

นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย (ที่ 4 จากขวา) ให้การต้อนรับผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิติพงษ์ ยอดมงคล รองอธิการบดี (ที่ 4 จากซ้าย) คุณนารีรัตน์ จันทรมังกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน (ที่ 3 จากซ้าย) และผู้ช่วยศาสตราจารย์ทศพร พิชัยยา รองอธิการบดี (ที่ 2 จากซ้าย) พร้อมด้วยคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในโอกาสเข้าเยี่ยมกิจการเพื่อศึกษาระบบการบริหารจัดการกองทุนของ บลจ.กสิกรไทย พร้อมรับฟังการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “แนวทางการจัดสรรเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Asset Allocation) เพื่อโอกาสสร้างความมั่งคั่ง แม้ในภาวะตลาดผันผวนด้วย K-WealthPLUS” ณ ชั้น 12 ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่พหลโยธิน เมื่อเร็วๆ นี้
คณะกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทเอไอเอ (“บริษัท”) มีความยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศผลประกอบการของกลุ่มบริษัทเอไอเอ สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 อัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่:
ผลประกอบการของธุรกิจใหม่
มูลค่าพื้นฐานของกิจการ
รายงานทางการเงิน (IFRS)
เงินกองทุนส่วนเกิน
เงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืน
นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า:“เอไอเอมีผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมมากในปี 2567 จากผลกำไรของธุรกิจใหม่ การเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง และเงินกองทุนส่วนเกิน เรายังคงมุ่งสร้างมูลค่าผลตอบแทนผู้ถือหุ้นจากการดำเนินงานและอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเราได้คืนผลตอบแทนจำนวนมากให้แก่ผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18 เป็นมูลค่ากว่า 4,712 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยทุกภาคส่วนธุรกิจมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายและความแข็งแกร่งของธุรกิจของเรา ธุรกิจใหม่ที่สร้างผลกำไรต่อเนื่องส่งผลให้รายได้และกระแสเงินสดเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลกำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษีต่อหุ้นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12 และมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกินต่อหุ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัยต่อหุ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 หลังจากการจ่ายคืนผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นมูลค่า 6.5 พันล้านเหรียญสหรัฐผ่านเงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืน
“ตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่รอบคอบ ยั่งยืน และก้าวหน้าของเอไอเอ คณะกรรมการได้แนะนำให้เพิ่มเงินปันผลประจำปีร้อยละ 10 คิดเป็น 130.98 เซ็นต์ฮ่องกงต่อหุ้น ซึ่งส่งผลให้ยอดเงินปันผลรวมต่อหุ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ในปี 2567 นอกจากนี้ ตามนโยบายการจัดการทุนที่ปรับปรุงใหม่ของเรา คณะกรรมการได้ประกาศการซื้อหุ้นคืนใหม่มูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกด้วย ซึ่งประกอบด้วยเงินจำนวน 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอัตราส่วนการจ่ายปันผลร้อยละ 75 ของเงินกองทุนส่วนเกินสุทธิประจำปี (Net FSG) และเพิ่มอีก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามการตรวจสอบสถานะเงินทุนของกลุ่มบริษัทเป็นประจำ เมื่อรวมกันแล้ว การจ่ายเงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืนจะทำให้เกิดอัตราผลตอบแทนรวม(6) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 สำหรับผู้ถือหุ้น
“เอไอเอ อยู่ในตำแหน่งที่ดีและแตกต่างอย่างโดดเด่น ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพการเติบโตเชิงโครงสร้างระยะยาวในตลาดที่มีความน่าสนใจที่สุดในโลกสำหรับธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ผ่านการดำเนินการตามกลยุทธ์ที่ชัดเจนและมีเป้าหมายอันแน่วแน่ของเรา ผมมั่นใจว่าโอกาสทางธุรกิจในระยะยาวของเอไอเอยังคงยอดเยี่ยม เราจะยังคงเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้านข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของเราได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อคว้าโอกาสที่อยู่ข้างหน้าและสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้นทุกคนของเรา”
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) จัดโครงการพิเศษเพื่อสังคมนำเบี้ยประกันภัยโรคมะเร็งส่วนหนึ่งบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศล โดยเมื่อลูกค้าซื้อกรมธรรม์ประกันภัยโรคมะเร็ง บริษัทฯ จะหักเบี้ยประกันภัยจำนวน 50 บาทต่อกรมธรรม์ มอบให้แก่ชมรมผู้ไร้กล่องเสียงรามาธิบดี เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายของผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงทั้งก่อนและหลังผ่าตัดให้เกิดการปรับตัวกับสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น พร้อมเสริมสร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิต โดยมีระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2568
ลูกค้าสามารถซื้อประกันภัยโรคมะเร็งที่กำหนดผ่านช่องทางดังนี้
- ประกันภัยโรคมะเร็งซูเปอร์เซฟ ซื้อผ่านบริษัทฯ โดยตรงได้ที่โทร. 0 2285 8888 / เว็บไซต์บริษัทฯ bangkokinsurance.com / LINE @bangkokinsurance รวมถึงสาขากรุงเทพประกันภัย และ BKI Care Station จุดบริการประกันภัยในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ
- ประกันภัยโรคมะเร็ง CA 1st ซื้อผ่านธนาคารกรุงเทพ
ทั้งนี้ การทำประกันภัยโรคมะเร็ง นอกจากลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์แล้ว เบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีประจำปีในหมวดประกันสุขภาพได้ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด
สำหรับโครงการพิเศษดังกล่าว บริษัทฯ ได้จัดมาอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ด้วยการให้ลูกค้ามีส่วนร่วมบริจาคเงินให้องค์กรการกุศล โดยนอกจากประกันภัยโรคมะเร็งแล้ว เมื่อซื้อประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล PA Holiday แผน 3 กรมธรรม์ใหม่ ผ่านเว็บไซต์บริษัทฯ สามารถเลือกการบริจาคเงินจำนวน 300 บาท แทนการรับของสมนาคุณ โดยมอบให้แก่ศิริราชมูลนิธิ เพื่อผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลศิริราช และชมรมผู้ไร้กล่องเสียงรามาธิบดี
โรงแรมเมสัน โรงแรมระดับลักชูรี่พูลวิลล่าประกาศจับมือโรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เปิดแคมเปญ "Balance within, Brilliance Beyond" ยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ พร้อมเดินหน้าผลักดัน เมืองพัทยา นาจอมเทียน เป็นศูนย์กลาง Wellness Tourism ระดับโลก
คุณพรพรรณ รัตนพิทักษกุล, ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเมสัน กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า "เราเชื่อว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่สำคัญของการท่องเที่ยวระดับลักชูรี่ในอนาคตอันใกล้ และเราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา เพื่อมอบประสบการณ์การดูแลสุขภาพที่ครบวงจร ทั้งในด้านการพักผ่อนและการฟื้นฟูร่างกาย โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพสูง และเป็นการดูแล Wellness แบบองค์รวม ที่จะไม่เพียงมอบประสบการณ์พักผ่อนที่เหนือระดับจากเมสัน แต่ยังผสานกับการให้บริการด้าน Wellness ที่มีความเป็นมืออาชีพด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์การบริการระดับโลก จากโรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา”

โดยโปรแกรม Wellness ภายใต้แคมเปญ "Balance within, Brilliance Beyond" - สมดุลภายใน เปล่งประกายเหนือระดับ มุ่งเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีทั้งร่างกาย และจิตใจ ผ่านการบริการที่ครอบคลุมทั้งการพักผ่อนและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มนักท่องเที่ยวนี้ มักมองหาประสบการณ์ที่มีคุณค่าและลึกซึ้งมากขึ้น โดยไม่เพียงต้องการการพักผ่อนในบรรยากาศที่สะดวกสบายเป็นส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังต้องการให้การพักผ่อนนั้นช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจอย่างยั่งยืน ซึ่งเมสันมีความแข็งแกร่งและมีจุดเด่นในด้านการเป็นที่พักพูลวิลล่าหรู ติดหาดนาจอมเทียน มีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และบริการเหนือระดับ เน้นความเป็นส่วนตัว และมีความพร้อมในการมอบประสบการณ์การพักผ่อนริมทะเลให้กับนักท่องเที่ยวไฮเอนด์ ไม่ว่าจะเป็น เมสันสปา กิจกรรมสันทนาการต่างๆทั้งในและนอกเมสัน เมนูอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ พร้อมบริการผู้ช่วยส่วนตัว เมื่อผนวกรวมกับความแข็งแกร่งโดดเด่นในด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยาแคมเปญนี้จะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์การดูแลสุขภาพที่ครอบคลุม สมดุล และแตกต่างอย่างลึกซึ้งและส่งต่อคุณภาพสูงสุดให้กับแขกที่เข้าพัก และลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างหลากหลายได้อย่างแท้จริง

โปรแกรม Wellness ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 แพ็กเกจหลัก ได้แก่ 1. Stress Relief package เหมาะสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาความเครียดสะสม และการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ ผ่านเทคนิคการผ่อนคลายเชิงลึกและการดูแลสุขภาพจิตใจ 2. Detoxifying Restore package – มุ่งเน้นการขจัดสารพิษในร่างกายและฟื้นฟูสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก โดยใช้ศาสตร์การล้างพิษและโภชนาการเพื่อเพิ่มพลังชีวิต 3. Glow & Grow Rejuvenation package – เสริมสร้างความงามจากภายใน พร้อมเติมเต็มพลังงานให้กับร่างกายและจิตใจ ผ่านศาสตร์การชะลอวัยและการดูแลสุขภาพอย่างองค์รวม
ขณะที่ พญ.ปิยาภรณ์ ทิพยะรัตน์, ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจอมเทียน กล่าวว่า “ความร่วมมือในวันนี้เกิดจากแนวคิดที่ว่า “สุขภาพดีเริ่มต้นจากการดูแลก่อนป่วย” เราจึงให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) และเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging & Regenerative Medicine) ซึ่งจะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพที่สำคัญในอนาคต โดยในปัจจุบันประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของ Wellness Tourism ระดับโลก จากข้อมูลของ Global Wellness Institute คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรม Wellness จะเติบโตเฉลี่ย 12-14% ต่อปี และจะมีมูลค่าถึง 8.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027 นี้ ดังนั้นการจับมือกันกับเมสันภายใต้แคมเปญดังกล่าว จึงจะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมให้พัทยาเป็นจุดหมายปลายทางของการดูแลสุขภาพที่ครบวงจรสำหรับนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้อย่างแน่นอน”

เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักของเมสันเป็นกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติระดับไฮเอนด์ โดยเป็นกลุ่มคู่รัก, กลุ่มเพื่อน, ครอบครัวขนาดเล็ก, นักธุรกิจ หรือ Expat ที่มองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ลึกซึ้งและสมบูรณ์แบบ โดยจากเทรนด์รักสุขภาพในปัจจุบันพบว่า นักท่องเที่ยวและแขกที่เข้ามาพักที่โรงแรมให้ความสนใจและมีความต้องการในเรื่องการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น

คุณพรพรรณ รัตนพิทักษกุล, ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเมสัน กล่าวเพิ่มเติมว่า “Wellness is the New Luxury ดังนั้นการสร้างความแตกต่างโดยเพิ่มเรื่องสุขภาพและ Wellness เข้ามาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของการทำธุรกิจ จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางหรือเลือกใช้บริการ ในวันนี้เรามีความพร้อมเป็นอย่างมาก จากแคมเปญความร่วมมือด้าน Wellness ดังกล่าว เราจะช่วยผสมผสานจุดแข็งของ Ultra-Luxury Hospitality และ World-class Healthcare เพื่อมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีทั้งความสะดวกสบายและการดูแลสุขภาพที่ครบวงจรอย่างยั่งยืนให้แก่แขกที่เข้าพักและลูกค้าทุกท่าน”
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานงานแถลงข่าว ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย โดยนายสมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กรณีพบว่ามีกลุ่มบุคคลวางแผนจัดทำประกันภัยรถยนต์หลายฉบับ และสร้างสถานการณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ เพื่อนำไปสู่การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน รวมมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท ตามที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ นั้น

จากการตรวจสอบพบว่า รถกระบะ 3 คันที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว มีกรมธรรม์ประกันภัยซ้ำซ้อนรวม 34 ฉบับ จากบริษัทประกันภัย 15 แห่ง โดยกรมธรรม์ส่วนใหญ่จัดทำขึ้นภายใน 10 วัน ก่อนเกิดเหตุ และบางฉบับทำขึ้นในวันเกิดเหตุ นอกจากนี้ ไม่มีการแจ้งเหตุไปยังบริษัทประกันภัยทั้ง 15 แห่งในวันเกิดเหตุ และไม่พบรายงานการเข้าตรวจสอบจากหน่วยกู้ชีพ ขณะที่ลักษณะบาดแผลของผู้เสียชีวิตไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น อีกทั้งญาติของผู้เสียชีวิตไม่ได้ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตและปฏิเสธการชันสูตรพลิกศพ ความร้ายแรงที่เกิดขึ้นจึงอาจเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัย เพราะถือเป็นกรณีที่ไม่เคยได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติการณ์ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยมีเจตนาทุจริตจากการทำประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจหลายฉบับซ้ำซ้อนกันดังเช่นกรณีนี้มาก่อน โดยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 สำนักงาน คปภ. ได้หารือร่วมกับบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้อง และมีมติให้แจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจภูธรเมืองสกลนคร ในข้อหาฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน คปภ. ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบการป้องกันการฉ้อฉลประกันภัย โดยได้พัฒนาและจัดทำระบบฐานข้อมูลรายงานการฉ้อฉลด้านการประกันภัยด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัย อาทิ การทำประกันภัยซ้ำซ้อนในระยะเวลาสั้น ๆ หรือการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยด้วยรถยนต์ทะเบียนเดียวกันสูงผิดปกติ ภายในระยะเวลา 90 วัน หรือตรวจพบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนบ่อยครั้งในช่วงระยะเวลา 90 วัน เป็นต้น ซึ่งเมื่อระบบดังกล่าวตรวจพบความผิดปกติ จะมีการแจ้งเตือนให้ทราบทันที และจะมีการเรียกบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือก่อนดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกับกรณีนี้ โดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถปรับเงื่อนไขการตรวจจับการฉ้อฉลประกันภัยได้ตลอดเวลา เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการติดตามและดำเนินคดีกับกลุ่มผู้กระทำความผิด โดยสำนักงาน คปภ. จะส่งสำนวนให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ การกำกับของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นผู้ดำเนินคดี หรือแจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจที่มีเขตอำนาจ โดยดำเนินคดี ฉ้อฉลประกันภัยไปแล้วกว่า 46 คดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท และเตรียมดำเนินการเพิ่มเติมอีก 21 คดี

“สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง ควบคู่กับการป้องกันการฉ้อฉลประกันภัย โดยจะมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลรายงานการฉ้อฉลด้านการประกันภัย ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อใช้ตรวจจับกรณีที่มีความผิดปกติให้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ และรวดเร็วได้แบบ Real Time แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการคุ้มครองประชาชนที่มีการเรียกสินไหมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
วันไวท์เดย์ (White Day) มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ตรงกับวันที่ 14 มีนาคม ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญที่ต่อเนื่องมาจากวันวาเลนไทน์ เดิมมีที่มาจากแผนการตลาดที่พยายามสร้างไอเดียดึงดูดลูกค้าให้ตอบแทนผู้ที่มอบของขวัญในวันวาเลนไทน์ จนในที่สุดได้มีการจัดตั้งวันไวท์เดย์อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1978 และกลายเป็นที่นิยมมาถึงปัจจุบัน
วันไวท์เดย์ ถือเป็นวันแห่งการให้คำตอบ ซึ่งแต่ก่อนได้ถูกระบุให้ผู้ชายที่ได้รับช็อกโกแลตและการสารภาพรักในวันวาเลนไทน์ใช้เวลาคิดทบทวนก่อนจะมอบของขวัญที่สื่อถึงคำตอบแก่ฝ่ายหญิงในวันนี้ และยังมีธรรมเนียมว่าสิ่งนั้นควรมีมูลค่ามากกว่าที่เคยได้รับ 3 เท่า อีกด้วย แต่สิ่งที่ฝ่ายหญิงควรให้ความสำคัญจริง ๆ คือชนิดขนม เชื่อกันว่าหากได้รับมาร์ชแมลโลว์ จะเป็นการสื่อว่าไม่สนใจพัฒนาความสัมพันธ์นี้ และการให้ลูกอมรสหวานคือการตกลงคบกันนั่นเอง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันค่านิยมดังกล่าวได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าเพศไหนก็สามารถเป็นฝ่ายสารภาพรักและมอบของแทนใจก่อนได้ อีกทั้งของขวัญหรือชนิดขนมก็อาจมีความแตกต่างออกไป แล้วแต่ความสะดวกและความชอบทั้งผู้ให้และผู้รับ ดังนั้นของหวานชนิดอื่น ๆ ก็อาจกลายมาเป็นสิ่งที่ช่วยสื่อความหมายจากทั้งสองฝ่ายได้เช่นกัน
วันเดอร์พัฟฟ์จึงมาแนะนำอีกหนึ่งไอเทมดี ๆ ที่เหมาะจะมอบให้คนรู้ใจแทนความรู้สึกหวาน ๆ ที่คุณอยากจะส่งไป กับ วันเดอร์พัฟฟ์ ข้าวโพดอบกรอบเคลือบคาราเมลผสมถั่วคุณภาพพรีเมียมที่มีให้เลือกถึง 7 รสชาติ เพลิดเพลินกับความกรุบกรอบของป๊อปคอร์นและถั่ว หอมกรุ่นด้วยคาราเมลที่เคลือบมาพอดีคำแบบฟิน ๆ ให้รสหวานอร่อยยาวนานไม่แพ้ความรักของคุณ สามารถหาซื้อวันเดอร์พัฟฟ์ได้แล้ววันนี้ที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ LINE Official: @heritagethailand, Shopee: Heritage Official, Lazada: Heritage Official, และ TikTok Shop: HeritageGroupTH สอบถาม เพิ่มเติมโทร 02-813-0954-5 หรือติดตามกิจกรรมและข่าวสารได้ที่ www.facebook.com/wonderpuff.th และ IG: wonderpuff.th
อ้างอิง:
SCB WEALTH สร้างปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ดึงพันธมิตรเบอร์หนึ่งระดับโลกด้านการจัดการสินทรัพย์ จับมือ BlackRock พันธมิตรรายสำคัญที่จะหนุนให้ SCB WEALTH เป็นผู้นำอันดับหนึ่งธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในไทย พร้อมนำพาลูกค้ามุ่งสู่การลงทุนในต่างประเทศ เจาะนวัตกรรมการลงทุนใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพสูง เพิ่มโอกาสการสร้างผลตอบแทนที่ดี ในยุคเศรษฐกิจและการลงทุนที่มีความผันผวนเปลี่ยนแปลงเร็ว พร้อมร่วมมือกันเจาะลึกทุกมิติของการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า เข้าถึงบทวิเคราะห์และข้อมูลการลงทุนเชิงลึกใหม่ๆ ร่วมให้คำปรึกษาและแชร์ประสบการณ์ มาเสริมประสิทธิภาพการให้คำแนะนำการลงทุน ที่แม่นยำและรวดเร็วตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น จัดทำโปรแกรมฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพ RM ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล ทำแผนการตลาดร่วมกันแบบ Co – Brand เพื่อสนับสนุน SCB WEALTH เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าทุกด้านของการลงทุน มีสินทรัพย์ลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมาย 180,000 ล้านบาท ในปี 2569
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB WEALTH เป็นหน่วยธุรกิจที่สำคัญของธนาคาร มีเป้าหมายในการขึ้นเป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทย ในปี 2569 เพื่อยกระดับการให้บริการในธุรกิจเวลธ์ดีที่สุดในทุกมิติ มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล หนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะนำพาให้บรรลุเป้าหมายนี้คือการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลกและมีแนวคิดในการทำงานที่สอดคล้องกัน เพื่อคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและนักลงทุนไทยในการสร้างอนาคตทางการเงินให้แข็งแกร่ง มีสินทรัพย์เพียงพอต่อการดำรงชีวิตวัยเกษียณ
พันธกิจที่สำคัญนี้ธนาคารเห็นว่า BlackRock ผู้นำเบอร์หนึ่งด้านการจัดการสินทรัพย์ระดับโลก มีแนวคิดในการดำเนินธุรกิจบริหารความมั่งคั่งไปในทิศทางเดียวกับ SCB WEALTH ที่ให้ความสำคัญด้านการวางแผนการลงทุนเพื่อเป้าหมายในระยะยาว โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เปิดโอกาสให้ SCB WEALTH เข้าถึงข้อมูลการลงทุนในเชิงลึกและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เฉพาะลูกค้าธนาคารเท่านั้น ซึ่งตอบโจทย์แนวทางการทำงานของธนาคารในเชิงกลยุทธ์การบริหารความมั่งคั่ง จึงทำให้เกิดความร่วมมือกันระหว่าง SCB WEALTH และ BlackRock ได้จับมือกันสร้างปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ให้กับธุรกิจบริษัทความมั่งคั่งในไทยเพื่อนำพานักลงทุนไทยมุ่งสู่การลงทุนระดับโลก
BlackRock เป็นผู้นำเบอร์หนึ่งธุรกิจการจัดการสินทรัพย์ระดับโลก ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการกว่า11.6 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2567) มีสินทรัพย์ลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกตลาดทั่วโลก มีสถาบันวิจัย BlackRock Investment Institute ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจสร้างพอร์ตการลงทุนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าในการขับเคลื่อนการลงทุนในตลาดการเงิน ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการสร้างความยิ่งใหญ่ครั้งใหม่ที่ 2 ยักษ์ในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชั้นนำของไทย และผู้นำด้านการลงทุนและบริหารความเสี่ยงอย่าง BlackRock มาร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจเวลธ์ในไทย เพื่อมอบโซลูชันการลงทุนที่ตอบโจทย์และสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวให้กับนักลงทุนไทย
ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายร่วมกันในการเจาะลึกทุกมิติของการลงทุนแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ภายใต้แนวคิด Your Success. Our Success. ช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว โดย SCB WEALTH และ BlackRock จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเข้าถึงข้อมูลการลงทุนในเชิงลึก จัดทำบทวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อให้ลูกค้ามีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนที่ดีขึ้น จัดตั้งทีมงานในการค้นหากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมให้กับนักลงทุนไทย เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยจะร่วมกันพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มีมาตรฐานระดับสากลให้เฉพาะลูกค้า SCB WEALTH เท่านั้น นอกจากนี้ BlackRockจะร่วมกับ SCB Wealth Academyในการพัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมสำหรับที่ปรึกษาการเงิน (RM) เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ด้านการลงทุน เข้าใจผลิตภัณฑ์การลงทุนอย่างลึกซึ้งและการให้บริการลูกค้าเพื่อยกระดับให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล พร้อมร่วมให้คำปรึกษาและแชร์ประสบการณ์ มาเสริมประสิทธิภาพการให้คำแนะนำการลงทุน ที่แม่นยำและรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง และร่วมทำการตลาดแบบ Co-brand เพื่อยกระดับการให้บริการด้านการลงทุนแก่ลูกค้าทั่วประเทศ
นายแอนดรู แลนด์แมน รองประธานภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิค และประธานด้านการบริหารความมั่งคั่ง เอเชีย แปซิฟิค เปิดเผยว่า การร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการผสมผสานองค์ความรู้ในการลงทุนและบริการต่าง ๆ จาก BlackRock เข้ากับความเชี่ยวชาญของธนาคารในการบริหารความมั่งคั่งและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงโจทย์ความต้องการของนักลงทุนไทย เราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้นำเสนอโอกาสในการลงทุนระดับโลกที่มีความหลากหลายให้กับนักลงทุนทั้งกลุ่ม High Net Worth และ กลุ่ม Mass Affluent ในประเทศไทยเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลงทุนในระยะยาว
จากข้อมูล Statista Market Forecast ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่า ในปี 2568 มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร เพิ่มขึ้นเป็น 86.74 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐและเพิ่มเป็น 88.49 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในปี 2572 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเติบโตของเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น ส่งผลให้กลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (HNWIs) ในประเทศไทยขยายตัวมากขึ้น และต้องการโซลูชันการลงทุนที่มีความซับซ้อนมากขึ้นตามโลกที่เปลี่ยนแปลง เช่น การลงทุนแบบ Multi-Asset ในการกระจายสินทรัพย์ลงทุนที่มีความหลากหลาย เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และโอกาสทำกำไรในระยะยาว ซึ่งจะพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษเพื่อลูกค้า SCB WEALTH เท่านั้น โดยพอร์ตโฟลิโอนี้จะบริหารโดยทีมบริหารพอร์ตโฟลิโอเฉพาะทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแบบ Multi-Asset กว่า 500 คนทั่วโลก จะบริหารจัดการด้วยมุมมองการลงทุนระยะยาวควบคู่ข้อมูลการวิจัยการลงทุนในเชิงลึก เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนที่ดีขึ้น และเข้าใจถึงประโยชน์ที่แท้จริงของการลงทุนแบบ Multi-Asset
นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้จะช่วยสนับสนุน SCB WEALTH ที่มีเป้าหมายในการเพิ่มสินทรัพย์ลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 180,000 ล้านบาท ในปี 2569 จากการเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า และต้องการให้ลูกค้าเข้าถึงโซลูชั่นการลงทุนระดับโลกมากขึ้น ได้สัมผัสนวัตกรรมการลงทุนใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ตลาดมีความผันผวน และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว BlackRock จะร่วมมือกับ SCB WEALTH ในฐานะผู้ให้คำแนะนำในการลุงทนเพื่อออกแบบนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เฉพาะลูกค้า SCB WEALTH เท่านั้น รวมไปถึงการนำเสนอข้อมูลบทวิเคราะห์การลงทุนในเชิงลึก เพื่อให้ลูกค้ามีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุน และ BlackRock จะนำประสบการณ์มาร่วมจัดอบรมพัฒนาศักยภาพที่ปรึกษาทางการเงิน ให้เข้าใจผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายเชิงลึกมากขึ้น เพื่อสามารถส่งผ่านความเข้าใจถึงลูกค้า ผนวกกับการให้บริการที่ดีแบบมืออาชีพเทียบเท่าระดับสากล เพื่อสนับสนุนให้ SCB WEALTH เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าในทุก ๆ ด้านของการลงทุน และมีสินทรัพย์ลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต