

ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) มอบเงินเพื่อพัฒนาการศึกษา ให้กับวิทยาลัยการอาชีพปัตตานี โดยมีนายเจริญ ไชยสวัสดิ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพปัตตานี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องประชุมเกียรติยศ วิทยาลัยการอาชีพปัตตานี เมื่อเร็วๆนี้
ในโลกที่ซอฟต์พาวเวอร์ หรืออิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ประเทศต่าง ๆ สร้างขึ้นไปทั่วโลก กลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ดังเช่นประเทศเกาหลีใต้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ เปลี่ยนแนวเพลง K-pop ซีรีส์เกาหลีและวัฒนธรรมเกาหลีให้กลายเป็นกระแสระดับโลก แล้วถ้าประเทศไทยเดินตามรอยเกาหลีบ้างล่ะ? เราจะก้าวสู่การเป็นมหาอำนาจซอฟต์พาวเวอร์แห่งเอเชียต่อไปได้หรือไม่?
ในการค้นหาคำตอบนี้ True Blog ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณอารี อารีจิตเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(ร่วม) แห่งทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ ในช่วงที่เธอกำลังเตรียมเปิดตัว “Good Doctor” ซีรีส์ที่หลายคนตั้งตารอ ซึ่งดัดแปลงจากซีรีส์ฮิตของเกาหลีที่ครองอันดับหนึ่งในช่วงเวลาออกอากาศเกือบตลอดทั้งเรื่อง
ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ ภายใต้การนำของอารี ได้ก้าวหน้าไปอย่างมากในวงการบันเทิงไทย เปลี่ยนคอนเทนต์ของไทยให้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรม เรื่องราวของอารีเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่พาประเทศไทยก้าวสู่เวทีวัฒนธรรมระดับโลก
คู่มือซอฟต์พาวเวอร์: ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ กับการปั้นคอนเทนต์ไทยให้มีอิทธิพลระดับโลก
ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ เกิดจากการจับมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างทรูวิชั่นส์ของไทยและ CJ ENM ยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิงระดับโลกของเกาหลีใต้ อารีผู้เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(ร่วม) เล่าถึงจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้ว่ามีเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อนำความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและสื่อจากเกาหลีมาสู่ไทย พร้อมทั้งส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย
CJ ENM เป็นที่รู้จักในด้านความเชี่ยวชาญในการผลิตคอนเทนต์ทั้งแบบมีบทและไม่มีบท ได้นำทักษะที่สำคัญมาให้ นั่นคือ ความรู้ในการผลิต กลยุทธ์การจัดจำหน่าย และระบบการสร้างสรรค์คอนเทนต์ ซึ่งทำให้ซีรีส์เกาหลีประสบความสำเร็จไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม อารีชี้ให้เห็นว่า การเล่าเรื่องแบบไทยต้องการการรสชาติที่แตกต่างออกไป “เราไม่ได้แค่คัดลอกและวางบทจากเกาหลีเท่านั้น” เธอกล่าว “เราปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม โดยนำแรงบันดาลใจจากต้นฉบับ แล้วดัดแปลงให้เข้ากับผู้ชมชาวไทย” ความสมดุลระหว่างความเชี่ยวชาญระดับโลกและความคิดสร้างสรรค์ในแบบไทยเป็นแรงขับเคลื่อนเบื้องหลังความสำเร็จของ ทรู ซีเจ
ในยุคที่วงการบันเทิงทั่วโลกมีการแข่งขันที่สูงขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์กลับมุ่งมั่นที่จะสร้างพื้นที่ให้กับการเล่าเรื่องแบบไทย บริษัทได้ผลิตภาพยนตร์ซีรีส์มาแล้วกว่า 21 เรื่องและวาไรตี้โชว์อีก 16 รายการนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ซึ่งเป็นการผลักดันให้คอนเทนต์ไทยเติบโตทั้งในแพลตฟอร์มในและต่างประเทศ
หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของบริษัท คือ ภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง “Emergency Couple” ซึ่งเป็นการรีเมคซีรีส์เกาหลีชื่อดัง และของไทยได้ขึ้นแท่นเป็นรายการที่มีผู้ชมมากที่สุดจากทุกแพลตฟอร์ม OTT ของไทย ในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2567 ความสำเร็จของ Emergency Couple ไม่เพียงแค่ตอกย้ำตำแหน่งของ ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ ในตลาดในประเทศเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคอนเทนต์ไทยที่สามารถเอาชนะคอนดทนต์ต่างประเทศได้อีกด้วย “Emergency Couple เป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ ติดอันดับรายการที่มีผู้ชมสูงสุดในไทย แม้จะเทียบกับคอนเทนต์จากต่างประเทศ” อารีกล่าว
วิธีการทำคอนเทนต์ของอารี ไม่เพียงแค่สร้างผลงานที่ได้รับความนิยมเท่านั้น แต่ยังให้หมายถึงการสร้างเรื่องราวที่มีความหมายชัดเจน ตั้งแต่ละครไปจนถึงรายการวาไรตี้ อย่าง รายการ “Hidden Gem” ที่เน้นวัฒนธรรมอาหารของไทย ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ มุ่งมั่นที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย ในขณะที่ดึงดูดผู้ชมในวงกว้างขึ้น “เราถ่ายทำทุกอย่างโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน” อารีเน้นย้ำ “ไม่ใช่แค่การผลิตผลงานที่จะโด่งดัง แต่เป็นการเล่าเรื่องที่มีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเน้นความอร่อยของอาหารไทย หรือสะท้อนถึงคุณค่าของครอบครัว”

วิสัยทัศน์เพื่อซอฟต์พาวเวอร์: นำประเทศไทยสู่เวทีโลก
องค์ประกอบสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ คือ TrueID แพลตฟอร์มดิจิทัลที่กลายเป็นกำลังสำคัญในการกระจายคอนเทนต์ไทยสู่ผู้ชมนับล้าน อารียอมรับทันทีถึงบทบาทของแพลตฟอร์มนี้ ที่ช่วยให้บริษัทเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น “TrueID มีความสำคัญมาก” เธอกล่าว “เพราะไม่ได้เป็นแค่แพลตฟอร์มเท่านั้น แต่เป็นพันธมิตรหลักที่ช่วยให้คอนเทนต์ไทยเข้าถึงผู้ชมได้มากที่สุด”
การเข้าถึงผู้ชมนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญต่อความฝันของอารีในการพัฒนาทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ เธอเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าเนื้อหาของไทยสามารถเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ในระดับสากลได้ เช่นเดียวกับที่ซีรีส์เกาหลีและเพลงเคป็อปได้ทำให้กับเกาหลีใต้ “คอนเทนต์ของไทยมีศักยภาพที่จะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป” อารีกล่าวอย่างมั่นใจ “แต่เพื่อจะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ เราต้องปรับมาตรฐานการผลิตและพัฒนาเรื่องราวของเราให้ดียิ่งขึ้น”
ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์กำลังดำเนินการสร้างโครงสร้างพื้นฐานนี้อย่างจริงจัง บริษัทได้ใช้ระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพ โดยมีต้นแบบจากระบบของเกาหลีใต้ ซึ่งเน้นทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์และการจัดการงบประมาณ กำหนดเวลา และการดำเนินงาน อารีได้ทุ่มเทฝึกฝนทีมโปรดิวเซอร์ภายในองค์กรกว่า 10 คน ให้มีทักษะและความรู้ในการผลิตเนื้อหาที่ได้มาตรฐานสากล

สไตล์การเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์
การฝึกฝนและพัฒนาทีมโปรดิวเซอร์เป็นหัวใจสำคัญของการเป็นผู้นำในแบบฉบับของอารี เธอมองตัวเองเป็นเหมือนพี่เลี้ยงที่คอยชี้แนะทีม ไม่เพียงเพื่อให้ประสบความสำเร็จในแต่ละโปรเจกต์เท่านั้น แต่เพื่อให้มีส่วนร่วมในการยกระดับมาตรฐานคอนเทนต์ไทยโดยรวมอีกด้วย วิธีการนี้ได้สร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ เช่น จากอดีตผู้จัดการสโตร์ที่เก็บอุปกรณ์ประกอบฉาก ด้วยระบบนี้ ปัจจุบันได้กลายมาเป็นโปรดิวเซอร์ของผลงานยอดนิยม อย่าง “Emergency Couple”
การเป็นผู้นำของอารีได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ แต่เธอยังคงถ่อมตัวเกี่ยวกับบทบาทของตัวเอง “ฉันมองว่าตัวเองเป็น HR มากกว่า CEO” อารีกล่าว พร้อมย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาทีมและสร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่ทุกคนสามารถเติบโตต่อไปอีกได้
เรื่องราวของเธอนั้นสะท้อนถึงเส้นทางการทำงานที่ไม่ธรรมดาของเธอในเครือเจริญโภคภัณฑ์ มาตลอดสองทศวรรษ เธอเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของรองประธานเครือฯ ทำงานร่วมกับผู้บริหาร ผู้นำระดับสูง ในกลุ่มการตลาด กลุ่มการสร้างความร่วมมือและการพัฒนาทางธุรกิจ
เธอจึงเข้าใจการใช้การตลาด มาเชื่อมโยงกลุ่มธุรกิจเกษตร กลุ่มธุรกิจอาหาร ให้เข้ากับการดำเนินธุรกิจคอนเทนต์และเทคโนโลยี ความสำเร็จในการสร้างพันธมิตรระดับโลก เชื่อมต่อเครือเจริญโถภคภัณฑ์นี้เอง ที่ทำให้เธอได้รับตำแหน่ง CEO ของทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ แม้จะไม่มีประสบการณ์ในด้านการผลิตคอนเทนต์มาก่อนก็ตาม
“การอยู่ในตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตคอนเทนต์ที่ผู้ชายมักเป็นใหญ่ และยังมีความเคยชินกับการทำงานแบบเดิมๆ ถือเป็นความท้าทาย แต่ถ้ามีการเวางแผนเตรียมงานมาอย่างดี และทุ่มเทให้กับงาน เราก็สามารถแสดงคุณค่าของเราให้ประจักษ์ ก็เอาชนะความท้าทายดังกล่าวได้” อารีกล่าว
ทุกวันนี้ วิสัยทัศน์ของเธอก้าวไกลเกินกว่าการพัฒนาทีม “ซอฟต์พาวเวอร์สามารถเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจของประเทศได้” เธอกล่าว พร้อมยกตัวอย่างความสำเร็จของเกาหลีใต้ “และสามารถทำให้คนเชื่อมั่นในแบรนด์ของไทย และให้สิทธิพิเศษกับประเทศไทยในหลายๆ ด้าน”
ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ ภายใต้การนำของอารี กำลังปูทางสู่การปฏิวัติซอฟต์พาวเวอร์ของไทย การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ดึงดูดและเข้าถึงผู้ชมทั่วโลกนั้น เท่ากับบริษัทกำลังช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับประเทศไทย โดยแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันรุ่มรวย ความคิดสร้างสรรค์ และการเล่าเรื่องราวที่โดดเด่น
“โออิชิ กรีนที” ผู้นำตลาดชาพร้อมดื่ม ปลุกกระแสตลาดชาพร้อมดื่มรับซัมเมอร์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “โออิชิ ไอซ์เลมอนที” โฉมใหม่ ลงสนามตลาดชาพร้อมดื่มช่วงหน้าร้อน ดึง “กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์” นั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์ ปลุกกลยุทธ์ 360° Marketing Communication เอาใจสายกิน-สายคนรักชากับความอร่อยเข้มเต็มรสชามะนาวแมตช์ได้กับทุกมื้ออาหาร

คุณสุภรณ์ เด่นไพศาล ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันตลาดชาพร้อมดื่มเมืองไทยมูลค่า 18,585 ล้านบาท มีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 13% (ข้อมูลจาก นีลเส็นไอคิว ระหว่างเดือน มกราคม – ธันวาคม 2567) โดยโออิชิ ไอซ์เลมอนที เติบโตสูง 10% ซึ่งชามะนาวหรือไอซ์เลมอนที ปัจจุบันเป็นตัวเลือกยอดฮิตของคนไทย เพราะช่วยตัดเลี่ยนและเติมเต็มรสชาติของอาหารได้ดี และเรามองเห็นโอกาสจากไลฟ์สไตล์การบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่นิยมดื่มชามะนาวเคียงคู่มื้ออาหาร จึงนำ “โออิชิ ไอซ์เลมอนที” มาพลิกโฉมใหม่ เพื่อขยายโอกาสในการดื่มคู่กับมื้ออาหาร เพิ่มการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค และคาดเพิ่มโอกาสในการขยายฐานผู้บริโภคผ่านช่องทางร้านอาหาร ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพสูง”

สำหรับ “โออิชิ ไอซ์เลมอนที” โฉมใหม่ มาพร้อมจุดขายที่แตกต่าง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “แมตช์สนุกหลุดกรอบความสดชื่น” เป็นการจับเอาอินไซต์ ‘Me moment’ ซึ่งคือไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นการให้เวลากับตัวเองมากขึ้น โฟกัสการเติมเต็มความสุขผ่านโมเมนต์จอย ๆ ส่วนตัว โดยเฉพาะโมเมนต์ ‘Enjoy Eating’ โออิชิ ไอซ์เลมอนที จึงชูจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ผ่านรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์จากชาเข้มสไตล์ญี่ปุ่น ผสานกับความเปรี้ยวสด-ชื่นของเลมอนที่ช่วยตัดเลี่ยน เพื่อให้เป็นตัวเลือกหลักของเครื่องดื่มคู่มื้ออาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมนูของทอดต่าง ๆ โออิชิ ไอซ์เลมอนที จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการกิน และสร้างโมเมนต์สุดพิเศษให้กับตัวเอง โดยวางจำหน่ายในช่องทางร้านอาหารและร้านค้าปลีกทั่วประเทศ ตอบโจทย์ทุกโอกาสการดื่มด้วย 3 ขนาด ตั้งแต่ 350 มล. ราคา 15 บาท ขนาด 500 มล. ราคา 25 บาท และ ขนาด 800 มล. ราคา 30 บาท

นอกจากนี้เพื่อสร้าง Brand Engagement ไปยังกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ยังได้ดึง “กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์” นักแสดงไทยคนแรกที่ได้รับบทแสดงนำในซี่รี่ย์ญี่ปุ่น นั่งแท่นพรีเซนเตอร์ที่จะมาร่วมสร้างกระแสทั้งบนโลก Online และ Offline ผ่านการสื่อสารแบบ 360° Marketing Communication อาทิ สื่อโฆษณานอกบ้าน, สื่อออนไลน์, สื่อโฆษณาเคลื่อนที่, สื่อในร้านค้า, กิจกรรมออนกราวน์ และ การแจกสินค้าทดลอง เป็นต้น และอีกหนึ่งไฮไลต์คือ “โออิชิ ไอซ์เลมอนที แมตช์บ๊อกซ์” (Match Box) กล่องสุดพิเศษที่รวบรวมเมนูอาหารที่เข้าคู่กับโออิชิ ไอซ์เลมอนที ได้อย่างลงตัว พร้อมจัดโปรโมชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ดื่มโออิชิแล้วส่งรหัสใต้ฝาผ่านแอปฯ OISHI Club ลุ้นเข้าร่วมงาน “โออิชิ x กลัฟ เอ็กซ์คลูซีฟ ปาร์ตี้” โดยสามารถส่งรหัสได้ตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. 2568 – 15 พ.ค. 2568 พร้อมติดตามรายละเอียดได้ที่ FB : OISHI Drink Station
ช.การช่าง เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) จำนวน 4 ชุด อายุ 3 ปี 5 ปี 7 ปี และ 10 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยระหว่าง [3.30-4.20]% ต่อปี คาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 18 และ 21-22 เมษายน 2568 โดยมีธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เผยหุ้นกู้ฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A- แนวโน้ม “คงที่” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างและลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ด้วยงานในมือ (Backlog) สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 210,153 ล้านบาท
บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ผู้นำด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในระดับภูมิภาคอย่างมีคุณภาพและครบวงจร รวมถึงมีศักยภาพในการพัฒนา, การลงทุนเชิงกลยุทธ์, และการบริหารโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าโครงการสูงและมีความซับซ้อนในการก่อสร้างได้ทุกรูปแบบ เตรียมออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด เสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ประกอบด้วย
หุ้นกุ้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.30-3.50]% ต่อปี
หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.60-3.80]% ต่อปี
หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.80-4.00]% ต่อปี
หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [4.00-4.20]% ต่อปี
สำหรับหุ้นกู้ชุดที่ 2 – 4 มีเงื่อนไขให้ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ทั้งจำนวนหรือบางส่วนก่อนครบกำหนดไถ่ถอน ตามเงื่อนไขที่ระบุในข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้
โดยกำหนดจ่ายดอกเบี้ยคงที่ทุก 6 เดือน ซึ่งบริษัทฯ จะประกาศผลตอบแทนที่แน่นอนอีกครั้ง ทั้งนี้ คาดว่าจะเสนอขายได้ในระหว่างวันที่ 18 และ 21-22 เมษายน 2568 ผ่านสถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ที่ระดับ “A-” แนวโน้ม “คงที่” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร สะท้อนสถานะของบริษัทฯ ในการเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำในประเทศไทย ที่มีความสามารถในการรับงานโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และโครงการที่มีความซับซ้อน และมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่เกิดจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ รวมถึงโอกาสในการเติบโตจากมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ
ปัจจุบัน บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ (1) ธุรกิจการก่อสร้าง ทั้งระบบขนส่งมวลชน ท่าอากาศยาน ถนน ทางด่วน รถไฟทางคู่ สะพาน ระบบพลังงาน ระบบน้ำและท่าเรือ และ (2) ธุรกิจการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภค ด้วยการเป็นผู้ลงทุนพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคด้านต่างๆ โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการทางพิเศษและระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้า รวมถึงการพัฒนาเชิงพาณิชย์ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบทางพิเศษและรถไฟฟ้าในสัดส่วน 37.18% บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW ผู้ผลิตจำหน่ายน้ำประปาและบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจรในสัดส่วน 19.40% และถือหุ้นในบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ผู้ผู้ประกอบธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าแก่ กฟผ. และ กฟภ. ในสัดส่วน 30.00% (ข้อมูลโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567)
นายณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้ และชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ ซึ่งจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างทางการเงิน รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ให้มากขึ้น โดยบริษัทฯ เชื่อว่า หุ้นกู้ ช.การช่าง จะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“หุ้นกู้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับสถานการณ์การลงทุนโดยรวมที่มีความผันผวน หุ้นกู้ ช.การช่าง ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “A-” ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน ทั้งผู้ที่เคยลงทุนในหุ้นกู้ ช.การช่าง มาแล้ว และผู้ลงทุนรายใหม่ที่เห็นถึงความมั่นคงและโอกาสในการเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งที่ผ่านมา หุ้นกู้ของบริษัทฯ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้น โดยสามารถจ่ายได้ครบถ้วนและตรงตามกำหนดเวลาทุกครั้ง” นายณัฐวุฒิ กล่าว
ทั้งนี้ ความแข็งแกร่งของ ช.การช่าง ยังสะท้อนผ่านผลการดำเนินงาน โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีปริมาณงานในมือที่รอรับรู้รายได้ มูลค่า 210,153 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากสัญญาก่อสร้างในปี 2567 อยู่ที่ 37,458 ล้านบาท คิดเป็น 97% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 973 ล้านบาทจากปีก่อน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 3% ปัจจัยหลักมาจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยรับรู้รายได้ในการก่อสร้างทั้งโครงการที่มีอยู่และโครงการใหม่ รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งเงินลงทุนจากกิจการที่บริษัทฯ เข้าไปลงทุน
ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทฯ มีการลงนามในสัญญาขนาดใหญ่ อาทิเช่น
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับการเซ็นสัญญางานก่อสร้างในปี 2568 ประกอบด้วย โครงการทางด่วนยกระดับชั้นที่ 2 มูลค่าประมาณ 35,000 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ส่วนต่อขยายฝั่งใต้) งานระบบและซ่อมบำรุง มูลค่าประมาณ 27,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าจะได้เซ็นสัญญางานก่อสร้างใหม่อีกอย่างน้อยปีละประมาณ 15,000 ล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากเร่งรัดการประมูลงานและการเซ็นสัญญางานก่อสร้างในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของภาครัฐ เช่น งานก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง งานรถไฟทางคู่ และงานขยายสนามบิน เป็นต้น
และเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ ได้รับการประเมิน ESG Rating ประจำปี 2567 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพิ่มขึ้นจากระดับ A สู่ระดับ AA รวมถึงได้รับคะแนนประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 ดาวหรือ “ดีเลิศ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ในโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2567 โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนภายใต้หลักธรรมาภิบาล

ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ ช.การช่าง สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยติดต่อผ่าน 3 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
ขอย้ำเตือน ผู้ลงทุนโปรดระวังมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อบริษัทฯ หลอกลงทุน นำเสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook และแอปพลิเคชั่น Line เป็นต้น ขอให้นักลงทุนพิจารณาผลตอบแทนที่เป็นไปได้ หรือติดต่อสอบถามผ่านสถาบันการเงินทั้ง 3 รายที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายก่อนตัดสินใจลงทุน
บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SYMC ผู้ให้บริการโครงข่ายใยแก้วนำแสงและบริการโทรคมนาคมชั้นนำของไทย ประกาศผลประกอบการประจำปี 2567 และไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่ง รายได้รวม 2,057 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5.4% จากปีก่อนหน้า โดยในไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 510 ล้านบาท พร้อมกับแผนจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น สะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงินและศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายอเล็กซ์ โลท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SYMC ผู้ให้บริการโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น ได้รายงานผลประกอบการประจำปี 2567 ด้วยรายได้รวม 2,057 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยไม่รวมกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม 63.7 ล้านบาท ในปี 2566 บริษัทยังสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งด้วย EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าจัดจำหน่าย) 750 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 206 ล้านบาท
สำหรับไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 510 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2567 รายได้หลักมาจากบริการโทรคมนาคม ซึ่งคิดเป็น 498 ล้านบาท ในขณะที่ EBITDA ของไตรมาสนี้อยู่ที่ 184 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อนหน้า แม้ผลการดำเนินงานด้านรายได้จะยังคงค่อนข้างมั่นคง แต่บริษัทยังเผชิญกับความท้าทายของต้นทุนการดำเนินงานและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีกำไรสุทธิ 40 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และ 23.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
"ผลประกอบการไตรมาส 4 ของเราปิดท้ายปีแห่งความก้าวหน้าเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง แม้จะเผชิญกับความท้าทายของตลาด เรายังคงรักษาแรงขับเคลื่อนการเติบโตไว้ได้ ในขณะเดียวกันการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ส่งผลให้มีตัวชี้วัดความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งขึ้น"
นายอเล็กซ์ยังกล่าวเสริมว่า บริษัทอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโครงการริเริ่มของรัฐบาลและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ตามข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 มีโครงการศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์จำนวน 47 โครงการ รวมมูลค่า 170,000 ล้านบาท ที่ได้ยื่นขอรับการอนุมัติจาก BOI ในฐานะผู้ให้บริการเครือข่ายใยแก้วนำแสงและบริการโทรคมนาคมชั้นนำ SYMC มีโอกาสที่จะขยายฐานลูกค้าและเพิ่มช่องทางรายได้จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับวงจรเช่าส่วนบุคคลระหว่างประเทศ (IPLC) เกตเวย์อินเทอร์เน็ต (IIG) และบริการเชื่อมต่อในท้องถิ่น
“สำหรับแผนงานในอนาคต เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าตามกลยุทธ์หลักของเราในการขยายพอร์ตโฟลิโอด้านบริการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และรักษามาตรฐานความเป็นเลิศในการดำเนินงาน ด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความเป็นผู้นำในตลาด เราจึงมีรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน”
นายอเล็กซ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.1589 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 33.5% ของกำไรสุทธิประจำปี 2567 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 68.9 ล้านบาท การจ่ายเงินปันผลนี้อยู่ภายใต้การอนุมัติขั้นสุดท้ายจากผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 25 เมษายน 2568
บ้านปู เน็กซ์ ผู้ให้บริการ Net Zero Solutions ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และโซลาร์บีเค (SolarBK) บริษัทชั้นนำด้านพลังงานสะอาดในเวียดนาม จัดตั้งบริษัทร่วมทุนให้บริการระบบโซลาร์สำหรับกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายพอร์ตโฟลิโอพลังงานหมุนเวียนของทั้งสองบริษัทและขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ
บริษัทร่วมทุนระหว่างบ้านปู เน็กซ์ และโซลาร์บีเค จัดตั้งขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ของทั้งสองบริษัทซึ่งมุ่งขยายขอบเขตและรูปแบบการให้บริการโซลูชันพลังงานสะอาดสำหรับธุรกิจและชุมชน โดยในระยะแรกตั้งเป้าที่จะติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปอย่างน้อย 390
เมกะวัตต์ พร้อมนำเสนอโซลูชันพลังงานสะอาดแบบครบวงจรให้ธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานที่สะอาดและชาญฉลาดมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจการผลิตและส่งออก นิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Data Center สอดรับกับเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียนของเวียดนาม* ซึ่งคาดว่าจะผลิตกระแสไฟฟ้าสูงถึง 124.57 พันล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2568 และมีอัตราการเติบโตต่อปีเฉลี่ย 3.35% โดยการขยายตัวอย่างรวดเร็วในภาคส่วนดังกล่าวเกิดจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลและความมุ่งมั่นด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งผลให้ประเทศเวียดนามเป็นตลาดสำคัญและทำให้เกิดความร่วมมือครั้งนี้

นายเจมส์ รามา ปัทมินทรวิภาส ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร - การลงทุนเชิงกลยุทธ์และพันธมิตรทางธุรกิจ บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า “การขยายความร่วมมือระหว่างบ้านปู เน็กซ์ และโซลาร์บีเค บริษัทชั้นนำด้านพลังงานสะอาดของเวียดนามผู้เชี่ยวชาญในบริการระบบโซลาร์แบบครบวงจร ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของบ้านปู เน็กซ์ โดยเร่งสร้างการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอโซลาร์รูฟท็อปในเวียดนาม เราเห็นศักยภาพของตลาดพลังงานหมุนเวียนสำหรับกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม (C&I) ของเวียดนาม และเชื่อว่าการร่วมทุนครั้งนี้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจและระบบนิเวศของเรา พร้อมสนับสนุนประเทศให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero”

นายเหวียน เยือง ต๋วน กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มโซลาร์บีเค กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้สานต่อความร่วมมือกับบ้านปู เน็กซ์ ในการส่งมอบพลังงานสะอาดให้กับหลายอุตสาหกรรม พันธมิตรระยะยาวนี้สะท้อนถึงแนวคิดที่ทั้งสองฝ่ายมีร่วมกันในด้านวิสัยทัศน์ และความเข้าใจในอุตสาหกรรม รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะให้บริการระบบโซลาร์ในเวียดนามด้วยความรับผิดชอบอย่างยั่งยืน เราจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการลงทุนในโครงการต่างๆ ควบคู่ไปกับการวางรากฐานสำหรับการแข่งขันในตลาดพลังงานหมุนเวียน ด้วยวิสัยทัศน์ของเราที่มุ่งเป็นผู้ให้บริการพลังงานสะอาดและระบบสาธารณูปโภค ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์การพัฒนาของโซลาร์บีเค ในช่วงปี 2568-2573 ทำให้เราสามารถนำเสนอโซลูชันพลังงานสะอาดให้แก่ธุรกิจและชุมชนได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น”

บ้านปู เน็กซ์ เห็นศักยภาพและโอกาสในตลาดพลังงานหมุนเวียนของเวียดนาม โดยจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนผ่านการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับโซลาร์บีเคที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญเกือบ 20 ปี ด้านการให้บริการระบบโซลาร์แบบครบวงจรกับหลายธุรกิจชั้นนำ โดยครอบคลุมทั้งการออกแบบ ติดตั้ง บำรุงรักษา ให้คำปรึกษาด้านใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC | Renewable Energy Certificate) และโซลูชันการจัดการระบบพลังงานระยะไกล ซึ่งการร่วมทุนครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบ้านปู เน็กซ์ ที่มุ่งยกระดับความเชี่ยวชาญในบริการ Net Zero Solutions ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเร่งสร้างการเติบโตในธุรกิจพลังงานสะอาดผ่านการลงทุนและความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในต่างประเทศ
นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมเป็นวิทยากรในงาน CNBC Converge Live ซึ่งเป็นเวทีประชุมระดับนานาชาติที่รวบรวมผู้นำธุรกิจ นักลงทุน และนักคิดจากหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มและความท้าทายของธุรกิจในยุคดิจิทัล งานนี้จัดขึ้นโดย CNBC สื่อธุรกิจชั้นนำระดับโลก ณ Jewel Changi Airport ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568
ในโอกาสนี้ นางฐาปณีร่วมเป็นวิทยากรในเวทีเสวนาหัวข้อ “Shaping the Future: The Hallmarks of Next-Generation Leadership” ซึ่งนำเสนอแนวคิดและวิสัยทัศน์ของผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่ที่กำลังกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรม โดยภายในงานฯ ได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงจากหลากหลายองค์กรเข้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์ อาทิ Mr. Kevin Tan ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Alliance Global, Mr. Timothy Cosulich ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Fratelli Cosulich Group และ Mr. Anthony Tan ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Grab ซึ่งล้วนเป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจของเอเชีย

การเสวนาครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของผู้นำยุคใหม่ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากอิทธิพลของเทคโนโลยี AI และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ประเด็นหลักที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาหารือ รวมถึงแนวทางการบริหารองค์กรให้เติบโตในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ กลยุทธ์การสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรและความยั่งยืน ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยง ทั้งยังร่วมกันแบ่งปันบทเรียนจากความล้มเหลวและข้อผิดพลาดที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารและนักธุรกิจรุ่นต่อไป
นางฐาปณี ถือเป็นแบบอย่างของผู้นำหญิงที่มีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจไทยและเอเชีย โดยได้สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะซีอีโอหญิงคนแรกของ BJC ในรอบ 140 ปี และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตลอดจนได้ขยายธุรกิจและพัฒนาเครือข่ายค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน BJC มีธุรกิจที่ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ และร้านค้าปลีก

หนึ่งในโครงการสำคัญที่ นางฐาปณี ผลักดันให้เกิดขึ้น คือ โครงการ “โดนใจ” ซึ่งช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศไทย เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจฐานราก และช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกรายย่อยสามารถแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมบทบาทของสตรีในองค์กร สนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงาน และผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคธุรกิจอีกด้วย
ทั้งนี้ งาน CNBC Converge Live เป็นงานประชุมสุดพิเศษที่จัดขึ้นสำหรับผู้ได้รับเชิญเท่านั้น โดยรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายอุตสาหกรรมมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจและเศรษฐกิจโลก ความรู้และประสบการณ์จากเวทีนี้จะช่วยสร้างแนวทางและแรงบันดาลใจให้กับผู้นำธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการทั่วโลกให้สามารถปรับตัวและเติบโตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
งาน VIV Asia 2025 งานแสดงสินค้าระดับนานาชาติชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตโปรตีนจากสัตว์ กลับมาอีกครั้งในปีนี้ด้วยขนาดที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งสมการรอคอย จัดขึ้นร่วมกับ Meat Pro Asia (มีท โปร เอเชีย) และ Horti Agri Next (HAN) Asia (ฮอร์ติ อะกริ เน็กซ์ เอเชีย) พร้อมเปิดประตูต้อนรับผู้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 มีนาคม โดยงานจะจัดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อรวบรวมผู้นำในอุตสาหกรรม ผู้ผลิต และผู้มีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนทั่วโลกเพื่อร่วมกันกำหนดอนาคตของการผลิตอาหารและธุรกิจเกษตรอย่างยั่งยืนในเอเชีย

ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานเกษตรและอาหารจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ทั้งสามงานแสดงที่จัดร่วมกันนี้มอบประสบการณ์ทางธุรกิจและเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ไปจนถึงการแปรรูปอาหาร งานในปีนี้ครอบคลุมพื้นที่จัดแสดงกว่า 75,000 ตารางเมตร ที่ชาเลนเจอร์ 1–3 และฮอลล์ 5–7 อิมแพค เมืองทองธานี โดยมีผู้แสดงสินค้าชั้นนำกว่า 1,500 รายจาก 46 ประเทศทั่วโลก มากถึง 93% เป็นบริษัทจากต่างประเทศ และเกือบครึ่งหนึ่งเป็นบริษัทจากประเทศในเอเชีย คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 50,000 ราย ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับงาน VIV Asia ในฐานะงานแสดงสินค้าสำหรับอุตสาหกรรมปศุสัตว์ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เทคโนโลยีการเกษตร และการแปรรูปอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย'

พิธีเปิดอย่างเป็นทางการในงาน Grand Networking Reception
งาน Grand Networking Reception จัดขึ้นในคืนแรกของการจัดงาน VIV Asia 2025 โดยได้รับเกียรติจากแขกผู้มีเกียรติชั้นนำในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับเกียรติจาก มร.เยรูณ วาน ฮูฟ (Jeroen Van Hooff) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รอยัลดัตช์ ยาร์เบอรส์ กล่าวว่า “VIV Asia ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานแสดงสินค้า แต่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เอเชียก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ เกษตร และการผลิตอาหารระดับโลก ซึ่งในภูมิภาคนี้มีส่วนแบ่งการผลิตทางการเกษตรกว่า 50% ของทั้งโลก และคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายด้านอาหารจะสูงถึง 8.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปีพ.ศ. 2573 ซึ่งเอเชียกำลังก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้กำหนดอนาคตของการผลิตอาหาร การค้า และการลงทุนระดับโลก”

ในส่วนของผู้ให้การสนับสนุนหลักจาก สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) นำโดย นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนการจัดงาน โดยเน้นย้ำว่า “ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรม 4.0 โดยมีภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก VIV Asia เป็นตัวอย่างของงานที่ช่วยเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางธุรกิจระดับโลก ดึงดูดผู้เข้าร่วมกว่า 50,000 รายต่อปี และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนของประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการจัดงาน TCEB ยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรม MICE ของไทยผ่านการให้บริการระดับโลกและโซลูชันเชิงกลยุทธ์เพื่อให้ทุกงานประสบความสำเร็จ”

ในส่วนของประธานเปิดงานในพิธี ฯพณฯ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เข้าร่วมพิธีเปิดและกล่าวถึงแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยว่า“ด้วยงบลงทุนกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แผนพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารของไทยกำลังผลักดันประเทศให้เป็นศูนย์กลางการแปรรูปอาหารของอาเซียน และเป็นหนึ่งใน 10 ผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลกภายในปีพ.ศ. 2570 งานแสดงสินค้าทั้งสามนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนมูลค่าการค้า การลงทุน และนวัตกรรมอุตสาหกรรมตลอดระยะเวลาสามวันนี้”

ไฮไลต์และโปรแกรมภายในงาน VIV Asia 2025
VIV Asia 2025 จะเน้นไปที่หัวข้อสำคัญ เช่น การจัดการโรค ความปลอดภัยทางชีวภาพ และเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู พร้อมนำเสนอนวัตกรรมล่าสุดใน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สัตว์ปีก สุกร สัตว์น้ำ และโคนม ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาด้านการเพาะพันธุ์ สุขภาพสัตว์ โภชนาการ และเทคโนโลยีฟาร์มอัจฉริยะ เพื่อให้สามารถก้าวทันกับอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจและความบันเทิงที่จัดขึ้นควบคู่กัน อาทิ งานเลี้ยงต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทั้ง 2 วัน พร้อมการแสดงจากศิลปินชื่อดัง พิธีมอบรางวัลนวัตกรรมการแปรรูปอาหารระดับเอเชีย IFFA Awards การแข่งขันนำเสนอไอเดีย NIA Pitching Session (สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ) ซึ่งแสดงนวัตกรรมการเกษตรล่าสุด รวมถึงโซน AgriBITs by VIV Worldwide ที่นำเสนอแนวโน้มเทคโนโลยีเกษตรยุคใหม่ ตลอดจนการเปิดงานงานใหม่ของ VIV Worldwide ในภูมิภาคเอเชีย ในฝั่งการจัดงาน Horti Agri Next Asia หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือ การจัดแสดงเครื่องบินทำฝนหลวง พร้อมผู้เชี่ยวชาญที่จะแสดงเทคโนโลยีล้ำสมัยในการจัดการสภาพอากาศเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืน

งาน VIV Asia, Meat Pro Asia และ Horti Agri Next Asia 2025 พร้อมเปิดให้เข้าชมงานจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2568 ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.vivasia.nl / www.meatpro-asia.com / www.hortiagrinext-asia.com
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับภาครัฐและเอกชน ณ ห้องประชุมบุรฉัตรไชยากร กระทรวงพาณิชย์ ถึงแผนบริหารจัดการผลไม้ปี 2568 ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ให้เตรียมมาตรการรองรับปัญหาผลผลิต พร้อมส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศและขยายตลาดส่งออก

นายพิชัย ระบุว่า ปีนี้เราคาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทุเรียน ลำไย และมะม่วง จึงต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้เกษตรกรขายได้ราคาดีที่สุด โดยกระทรวงพาณิชย์เดินหน้าจัดทำ 7 มาตรการ 25 แผนงาน ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การตลาดในประเทศ การส่งออก ไปจนถึงการแปรรูปและอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยตั้งเป้าหมาย ระบายผลไม้ 950,000 ตัน เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา

สำหรับ 7 มาตรการหลักในการบริหารจัดการผลไม้ปี 2568 ประกอบด้วย
ซึ่งการประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนเข้าร่วม ทั้งผู้แทนเกษตรกร สมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง โลจิสติกส์ และสถาบันการเงิน เพื่อร่วมกันผลักดันมาตรการเชิงรุกก่อนที่ผลผลิตฤดูกาลใหม่จะออกสู่ตลาด
“กระทรวงพาณิชย์ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ และทูตพาณิชย์ เพื่อให้เกษตรกรขายผลไม้ได้ราคาสูงสุด เราต้องใช้ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร” นายพิชัยกล่าว

โดยสำหรับปี 2568 คาดว่า ปริมาณผลผลิตผลไม้ 6.736 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.858 ล้านตัน (+15%) ทุเรียน คาดปริมาณผลผลิต 1.76 ล้านตัน (+37%) มะม่วง 1.3 ล้านตัน (+10%) โดยกระทรวงพาณิชย์จะยังเร่งส่งเสริมการส่งออกผ่าน 8 แผนงาน 32 กิจกรรม โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าการค้าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ผ่านกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ส่งออกไทย 96 บริษัท กับผู้นำเข้า 63 บริษัท จาก 19 ประเทศ คิดเป็นมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท เร่งขยายตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่าน TopThai Store ในกว่า 10 แพลตฟอร์มทั่วเอเชีย และในงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งรัฐบาลพร้อมเดินหน้าผลักดันให้ปี 2568 เป็น ปีทองของเกษตรกรให้ผลไม้ไทยขายได้ราคาดีทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ ปัญหาการตรวจพบสาร BY2 ในทุเรียนส่งออกจีน กระทรวงเกษตรฯ ระบุว่า ได้จัดตั้ง “จันทบุรีโมเดล” เพื่อตรวจสอบคุณภาพทุเรียนตั้งแต่ต้นทาง พร้อมเตรียมหารือกับทูตจีนเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาที่ด่านส่งออก เพื่อให้การส่งออกทุเรียนเป็นไปอย่างราบรื่น