December 06, 2025

ชูแรงบันดาลใจจากซีรีส์ฮิตโดย HBO® Original “The White Lotus”

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะผู้นำทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพระดับโลกที่มุ่งมั่นพัฒนาการรักษาในระดับจตุตถภูมิ (Quaternary Care) ได้นำนวัตกรรม Photon-counting CT ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดด้านการตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่ายรังสี ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าทางนวัตกรรมการแพทย์ครั้งสำคัญในเรื่องการตรวจวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้น เสริมสร้างความปลอดภัยของผู้ป่วย และการรักษาเฉพาะบุคคล ตอกย้ำความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในการส่งมอบความเป็นเลิศทางการแพทย์

งานแถลงข่าว Unlock the Future of Screening & Diagnostics with Photon Counting CT Technology” ในครั้งนี้ จัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยทีมแพทย์เฉพาะทางหลากหลายสาขา ร่วมบรรยายข้อมูลจากประสบการณ์การรักษาและความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว

 

คุณแบร์รี่ วอล์ฟแมน Senior Executive Director of Operations โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลฯ ในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยว่า “ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เรามุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เสริมสร้างความปลอดภัยของผู้ป่วย เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย และส่งเสริมการตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น การนำเทคโนโลยี Photon-counting CT เข้ามาใช้จึงถือเป็นก้าวสำคัญของการแพทย์แม่นยำ ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วยในเรื่องความทันสมัย ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยอย่างสูงสุด”

 

คุณคริส โพเรย์ Managing Director ซีเมนส์ เฮลท์ธิเนียร์ส ประเทศไทย กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพที่ทันสมัย สำหรับทุกคน ทุกที่ โดยมุ่งเน้นที่ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางว่า “เทคโนโลยีของ ซีเมนส์ เฮลท์ธิเนียร์ส มีจุดแข็งในเทคโนโลยีการจำลองระบบภายในร่างกายของผู้ป่วย (Patient Twinning), การแพทย์แม่นยำ (Precision Therapy) ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อวิเคราะห์และมุ่งแก้ไขปัญหาโรคร้ายแรงที่คุกคามชีวิต เช่น มะเร็ง โรคทางระบบประสาท รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่ง NAEOTOM Alpha ถือเป็นเทคโนโลยี Photon-counting CT เครื่องแรกของโลกที่พิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นดังกล่าว โดย CT Scan ที่มีเทคโนโลยี Photon-counting รุ่นล่าสุดนี้ให้ความคมชัดและความแม่นยำสูง ช่วยให้ตรวจพบโรคได้เร็วขึ้น และวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งมีชื่อเสียงด้านความเป็นเลิศทางการแพทย์ เพื่อนำเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้มาใช้เพื่อส่งมอบประสบการณ์การรักษาเชิงบวกให้กับผู้ป่วยทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก”

ภายในงาน มีการเสวนาเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ โดยแพทย์เฉพาะทางในด้านรังสีวิทยา ประสาทวิทยา โรคปอดและระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และเวชศาสตร์พันธุกรรม รวมถึงประโยชน์ของการนำเทคโนโลยี Photon-counting CT มาใช้ในแต่ละสาขา

 

นพ. วิทย์ วราวิทย์ หัวหน้าหน่วย Body Imaging แผนกรังสีวิทยา, รังสีแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้เน้นย้ำถึงประโยชน์ที่สำคัญของเทคโนโลยีใหม่นี้สำหรับรังสีแพทย์และผู้ป่วยว่า “การตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ Photon-counting ทำให้ภาพที่มีความละเอียดสูงขึ้น ทั้งสัญญาณรบกวนที่ลดลง ช่วยให้ตรวจพบโรคได้เร็วขึ้นและแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดการได้รับรังสี ทำให้การสแกนด้วยเครื่อง CT ปลอดภัยขึ้น ซึ่งจะเอื้อประโยชน์อย่างมากในกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องตรวจคัดกรองบ่อยครั้ง เช่น มะเร็งปอด ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคหลอดเลือดโป่งพอง รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยเด็ก นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรค”

 

นพ. ฤกษ์ชัย ตุลยาภรณ์โชติ หัวหน้าศูนย์โรคระบบประสาท, แพทย์เฉพาะทางโรคระบบประสาทและสมอง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้อธิบายถึงผลกระทบต่อการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองว่า “เวลาคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เทคโนโลยี Photon-counting CT ช่วยให้การสแกนภาพสมองรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ทำให้เราสามารถตรวจพบโรคหลอดเลือดสมองได้เร็วขึ้น และเริ่มการรักษาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งเทคโนโลยีนี้ช่วยทำให้ผลลัพธ์การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยสามารถลดความเสียหายของสมองและเพิ่มศักยภาพในการฟื้นตัวได้อีกด้วย”

 

ผศ.นพ. โชค ลิ้มสุวัฒน์ แพทย์เฉพาะทางโรคระบบทางเดินหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “ด้วยปัญหามลพิษทางอากาศที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย การตรวจพบโรคปอดในระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เทคโนโลยีนี้ช่วยให้เราสามารถระบุก้อนเนื้อขนาดเล็กในปอด และตรวจพบมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นได้เร็วขึ้น นำไปสู่การรักษาได้อย่างทันท่วงทีและสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้”

 

พญ. มนัสวี วัสสระ แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เน้นย้ำถึงประโยชน์ของการป้องกันโรคหัวใจว่า “โรคหัวใจยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ทั่วโลก เทคโนโลยี Photon-counting CT ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจพบโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ การตรวจคราบหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ และการแยกความแตกต่างของคราบไขมัน ด้วยเทคนิคการฉายภาพขั้นสูงนี้ เราสามารถทำการประเมินโรคได้อย่างแม่นยำ โดยยังไม่ต้องทำหัตถการที่ไม่จำเป็น ทำให้สามารถเริ่มการรักษาได้โดยเร็ว ส่งผลต่อสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้นในระยะยาว”

 

ผศ.นพ. พลกฤต ทีฆคีรีกุล Chief Science Officer, แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจและเวชศาสตร์พันธุกรรม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เน้นย้ำถึงบทบาทของเทคโนโลยีในเชิงเวชศาสตร์ป้องกันว่า “Photon-counting CT ถือเป็นเทคโนโลยีที่พลิกโฉมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ช่วยให้ตรวจพบโรคได้ก่อนที่อาการจะปรากฏ ทำให้ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยดีขึ้นจากการรักษาที่ตรงจุดในระยะเริ่มต้น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีความภูมิใจที่ได้เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในประเทศไทยที่นำเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้มาใช้ในการสร้างมาตรฐานใหม่ในการวินิจฉัยที่แม่นยำ”

 

การนำเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ Photon-counting มาใช้ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการนำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาปรับใช้เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย และความเป็นเลิศทางการแพทย์ ในฐานะผู้นำด้านการดูแลสุขภาพระดับโลก โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ยังคงผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าที่ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น การรักษาแบบเฉพาะบุคคล เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีในระยะยาว และยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ป่วยอย่างยั่งยืน

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ร่วมกับ บริษัท เอ็กซ์เพรสซอฟท์แวร์กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์บัญชีสำเร็จรูป เปิดให้บริการ Krungsri Bill Payment Online ที่เชื่อมต่อระบบการรับชำระเงินเข้ากับซอฟต์แวร์บัญชี เพื่อให้ธุรกิจ SME สามารถรับชำระเงินได้ง่าย ๆ ลูกค้าจ่ายเงินได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ที่สำคัญ SME สามารถใช้ได้ทันที ลดต้นทุนในการพัฒนาระบบไอที

นางสาวนิลวรรณ จีระบุญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกรรมการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรี และ เอ็กซ์เพรสซอฟท์แวร์กรุ๊ป ได้ทำงานร่วมกัน เพื่อเชื่อมต่อระบบการรับชำระเงิน (Krungsri Bill Payment Online) ด้วยเทคโนโลยี API เข้ากับโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป โดยความร่วมมือนี้จะช่วยให้ SME ก้าวข้ามข้อจำกัดในการลงทุนด้านไอทีเพื่อเชื่อมต่อระบบ รวมทั้งลดความยุ่งยากในการจัดการใบแจ้งหนี้และการกระทบยอดบัญชี โดยระบบนี้จะสร้าง QR ลงในใบแจ้งหนี้ (Invoice) ของร้านค้า SME เพื่อให้ลูกค้าชำระเงินด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ดได้ทันที ซึ่งเป็นความสะดวกประการแรก ขณะเดียวกันเมื่อลูกค้าชำระเงิน ระบบจะทำการจับคู่ยอดเงินกับใบแจ้งหนี้ทันทีว่ายอดเงินที่ชำระเข้ามานั้นมาจากลูกค้ารายใด ถูกต้องหรือไม่ จากใบแจ้งหนี้ฉบับใด (Auto invoice Matching) พร้อมทั้งจัดการกระทบยอดบัญชีให้แบบเรียลไทม์ นับเป็นการช่วยบริหารจัดการด้านบัญชีและการเงินให้กับธุรกิจ เพิ่มความสะดวกไปอีกขั้น ซึ่งโซลูชันนี้จะเป็นประโยชน์กับ SME ขนาดเล็กให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการรับชำระเงินได้ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากกับทรัพยากรด้านไอทีในการเขียนโปรแกรมขึ้นมาใหม่เอง”

“นี่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของเราในปีนี้ โดยใช้ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี API เข้าไปเชื่อมต่อกับระบบต่างๆ เพื่อช่วยให้การรับชำระเงินง่าย สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากการความเข้าใจในธุรกิจของลูกค้าและนำมาพัฒนาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

นายสุทัศน์ สกุลนิวัฒน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง และ General Manager บริษัท เอ็กซ์เพรสซอฟท์แวร์กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “เอ็กซ์เพรสอยู่ในธุรกิจและทำงานใกล้ชิดกับธุรกิจ SME มาอย่างยาวนาน เรายังคงพัฒนาโซลูชันต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าธุรกิจ และเราก็มองหาพันธมิตรที่เข้าใจและมีเป้าหมายในการทำงานที่สอดคล้องกันเพื่อลูกค้า SME ให้สามารถทำธุรกิจได้อย่างคล่องตัวและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งโซลูชัน Krungsri Bill Payment Online สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจพฤติกรรมและข้อจำกัดของผู้ประกอบการ SME อย่างลึกซึ้ง และพัฒนาโซลูชันเพื่อสนับสนุนและยกระดับบริการด้านการชำระเงินไปอีกขั้น ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งโซลูชันที่ช่วยตอบโจทย์ธุรกิจ SME ให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการชำระเงินได้เป็นอย่างดี”

ปัจจุบัน เอ็กซ์เพรสซอฟท์แวร์กรุ๊ป เป็นระบบซอฟต์แวร์บัญชีสำเร็จรูปสัญชาติไทยที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากว่า 37 ปี และมีลูกค้าธุรกิจที่ใช้งานกว่า 95,000 ราย ทั้งในรูปแบบ On-Premise และ On-Cloudโดยมีระบบช่วยเหลือลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง

พิเศษ สำหรับ SME ที่เชื่อมต่อระบบบัญชีกับ Express ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 มิถุนายน 2568 ฟรี! ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมการรับชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์  (Krungsri Bill Payment Online)

MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ล่าสุดได้ดำเนินโครงการสำรวจ และตรวจสอบโพรงใต้ชั้นผิวถนนและทางเท้าบริเวณบ่อพักท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน ด้วยวิธี Ground Penetration Radar (GPR) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดให้มีมาตราการเชิงป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโพรงใต้ดิน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ถนนสายหลัก โดยเริ่มต้นการตรวจสอบโพรงที่ถนนแจ้งวัฒนะเป็นเส้นทางแรกของปี 2568 (เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 10 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา) และจะดำเนินการต่อเนื่องในอีก 19 เส้นทางได้แก่ ถนนหลังสวน ถนนสารสิน ถนนศรีนครินทร์ ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ถนนรัชดาภิเษก ถนนลาดพร้าว ถนนสุขุมวิท ถนนรามคำแหง ถนนเจริญราษฎร์ ถนนสาทร ถนนพระรามที่ 4 ถนนอรุณอมรินทร์ ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า ถนนประชาราษฎร์สาย2 ถนนเพชรบุรี ถนนอังรีดูนังต์ ถนนวิทยุ ถนนเทพารักษ์ และถนนจรัญสนิทวงศ์ ครอบคลุมพื้นที่จำนวนบ่อพักทั้งสิ้น 300 บ่อ

 

ทั้งนี้ MEA มุ่งมั่นพัฒนา และนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการตรวจสอบ และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากโพรงใต้ผิวถนน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดทั้งต่อประชาชน และการให้บริการระบบไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการดังกล่าวนี้ใช้เทคโนโลยี Ground Penetrating Radar (GPR) MALAMIRA Compact จากประเทศสวีเดน ที่ได้รับการออกแบบมาเฉพาะสำหรับการสำรวจตำแหน่งวัตถุ หรือวัสดุที่ฝังอยู่ใต้ดิน หรือใต้พื้นผิวถนน โดยมีความสามารถในการตรวจสอบโพรงใต้ดินอย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ยังใช้อุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียมแบบสองความถี่ (Dual Frequency) พร้อมด้วยเครื่องควบคุม เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการระบุตำแหน่งการสำรวจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการสำรวจจะดำเนินการในบริเวณโดยรอบบ่อพักท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งกำหนดระยะสำรวจในแนวขนานกับทิศทางจราจร เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ที่อาจเกิดโพรงได้อย่างครบถ้วน

 

อย่างไรก็ตามเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนจากการดำเนินงานดังกล่าว MEA จะมีการประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ก่อสร้าง ตลอดจนประสานการจัดการงานจราจรกับตำรวจท้องที่ และดำเนินงานตามวิธีการที่กำหนด (Method Statement) เพื่อให้การสำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย

 

ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการของ MEA รวมถึงพบสายไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าของ MEA ชำรุด หรืออยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย สามารถแจ้งเหตุได้ที่ MEA Smart Life Application ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนระบบ iOS และ Android ดาวน์โหลดฟรีได้ที่ App Store และ Google Play หรือช่องทางโซเชียลมีเดียทางการของ MEA ได้ที่ Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่สีเขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการ เลือกเมนู ติดต่อ MEA Call Center Online 1130 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวงได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ข่าวดีสำหรับคุณพ่อคุณแม่ กับงานเพื่อลูกน้อยแห่งปี  Amarin Baby & Kids Fair 2025 (Summer Festival)  เตรียมพบกับ กรุงเทพประกันชีวิต ที่มาพร้อมแบบประกันดี ๆ ทั้ง กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์ แวลู เฮลธ์ คิดส์ พรีเมียร์ แฮปปี้ เฮลธ์ พรีเมียร์ ที่ถูกออกแบบมาด้วยความใส่ใจ ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว ทั้งแผนความคุ้มครองด้านสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาล และการออมเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูกรัก พบกัน ระหว่างวันที่ 22 – 30 มีนาคม 2568 ที่บูท CS3 ฮอลล์ 98 ศูนย์แสดงสินค้าและนิทรรศการ ไบเทคบางนา ร่วมสนุกกับกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของลูกน้อย และรับฟังสาระดี ๆ กับเวทีเสวนาห้องเรียนพ่อแม่ ในวันเสาร์ที่ 29 มีนาคม เวลา 13.00 น. โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวกและการส่งเสริมทักษะสมอง EF สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมผู้เชี่ยวชาญจากกรุงเทพประกันชีวิตที่จะมาแนะนำการวางแผนการเงินเพื่ออนาคตลูก สิทธิพิเศษภายในบูท รับกระเป๋าชอปปิงลายพิเศษจากกรุงเทพประกันชีวิต ฟรี!!! เพียงนำคูปองจาก Leaflet งาน Amarin Baby & Kids มาแสดง จำกัดเพียง 100 ใบ / วันเท่านั้น รวมทั้งโปรพิเศษ เฉพาะภายในงาน Amarin Baby & Kids Fair 2025 เท่านั้น เพียงซื้อแบบประกันใดก็ได้ (ยกเว้นแบบประกันยูนิต ลิงค์)  รับของสมนาคุณสุดน่ารัก พร้อมบัตรกำนัลโลตัสทันทีภายในงาน

นายวัชรินทร์ เครือแดง ผู้จัดการสำนักงานสุราษฎร์ธานี พร้อมพนักงานบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM มอบเงินจำนวน 180,000 บาท ให้กับเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร โดยมี  นางทัศนียา  ลิ้มอุดมพร รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร เป็นตัวแทนรับมอบเพื่อนำไปสร้างบ้าน โครงการ Home&Hope การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ด้อยโอกาสในสังคม เฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทยทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา” ให้กับ นางสมหมาย ศักดิ์ภูเขียว อายุ 75 ปี  อาศัยอยู่ ณ ตำบลเขาทะลุ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร

โครงการ Home&Hope เป็นโครงการที่ BAM ได้จัดทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยร่วมมือกับสำนักบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย และเหล่ากาชาดจังหวัด เพื่อสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย  ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำรงชีวิต  มุ่งเน้นการช่วยเหลือให้ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงวัย ผู้พิการ เป็นต้น เพื่อให้ได้มี “บ้าน” ที่มั่นคงแข็งแรง ปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป

วัตสัน ประเทศไทย ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทย ยกระดับกลยุทธ์การตลาดเชิงประสบการณ์ ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์-ไอดอล-ลูกค้า ผ่านการจัดงาน Friends of Watsons” ดึงเมกะคู่จิ้นแห่งปี หลิงหลิง ศิริลักษณ์ คอง และ ออม กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์ ร่วมสร้างสีสัน เพื่อสร้างปรากฎการณ์ใหม่ของมิตรภาพและความงาม หวังขยายฐานลูกค้ากลุ่มแฟนด้อม ตอกย้ำคอนเซปต์ “เพื่อนที่เหมือนคนรัก” สร้างแรงสั่นสะเทือนในโลกโซเชียลแบบก้าวกระโดด ในฐานะเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างทุกความสวยแบบคนรู้ใจใกล้ตัวคุณ

แฟนด้อมทรงพลัง สู่กระแสไวรัลหลักล้านในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง

ด้วยพลังของชาวด้อมม่วง “เจ้าความรัก” ส่งผลให้กระแสตอบรับของงาน Friends of Watsons ทะลุทุกความคาดหมาย #LingOrmxWatsons ติดเทรนด์บนแพลตฟอร์ม x สูงถึง 1 ล้านครั้งภายใน 11 ชั่วโมง และพุ่งไปถึง 1.2 ล้านครั้งใน 24 ชั่วโมง โดยสร้างยอดตัวเลขการมีส่วนร่วม (Reach) ได้กว่า 29.7 ล้าน และมี Impression สูงถึง 372 ล้าน สะท้อนถึงอิทธิพลของแฟนด้อมที่เชื่อมโยงแบรนด์กับกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างแน่นแฟ้น

นวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวถึงกลยุทธ์การดึงกระแสคู่จิ้นฟีเวอร์ มาช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมของลูกค้าว่า “ในยุคที่พลังของแฟนด้อมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค วัตสันเลือกใช้กลยุทธ์ Friend of Brand เชื่อมต่อกับไอดอลที่มีภาพลักษณ์ตรงกับแบรนด์ มาเป็นตัวแทนในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้า เพื่อสร้าง Emotional Engagement ที่มากกว่าการขายสินค้าสุขภาพและความงาม โดยมองว่า ‘หลิง - ออม’ สะท้อนภาพลักษณ์ของคนที่ใส่ใจตัวเอง มั่นใจ และรู้ใจกันเหมือนคนรัก รวมถึงมีฐานแฟนคลับเหนียวแน่น จึงเป็นตัวแทนที่สมบูรณ์แบบของคอนเซปต์ ‘เพื่อนที่เหมือนคนรัก’ สอดคล้องกับแบรนด์วัตสันที่พร้อมดูแลลูกค้าทุกช่วงเวลาของการดูแลตัวเอง ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จกลายเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัว”

มากกว่าการชอปปิง คือการสร้างประสบการณ์ร่วม

วัตสันไม่ได้มองการตลาดเป็นเพียงการขายสินค้า แต่คือการสร้าง Community และ Engagement ผ่านกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟในงาน Friends of Watsons ที่มีแฟนด้อมเข้าร่วมกว่า 400 คน เพื่อให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมแบบใกล้ชิด เช่น ถ่ายภาพคู่แบบ 2:1 เพื่อมอบโมเมนต์ใกล้ชิดแฟนคลับ, แจกฟรี Standee ขนาดเท่าตัวจริง 500 ชิ้น อีกหนึ่งไอเท็มพิเศษสำหรับแฟนตัวจริงที่หลายคนเรียกร้อง ตลอดจนร่วมแชร์เคล็ดลับความงามและไลฟ์สไตล์ เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจ พร้อมสร้างการจดจำแบรนด์วัตสันให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

วัตสัน: แบรนด์ที่เป็นมากกว่าร้านค้าเพื่อสุขภาพ และความงาม แต่คือ “เพื่อนที่เข้าใจ”

วัตสันยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสุขภาพและความงาม ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพียงไม่ได้แค่ขายสินค้า แต่เป็นเพื่อนที่พร้อมดูแลและเข้าใจทุกความต้องการ การเลือก หลิง – ออม มาเป็น Friends of Watsons ก็ยิ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ของเราให้ชัดเจนขึ้น เพราะวัตสันอยากเป็น “เพื่อนที่รู้ใจ ที่อยากมอบแต่สิ่งดีๆและรอยยิ้ม” ให้กับทุกคน ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่ตลอดไป

 

ติดตามไฮไลต์สุดพิเศษของงานได้ทางช่องทางโซเชียลมีเดียของวัตสัน ประเทศไทย ทั้ง Facebook: Watsons Thailand, X: @WatsonsThailand, Line Official @WatsonsTH หรือเว็บไซต์ Watsons.co.th รวมถึงแอป WatsonsTH ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store และ App Store

บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด (Knight Frank Thailand) ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย นำโดย นายณัฎฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยข้อมูลวิจัยแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ 4 เซกเตอร์สำหรับปี 2568 ในงานสัมมนาออนไลน์ Knight Frank Foresight 2025: Collaboration พบว่าคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงาน ยังเผชิญภาวะซัพพลายล้นตลาด กดดันอัตราการขายชะลอตัว ในขณะที่ตลาดเช่าเติบโตขึ้น ผลจากการเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติ (Expat) และการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว ในส่วนภาคโรงแรมได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และภาค อุตสาหกรรม-โลจิสติกส์ ยังเติบโตต่อเนื่องจากการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) และการขยายตัวของเขต EEC

นายสัญชัย คูเอกชัย ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาตลาดอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยข้อมูลวิจัยส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่พักอาศัยว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดราว 9,800 ยูนิต เพิ่มขึ้นกว่า 360% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตาม ยอดขายใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 9.9% ทำให้สัดส่วนยอดขายรวมยังคงอยู่ที่ 35% ต่ำกว่าระดับ 40% ที่ถือเป็นเกณฑ์สุขภาพดีของตลาด โดยอุปทานใหม่นี้กว่า 51% กระจายไปยังพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ และอีก 45% อยู่ในพื้นที่ชานเมืองตามแนวรถไฟฟ้า ส่วนคอนโดฯ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) มีการเปิดตัวลดลงและส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับเกรด A โดยปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยใน CBD อยู่ที่ 236,000 บาทต่อตร.ม. ขณะที่พื้นที่ชานเมืองและรอบนอกกรุงเทพฯ อยู่ที่ 127,000 และ 72,000 บาทต่อตร.ม. ตามลำดับ

สำหรับตลาดคอนโดฯ หรู (Prime และ Super Prime) ซึ่งมีราคามากกว่า 200,000-250,000 บาทต่อตร.ม. อุปทานใหม่ในปี 2567 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยคอนโดฯ ระดับ Super Prime มีอยู่ประมาณ 6,500 ยูนิต ขณะที่ระดับ Prime อยู่ที่ 7,200 ยูนิต ทั้งสองกลุ่มมียอดขายเกิน 80% ทำให้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนโครงการใหม่ในปีนี้ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากอุปทานที่ยังคงสูงและกำลังซื้อลดลง

นายสัญชัยยังชี้ว่า ปัจจัยที่อาจช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ คือการเพิ่มขึ้นของจำนวนชาวต่างชาติ (Expat) ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่ง ณ สิ้นปี 2567 มีอัตราการเติบโต 7.1% โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดมาจากจีน (28%) ฟิลิปปินส์ (25%) และญี่ปุ่น (14%) แนวโน้มนี้อาจส่งผลให้ตลาดเช่าเติบโตขึ้น ซึ่งอาจดึงดูดนักลงทุนให้กลับมาสนใจตลาดคอนโดฯ ในทำเลที่เหมาะสม นอกจากนี้ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอาจช่วยเพิ่มความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวในบางพื้นที่ แต่โดยรวมแล้ว ตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ยังคงต้องจับตาดูแนวโน้มเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อไป

มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่พักอาศัย ให้ข้อมูลเสริมว่าตลาดอสังหาฯ ปี 2568 ยังคงเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ที่ผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ยังคงชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ มีเพียง 2-4 โครงการที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดในปีนี้ บางรายได้เริ่มออกจากตลาดในกรุงเทพฯ และหันไปพัฒนาโครงการที่ภูเก็ตแทน หรือเปลี่ยนทิศทางไปสู่ตลาดบ้านแนวราบ ขณะที่สต็อกคอนโดฯ ที่ยังขายไม่ออกถูกนำกลับมาทำตลาดใหม่ในราคาลดพิเศษ ทำให้ปีนี้ยังคงเป็น “ตลาดของผู้ซื้อ” การเปลี่ยนแปลง ที่เห็นได้ชัดคือความนิยมของโครงการระดับ Luxury และ Ultra Luxury ซึ่งได้รับการตอบรับดีจากกลุ่มผู้มีฐานะสูงและมีราคาต่อตารางเมตรตั้งแต่ 320,000 บาทขึ้นไป และมีความต้องการยูนิตที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าปกติ อีกทั้งโครงการมิกซ์ยูสเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ต้องการลดเวลาเดินทางและใช้ชีวิตในที่เดียว นอกจากนี้ ตลาดบ้านแนวราบยังคงมีศักยภาพ โดยเฉพาะในช่วงราคาตั้งแต่ 10-40 ล้านบาท แม้ว่าการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้กลายเป็น “ตลาดของผู้ซื้อ” เช่นเดียวกับตลาดคอนโดฯ ทำเลศักยภาพของคอนโดฯ ที่ยังได้รับความสนใจ ได้แก่ เพลินจิต ชิดลม ราชดำริ สาทร และริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งยังเป็นพื้นที่ที่มีโครงการระดับสูงเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง

นอกจากแนวโน้มดังกล่าวแล้ว มร.แฟรงค์ ยังกล่าวว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยกำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยกลุ่ม ผู้ซื้อรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากขึ้น ความสะดวกสบายและการเชื่อมต่อกับพื้นที่ทำงานเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย

 

ด้านเซกเตอร์โรงแรม มร.คาร์ลอส มาร์ติเนซ ผู้อำนวยฝ่ายการวิจัยและที่ปรึกษาตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35.5 ล้านคน และคาดว่า ปี 2568 จะเพิ่มเป็น 36-40 ล้านคน ตลาดจีนเริ่มฟื้นตัว แต่ยังอยู่ที่ 71% ของระดับก่อนโควิด คาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจีน 9 ล้านคน ขณะที่อัตราการเข้าพักโรงแรมในกรุงเทพฯ เฉลี่ย 79% และราคาห้องพักเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับภูเก็ต จำนวนนักท่องเที่ยวกลับสู่ระดับก่อนโควิดที่ 5.3 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น ในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากที่พักทางเลือก เช่น Airbnb เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ และโรงแรมราคาประหยัด ซึ่งเพิ่มความท้าทายให้กับโรงแรมแบบดั้งเดิม อีกทั้งภาพลักษณ์ของประเทศอาจได้รับผลกระทบจากข่าวอาชญากรรมและคำเตือนการเดินทางจากบางประเทศ เช่น ไต้หวัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวเอเชีย

 

สำหรับเซกเตอร์อุตสาหกรรม มร.มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ กรรมการบริหารและหัวหน้า Occupier Strategy & Solutions ส่วนงาน Industrial เปิดเผยว่า ภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ของไทยกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ยอดขายที่ดินอุตสาหกรรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 12,340 ไร่ โดยกว่า 64% ของธุรกรรมเกิดขึ้นในเขต EEC นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 40% คิดเป็นมูลค่า 746,000 ล้านบาท และการขยายตัวของโรงงานเพิ่มขึ้น 59% แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน อุตสาหกรรมที่เติบโตสูงในปีนี้ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และศูนย์ข้อมูล (Data Centres) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการค้าระดับโลกยังคงส่งผลกระทบ โดยเฉพาะนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่อาจเพิ่มภาระภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศที่ใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ไทย อุตสาหกรรมที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอาหาร ในขณะที่การค้าในอาเซียนและข้อตกลง RCEP กำลังมีบทบาทมากขึ้น ทำให้ไทยต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์เพื่อรองรับแนวโน้มนี้

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมโลจิสติกส์กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการรองรับแนวโน้มการค้าโลกที่เปลี่ยนไป Knight Frank คาดการณ์ว่า เส้นทางการค้าจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยท่าเรือแหลมฉบังและ EEC Logistics Corridor จะกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับการขนส่งข้ามพรมแดน ขณะเดียวกัน เขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) และเขตการค้าเสรี (FTZs) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนให้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลัก

นายปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่าย Occupier Strategy & Solutions ส่วนงาน Office เปิดเผยว่า ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ปี 2567 ยังคงเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาด โดยมีพื้นที่สำนักงานรวม 6.31 ล้านตร.ม. เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน ขณะที่พื้นที่ถูกเช่ารวมอยู่ที่ 4.86 ล้านตร.ม. เพิ่มขึ้นเพียง 2.2% ส่งผลให้ภาพรวมของตลาดยังคงเป็น “ตลาดของผู้เช่า” (Tenant’s Market) เนื่องจากมีอาคารสำนักงานใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารเกรด A ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) เช่น สีลม สาทร และสุขุมวิท ซึ่งมีค่าเช่าเฉลี่ย 900-1,600 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน ขณะที่พื้นที่นอกเขต CBD เช่น พระราม 9 และบางนา-ตราด มีค่าเช่าเฉลี่ยต่ำกว่า 1,000 บาทต่อตร.ม. แม้ว่าค่าเช่าจะยังคงทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เจ้าของอาคารยังคงเสนอส่วนลดพิเศษระหว่าง 10-25% เพื่อกระตุ้นอุปสงค์

สำหรับแนวโน้มในปี 2568 นายปัญญาคาดว่าอัตราการเช่าโดยรวมจะยังคงลดลง โดยปัจจุบันอัตราการเข้าพื้นที่เช่า (Occupancy Rate) อยู่ที่ 77% ลดลง 1.3% จากปีก่อน และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องไปถึงปี 2570 ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด ได้แก่ แนวโน้ม Flight to Quality” ที่องค์กรต่าง ๆ ย้ายไปอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้น การปรับพื้นที่ทำงานให้เหมาะสม (Space Optimization) และการให้ความสำคัญกับอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Going Green) ทั้งนี้ การฟื้นตัวของตลาดคาดว่าจะเกิดขึ้นหลังปี 2570 เมื่ออุปทานใหม่เริ่มลดลงและตลาดปรับเข้าสู่ภาวะสมดุลระหว่างเจ้าของอาคารและผู้เช่าอีกครั้ง

 

นายณัฎฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวปิดท้าย “ข้อมูลวิจัยของ Knight Frank ชี้ให้เห็นแนวโน้มที่หลากหลายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป แม้ตลาดคอนโดมิเนียมจะยังมีอุปทานล้นตลาด แต่ความต้องการห้องขนาดใหญ่ขึ้นและทำเลที่ดี จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ขณะที่อาคารสำนักงานยังต้องเผชิญอุปทานส่วนเกิน เจ้าของอาคารจำเป็นต้องปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานความยั่งยืนเพื่อรักษาและดึงดูดผู้เช่าใหม่ ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมโรงแรมและภาคการผลิตได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในเขต EEC ซึ่งสะท้อนศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เชื่อว่านี่เป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้พัฒนาโครงการที่สามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับตลาด โดยเน้นนวัตกรรม การพัฒนาโครงการที่ตรงความต้องการ และการบริหารจัดการที่ยั่งยืน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว”

เอสซีจี ร่วมกับ Marasca Samui รีสอร์ทระดับ casual-luxury ตั้งอยู่บนชายหาดเฉวง สร้างบรรทัดฐานใหม่ในการให้กับประสบการณ์พักผ่อนที่หรูหราและใส่ใจความยั่งยืน ด้วยการเป็นโรงแรมแห่งแรกในอาเซียนที่ได้รับ Fitwel Design Certification ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลด้านสุขภาวะอาคารที่ก่อตั้งโดย Center for Active Design และ กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐอเมริกา (HHS) การได้รับการรับรองนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Marasca Samui ในการดำเนินธุรกิจโรงแรมที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ โรงแรมยังอยู่ระหว่างกระบวนการขอรับ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลด้านอาคารเขียว เพื่อยืนยันถึงแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโรงแรม โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนด้านที่ปรึกษาจาก SCG Building and Living Care Consulting

"Marasca Samui ไม่ได้เน้นเพียงประสบการณ์พักผ่อนสุดพิเศษริมชายหาดเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนให้กับแขกผู้เข้าพัก" อเล็กซ์ มากาตอน ผู้จัดการทั่วไปของ Marasca Samui กล่าว "การได้รับการรับรอง Fitwel และการเดินหน้าสู่การ

รับรอง LEED เราต้องการแสดงให้เห็นว่า ความหรูหราและความยั่งยืนสามารถไปด้วยกันได้เราขอเชิญทุกท่านมาร่วมเดินทางไปสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมสุขภาวะที่ดีร่วมกัน"

ด้วยการคำนึงถึงสุขภาวะที่ดีของทุกคนที่เข้ามาในโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นแขกที่มาเข้าพักและพนักงานซึ่งถือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในองค์กร Marasca Samui ได้ดำเนินการตามตามมาตรฐาน FITWEL ประเภท Commercial Site จาก Center for Active Design ในระดับ 1 ดาว โดยคำนึงถึงเรื่องต่างๆได้แก่

Prime Location with Accessibility

ตำแหน่งที่ตั้งที่ใกล้กับแหล่งขนส่งสาธารณะและแวดล้อมไปด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ตลาดชุมชน ร้านสะดวกซื้อต่างๆ สวนสาธารณะสำหรับพักผ่อน หย่อนใจ

Eco-Conscious Design

การออกแบบอาคารเพื่อการสร้างสุขภาวะที่ดีและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐาน LEED เช่น

  • การออกแบบอาคารให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการใช้พลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • ระบบฉนวนกันความร้อนประสิทธิภาพสูง ช่วยรักษาอุณหภูมิภายในให้คงที่และลดการใช้พลังงาน
  • พื้นที่ปลอดบุหรี่ที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพของผู้เข้าพักและพนักงาน
  • ระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูง เพื่อเสริมสร้างคุณภาพอากาศภายในอาคารและลดมลพิษทางอากาศ
  • การบริหารจัดการก่อสร้างตามมาตรฐาน LEED ที่มุ่งเน้นการลดมลพิษ รักษาสภาพดินและจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ
  • มาตรการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดระหว่างการก่อสร้างเพื่อปกป้องทั้งผู้ปฎิบัติงานและสิ่งแวดล้อม

Inclusive and Employee-Friendly Policies

Marasca Samui สนับสนุนพนักงานและชุมชนโดยรอบผ่านโครงการต่างๆ ดังต่อไปนี้:

  • สนับสนุนการจ้างงานในท้องถิ่น: ให้ความสำคัญกับการจ้างงานคนในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน
  • โอกาสในการทำงานอย่างเท่าเทียม: มีนโยบายการรับสมัครงานที่ไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกคน
  • ส่งเสริมคุณภาพชีวิตพนักงาน: ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างอิงจากผลสำรวจความพึงพอใจประจำปี ซึ่งครอบคลุมเรื่องความสะดวกในการเดินทาง ความสบายในการทำงาน โครงการส่งเสริมสุขภาวะ และพื้นที่ทำงานสีเขียว
  • ศิลปะและพื้นที่สีเขียว: สนับสนุนงานศิลปะของช่างฝีมือท้องถิ่น พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวที่ร่มรื่น รวมถึง ‘Homegrown’ สวนสมุนไพรออร์แกนิก ที่เปิดโอกาสให้แขกผู้เข้าพักได้สัมผัสและบริโภคผลิตผลปลอดสารเคมีในทุกๆ วัน

Community Engagement & Cultural Integration

Marasca Samui ภูมิใจในการส่งเสริมกิจกรรมชุมชนเพื่อสุขภาพผ่านโครงการต่างๆ หนึ่งในโครงการที่โดดเด่นคือ “Canteen Project” ที่เปิดโอกาสให้แขกผู้เข้าพักได้ร่วมปรุงและลิ้มลองเมนูไทยดั้งเดิม เช่น ข้าวยำ และ ส้มตำ โดยใช้วัตถุดิบที่สดใหม่และมีคุณค่าทางโภชนาการจากแหล่งผลิตในท้องถิ่น โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้แขกได้เรียนรู้วัฒนธรรมไทยผ่านอาหารแต่ยังส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม โดยแขกจะได้ร่วมมือกับพนักงานในการปรุงอาหาร และนำไปแบ่งปันกับชุมชนในพื้นที่

นอกจากนี้ Marasca Samui ยังผสานงานฝีมือภูมิปัญญาชาวบ้านเข้ากับประสบการณ์การเข้าพัก โดยมีสิ่งทอจากกระจูด จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี เช่น กระเป๋าสานและหมวก ภายในห้องพักเพื่อให้แขกได้สัมผัสเสน่ห์ของหัตถกรรมไทย อีกทั้งแขกผู้เข้าพักยังจะได้รับตะกร้ารวมขนมจากท้องถิ่นให้ได้ลิ้มลองรสชาติอันดั้งเดิมและเป็นการสนับสนุนธุรกิจชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย

Health-Focused Building Operations

ในส่วนของการบริหารจัดการอาคาร ก็มีมาตรการที่คำนึงถึงสุขภาวะที่ดี เช่น

  • การทำความสะอาดและควบคุมศัตรูพืชด้วยวิธีออร์แกนิก เพื่อลดการใช้สารเคมีและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ
  • การเตรียมความพร้อมในกรณีฉุกเฉิน ผ่านการอบรมปฐมพยาบาลและความปลอดภัยจากอัคคีภัย
  • พื้นที่ปลอดภัยและมีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อให้มั่นใจถึงความสะดวกและความปลอดภัยตลอดบริเวณโรงแรม
  • การจัดการของเสียอันตรายอย่างมีความรับผิดชอบ โดยปฏิบัติตามมาตรฐานกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ในฐานะส่วนหนึ่งของ Narai Hospitality Group โรงแรม Marasca Samui มีความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานด้านการบริการที่ยั่งยืนและส่งเสริมสุขภาวะที่ดีในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยผสานความหรูหราเข้ากับแนวคิดความยั่งยืน เพื่อประสบการณ์การพักผ่อนที่เหนือระดับควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมและลดผลกระทบต่อธรรมชาติ

ด้วยความมุ่งมั่นต่อแนวปฏิบัติด้านอาคารเขียว การสร้างสุขภาวะที่ดี และส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับชุมชน, Marasca Samui ต้องการที่จะแบบอย่างของอนาคตแห่งประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบที่ผสมผสานความสะดวกสบายและความยั่งยืนเข้าด้วยกัน

บริษัท เอ็นเฮลท์ โนโวยีน จีโนมิกส์ จำกัด ภายใต้การบริหารงานของ N Health ในเครือ BDMS ผู้ให้บริการตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมที่ครอบคลุมทุกมิติของการดูแลและรักษาสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล ผ่านห้องปฎิบัติการจีโนมิกส์โดยใช้เทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุศาสตร์ขั้นสูงและได้มาตรฐานสากล จับมือศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยบริษัท เท็นกุ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มแปลผลการกลายพันธุ์ของยีนมะเร็ง โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลจากโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย เพื่อพัฒนาระบบวิเคราะห์การกลายพันธุ์ของยีน ที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งโดยใช้เทคโนโลยี AI ซึ่งจะช่วยยกระดับการวินิจฉัยและการรักษาโรคมะเร็งในประเทศไทยให้มีความแม่นยำและเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายมากยิ่งขึ้น

เมื่อเร็วๆ นี้ นายณรงค์ฤทธิ์ กาละพุฒ ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจสนับสนุนโรงพยาบาล บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเฮลท์ โนโวยีน จีโนมิกส์ จำกัด ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วย ดร.ปนัดดา เทพอัคศร ผู้อำนวยการสถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ ดร.คูนิฮิโร นิชิมูระ ประธานกรรมการบริษัท เท็นกุ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เพื่อปรับปรุงต่อยอดแพลตฟอร์มการแปลผลรหัสพันธุกรรมจากเทคโนโลยีขั้นสูง Next Generation Sequencing (NGS) โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง พร้อมทั้งพัฒนาอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย เป็นมิตรต่อทั้งผู้ให้บริการและผู้ป่วย รวมถึงเป็นการส่งเสริมการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) จากการใช้ปัญญาประดิษฐ์และข้อมูลทางพันธุกรรมในการวางแผนการป้องกันและรักษาโรคมะเร็งแบบเฉพาะบุคคล และขยายธุรกิจการให้บริการแปลผลยีนมะเร็งที่มีข้อมูลจำเพาะกับประชากรไทยที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสากล โดยมี มร. โคบายาชิ โยสุเกะ เลขานุการเอก (สาธารณสุขและสวัสดิการ) สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน

โครงการความร่วมมือของทั้ง 4 องค์กรจากภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มแปลผลการกลายพันธุ์ของยีนมะเร็ง โดยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลจากโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทยครั้งนี้ ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ สามารถนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว

 

รองศาสตราจารย์ ดร. คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า “สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันวิจัย เพื่อผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยในระยะยาว อีกทั้งยังเล็งเห็นว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งในระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศไทยด้านการแพทย์จีโนมิกส์ให้มีความก้าวหน้า และมีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลกได้”

ปัจจุบันโรคมะเร็งเป็นปัญหาทางการแพทย์ที่สำคัญ ปัจจัยพันธุกรรมเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของโรคมะเร็ง โดยเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนมะเร็ง ส่งผลกระทบต่อการวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันในสมาชิกครอบครัว การศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของยีนเหล่านี้ จึงมีความสำคัญในการพัฒนาแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย พร้อมทั้งช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต และลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งในอนาคต การพัฒนาแพลตฟอร์มแปลผลการกลายพันธุ์ของยีนมะเร็ง โดยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลจากโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย จะช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าและลดปัญหาทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการวินิจฉัยและการรักษาโรคมะเร็งที่ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดระยะเวลาการวินิจฉัย แต่ยังสามารถวางแผนการรักษาและป้องกันที่ตรงจุด และเฉพาะเจาะจงกับแต่ละบุคคลได้ดียิ่งขึ้น เป็นการยกระดับการวินิจฉัยและการรักษามะเร็งในประเทศไทยไปอีกขั้น

ศาสตราจารย์นายแพทย์ อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช ซึ่งร่วมทำงานในโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย ได้ทำการศึกษาวิจัยข้อมูลพันธุกรรมขนาดใหญ่ของผู้ป่วยมะเร็งชาวไทยกว่า 9 พันราย พบว่าการวิเคราะห์และแปลผลยีนมะเร็งมีความซับซ้อนมาก ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง ทำให้การตรวจยีนมะเร็งทำได้เฉพาะในสถาบันขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย แต่ทำได้ยากในห้องปฏิบัติการทางคลินิกทั่วไป การใช้เทคโนโลยี AI ช่วยในการวิเคราะห์การกลายพันธุ์ของยีนมะเร็งจะช่วยให้ห้องปฏิบัติการทางคลินิกในโรงพยาบาลต่าง ๆ สามารถแปลผลยีนได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้การวินิจฉัยและการรักษามีความแม่นยำมากขึ้น เป็นการพัฒนาไปสู่การรักษามะเร็งที่ตรงจุด และมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับคนไทย”

ดร.ปนัดดา เทพอัคศร ผู้อำนวยการสถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเสริมว่า “สถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมการวิจัยทางการแพทย์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษาและป้องกันโรคต่าง ๆ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยินดีที่จะสนับสนุนการใช้ข้อมูลการตรวจวิเคราะห์และการรักษาโรคมะเร็งที่รวบรวมโดยสถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลจากส่วนกลางศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ และสถานพยาบาลต่าง ๆ ที่เป็นเครือข่ายของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในการวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยี AI ครั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความสามารถทางการแพทย์ของประเทศไทย โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งในประเทศไทยให้เหมาะสมกับลักษณะพันธุกรรมของผู้ป่วยแต่ละราย”

 

การปรับปรุงต่อยอดแพลตฟอร์มแปลผลการกลายพันธุ์ของยีนมะเร็ง โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมจากโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย จะช่วยให้การประมวลผลข้อมูลการกลายพันธุ์ของยีนจำนวนมากที่มีความซับซ้อน เป็นไปอย่างอย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง เนื่องจาก AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อมูลพันธุกรรมของประชากรไทยจากโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย จะช่วยให้ AI เกิดการเรียนรู้จากข้อมูลพันธุกรรมที่เฉพาะเจาะจงกับลักษณะทางพันธุกรรมของคนไทย นำไปสู่การพัฒนาโมเดลการวิเคราะห์ที่มีความแม่นยำสูง ในการคาดการณ์ว่าการกลายพันธุ์ของยีนใดที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งในคนไทย โดยเฉพาะโรคมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุมดลูก และมะเร็งลำไส้ อีกทั้ง AI ยังสามารถแปลผลยีนกลายพันธุ์ที่นำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งได้ตั้งแต่อายุน้อย ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถคัดกรองและตรวจพบโรคมะเร็งในระยะที่ยังไม่มีอาการได้เร็วขึ้น พร้อมทั้งช่วยแนะนำแผนป้องกัน การรักษาที่เหมาะสม และการเลือกใช้ยาได้ตามลักษณะการกลายพันธุ์ของยีน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง และลดผลข้างเคียงที่ไม่จำเป็นจากการใช้ยา

ดร.คูนิฮิโร นิชิมูระ ประธานกรรมการ บริษัท เท็นกุ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชัน ด้านชีวสารสนเทศ (Bioinformatics) ที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศขั้นสูง เผยว่า “เท็นกุ ได้พัฒนา Chrovis ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการแปลผลที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อสนับสนุนแพทย์และผู้ป่วยโรคมะเร็งในญี่ปุ่น ช่วยเหลือด้านการวินิจฉัยและทางเลือกการรักษาในเวชศาสตร์จีโนมมะเร็ง (Cancer Genome Medicine) หลายปีที่ผ่านมา Chrovis ได้สร้างผลงานที่แข็งแกร่งในญี่ปุ่น ปัจจุบันในฐานะส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย เรามีความยินดีที่จะพัฒนา AI ของเราให้เข้ากับท้องถิ่นโดยใช้ข้อมูลจากโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย เพื่อให้บริการผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของไทยได้ดียิ่งขึ้น การร่วมมือกับทั้ง 3 องค์กรในโครงการนี้ เรามุ่งหวังที่จะมีส่วนร่วมในความก้าวหน้าของการแพทย์แม่นยำในประเทศไทย โดยการใช้ประโยชน์จาก Chrovis และผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์จีโนมมะเร็งของบริษัท เท็นกุ”

ด้านนายณรงค์ฤทธิ์ กาละพุฒ ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจสนับสนุนโรงพยาบาล บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเฮลท์ โนโวยีน จีโนมิกส์ จำกัด กล่าวว่า “ในประเทศไทย การตรวจวิเคราะห์ยีนเฉพาะบุคคลกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราต้องค้นหาและนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ในการพัฒนาการวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพและทันเวลา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วย N Health Novogene จึงร่วมมือกับทั้ง 3 องค์กรในการพัฒนาแพลตฟอร์มแปลผลการกลายพันธุ์ของยีนมะเร็ง เพื่อให้ผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการจีโนมิกส์มีความแม่นยำและรวดเร็ว นำไปสู่การวินิจฉัยและการรักษาโรคมะเร็งได้ตรงจุดทันเวลา และเหมาะสมกับผู้ป่วย พร้อมทั้งสามารถขยายธุรกิจการให้บริการวิเคราะห์จีโนมิส์เพิ่มเติมจากการให้บริการห้องปฏิบัติการจีโนมิกส์ต่อไป”

โดย N Health Novogene และศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช พร้อมด้วย สถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ และบริษัท เท็นกุ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแพทย์ของประเทศไทยในการวินิจฉัย และการรักษาโรคมะเร็งให้มีความแม่นยำ รวดเร็ว และเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายมากยิ่งขึ้น นับเป็นการยกระดับการดูแลสุขภาพของประชากรไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต

X

Right Click

No right click