันที่สำคัญเมืองโคฟุอยู่ห่างจากภูเขาไฟฟูจิ ด้วยระยะเวลาขับรถเพียง 1 ชั่วโมง นักท่องเที่ยวที่มาฟูจิซัง สามารถมาพักผ่อนและท่องเที่ยวในโคฟุ ได้อย่างสะดวกสบาย

 

 

นอกจากเสน่ห์และกลิ่นอายของท้องถิ่นของโคฟุ ที่น่าสัมผัสและค้นหาแล้ว อัตราค่าครองชีพทั้งที่พักและอาหารการกิน หรือแม้แต่ราคาที่ดินในจังหวัด (หากมีความคิดที่มาอยู่อาศัยหรือมาลงทุน) ก็อยู่ในระดับที่น้อยกว่าเมืองหลวงโตเกียวประมาณ 30% แบบฉบับของเมืองโคฟุ อีกเรื่องที่ดูจะเป็นเอกลักษณ์ และเป็นวิถีชุมชน คือ “การปลูกต้นผลไม้” ที่พบเห็นอยู่ทั่วไป ทั้งในพื้นที่สวนเกษตร หรือแม้แต่บ้านเรือนที่พักอาศัยที่จะมีการปลูกต้นพลับ ต้นพีช กันอย่างดาษดื่น บางบ้านถึงขั้นทำรั้วปลูกองุ่นขนาดเล็กๆ ก็ยังมี

 

 

อาจจะเป็นด้วยเหตุผลและบรรยากาศแบบนี้ ยามานาชิ จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองแห่งผลไม้” ของประเทศญี่ปุ่นอีกหนึ่งเรื่องจากประสบการณ์ท่องเที่ยวในจังหวัดยามานาชิ ที่เมืองโคฟุ ในครั้งนี้มีข้อสังเกตว่า การเช่ารถเพื่อเดินทางและท่องเที่ยว จะให้ความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก โดยเจ้าหน้าที่ของการท่องเที่ยวของเมืองโคฝุให้ความเห็นว่า นักท่องเที่ยวสามารถเช่ารถขับมาได้ตั้งแต่ที่สนามบินนาริตะหรือ ฮาเนดะ ซึ่งเมื่อสอบถามในอัตราค่าเช่ารถต่อวันก็ไม่แตกต่างจากค่าเช่ารถในเมืองไทยสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับช่วงไฮซีซันในบ้านเรา

 

ลดระดับความสูงจากที่ตั้งศาลเจ้าคะนะซากุระ ลงมาตามถนนโชเซ็นเคียวไดเส้นเดียวกัน จะมีน้ำตกที่สวยงามจากต้นน้ำบนหน้าผาสูงในช่องเขาโชเซ็นเคียวที่โด่งดังและมีชื่อเสียงรู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ เพราะทั้งทิวทัศน์ของหน้าผาและน้ำตกเซ็งกะ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่เหล่าช่างภาพต้องการจะมาถ่ายบันทึกความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ โดยน้ำตกเซ็งกะ จะมีนักท่องเที่ยวมาตลอดเกือบทุกฤดู โดยเฉพาะฤดูร้อน เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวญี่ปุ่นจากทั่วประเทศ

 

 

บริเวณลานจอดรถก่อนจะถึงบันไดลงไปยังน้ำตกเซ็งกะ มีร้านรวงเปิดให้บริการขนาบเป็นแนวทั้งซ้ายและขวาไปตลอดสองข้างทางเข้าน้ำตก ประเภทของร้านก็จะมีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านจิวเวลรีหินสี และยังมีร้านขายสินค้าท้องถิ่นที่สวยงามน่ารัก และน่าจะถูกใจบรรดาเหล่านักช้อปตั้งอยู่หลายร้าน มีศาลเจ้าเพื่อคาราวะเทพเจ้าประจำท้องถิ่น แต่ร้านที่สะดุดตาที่เราพบเห็นคือร้านไวน์ที่มีชื่อร้านว่า Wine Kingdom

 

 

เหตุผลมิใช่เพราะรสชาติไวน์ที่ยังไม่ได้ลิ้มลองแต่อย่างใดแต่แวบแรกเมื่อเหลือบไปเห็น ต้องขยี้ตาว่า “จริงหรือ?” จากนั้นก็ต้องอาศัยสายสัมพันธ์ของคุณป้าโอนิชิ เพื่อขอถ่ายรูปจากในร้าน ส่วนที่ว่า “จริงหรือ?” คือภาพของน้ำตกเซ็งกะ ที่มองผ่านกระจกใสจากในร้าน เพราะเป็นภาพที่สวยงามเสมือนภาพวาดที่มีชีวิต ตั้งประดับอยู่บนผนัง จินตนาการว่าลูกค้าที่มานั่งจิบชา กาแฟ หรือไวน์ ในร้าน Wine Kingdom คงจะดื่มด่ำไปด้วยความอภิรมย์ของความงามที่รายรอบ จนยากจะหาคำมาบรรยาย

 

 

เช้าวันที่ 3 ของทริปยามานาชิ ไกด์อาสาคือคุณป้าโอนิชิ และตัวแทน ททท.ของเมืองโคฟุ มารับทีม MBA ไปพบประสบการณ์ “รับพลังชีวิต เพิ่ม” พลังคิดบวก” ที่ Power Spot จุดสำคัญของเมืองโคฟุ คือศาลเจ้าคะนะซากุระ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วม 2,000 ปี

 

 

ถนนโชเซ็นเคียวได คือเส้นทางที่ทอดขึ้นไปสู่ศาลเจ้าอันเป็นเป้าหมาย ตลอดทางที่ขับขึ้นเขา คุณป้าโอนิชิบอกเล่าตลอดเส้นทางอย่างภูมิใจว่า “ดอกซากุระที่นี่จะมีสีสันแตกต่างจากที่อื่น กลีบจะมีสีเหลืองเหมือนสีของขมิ้นในฤดูที่ซากุระบานเวลากระทบกับแสงอาทิตย์ จะเห็นเป็นภาพดอกซากุระเหลืองอร่าม ราวกับเป็นซากุระสีทองทั่วไปทั้งป่าและเขา จึงเรียกซากุระนี้ว่า อุกอน ซากุระ โดยเชื่อกันว่า ณ ที่แห่งนี้เป็นหนึ่งใน Power spot หรือจุดรับพลังที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่จะส่งเสริมในเรื่องโชคลาภโดยเฉพาะในด้าน เงินทอง” ดังนั้น คุณป้าโอนิชิจึงชักชวนให้มาชมซากุระสีทองที่ภูเขาแห่งนี้ในช่วงปลายเดือนเมษา-ต้นพฤษภาคมให้ได้

 

 

ศาลเจ้าคะนะซากุระตั้งอยู่บนภูเขาสูงกว่า 2,500 ฟุต จนรู้สึกได้ถึงอาการหูอื้อเป็นระยะจากระดับของความสูงที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ขณะที่รถแล่นไต่ระดับเขาขึ้นไป แต่ความงดงามของทิวทัศน์ก็ไต่ระดับความงามขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้งเช่นเดียวกัน สำหรับผู้ที่ชอบการขับรถและเที่ยวชมธรรมชาติแนวป่าเขา เราเชื่อว่า โซเซ็นเคียวได แห่งนี้เป็นคำตอบที่ดีเยี่ยม

 

เมื่อขึ้นมาถึงที่ศาลเจ้า เป็นศาลที่ถูกก่อสร้างขึ้นมาใหม่ ในปี 1958 เพื่อทดแทนศาลเจ้าเดิมที่ถูกไฟไหม้ เสาสองต้นของศาลเจ้าด้านหน้ามีการแกะสลักรูปมังกรหันหัวขึ้นและลงสลับกัน ซึ่งคุณป้าโอนิชิอธิบายว่า ศาลเจ้าโบราณแห่งนี้น่าจะรับอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนในสมัยโบราณ เพราะชาวจีนนิยมสลักรูปมังกร เพราะความเชื่อว่าเป็นสัตว์ในเทพนิยาย และมังกรแกะสลักทั้งสองนี้แกะสลักขึ้นใหม่ เพื่อให้เหมือนของเดิมในอดีต คุณป้าโอนิชิยังเล่าต่ออีกว่า ในช่วงซากุระบานศาลเจ้าจะมีเทศกาลและพิธีกรรม บางครั้งก็มีการจัดแสดง “ละครโน” (ใส่หน้ากากที่ทำด้วยเครื่องเขิน) ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีความสนุกสนานมาก

 

 

Power Spot หรือจุดรับพลัง เป็นกระแสในความนิยมของคนรุ่นใหม่ในประเทศญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าในสถานที่ที่พิเศษจะบรรจุพลังพิเศษเก็บงำไว้ และหากไปยังที่มี Power Spot ก็จะได้รับการเพิ่มพลัง ซึ่งมักเป็นเรื่องการคิดบวก โดยแตกต่างไปจากการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไรก็ดีการรับพรจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ โคฟุ มิได้จำกัดเฉพาะเพียงแต่ “ผู้คน” ทว่า “รถยนต์” ก็ยังมีความนิยมนำมาทำพิธีรับพรเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แคล้วคลาดจากภัยอันตราย สังเกตว่าจะเห็นการ “ตีเส้น” กำหนดจุดบนลานจอด บอกพิกัดตำแหน่งสำหรับรถที่จะเข้าพิธีกรรมอย่างมีระเบียบวินัย สมกับเป็นคุณลักษณะของรถและชาวญี่ปุ่นโดยแท้

 

 

เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมืองโคฟุร่วมใจกันสร้างขึ้น ในปี ค.ศ.1919 เพื่อรำลึกและเป็นที่สักการะต่อ ทาเคดะ ชินเก็น (Takeda Shingen) นักรบและเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ในยุคเซ็นโกกุ (ประมาณ 500 ปีก่อน) ณ ศาลเจ้าแห่งนี้ทีมงาน MBA ได้พบกับคุณป้าโอนิชิ ซุกิโกะ (Oonishi tsukiko) อาสาสมัครนำเที่ยว (Volunteerism) วัยเกษียณ โดยคุณป้าโอนิชิเป็นผู้มีความรู้ และความรักในประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเชื่อ และเรื่องราวของเมืองโคฟุเป็นอย่างดี

 

 

นอกจากข้อมูลและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แล้ว คุณป้าโอนิชิยังช่วยบอกเล่าเรื่องถึงวิถีชีวิตและวิถีชุมชน ตลอดจนการดำเนินชีวิต ความคิดและความเชื่อของชาวเมืองโคฟุ ที่คุณป้าโอนิชิเติบโต ใช้ชีวิตในเมืองนี้มาตั้งแต่เกิด คุณป้าโอนิชิเล่าให้ฟังว่าเหตุใดเจ้าเมืองทาเคดะ ชินเก็นจึงได้เป็นสัญลักษณ์ของบ้านเมืองแห่งนี้ว่า “เพราะทาเคดะชินเก็น เป็นบุคคลที่ชาวเมืองโคฟุเคารพรักและศรัทธา แม้จะผ่านไปเกือบ 500 ปี เพราะไดเมียวทาเคดะ เป็นผู้นำที่มีความรักและเห็นแก่ประโยชน์ของพลเมืองเป็นเรื่องใหญ่ในยุคที่ปกครองเมืองไค (Kai) ชื่อเดิมของเมืองโคฟุ

 

เจ้าเมือง ทาเคดะได้สร้างความเจริญจนอาณาจักรมีความแข็งแกร่งตัวอย่างเช่น ในยุคนั้นมีการค้นพบเหมืองทองคำ แต่เจ้าเมือง ทาเคดะก็มิได้ใช้อภิสิทธิ์ในการถือครองมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัวหรือของตระกูล แต่กลับนำทองคำที่ขุดมาได้ ไปใช้ในการซื้ออาวุธเพื่อปกป้องและพัฒนาบ้านเมือง จนเข้มแข็งและมั่นคงขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างไกล คุณป้าโอนิชิยังสำทับด้วยความเห็นต่อว่า “หากมิใช่ว่าเจ้าเมืองทาเคดะ ต้องมาเสียชีวิตลงก่อน ชาวเมืองไคเชื่อกันว่า เมืองไคน่าจะเป็นศูนย์กลางของญี่ปุ่นโดยการรวบรวมของผู้นำทาเคดะ”

 

 

ในยุคของเจ้าเมืองทาเคดะ มีการพัฒนาเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การวางผังเมือง สร้างถนนหนทาง และคูน้ำ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเรื่องเกษตร การค้า และอุตสาหกรรม ที่เป็นความเจริญสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน และนั่นคือเหตุผลที่ชาวเมืองโคฟุ จึงเคารพรักและศรัทธาต่อทาเคดะ เซ็นเก็น เช่นนั้นเอง

 

 

ในระหว่างเดินชมบริเวณในศาลเจ้าซึ่งยกคฤหาสน์ สึสึจิกะซะกิ (Tsutsujigasaki) ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของไดเมียวในยุคเซ็นโกกุ โดยที่คฤหาสน์จะมีการวางผังและบริเวณโดยรอบ โดยมีคูน้ำ กำแพงหิน และบ่อน้ำ เป็นสถาปัตยกรรมตามยุคสมัย นอกจากนี้ ภายในศาลเจ้ายังมี “ต้นสน 3 ใบ” ซึ่งคุณป้าโอนิชิบอกว่ามีอายุหลายร้อยปี และมีเคล็ดในเรื่องนี้ว่า “ถ้าเก็บใบสน 3 ใบกลับไปด้วยจะช่วยในเรื่องโชคลาภ ในเรื่อง “เงินทอง” ดังนั้นแล้วทุกคนในคณะก็พากันเก็บสน 3 ใบใส่กระเป๋าโดยถ้วนหน้า และหวังว่าจะได้รับทรัพย์กันในเร็ววัน

 

 

นอกจากนี้ คุณป้าโอนิชิยังให้คำแนะนำเป็นความรู้ในเรื่องขนบธรรมเนียมของการเข้าศาลเจ้า อาทิเช่นวิธีแสดงความเคารพในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และต้องมีการล้างมือจากกระบวยน้ำในบ่อน้ำที่เตรียมไว้ ก่อนเข้าไปนมัสการที่ศาลเจ้า และที่สำคัญและหลายคนอาจคิดไม่ถึงคือ การเดินบนทางเดินภายในบริเวณศาลเจ้า เราไม่ควรเดินผ่ากลาง โดยคุณป้าโอนิชิอธิบายว่า “เราต้องเดินเฉพาะด้านข้างของทางเดิน เพราะตรงกลางคือทางเดินของเทพเจ้า”

 

 

 

 

Page 5 of 6
X

Right Click

No right click