

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ (คนที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย พร้อมด้วยนายพอล วอง ชี คิน (คนกลาง) กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) และคณะผู้บริหาร ร่วมจัดงานมอบรางวัล Million Dollar Club 2024 โดยงานนี้จัดขึ้นเพื่อมอบรางวัลให้แก่สุดยอดนักขายของธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทั่วประเทศ ที่สามารถสร้างผลงานขายได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยมีผู้ได้รับรางวัล PRU Supreme จำนวน 5 รางวัล และ PRU Prime จำนวน 24 รางวัล
นอกจากนี้ งานนี้ยังเป็นการร่วมแสดงความขอบคุณจากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย และธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ต่อความทุ่มเทและผลงานอันยอดเยี่ยมของนักขายทุกท่าน
แฟนมาร์เวลต้องไม่พลาด เมื่อ “ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี” แบงก์แรกและแบงก์เดียวในไทยกับครั้งแรกของโลกกับการเปิดตัวบัตรเดบิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “ทีทีบี ออลล์ฟรี ดิสนีย์ Limited Edition” หน้าบัตร 2 ลายดีไซน์พิเศษ Captain America และ Brave New World เพื่อเอาใจแฟนมาร์เวลและนักสะสมบัตรรุ่นลิมิเต็ดที่มีจำนวนจำกัด เพียงลายละ 5,000 ใบในโลกเท่านั้น
บัตรเดบิต ทีทีบี ออลล์ฟรี ดิสนีย์ ไม่เพียงทัชใจกับดีไซน์ที่เอ็กซ์คลูซีฟ แต่ยังเป็นบัตรเดบิตเดียวที่มอบสิทธิพิเศษสุดคุ้ม ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งกิน ดื่ม ช้อปปิง ท่องเที่ยว และความบันเทิง ยกระดับประสบการณ์การใช้จ่ายในทุก ๆ วัน พร้อมให้คุณได้มีชีวิตทางการเงินที่ดีได้ง่ายขึ้น ใช้ชีวิตได้อย่างอัศจรรย์ภายใต้แคมเปญ “ชีวิตทุกวันอัศจรรย์ได้จริง” กับสิทธิประโยชน์มากมายเหนือใคร อาทิ รับเงินคืน 1% เมื่อใช้จ่ายออนไลน์ และรับเงินคืน 2% ในวันดับเบิลเดย์ (13 ก.พ. 68 - 31 ธ.ค. 68) ใช้จ่ายสกุลเงินต่างประเทศไม่มีชาร์จ FX Rate 2.5% เรทถูกทั่วโลก เที่ยวต่างประเทศไม่ต้องแลกเงิน รับสิทธิ์ใช้ e-Slip โอนเงิน หลากหลายธีมดังด้วยลวดลายสุดคิวท์จากดิสนีย์ และส่วนลดสูงสุด 20% กว่าพันร้านค้าทั่วประเทศ
พิเศษสำหรับผู้สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี ออลล์ฟรี ดิสนีย์ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 มิถุนายน 2568 ทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ รับของขวัญสุดพิเศษ กระเป๋า Mickey Mouse Cross Body Limited Edition มูลค่า 3,990 บาท เพียงมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร 7,000 บาทขึ้นไป ภายใน 45 วัน นับจากวันออกบัตร และรับเพิ่ม ! กระเป๋าเดินทาง Mickey Mouse 20” Two Tone Limited Edition มูลค่า 5,990 บาท เพียงฝากเงินเพิ่ม 150,000 บาท และคงไว้ในบัญชีตามเงื่อนไข
นอกจากนี้ ผู้ถือบัตรเดบิต ทีทีบี ออลล์ฟรี ดิสนีย์ ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนทุกรุ่นจากแบรนด์ชั้นนำครอบคลุมทั้งกิน ดื่ม ช้อปปิง ท่องเที่ยว และความบันเทิง ที่จะทำให้ลูกค้าเข้าถึงประสบการณ์ความสนุก ความคุ้มค่าจากการจับจ่ายในทุก ๆ วัน ตลอดทั้งปี เพียงสมัครง่าย ๆ ได้ด้วยตนเองทางแอป ทีทีบี ทัช เว็บไซต์ทีทีบี หรือที่ทีทีบีทุกสาขา ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ttbbank.com
เอไอเอ ประเทศไทย จัดการแข่งขันฟุตบอลในโครงการ “เอไอเอ ไทยแลนด์ แชมป์เปี้ยนชิพ 2025” (AIA THAILAND CHAMPIONSHIP 2025) ประเภททีมชาย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดทีมฟุตบอลในการแข่งขันฟุตบอล 5 คน (5-a-Side Football) ซึ่งเอไอเอได้เชิญชวนเพื่อนพนักงาน รวมถึงพนักงานบริษัทในเครือ คู่ค้าและพันธมิตร ตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิตเอไอเอ ร่วมแข่งขันคว้าแชมป์ระดับประเทศ โดยมีทีมที่เข้าร่วมแข่งขันประเภททีมชายจำนวน 15 ทีม แบ่งเป็นทีมจากตัวแทนเอไอเอ 12 ทีม และทีมพนักงานเอไอเอ 3 ทีม โดยผลการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ทีมที่ชนะได้เอาชนะไปด้วยคะแนน 4-3 ซึ่งได้แก่ ทีม The Forward United ได้รับรางวัลตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ - ลอนดอน พร้อมที่พัก และทีมรองชนะเลิศได้แก่ ทีม หนูดี FC ซึ่งเป็นทีมตัวแทนเอไอเอจากภาคใต้ นอกจากนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ยังได้รับการสนับสนุนที่ดีจากพันธมิตร ทั้งจากบริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด ที่เป็นสปอนเซอร์หลักในการสนับสนุนเครื่องดื่มตราสิงห์ รวมถึงโรงพยาบาล บีเอ็นเอช ที่ได้สนับสนุนรถพยาบาล และทีมพยาบาลฉุกเฉินสำหรับการจัดการแข่งขันฟุตบอลในครั้งนี้อีกด้วย โดยการแข่งขันฟุตบอล ‘เอไอเอ ไทยแลนด์ แชมป์เปี้ยนชิพ 2025’ จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สนามฟุตบอล ฟิวเจอร์ อารีน่า รังสิต

ทั้งนี้ ‘เอไอเอ ไทยแลนด์ แชมป์เปี้ยนชิพ 2025’ (AIA Thailand Championship 2025) เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับประเทศที่จัดในกลุ่มบริษัทเอไอเอ โดยมีพนักงานเอไอเอ พนักงานบริษัทในเครือ คู่ค้าและพันธมิตร ตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิตเอไอเอเข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อมุ่งสร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นดูแลสุขภาพ พร้อมส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ตอกย้ำคำมั่นสัญญาของเอไอเอ "Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”
ตลาดนาฬิกาหรูในไทยเติบโตต่อเนื่อง LDI Enterprise Thailand (แอลดีไอ เอ็นเตอร์ไพรส์ ไทยแลนด์) นำเข้า BULOVA แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสหรัฐอเมริกา เจาะใจกลุ่มลูกค้ากลุ่ม Affordable Luxury และนักท่องเที่ยว เดินเกมรุกสร้าง Brand Awareness ในทุกช่องทาง

นายโคอิจิโร อุซุย ผู้จัดการทั่วไป แบรนด์ BULOVA ประจำสำนักงานฮ่องกง เผยว่า ตลาดนาฬิกาหรูราคาจับต้องได้ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่มองหานาฬิกาที่ไม่เพียงแต่มีดีไซน์หรูหรา คุณภาพสูง แต่ยังสามารถจับต้องได้ในราคาที่สมเหตุสมผล นาฬิกาในกลุ่ม Affordable Luxury นับเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
“กลุ่มคนทำงานที่มีอายุระหว่าง 25-60 ปี เป็นกลุ่มที่มีความสนใจในสินค้าที่สะท้อนถึงความสำเร็จและสไตล์ส่วนตัว ซึ่ง BULOVA เป็นแบรนด์นาฬิกาที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มนี้ได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากเป็นแบรนด์นาฬิกาประวัติที่ยาวนานกว่า 150 ปี ได้รับการยอมรับในเรื่องของนวัตกรรมและคุณภาพที่เป็นเลิศ เหมาะสมกับการใช้งานในทุกโอกาส ใช้วัสดุคุณภาพสูง และมีการผลิตที่พิถีพิถัน ดีไซน์ที่คลาสสิกหรูหรา แต่ในขณะเดียวกันราคาที่เข้าถึงได้ โดยราคาเริ่มต้นที่หมื่นต้นๆ”

นายกฤศณัฏฐ์ กิจวิทยศักดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอลดีไอ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวถึงบิสสิเนส ไดเรกชั่น ว่า ในปีนี้ 2568 บริษัทเน้นการทำตลาดที่สร้าง Brand Awareness นำร่องด้วยนาฬิการุ่น Super Seville Precisionist ในราคาเพียง 27,500 บาท มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ หน้าปัดสีเขียวและสีฟ้า สำหรับสเตนเลสสีเงิน และ หน้าปัดสีขาว สายสเตนเลสสีทอง ขนาดหน้าปัด 38 มม. ซึ่งเหมาะกับผู้ชายและผู้หญิง มาทำตลาด โดยเน้นสื่อสารจุดแข็งทั้งด้านเทคโนโลยีการบอกเวลาที่แม่นยำ กลไกควอตซ์ Precisionist กรรมสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ที่มีความแม่นยำสูง โดยคลาดเคลื่อนเพียง 10 วินาที ต่อปี การออกแบบที่ผสมผสานความคลาสสิกและความโมเดิร์น ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่ม First Jobber และวัยทำงานที่มองหานาฬิกาหรู สื่อถึงไลฟ์สไตล์ แต่ไม่ต้องจ่ายราคาแพงเท่ากับแบรนด์หรูระดับไฮเอนด์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ BULOVA แตกต่างจากคู่แข่งในตลาด

“นอกจากกลุ่มวัยทำงานแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับตลาดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอเมริกา-ยุโรป ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเซกเมนต์ที่มีการรับรู้แบรนด์เป็นอย่างดี โดยได้วางจำหน่าย BULOVA ที่แผนกนาฬิกาของ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และ เซ็นทรัล วิลเลจ แบงคอก ลักชูรี่ เอาท์เล็ต เพื่อรองรับดีมานด์ของนักท่องเที่ยวที่มองหาสินค้าคุณภาพระดับโลก พร้อมจัดโปรโมชันพิเศษ ส่วนลด 15% และ ส่วนลด On-Top เพิ่มเติมสำหรับลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิตจากห้างที่ร่วมรายการ”
เรียกได้ว่าการเปิดตัว BULOVA Super Seville Precisionist ครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายตลาดของบริษัทในประเทศไทย โดยใช้กลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างตรงจุด ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดนาฬิกาหรูราคาจับต้องได้
บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยสารสนเทศ ISO 27001 และปรับปรุงเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ISO/IEC 27001:2022 ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลสำหรับระบบการจัดการความปลอดภัยของข้อมูล (Information Security Management System: ISMS) การันตีความมุ่งมั่นในการปกป้องข้อมูลลูกค้าด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพสูง
FWD ประกันชีวิต นำเทคโนโลยีเชิงสร้างสรรค์ และระบบการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงมาใช้ในการตรวจจับและป้องกันความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสารสนเทศ รวมถึงการเฝ้าระวังภัยคุกคามทางไซเบอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลของลูกค้าจะได้รับการปกป้องอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของความลับ (Confidentiality) ความถูกต้อง (Integrity) และความพร้อมใช้งาน (Availability)

การได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2022 ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ FWD ประกันชีวิต ในการยกระดับศักยภาพให้กับลูกค้าผ่านเทคโนโลยีอันล้ำสมัย พร้อมการบริหารจัดการความปลอดภัยข้อมูลอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานระดับโลก เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศบริการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สร้างมูลค่าเพิ่มที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า อีกทั้งยังเสริมความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรว่า FWD ประกันชีวิต พร้อมปกป้องข้อมูลและรับมือกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์ ด้วยนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ สร้างความปลอดภัยและความมั่นคงในทุกก้าวสู่อนาคต
คุณธนัชชา วงษ์เจริญสิน ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจธนาคาร 2 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยทีมงาน และ นางสุรีย์ลักษณ์ ซื่อตรง ผู้จัดการสำนักงานเขต หนองคาย ธนาคารกรุงไทย ได้เข้าแสดงความเสียใจและมอบสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถบัสพลิกคว่ำที่จังหวัดปราจีนบุรี ทั้ง 2 ราย สำหรับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุกลุ่มพ่วงบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทย มีรายละเอียดดังนี้

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้สูญเสีย และขอยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ พร้อมส่งมอบสินไหมด้วยความรวดเร็วและเป็นธรรม
นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กรุงเทพฯ กล่าวถึง การจัดตั้ง Sustainable Business Desk ในการเป็นศูนย์กลางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น ในการพัฒนาแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืนและผลักดันไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality - CN) ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมส่งผลกระทบต่อโลกอย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตร ฯลฯ ทำให้หลายประเทศร่วมมือกันประกาศเป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) โดยหลายหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมโลกได้กำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติตาม ส่วนผู้บริโภคและคู่ค้านั้นก็ให้ความสำคัญกับธุรกิจหรือสินค้าที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) มากขึ้น

ดังนั้นเจโทร กรุงเทพฯ จึงจัดตั้ง Sustainable Business Desk ขึ้น ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น โดยบทบาทสำคัญของศูนย์ฯ มีหน้าที่ช่วยเหลือภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งไทยและญี่ปุ่นในการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลของความร่วมมือสะท้อนผ่านการจัดงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 เวทีความร่วมมือของภาครัฐไทยและญี่ปุ่น ทั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ สำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EECO) รวมถึงความร่วมมือจากภาคเอกชนไทยและญี่ปุ่น ที่ได้ร่วมกันทำงานจนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ที่ร่วมกับ บริษัท Thermalytica ในด้านการดำเนินงาน พร้อมนำเสนอแนวทางความยั่งยืนในโครงการนำร่องด้านเทคโนโลยีการลดอุณหภูมิในโรงเรือนเพื่อทดสอบแนวคิด กระบวนการ และขั้นตอน (Proof of Concept (PoC)) การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ หรือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) และ บริษัท CBT/Toray ที่ร่วมกันพัฒนาเศษวัสดุทางการเกษตร เช่น น้ำตาลชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช้เป็นอาหารไปสู่การผลิตเรซินชีวภาพและเส้นใยชีวภาพเพื่อการพาณิชย์ เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ รวมถึงยังมีการเซ็นต์สัญญาความร่วมมือระหว่างโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP Power Limited) และ บริษัท Algal Bio ในโครงการนำร่องการส่งเสริมเทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) โดยอาศัยจุลสาหร่ายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Microalgae CCUS)

ด้านนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า การจัดตั้ง Sustainable Business Desk นับเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นในการผลักดันอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอน โดยศูนย์แห่งนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการช่วยภาคธุรกิจปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ผ่านการลงทุน การพัฒนานวัตกรรม และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดล BCG (Bio Circular and Green Economy) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลและ BOI
ที่ผ่านมา BOI มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนที่ยั่งยืน ผ่านมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรม BCG โดยในปี 2567 BOI ได้อนุมัติโครงการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม BCG เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวมวล ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือผลิตภัณฑ์จากการรีไซเคิล เป็นต้น รวม 939 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 230,000 ล้านบาท หากนับตั้งแต่ปี 2561-2567 BOI ได้ให้การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG รวม 5,380 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสะสมกว่า 1.15 ล้านล้านบาท ซึ่งแสดงถึงทิศทางการเติบโตของธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และความมุ่งมั่นของไทยในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสีเขียวของภูมิภาค
BOI ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การขยายการส่งเสริมกิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลก การพัฒนา Bio Hub ในภาคต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรของไทย และการปรับปรุงมาตรการ Smart & Sustainable Industry เพื่อช่วยให้กิจการต่างๆ สามารถลงทุนเพื่อยกระดับการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงส่งเสริมให้ได้รับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับสากล ทั้งนี้ BOI จะยังคงทำงานร่วมกับเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการส่งเสริมการลงทุนของไทยสามารถรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างยั่งยืน
สำหรับบทบาทของนักลงทุนญี่ปุ่นต่อการลงทุนในพื้นที่ EEC นั้น ดร.ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า การลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC นับจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI ระหว่างปี 2561-2567 ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,823,805 ล้านบาท หรือประมาณ 52.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ สัดส่วนเฉลี่ยการลงทุนในพื้นที่ EEC คิดเป็นร้อยละ 52 เทียบกับทั้งประเทศ

ในปี 2567 มีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC นับจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI สูงถึง 374,407 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ EEC เมื่อปี 2561 โดยแบ่งเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ 2,425 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ 110,681 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์ 75,302 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG 27,609 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมบริการ 41,686 ล้านบาท และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง 116,704 ล้านบาท
สำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติรายสำคัญในพื้นที่ EEC ด้วยสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 12 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในพื้นที่ EEC ระหว่างปี 2561-2567 โดยนักลงทุนญี่ปุ่นมีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
สำนักงาน EEC ตั้งเป้าหมายการลงทุนปี 2568 ไว้ที่ 150,000 ล้านบาท โดยในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2566 - ปี 2570) ตั้งเป้าการลงทุนรวมไว้ที่ 500,000 ล้านบาท
ในปัจจุบัน สำนักงานมีความร่วมมือกับหลายภาคส่วนของญี่ปุ่นในการขับเคลื่อนการลงทุนในพื้นที่ EEC หลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG การจัดตั้ง Sustainable Business Desk นั้น สกพอ. ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง โดยทางญี่ปุ่นเองถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในระดับภูมิภาคในกลุ่มอุตสาหกรรมสีเขียว เช่น เทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและประหยัดพลังงาน การผลิตพลังงานสะอาด เทคโนโลยีการติดตามและบริหารจัดการคาร์บอนในองค์กร ฯลฯ ซึ่งอุตสาหกรรมไทยอยู่ระหว่างการปรับตัวจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวและยังมีช่องว่างในการเติบโตที่สูง จึงเหมาะกับการจับคู่ทางธุรกิจให้เกิดการลงทุนใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีของบริษัทญี่ปุ่น และในอนาคตจะไม่จำกัดเฉพาะการซื้อและใช้งานเทคโนโลยีเท่านั้น แต่จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในรูปแบบการร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่างกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดในประเทศและภูมิภาคมากขึ้น สอดคล้องกับการส่งเสริมด้านการลงทุนที่เน้น Co-creation ของรัฐบาลญี่ปุ่นอีกด้วย
มูลนิธิทีทีบี เดินหน้าจัดงาน Networking Workshop เปิดพื้นที่เชื่อมโยงเครือข่ายและโอกาสในการสนับสนุนงานด้านการพัฒนาสังคม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการสร้างเครือข่าย อาทิ เรียนรู้และแบ่งปันเครื่องมือเพื่อวิเคราะห์ ทบทวนเป้าหมายการทำงานขององค์กร พร้อมแลกเปลี่ยนและหาแนวทางในการทำงานที่ส่งเสริมกันและกัน โดยมีตัวแทนกว่า 20 องค์กรด้านการพัฒนาสังคม ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมขน ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ในด้านต่าง ๆ เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องต่อชุมชนของตัวเองเพื่อร่วมเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

นางสาวมาริสา จงคงคาวุฒิ หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า “มูลนิธิทีทีบีได้จัดงาน ttb Networking Workshop ต่อเนื่อง และได้รับการตอบรับจากเครือข่ายองค์กรภาคีด้านการพัฒนาสังคมเป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของมูลนิธิทีทีบีในการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับองค์กรเครือข่าย โดยเรามีเป้าหมายต้องการสร้างมิตรภาพและเครือข่ายระหว่างองค์กรที่ทำงานด้านการพัฒนาสังคมได้เรียนรู้และแบ่งปันเครื่องมือ มีการวิเคราะห์ ทบทวนเป้าหมายการทำงานขององค์กร รวมถึงแลกเปลี่ยนและหาโอกาสในการทำงานที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อส่งต่อองค์ความรู้สู่ชุมชน
“ในส่วนของทีทีบีทุก ๆ ปี จะมีอาสาสมัครทีทีบีใช้ความรู้ ทักษะของพนักงานไปทำงานจิตอาสากับชุมชน ตามแนวคิด Make REAL Change ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรในการจุดประกายการ “ให้” คืนสู่ชุมชน โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา มีพนักงานเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครกว่า 4,000 คน เกิดโครงการเปลี่ยนชุมชนเพื่อความยั่งยืน 23 โครงการ และตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 280 โครงการ”

นายอรุณชัย นิติสุพรรัตน์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มจิตอาสาที่ช่วยเยียวยาจิตใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย “I SEE U Contemplative Care” ให้ความเห็นว่า การเข้าร่วมงาน ttb Networking Workshop ครั้งนี้ได้ประโยชน์หลายด้าน เช่น การสร้างสัมพันธ์กับเครือข่ายอื่น ๆ โดยองค์กรที่เข้มแข็งอย่างทีทีบี จะสามารถช่วยเติมเต็ม I SEE U ได้ ไม่ว่าการขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสในการพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ การพัฒนาเครื่องมือในการขับเคลื่อนกิจการ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ตามเป้าหมาย ซึ่งการเข้าร่วมงานในครั้งนี้สัมผัสได้ถึงความจริงใจและพลังของมูลนิธิทีทีบีที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างแท้จริง

สอดคล้องกับความเห็นของนายพีระพจน์ พลอยแก้ว หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา บอกว่า เข้าร่วม ttb Networking Workshop เป็นครั้งที่สองแล้ว สิ่งที่ได้คือ การได้รู้จักเพื่อนจากองค์กรต่าง ๆ และแลกเปลี่ยนความรู้ รวมถึงแนวคิดของแต่ละองค์กร เป็นโอกาสในการเรียนรู้และนำไปปรับใช้ในการพัฒนางานขององค์กร ซึ่งมูลนิธิเชื่อว่าความรู้เป็นทรัพยากรที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดสร้างความยั่งยืนในการทำงานได้ คนยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตน้อยมาก จึงอยากสื่อสารให้สังคมตระหนักและเข้าใจมากขึ้น ซึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน อาสาสมัครทีทีบีเคยไปช่วยพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ยังมีจุดอ่อนเรื่องคอนเทนต์ มองว่าทีทีบีมีองค์ความรู้เรื่องสร้างคอนเทนต์ที่ทันสมัยและน่าสนใจ คิดว่าหากได้องค์ความรู้เพิ่มเติมน่าจะช่วยทำให้คอนเทนต์ที่นำเสนอได้รับความสนใจและได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

ปิดท้ายกับเสียงสะท้อนของ นางสาวษรขวัญ ผุดบัวน้อย เจ้าหน้าที่สื่อสารสังคม มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.) กล่าวว่า การเข้าร่วมทำกิจกรรมครั้งนี้เป็นประโยชน์มาก ทำให้ได้พบเครือข่ายใหม่ ๆ และเพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยเป้าหมายเดียวกัน สามารถแลกเปลี่ยนมุมมองและเชื่อมโยงการทำงานระหว่างกันได้ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับเด็ก ซึ่งการมีคอนเน็กชันถือเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงาน เพราะเราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ การร่วมมือเป็นพันธมิตรกับองค์กรอื่น ๆ จะช่วยเสริมศักยภาพในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาสู่ความสำเร็จได้

“ขอขอบคุณมูลนิธิทีทีบีที่จัดงาน ttb Networking Workshop ทำให้แต่ละองค์กรได้รู้จักกัน แม้ว่าอาจจะมาจากสายงานที่แตกต่างกัน แต่เราก็มีจุดเชื่อมที่สามารถทำงานร่วมกันได้ และยังมุ่งมั่นกับการส่งเสริมพัฒนาเด็ก สอดคล้องกับเป้าหมายของมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก โดยเราเชื่อว่าการทำให้เด็กเห็นศักยภาพและคุณค่าของตัวเอง การส่งเสริมให้เด็กมีเป้าหมายและมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเอง คือการพัฒนาที่ยั่งยืน” นางสาวษรขวัญกล่าว
มูลนิธิทีทีบี มุ่งมั่นและตั้งใจเดินหน้าจุดประกายเยาวชนและชุมชน เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ติดตามกิจกรรมดี ๆ ต่อได้ที่ https://www.ttbfoundation.org