

สุขภัณฑ์ COTTO ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 นำทีมโดย นายธนา รัตนเกษตรสิน นายณัชพล อินทร์กลิ่น นายวิโรจน์ งามภูพันธ์ และนางสาวณัฏฐิกา วงค์จันเสือ บริษัท สยามซานิทารีแวร์อินดัสทรี จำกัด ซึ่งเป็นผลงานประกวดประเภทที่ 2 ผลงานประเภทการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Resource Efficiency) ผลงานที่มีการออกแบบที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและเปลี่ยนจากขยะให้กลายเป็นทรัพยากรทรงพลัง การนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) รวมถึงผลงานออกแบบที่ช่วยในการลดปริมาณขยะ (Reduce Waste) การคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อลดขยะ อันจะเป็นการสร้างหนทางที่จะนำวัสดุเหลือใช้และกลับมาใช้อีกครั้ง เป็นนวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าและการใช้ประโยชน์จากเศษเหลือทิ้ง (Upcycling) เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการคำนวณคาร์บอนฟุตปริ้นท์ (Carbon footprint)

พิธีมอบรางวัล Thailand Green Design Awards 2025 สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดประกวดผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Thailand Green Design Awards 2025 ในงานเกษตรแฟร์ ประจำปี 2568 โดยมุ่งเน้นความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบ เน้นนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับปัญหาขยะที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการออกแบบและพัฒนาผลงานที่ยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตภายใต้สภาวการณ์ปัจจุบัน การส่งเสริมการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพ และการสร้างสังคมที่ยั่งยืนด้วยการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน และปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ และมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งในเรื่องการเผยแพร่เอกลักษณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว (KU Green Campus) ซึ่งแบ่งออกเป็นการมอบรางวัลผลงานประเภทประหยัดพลังงาน (Energy Saving) รางวัลผลงานประเภทการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Resource Efficiency) รางวัลผลงานประเภทที่ช่วยยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิต (Life Enhancement) รางวัล TGDA Student Design Awards 2025 รางวัล ODS (Object of Desire Store) และรางวัลเกียรติยศ Honorary Awards
บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานระดับสากล เผยผลดำเนินงานปี 2567 รักษาผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าทุกแห่งได้อย่างมีเสถียรภาพควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อย CO2 โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าในจีนลดการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าได้ดีกว่าเกณฑ์ ทำให้มีรายได้เพิ่มเติมจากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs) เกือบ 90 ล้านบาท เล็งเตรียมความพร้อมโรงไฟฟ้า Temple I และ Temple II ในสหรัฐฯ รับแรงหนุนจากแนวโน้มราคาซื้อขายไฟล่วงหน้าในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT สูงขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2568 และการคาดการณ์อัตราความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 15-17% ภายในปี 25731 จากการลงทุน Data Centers โดยรัฐเท็กซัสมี
การเติบโตของ Data Centers ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ2

นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “BPP ขับเคลื่อนการเติบโตตามแนวทางการดำเนินธุรกิจ Beyond Quality Megawatts โดยมุ่งมั่นบริหารพอร์ตโฟลิโอให้มีความสมดุลและครอบคลุมมากไปกว่าการขยายกำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อมีความยืดหยุ่นในการหาโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต และสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดยปีที่ผ่านมาธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในรัฐเท็กซัส สหรัฐฯ สามารถเดินเครื่องเพื่อส่งมอบพลังงานได้ต่อเนื่อง แม้จะมีราคาซื้อขายไฟฟ้าเฉลี่ยลดลงจากอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เราเชื่อมั่นว่า ราคาซื้อขายไฟในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นสอดรับกับเทรนด์เทคโนโลยีพลังงานและดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ อีกทั้ง BPP มีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา (Hedging Risk Management) ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน (Financial Derivative) สำหรับโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งนี้ โดยในปี 2568 จะมีกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 40% นอกจากนี้ เรามองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมของธุรกิจในจีนจากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (CEAs) ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน”

“นอกจากนี้ยังเร่งขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) เดินหน้าสร้างห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานที่แข็งแกร่ง โดยเน้นการลงทุนในโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่ (BESS) และการซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) เพื่อสร้าง New S-curve ให้กับบริษัทฯ รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเสริมการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น” นายอิศรา กล่าวเสริม
ผลการดำเนินงานปี 2567 BPP มีรายได้รวม 25,827 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,746 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานปกติ รวม 7,383 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วน
ผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.49 เท่า โดยไฮไลต์สำคัญในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย
“ด้วยพอร์ตธุรกิจที่มีความหลากหลายและกระจายตัวอย่างสมดุลผ่านการดำเนินธุรกิจเชิงรุกใน 8 ประเทศยุทธศาสตร์ทั่วโลก ทำให้ BPP มีความสามารถปรับตัวรับมือกับภาวะวิกฤติต่างๆ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในแต่ละประเทศเพื่อส่งมอบคุณค่าและผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม พร้อมก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้ผลิตพลังงานระดับโลก” นายอิศรา นิโรภาส กล่าวทิ้งท้าย
[1] อ้างอิงจาก ERCOT Platts M2MS Modeled Power Curves, 20 Dec. 2024
[2] อ้างอิงจาก JLL, ERCOT
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ BPP ได้ที่ www.banpupower.com
อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานเสวนา Sustainability of Thailand’s Healthcare System Forum เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากไทยและสิงคโปร์ร่วมวิเคราะห์แนวโน้มเงินเฟ้อทางการแพทย์ การบริหารระบบสุขภาพแบบ Value-Based Care และอนาคตของประกันสังคม เพื่อหาแนวทางให้ระบบสาธารณสุขของไทยสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืนและตอบโจทย์ทุกภาคส่วน
สถานการณ์เงินเฟ้อด้านการแพทย์กำลังเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญต่อระบบสุขภาพไทย เนื่องจากอัตราค่ารักษาพยาบาลที่ปรับตัวสูงขึ้นเร็วกว่าการเติบโตของ GDP และอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งผู้ให้บริการสุขภาพ บริษัทประกันภัย และประชาชนที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น หากไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนและบริหารจัดการทรัพยากรด้านสาธารณสุขอย่างเป็นระบบ ปัญหานี้อาจส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพที่รุนแรงขึ้นและเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ

คุณชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กล่าวว่า “คนไทยทุกช่วงวัยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง แต่ความท้าทายสำคัญที่กำลังเกิดขึ้น คือ ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับเงินเฟ้อด้านการแพทย์ (Medical Inflation) ซึ่งจะส่งผลให้ค่าสินไหมสูงขึ้น จนทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อย หรือ คนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน เข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้ยากขึ้น ดังนั้นเพื่อร่วมกันหาทางออกและนำไปสู่ระบบประกันสุขภาพที่ยั่งยืน จึงได้มีการจัดงานงานเสวนา Sustainability of Thailand’s Healthcare System Forum เพื่อให้วิทยากรจากภาคส่วนต่างๆ ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองความรู้ต่างๆ”

งานเสวนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในแวดวงสุขภาพทั้งจากประเทศไทยและต่างประเทศ นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อด้านการแพทย์ทั้งในระดับโลกและเอเชีย เริ่มจากชาลีน ลี หัวหน้าทีมด้านสุขภาพ เอเชียแปซิฟิค วิลลิส ทาวเวอร์ วัตสัน บริษัทตัวแทนประกันภัยระดับโลกและที่ปรึกษาด้านการจัดการความเสี่ยง ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตอย่างน่าสนใจว่า ปัจจุบันภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเงินเฟ้อทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ที่ 8-15% สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป โดยปัจจัยหลักๆ มาจากการตระหนักเรื่องสุขภาพและความคาดหวังของผู้คน โดยเฉพาะหลังโควิด 19 ผู้คนตื่นตัวกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น บวกกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยของไทย จึงตามมาด้วยการเกิดโรคภัยต่างๆ ส่งผลให้จากจำนวนครั้งการ เคลมและมูลค่าการเคลมเพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับภูมิภาคอื่นๆของโลกที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากการให้บริการที่มากเกินความจำเป็นของโรงพยาบาล ดังนั้น เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับระบบประกันสุขภาพ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงมีการนำแนวทางมีส่วนร่วมจ่าย (Co-payment) มาใช้ ยกตัวอย่างในสิงคโปร์ มีการนำระบบ Co-Payment มาปรับใช้กับทุกคน และมีการใช้ระบบจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ร่วมด้วย ขณะที่มาเลเซีย ซึ่งเริ่มมีปัญหาเบี้ยประกันสุขภาพสูง จนกระทบกับการเข้าถึงระบบประกันของประชาชน จึงมีนโยบายไม่ให้มีการเพิ่มเบี้ยประกันเกิน 10% และในอนาคตอาจจะมีการนำ Co-payment มาใช้ ส่วนประเทศไทย เริ่มมีการนำ Co-payment มาปรับใช้แล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพสังคมและวัฒนธรรมที่ต่างกัน แต่ละประเทศอาจจะมีแนวทางในการปรับใช้ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่า Co-payment จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการแก้ปัญหา Medical Inflation

ด้านคุณณภูมิ สุวรรณภูมิ หัวหน้างานคณิตศาสตร์ประกันภัย สำนักงานประกันสังคม ฉายภาพให้เห็นถึงบทบาทของกองทุนประกันสังคมในการดูแลประชาชน และแนวทางปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นว่า ประกันสังคมเป็น Risk Pooling ขนาดใหญ่ ดูแลผู้ประกันตน 13.7 ล้านคน ด้วยโครงสร้างการบริหารที่รายรับคงที่ เนื่องจากไม่มีการจัดเก็บเงินสมทบเพิ่มในแต่ละปี แต่สิทธิประโยชน์ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ทำให้สำนักงานประกันสังคม ต้องมีกลไกในการควบคุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยปกติสำนักงานประกันสังคมจะมีวิธีการควบคุมรายจ่าย 2 รูปแบบหลัก คือ เหมาจ่าย (Capitation) หรือ จํานวนเงินคงที่จ่ายล่วงหน้าให้กับผู้ให้บริการทางสุขภาพ (สถานพยาบาล) และนอกเหนือเหมาจ่าย (Fee Schedule) ซึ่งเป็น จำนวนเงินที่จ่ายให้กับผู้ให้บริการสำหรับแต่ละบริการ โดยมีการกำหนดอัตราสูงสุด ส่วนใหญ่ 70% ของค่าใช้จ่าย เป็นค่าบริการทางการแพทย์แบบเหมาจ่าย เนื่องจาก เหมาะกับการจ่ายค่ารักษาในโรงทั่วไป เช่น OPD รับยา โรคเรื้อรัง เป็นการป้องกันการให้บริการรักษามากเกินความจำเป็น สามารถควบคุม Medical Inflation เพราะมีการพิจารณาทบทวนปรับค่าบริการทางการแพทย์ผ่านคณะกรรมการการแพทย์ที่มีตัวแทนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงโรงพยาบาลรัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม การใช้กลไกการควบคุมดังกล่าวก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดี คือ คุม Medical Inflationได้ แต่ก็อาจจะทำให้คุณภาพการให้บริการไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับผู้ประกันตนเท่ากับกรณีที่ไม่ควบคุม
ขณะที่ดร.เว่ยหยาง ชอง รองอธิการบดีฝ่ายงานวิจัยเชิงกลยุทธ์ มหาวิทยาลัยการจัดการแห่งประเทศสิงคโปร์ (Singapore Management University) ถ่ายทอดแนวคิดและแนวปฏิบัติที่ช่วยให้ระบบสุขภาพมีความคุ้มค่าและเข้าถึงได้มากขึ้น โดยยกตัวอย่างกรณีศึกษาของประเทศสิงคโปร์เกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบสุขภาพแบบ Value-Based Care ที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพสูง จึงทำให้เกิดการเข้ามามีส่วนร่วมของหลายภาคส่วน นอกจากเรื่องของการนำแนวทางมีส่วนร่วมจ่าย (Co-payment)เข้ามาใช้ การนำระบบ AI และ Robotic มาใช้ในระบบ Healthcare พร้อมทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐ ที่มอบเงินสนับสนุนเพื่อสร้างแรงจูงใจให้โรงพยาบาลหาวิธีในการบริหารจัดการ และส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยด้วยการป้องกันการเกิดโรค เพราะช่วยประหยัดต้นทุน บุคลากรและเวลา หากโรงพยาบาลไหน สามารถบริหารจัดการได้ดี มีเงินเหลือ ก็สามารถเก็บไว้ได้ไม่ต้องคืนรัฐบาล นอกจากนี้ รัฐบาลยังมองไปถึงการเก็บรวบรวมพฤติกรรมและพันธุกรรมของประชาชน เพื่อนำมาวิเคราะห์ เพื่อให้สามารถวินิจฉัยโรค ให้การรักษา และป้องกันการเกิดโรคในประชาชนแต่ละคนได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้นด้วย

สำหรับไฮไลท์ของงานอยู่ที่การเสวนาในหัวข้อ “Building a Sustainable Healthcare System in Thailand” ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงสุขภาพ ประกันภัย และนโยบายสาธารณะ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการทำให้ระบบสาธารณสุขไทยเติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ พล.ต.ท. นพ.ธนา ธุระเจน ประธานกรรมการการแพทย์ กองทุนประกันสังคม นายแพทย์ธรธเนศ อายานะ ที่ปรึกษาคณะแพทย์ที่ปรึกษา สมาคมประกันชีวิตไทย และ มร.โทมัส วิลสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต โดยมี คุณวีณารัตน์ เลาหภคกุล เป็นผู้ดำเนินรายการ

พล.ต.ท. นพ.ธนา ธุระเจน ประธานกรรมการการแพทย์ กองทุนประกันสังคม กล่าวว่า ความยั่งยืนเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้ เพราะถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากป่วย หรือถ้าป่วยก็อยากหายเร็ว ดังนั้นความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ต้องส่งเสริมการป้องกันโรคและบูรณาการการร่วมมือทุกฝ่าย
“สำหรับสำนักงานประกันสังคม เราสร้างความยั่งยืน จากการยึดผู้ประกันเป็นศูนย์กลาง เราไม่กังวลกับ Medical Inflation ที่เพิ่มขึ้น เพราะเรามีกลไกในการควบคุม สามารถนำเงินที่เหลือไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ อาทิ การลงทุนเทคโนโลยี พัฒนาระบบ Audit ที่แข็งแรง สำหรับแนวทางในการสร้างระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืน มองว่า นอกจากบริษัทประกันภัยเอกชนจะมอบแรงจูงใจให้กับคนที่ไม่ป่วย ด้วยการเจาะลึกว่าอินไซต์ที่คนกลุ่มนี้ว่าอยากได้อะไร เพื่อจะได้นำไปสู่การสร้างพฤติกรรมในระยะยาว นอกจากนี้ยังนำเสนอสมการทางคณิตศาสตร์ประกันภัยใหม่ที่ต้องส่งมอบคุณค่าชีวิตที่ยั่งยืนให้ทุกคนในระบบ โดยความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ทุกภาคส่วนต้องเข้ามาพูดคุยและร่วมมือกัน”

ด้านนายแพทย์ธรธเนศ อายานะ ที่ปรึกษาคณะแพทย์ที่ปรึกษา สมาคมประกันชีวิตไทย บอกว่า Medical Inflation กำลังเป็นปัญหาใหญ่ และนำไปสู่การเพิ่มค่าสินไหม ทำให้นอกจากลูกค้ารายใหม่ๆ จะเข้าถึงการประกันสุขภาพได้ยากขึ้น และแม้จะมีการนำระบบ Co-Payment หรือ Deductible มาใช้ ก็อาจจะทำให้ลูกค้าเดิม ก็อาจจะจ่ายไม่ไหว สุดท้ายระบบก็ไม่ยั่งยืน เพราะด้วยคอนเซ็ปต์ของผลิตภัณฑ์ประกันภัยตอนนี้ที่เป็น Free For Service ทำให้ผู้เอาประกันใช้บริการแบบบุฟเฟต์ ทำให้เกิดการให้บริการทางการแพทย์เกินความจำเป็น จากสถิติพบว่า การนอนโรงพยาบาลของลูกค้าที่มีประกันสุขภาพสูงกว่าคนทั่วไปถึง 4-5 เท่า นอกจากนี้ ระบบ Co-Payment ให้ผู้เอาประกันร่วมจ่าย หรือ มีค่า Deductible เป็นเพียงหนึ่งในวิธีที่จะทำให้ผู้เอาประกันคิดเยอะขึ้น เวลาเจ็บป่วยว่ามีความจำเป็นที่ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลหรือไม่ แต่ก็ยังไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนที่สุด เพราะถ้าจะแก้ปัญหาต้องแก้ทั้งระบบ
“นี่ถ้าบริษัทประกันเอกชนอยู่ไม่ได้ โรงพยาบาลเอกชนที่มีอยู่ 200-300 แห่ง ซึ่ง 50% รายได้หลักมาจากบริษัทประกันก็อยู่ยาก รวมถึง คนไทยที่หากบริษัทประกันภัยเอกชนอยู่ไม่ได้ ก็ต้องยอมจ่ายเงินเพื่อรับการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายที่สูงเอง หรือ กลับเข้าไปสู่ระบบการรักษาตามสิทธิพื้นฐานของรัฐ ซึ่งจะกลายเป็นภาระให้กับภาครัฐอยู่ดี”

ปิดท้ายที่ มร.โทมัส วิลสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ให้นิยามของคำว่า ระบบประกันสุขภาพที่ยั่งยืนว่า ต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ อย่างต่อเนื่องไม่ใช่แค่ใน 2-3ปีอันใกล้ แต่ เรากำลังพูดถึงอนาคต 15-20 ปีข้างหน้า แต่ด้วยสถานการณ์ Medical Inflation ที่เป็นอยู่ขนาดนี้ จะทำให้สินไหมของประกันสูง จนคนทั่วไปเข้าถึงได้ยากขึ้น ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาการเข้าสู่สังคมสูงวัยที่จะยิ่งทำให้อัตราการรักษาโรคเพิ่มขึ้น โดยสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ Medical Inflation สูง เพราะการ เคลมที่มากเกินไป จากข้อมูลพบว่า เด็กไทย 0-10 ขวบ มีการอัตราการแอดมิดเข้าโรงพยาบาลที่มีจำนวนมาก และพักรักษารพ.ในจำนวนวันที่มากกว่าประเทศอื่น นอกจากนั้น จากข้อมูล มีการเคลมสูงขึ้นของโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เช่น office syndrome ทั้งที่จริงๆแล้ว การเอาประกันควรสงวนไว้สำหรับโรคสำคัญๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ตอนนี้กลับถูกนำมาใช้ในจุดที่ไม่สำคัญ ซึ่งอาจมีการป้องกันได้ และสมมติว่า หากเราไม่มีการแก้ไขใดๆ ก็จะยิ่งทำให้ระบบสุขภาพในภาพรวมแย่ลง ยกตัวอย่าง ประกันกลุ่มลูกค้าเด็ก อายุต่ำกว่า 10 ปี ในปัจจุบัน ทุกบริษัท มีการเสนอเฉพาะแผนที่มีความรับผิดส่วนแรก Deductible ร่วมด้วย
“ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ภายใน 15 ปี ผมคิดว่า คนทั่วไปจะเข้าถึงประกันสุขภาพของบริษัทเอกชนได้ลดลง และต้องกลับไปพึ่งพาหลักประกันสุขภาพของรัฐหมด ทำให้ภาครัฐก็ต้องมาแบกรับภาระตรงนี้ แต่อย่างน้อยโชคดี ที่เราตื่นตัวกันตั้งแต่วันนี้ และกำลังหาวิธีรับมือ เพื่อนำไปสู่การร่วมมือกันของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า โรงพยาบาล บริษัทประกัน รวมถึงภาครัฐ”

อลิอันซ์ อยุธยา มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน เพื่อให้ระบบสุขภาพของไทยสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน ผ่านการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของเงินเฟ้อทางการแพทย์ และการชี้ให้เห็นถึงแนวทางใหม่ในการบริหารจัดการด้านสุขภาพ เช่น การใช้โมเดล Value-Based Care ซึ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพและคุ้มค่า ตลอดจนการหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน การจัดงานเสวนานี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเข้าใจและสนับสนุนให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบสุขภาพที่แข็งแกร่ง มั่นคง และสามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทรู คอร์ปอเรชั่น ประกาศปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของทีมผู้นำ ร่วมขับเคลื่อนเทคคอมปานีไทยเติบโตแข็งแกร่งเทียบชั้นระดับโลก โดยมีการแต่งตั้งนายซิกเว่ เบรกเก้ เป็น Group CEO ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม ดูแลบริหารงานขับเคลื่อนด้านยุทธศาสตร์ภาพรวมของบริษัท ขณะที่นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ซึ่งดำรงตำแหน่ง CEO คนปัจจุบัน จะรับบทบาทใหม่เป็น President/CEO - Enterprise & Data Business ประธานคณะผู้บริหาร - ด้านธุรกิจข้อมูลและลูกค้าองค์กร ดูแลสายงานหลักในกลุ่มธุรกิจดิจิทัล ออนไลน์ ทรูวิชั่นส์ ดาต้าและธุรกิจองค์กร เพื่อปรับโฉมด้านดิจิทัลของทรูให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต ส่วนนายชารัด เมห์โรทรา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Deputy CEO จะปรับเป็น President/CEO - Consumer Business ประธานคณะผู้บริหาร - ด้านธุรกิจลูกค้าทั่วไป รับผิดชอบกลุ่มธุรกิจโมบายล์ และงานบริการลูกค้า

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะกรรมการ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า "วันนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนทรู คอร์ปอเรชั่น หลังการควบรวมในช่วงสองปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างมาก ภายใต้การบริหารงานของทีมผู้นำที่แข็งแกร่ง จนทำให้ทรูสามารถทรานสฟอร์มองค์กรผ่านไปได้อย่างราบรื่น ปูรากฐานที่มั่นคงพร้อมเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะต่อยอดความแข็งแกร่งยกระดับศักยภาพขึ้นไปอีกขั้น โดยเสริมทัพผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และประสบการณ์ระดับโลก แต่งตั้ง นายซิกเว่ เบรกเก้ เป็น Group CEO เข้ามาขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ภาพรวมขององค์กรสู่การเป็นเทคคอมปานีระดับโลก ขณะที่ นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ซีอีโอคนปัจจุบัน ซึ่งประสบความสำเร็จในภารกิจนำพาทรู คอร์ปอเรชั่น ผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ พลิกฟื้นผลประกอบการทางการเงินของบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ และเป็นผู้ที่มีบทบาทขับเคลื่อนนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาสร้างศักยภาพและความยั่งยืนขององค์กร ได้รับตำแหน่งใหม่เป็น President/CEO - Enterprise & Data Business ประธานคณะผู้บริหาร - ด้านธุรกิจข้อมูลและลูกค้าองค์กร ดูแลสายงานหลักในกลุ่มธุรกิจดิจิทัล ออนไลน์ ทรูวิชั่นส์ และธุรกิจองค์กร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาคส่วนธุรกิจชั้นนำของประเทศที่กำลังขยายตัวเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจยุคดิจิทัล และมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ โดยนายมนัสส์จะนำศักยภาพความสามารถที่โดดเด่นมาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจที่เป็น New S-Curve สร้างโอกาสใหม่ที่จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต

สำหรับนายชารัด ซึ่งได้ทำงานร่วมกับนายมนัสส์อย่างใกล้ชิดตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง President/CEO - Consumer Business ประธานคณะผู้บริหาร - ด้านธุรกิจลูกค้าทั่วไป โดยจะดูแลฐานลูกค้าผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือของทรูที่มีมากกว่า 50 ล้านราย นายชารัดเป็นผู้บริหารระดับสูงในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่มีประสบการณ์ยาวนาน เคยดำรงตำแหน่งผู้นำสำคัญในบริษัทโทรคมนาคมระดับโลกชั้นนำ เช่น อีริคสัน และ เทเลนอร์ กรุ๊ป ในหลายประเทศ ซึ่งความเชี่ยวชาญของนายชารัดด้านกลยุทธ์ธุรกิจโทรศัพท์มือถือ การยกระดับงานบริการลูกค้า และนวัตกรรมการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล จะช่วยเสริมศักยภาพของทรูให้สามารถส่งมอบประสบการณ์การการใช้งานมือถือที่ดีที่สุด ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้จะยกระดับความเข้มแข็งของทีมผู้บริหารให้เป็นระดับเวิลด์คลาส เติมเต็มศักยภาพความเป็นผู้นำเทคคอมปานีมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน”
นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือเจริญโภคภัณฑ์ จะเข้ารับตำแหน่ง Group CEO ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่นด้วย และในโอกาสที่ได้รับการแต่งตั้งครั้งนี้ นายซิกเว่ กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับตำแหน่งประธานคณะผู้บริหารกลุ่มของทรู คอร์ปอเรชั่น และขอขอบคุณคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะกรรมการ และผู้ถือหุ้นหลัก ได้แก่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กลุ่มเทเลนอร์ และไชน่าโมบายล์ที่ไว้วางใจให้ผมเป็นผู้นำทรู คอร์ปอเรชั่นในช่วงเวลาสำคัญนี้ โอกาสของประเทศไทยในยุคดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนนั้นเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของประเทศ จะยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม มุ่งมั่นนำเสนอบริการล้ำสมัยให้กับลูกค้า พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืน ผมตั้งตารอที่จะร่วมทำงานกับทีมเทคโนโลยีโทรคมนาคมชั้นนำของประเทศไทย”
คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคล และภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ได้รับคัดเลือกให้เป็น 100 Most Influential HR Leaders from Southeast Asia Region จากสถาบัน ETHR World Southeast Asia ตอกย้ำการเป็นผู้นำในสายงานด้านบริหารและพัฒนาบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร We Care and Dare for Progress ที่มุ่งเน้นการใส่ใจพนักงานอย่างเข้าใจซึ่งกันและกัน ตลอดจนการสร้างความร่วมมือร่วมใจ และการทำงานร่วมกันอย่างไว้ใจซึ่งกันและกัน เพื่อส่งเสริมแนวคิด Growth Mindset ส่งเสริมและเปิดโฮกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็นและลงมือปฏิบัติจริงอย่างมืออาชีพและสร้างสรรค์ ซึ่งส่งผลอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร โดยคณะกรรมการได้พิจารณาการมอบรางวัลดังกล่าวนี้ การเป็นผู้นำทางความคิด ผ่านการการแสดงความคิดเห็นการร่วมบรรยาย และบทวิจัยต่างๆ ตลอดจนการมีส่วนร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กร ผ่านความคิดริเริ่มด้านงานบริหารทรัพยากรบุคคล เพื่อมอบประสบการณ์การทำงานที่ดีให้กับพนักงานและให้ความสำคัญกับความเป็นเลิศเสมอ
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ (PAT) และโรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จัดงานสัมมนา “CP ALL EDUCATION FORUM 2025: สร้างคนเก่ง คนดี มีความสามารถ ผ่านการศึกษายุค AI” ขนทัพเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและเทคโนโลยี จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อ พร้อมตัวจริงจากหลากหลายวงการ อาทิ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง นวัตกรรุ่นใหม่ ที่จะมาร่วมถ่ายทอดมุมมอง แบ่งปันประสบการณ์ ชวนค้นหาคำตอบการศึกษาไทยในยุคที่ “AI” เปลี่ยนโลกอย่างรวดเร็ว การศึกษาไทยจะก้าวทันและพัฒนาคนให้ เก่ง ดี มีความสามารถได้อย่างไร? ให้พร้อมรับความท้าทายแห่งอนาคต
The Future of Education: สร้างคนเก่ง ดี มีความสามารถ ก้าวทันโลก
มาร่วมเปิดมุมมองนโยบาย “สร้างคนผ่านการศึกษาของซีพี ออลล์” การเตรียมพร้อมทักษะ บทบาทที่สำคัญเพื่อคนรุ่นใหม่ทั้งในโลกของการเรียน การทำงานที่ตอบโจทย์โลกธุรกิจและก้าวทันการเปลี่ยนแปลง

เสวนาพิเศษ “โอกาสและความท้าทายของการศึกษาไทยในยุค AI” พบตัวจริงจากวงการศึกษา
เสวนานี้จะชวนทุกคนสำรวจ “อนาคตของการศึกษาไทย” ภายใต้บริบทโลกใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ตั้งแต่การปรับตัวของผู้เรียน ผู้สอน ไปจนถึงบทบาทของระบบการศึกษาและนโยบายที่จำเป็น พร้อมตั้งคำถามว่า เด็กไทยจะเรียนรู้อย่างไร? สถานศึกษาจะเปลี่ยนแปลงแบบไหน? และเราจะใช้ AI เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยได้อย่างไร?
เสวนาพิเศษ #2 The Changemakers: Social Effects in the AI Era พบกับตัวจริงจากหลาย Gen หลายแวดวง
ร่วมเปิดมุมมองเมื่อเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติของสังคม ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของผู้คนในแง่ของ สุขภาพจิต สังคม การศึกษา และบทบาทของมนุษย์ในโลกอนาคต ช่วงเสวนานี้จะเปิดพื้นที่ให้ผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Changemakers) จากหลากหลายวงการได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมของ AI และแนวทางในการปรับตัวของมนุษย์ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง

ผู้สนใจร่วมงาน “CP ALL EDUCATION FORUM 2025: สร้างคนเก่ง คนดี มีความสามารถ ผ่านการศึกษายุค AI” ในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 08.30 - 12.00 น. ณ CONVENTION HALL 1-6 สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) ถ.แจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี สำรองที่นั่ง (ฟรี!) https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScZJFRPzCwMxR6ybEWfL2VaCCIk_ekyTr5EdBz9QVxmqI4J5g/viewform
สสว. MOU มรภ.ยะลา จัดตั้ง สถาบันยกระดับผู้ประกอบการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีในพื้นที่ให้สามารถแข่งขันทั้งในระดับประเทศและสากล มุ่งเน้นพัฒนา 4 ด้าน คือ 1.พัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ ให้คำแนะนำและสนับสนุนการพัฒนาแบรนด์ 2. เพิ่มโอกาสทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ 3. ให้คำปรึกษาทางธุรกิจและนวัตกรรม พร้อมให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการ การเงิน และกลยุทธ์ขยายธุรกิจ และ 4. สร้างเครือข่ายธุรกิจและการจ้างงานนักศึกษา

นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา กล่าวภายหลังเป็นสักขีพยานพิธีลงนามความร่วมมือ การจัดตั้งสถาบันยกระดับผู้ประกอบการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว. ) และมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา (มรภ.ยะลา) ว่า ความร่วมมือดังกล่าวเป็นการบูรณาการของภาครัฐและสถาบันการศึกษา ซึ่งจะเป็นโมเดลต้นแบบในการขับเคลื่อนและพัฒนาผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจของจังหวัดยะลาและพื้นที่ใกล้เคียง โดยมี สสว.และมรภ.ยะลา เป็นกลไกหลักในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และแหล่งเงินทุน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทน ผอ.สสว. กล่าวว่า สสว. จะทำงานร่วมกับ มรภ. ยะลา อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมสำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ โดย สสว. จะนำมาตรการและโครงการสนับสนุนต่างๆ มาช่วยเสริมศักยภาพของเอสเอ็มอี เช่น โครงการ BDS (Business Development Service) โครงการ Soft Power โครงการขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียว (Green Business) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 1%

นายศิริชัย นามบุรี รักษาการแทนอธิการบดี มรภ.ยะลา กล่าวว่า บทบาทของ มรภ.ยะลาในการลงนามดังกล่าวคือ จะขับเคลื่อนผู้ประกอบการผ่านการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ สนับสนุนการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ การให้คำปรึกษาและอบรมเชิงปฏิบัติการ รวมถึงการสร้างเครือข่ายเพื่อเข้าถึงแหล่งทุน โดยมุ่งหวังให้ผู้ประกอบการในพื้นที่มีความเข้มแข็งขึ้น และนักศึกษาของเราจะได้รับโอกาสฝึกงานและเรียนรู้ทักษะทางธุรกิจที่สำคัญ เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับเศรษฐกิจของชายแดนภาคใต้ในระยะยาว
MEA เดินหน้าปรับโฉมเมืองด้วยโครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน เสริมความมั่นคงด้านระบบไฟฟ้า พร้อมสร้างทัศนียภาพที่งดงามให้กับกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์บานสะพรั่ง เปลี่ยนเมืองให้เป็นมุมถ่ายภาพสุดโรแมนติกที่ใครเห็นก็ต้องหลงรัก !

MEA มุ่งมั่นพัฒนาเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่สวยงาม น่าอยู่ และปลอดภัยสำหรับทุกคน เพราะเราเชื่อว่าเมืองที่ดี คือเมืองที่ทุกคนอยู่แล้วมีความสุข