

น้ำและปุ๋ย ถือเป็นปัจจัยการผลิตพืชที่สำคัญ และยังเป็นต้นทุนการผลิตหลักของเกษตรกร การลดภาระค่าใช้จ่ายไปพร้อมๆกับได้เพิ่มผลผลิตไปในคราวเดียว “ปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” เป็นโครงการที่ตอบโจทย์นี้ และยังเป็นอีกแนวทางการสร้างความมั่นคงของทรัพยากรน้ำ เพื่อรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้งและน้ำท่วม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
โครงการ “ปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” ที่ซีพีเอฟดำเนินการมานานกว่า 20 ปี ช่วยให้เกษตรกรมีผลผลิตพืชไร่และพืชสวนดีขึ้น ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ลดต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่าย จากการลดการใช้ปุ๋ยเคมี โดยซีพีเอฟนำน้ำปุ๋ยจากการบำบัดด้วยระบบ Biogas ในฟาร์มสุกร ซึ่งเป็นน้ำที่ยังมีแร่ธาตุที่เหมาะสมกับพืช เรียกว่า “น้ำปุ๋ย” กลับมาใช้ประโยชน์ในฟาร์ม ทั้งรดต้นไม้ สนามหญ้า และแปลงผักปลอดภัยซึ่งพนักงานปลูกในพื้นที่ว่างของฟาร์มไว้เพื่อบริโภค และด้วยสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกๆปี น้ำปุ๋ยจากฟาร์ม จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกรโดยรอบ

สิงห์คำ อินทะ เกษตรกรรุ่นบุกเบิกที่รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรจอมทอง จ.เชียงใหม่ มาใช้กับไร่ข้าวโพดหวาน มานานกว่า 20 ปี เล่าว่า เริ่มแรกที่ขอใช้น้ำปุ๋ยเพราะต้องการลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี เมื่อใช้น้ำปุ๋ยที่มีแร่ธาตุไนโตรเจนสูงเหมาะกับข้าวโพดหวาน ต้นโตไว ฝักใหญ่ ผลผลิตเพิ่มขึ้น รายได้จึงเพิ่มตาม และยังลดค่าปุ๋ยได้ถึง 50-70% จากนั้นเกษตรกรรอบข้างก็ชวนกันมาใช้น้ำปุ๋ย ปัจจุบันใช้อยู่ 15 ราย ทั้งปลูกข้าวโพดหวานและผักสวนครัวโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ที่ผ่านมาไม่ต้องเสี่ยงกับภัยแล้ง มีน้ำใช้เพียงพอตลอดทั้งปี

ด้าน ณรงค์สิชณ์ สุทธาทิพย์ ผู้ทรงคุณวุฒิสภาเกษตรกร และประธานหมอดินจังหวัดจันทบุรี เล่าว่า รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรจันทบุรี 2 ซึ่งปัจจุบันปรับปรุงเป็นระบบท่อลำเลียงน้ำที่เปิดใช้วันละ 2-4 ราย ให้เกษตรกร 20 ราย บนพื้นที่ 200 กว่าไร่ ใช้ในสวนผลไม้ ทั้งทุเรียน มังคุด ลองกอง เงาะ กล้วย เฉพาะตนเองใช้ในสวนทุเรียน 10 กว่าไร่ ผลผลิตดีขึ้นมาก ติดผลดี คุณภาพผลผลิตดี เพราะน้ำปุ๋ยมีอินทรีย์วัตถุที่ดีแทนปุ๋ยเคมี ช่วยปรับโครงสร้างดิน ปรับปรุงบำรุงดิน ต้นไม้จึงเจริญงอกงาม ลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีไปกว่า 20-30%

จากความสำเร็จของธุรกิจสุกร เป็นแนวทางที่ดีที่ธุรกิจอื่นๆ นำไปใช้เป็นต้นแบบ อาทิ คอมเพล็กซ์ไก่ไข่ของซีพีเอฟ จำนวน 9 แห่ง ที่ส่งต่อน้ำปุ๋ยให้เกษตรกรใกล้เคียง วิโรจน์ ใจด้วง ปลูกหญ้าเนเปียร์ บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ ซึ่งการปลูกหญ้าต้องใช้ปุ๋ยยูเรียจำนวนมาก จึงเริ่มรับน้ำตั้งแต่ปี 2564 จากฟาร์มไก่ไข่สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดยฟาร์มวางระบบท่อยาว 1 กิโลเมตร ส่งมาให้โดยต้องผสมกับน้ำจากคลองชลประทานอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ใช้ตอนหลังเก็บเกี่ยวหญ้าเพื่อปรับสภาพดิน ใช้น้ำ 3-4 เดือนต่อครั้ง หลังใช้พบว่าหญ้าลำต้นอวบใหญ่ใบใหญ่โตเร็ว โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยยูเรียอีกเลย ช่วยลดรายจ่ายไปถึง 4,000 บาทต่อปี และได้ผลผลิตเพิ่มเกือบ 50%

นอกจากนี้ คอมเพล็กซ์ไก่ไข่ยังต่อยอดสู่การทำปุ๋ยกากไบโอแก๊สด้วย ไพบูลย์ ทาพิลา เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยอีกราย ที่เริ่มรับปุ๋ยกากไบโอแก๊สมาใช้กับไร่อ้อย 100 ไร่ เมื่อปี 2564 คาดหวังว่าจะช่วยประหยัดต้นทุน และลดการใช้ปุ๋ยเคมีซ้ำๆที่ทำให้สภาพดินเสียหาย หลังใช้แล้วไม่ผิดหวัง คุณภาพดินดีขึ้น อ้อยงามลำใหญ่ยาว ผลตอบแทนจากการขายอ้อยก็ดีขึ้นด้วย ก่อนนี้เคยใช้ปุ๋ยเคมีมีค่าใช้จ่ายปีละ 3 แสน หลังใช้ปุ๋ยชีวภาพช่วยลดต้นทุนได้ถึง 50-70%

เสียงสะท้อนจากเกษตรกร ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันเพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรน้ำเกิดประโยชน์สูงสุด ที่ไม่เพียงเกิดประโยชน์กับองค์กร แต่ยังมองรวมไปถึงความมั่นคงด้านน้ำตลอดห่วงโซ่คุณค่าอีกด้ว
นายศรชัย สุเนต์ตา (กลาง) ,CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ นำทัพทีมผู้บริหาร SCB WEALTH จัดงานแถลงข่าว SCB WEALTH Holistic Experts ในหัวข้อ Tomorrow’s Wealth: Key Investment Trends Defining 2025 โดยมีนางสาวรัฐยา ทองรัตน์ (ที่ 3 ขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน High Net Worth & Affluent Segment นางสาวศลิษา หาญพาณิช (ที่ 3 ซ้าย) ผู้บริหารสายงาน Wealth and Insurance Capability Development และ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน CASA Product นายสุกิจ อุดมศิริกุล (ที่2ขวา) กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ดร. นิติ เนื่องจำนงค์ (ที่2 ซ้าย )ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ดร. ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ (ที่1ขวา) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) น.ส.เกษรี อายุตตะกะ (ที่1 ซ้าย) CFP® ผู้อำนวยการ Investment Research, SCB Chief Investment Office (SCB CIO ) ร่วมแถลงข่าว พร้อมให้การต้อนรับสื่อมวลชน ณ โรงแรมโซแบงคอก เมื่อเร็วๆนี้
นายศรชัย สุเนต์ตา เปิดเผยว่า การจัดงานแถลงข่าว SCB WEALTH Holistic Experts 2025 ในครั้งนี้ เพื่อต้องการมุ่งเน้นในการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และการลงทุน รวมถึงโอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องจับตามองในปีนี้ พร้อมโซลูชั่นการลงทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ และการลงทุน ที่สามารถให้คำแนะนำครบทุกองค์รวมของ SCB WEALTH Holistic เพื่อให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ SCB WEALTH ยึดมั่นในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) โดยมุ่งให้คำปรึกษาเพื่อคัดสรรผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละรายในทุกช่วง Stage of Life เพื่อสะสมความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง และมีอนาคตทางการเงินที่แข็งแกร่งเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ พร้อมส่งต่อมรดกและความมั่งคั่งให้กับสมาชิกในครอบครัวรุ่นต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดย SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากนโยบาย Trump 2.0 และคาดว่าปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยรวม 50 BPS เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าและการกระตุ้นการลงทุนในประเทศสหรัฐ ด้านเศรษฐกิจไทยคาดว่าปีนี้โต 2.4% รับผลกระทบการกีดกันการค้าจากสหรัฐ เนื่องจากสินค้าส่งออกไทยเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้าและต้องการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานในประเทศทดแทน ส่วน SCB CIO แนะตลาดหุ้นสหรัฐ โดดเด่นสุด ผลตอบแทนมีโอกาสเหนือตลาดหุ้นโลก จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตดี แม้ Valuation แพง แนะลงทุนระยะยาว ในหุ้นกลุ่ม Quality Growth เกาะกระแส AI ด้าน InnovestX แนะลงทุนแบบเก็งกำไร ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,550 จุด จากปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของผลการดำเนินงาน และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
กรุงเทพประกันชีวิตสร้างบรรยากาศแห่งความรักและความใส่ใจภายในองค์กร ด้วยแคมเปญ "ใส่ใจพนักงาน" ต้อนรับวันวาเลนไทน์ ผ่านกิจกรรมสุดพิเศษที่นำทีมผู้บริหารและพนักงานร่วมเดินขบวนแจกโดนัท ส่งต่อรอยยิ้ม ความสุข และพลังบวกให้กับพนักงานทุกคน
นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ที่กรุงเทพประกันชีวิต เราเชื่อว่าความสุขของพนักงานคือหัวใจสำคัญขององค์กร เรามุ่งมั่นให้ทุกวันในที่ทำงานเป็นวันที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยกำลังใจ เราหวังว่ากิจกรรมครั้งนี้จะช่วยเติมรอยยิ้มและทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความใส่ใจที่เรามีให้กัน ไม่ว่าวันไหน ๆ กรุงเทพประกันชีวิตจะคอยดูแล สนับสนุน และเป็นกำลังใจให้เสมอ ไม่ใช่แค่ในวันพิเศษ แต่ในทุกช่วงเวลาของการทำงานร่วมกัน เพราะเราเชื่อว่าเมื่อพนักงานมีความสุข ก็จะสามารถส่งต่อพลังบวกและความใส่ใจไปถึงลูกค้าและคนรอบข้างได้เช่นกัน"
กิจกรรมนี้สะท้อนถึงวัฒนธรรมองค์กรของกรุงเทพประกันชีวิต ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลกันด้วยหัวใจ เพราะเราเชื่อในพลังของความใส่ใจ “การใส่ใจแม้เพียงเล็กน้อย สามารถสร้างพลังใจที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ”
กรุงเทพประกันชีวิต พร้อมอยู่เคียงข้าง ดูแลกันด้วยความใส่ใจ ไม่ใช่แค่ในวันพิเศษ แต่ในทุก ๆ วันของการทำงานร่วมกัน
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ เปิดตัวแคมเปญใหม่ ซึ่งเป็นแคมเปญที่จัดขึ้นร่วมกันในประเทศไทยและประเทศฟิลิปปินส์ โดยแคมเปญดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้ธีม “มาร่วมสร้างและปกป้องความฝันของคุณ” ซึ่งเป็นการนำนวัตกรรมเทคโนโลยี AI มาร่วมสร้างความฝันของตนเอง ผ่าน AXA Bucket List.ai โดยคุณสามารถปกป้องความฝันด้วยแบบประกันโรคร้ายโซชิลด์ แบบประกันโรคร้ายแรง ที่ช่วยคุณวางแผนค่าใช้จ่ายเรื่องค่ารักษาพยาบาลในอนาคตแบบไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา และครอบคลุมถึง 10 โรคร้ายแรง ดูแลกันยาวๆ ถึงอายุ 99 ปี ด้วยวงเงินรักษาสูงสุด 10 ล้านบาท ต่อรอบปีกรมธรรม์ เพื่ออนาคตที่มั่นคง และส่งมอบให้ความฝันของคุณเป็นจริงแบบไร้กังวล โดยแคมเปญโฆษณาดังกล่าว จะเริ่มเผยแพร่ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2568 และท่านสามารถติดตามรับชมสื่อออนไลน์ของแคมเปญนี้ได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น YouTube Meta Line Instagram Twitter LinkedIn และช่องทาง Tik Tok เพียงพิมพ์ Krungthai-AXA Life ทั้งนี้แคมเปญดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายหลักของบริษัทฯ ที่จะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่นดูแลกันตลอดไป
ท่านสามารถร่วมสร้างความฝันตาม Bucket List ของตัวเองผ่าน AXA Bucket List.ai ทางเว็ปไซต์ https://ktaxa.live/mcc_campaign_2025_news และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมแบบประกันโรคร้ายโซชิลด์ ได้ที่ตัวแทนที่ให้บริการท่าน หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1159 หรือ อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด (InnoSpace) เตรียมจัดงาน InnoSpace Summit 2025 เพื่อแถลงผลการดำเนินงานประจำปี 2567 พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีผู้ถือหุ้นใหม่คือ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) ที่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเทคโนโลยีของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และ ได้ลงทุนเพิ่มในสตาร์ทอัพ อีก 3 รายที่มีศักยภาพ ด้วยเงินลงทุนรวมทั้งหมด 22 ล้านบาทในปี 2567 ที่ผ่านมา
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานกรรมการ บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทได้ดำเนินการเพิ่มทุนรอบที่ 4 โดยมี บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) เข้าร่วมลงทุนเพิ่มเติม ด้วยมูลค่าการลงทุนเพิ่มอีก 100 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบัน InnoSpace มีผู้ลงทุนรวมทั้งสิ้น 17 ราย ด้วยจำนวนเงินทุนมากกว่า 800 ล้านบาท โดยที่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดของ InnoSpace มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพ นวัตกรรมและเทคโนโลยีของประเทศไทย พร้อมขับเคลื่อนระบบนิเวศให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้ร่วมลงทุนกับกองทุนอินโนเวชั่น วัน (Innovation One) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ที่เป็นพันธมิตรด้านการลงทุนกับ InnoSpace เพื่อส่งเสริมให้สตาร์ทอัพมีเงินลงทุนเพื่อขยายตลาดและพัฒนาเทคโนโลยีได้อย่างต่อเนื่องเพื่อมุ่งหวังให้ประเทศไทยสามารถมี New S-Curve ได้ในอนาคต
งาน InnoSpace Summit 2025 ถือเป็นเวทีสำคัญที่รวมผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน และผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ มาร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดและโอกาสทางธุรกิจ โดยในงานจะประกอบไปด้วยกิจกรรมสำคัญ อาทิ แถลงผลการดำเนินงานและการลงทุนในปีที่ผ่านมา, พิธีประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนของ NT กับ InnoSpace, บรรยายพิเศษ หัวข้อ "How Thailand can become a leader in Deeptech Ecosystem", เสวนา หัวข้อ "First Step Forward: Working with InnoSpace" เจาะลึกแนวทางเตรียมข้อมูลเพื่อดึงดูดเงินทุนจาก Venture Capital, พิธีประกาศรายชื่อสตาร์ทอัพที่ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการ Venture Spark และกิจกรรม Networking เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เชื่อมโยงเครือข่ายทางธุรกิจ

สำหรับปี 2568 InnoSpace ตั้งเป้าสนับสนุนการลงทุนเพิ่มอีก 50 ล้านบาท ในสตาร์ทอัพที่พัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) โดยมุ่งเน้นไปที่ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.เทคโนโลยี 4.0 และเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน 2.เทคโนโลยีด้านอาหารและเกษตร (Food & AgriTech) 3.เทคโนโลยีด้านการแพทย์ (HealthTech) ซึ่งการสนับสนุนสตาร์ทอัพในกลุ่มนี้จะช่วยผลักดัน New S-Curve ให้กับเศรษฐกิจไทย และในปี 2568 นี้จะขยายความร่วมมือกับ A2D Ventures ผ่านโครงการ Venture Spark Accelerator ซึ่งเป็นโปรแกรมบ่มเพาะที่ช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถปลดล็อกศักยภาพของตนเองและขยายโอกาสให้ธุรกิจสตาร์ทอัพไทยเติบโตในระดับภูมิภาคและระดับโลก
"เรามุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งเพื่อให้สตาร์ทอัพไทยสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้งในประเทศและในตลาดสากล" นายเทวินทร์กล่าว
บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนและผลักดันสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรม 4.0 อาหารสำหรับอนาคต และ เทคโนโลยีด้านการแพทย์ ปัจจุบัน InnoSpace ดำเนินงานมาแล้ว เป็นปีที่ 6 และได้ลงทุนในสตาร์ทอัพไปแล้ว 21 บริษัท ส่วนใหญ่เป็น Deep Tech Startup ระยะเริ่มต้นที่มีศักยภาพในการเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจไทย
ผู้ที่สนใจ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://lu.ma/re2789fo หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.innospacethailand.com หรือเพจเฟซบุ๊ก Innospacethailand: www.facebook.com/innospacethailand
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) โดยนางสาววชิราพร โพธิพงษ์ ผู้จัดการแผนกองค์กรสัมพันธ์และชุมชนสัมพันธ์ เข้ารับพระราชทานโล่ประกาศเกียรติคุณจาก สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ในฐานะองค์กรที่ให้การสนับสนุนการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติ Pure and Applied Chemistry International Conference (PACCON 2025) และกิจกรรม Thailand Younger Chemists Network (TYCN) Chemistry Board Games ซึ่งจัดโดยสมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนและบุคลากรด้านการศึกษาของไทย

นอกจากนี้ ครูที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยมในการประกวด DOW-CST Award ประจำปี 2567 ภายใต้โครงการ ห้องเรียนเคมีดาว ได้แก่ นางรัตนาพรรณ อุตมีมั่ง โรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยาคาร จ.น่าน และนายมุตตาฆีน เจ๊ะและ โรงเรียนเวียงสุวรรณวิทยาคม จ.นราธิวาส ยังได้รับพระราชทานโล่เกียรติยศภายในงาน ณ เขาใหญ่คอนเวนชั่นเซนเตอร์ (KYCC) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

Dow ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์ของเยาวชนไทย ผ่านความร่วมมือกับภาคการศึกษา เพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพและขับเคลื่อนอนาคตของประเทศอย่างยั่งยืน
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (เมย์แบงก์) เปิดตัวแคมเปญพิเศษสำหรับนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากการยุติการให้บริการของโบรกเกอร์ โดยมอบโอกาสให้สามารถโอนย้ายพอร์ตหุ้นมายังเมย์แบงก์ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมรับโปรโมชันพิเศษเทรดหุ้นฟรี ค่าคอม 0% และสิทธิประโยชน์อื่นๆ มากมาย เพื่อให้สามารถลงทุนต่อได้อย่างราบรื่นและมั่นใจโดยมีเมย์แบงก์อยู่เคียงข้าง
นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราตระหนักดีถึงความท้าทายที่นักลงทุนกำลังเผชิญจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดทุนไทย เมย์แบงก์มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรทางการเงินที่นักลงทุนสามารถไว้วางใจด้วยความมั่นคงและความเชี่ยวชาญอันเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้าชาวไทยเป็นเวลากว่า 34 ปี ด้วยแคมเปญโอนย้ายหุ้นฟรีนี้ เราต้องการให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและมั่นใจว่าสามารถบริหารพอร์ตการลงทุนได้อย่างต่อเนื่องพร้อมรับสิทธิประโยชน์มากมายที่ช่วยเสริมศักยภาพในการลงทุน เราเชื่อว่าเมย์แบงก์ไม่ได้เป็นเพียงแพลตฟอร์มซื้อขายหุ้น แต่เป็นพาร์ทเนอร์ทางการเงินที่พร้อมเดินเคียงข้างลูกค้าในทุกจังหวะของการลงทุน”
นักลงทุนที่โอนย้ายหุ้นมายังเมย์แบงก์ สามารถเริ่มต้นการซื้อขายได้ภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากโอนหุ้นสำเร็จ เพื่อให้สามารถบริหารพอร์ตการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง
สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ ที่เปิดบัญชีกับเมย์แบงก์ ตั้งแต่วันนี้ และโอนหุ้นเข้ามาภายในวันที่ 14 มีนาคม 2568 จะได้รับสิทธิพิเศษ* ดังนี้ เทรดหุ้นฟรี ไม่มีค่าคอมมิชชัน จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับ Margin Loan รวมถึงสิทธิ์ในการเข้าถึงหุ้น IPO และ สิทธิประโยชน์พิเศษจากการเป็นสมาชิก TIGER CLUB ทันที ตามมูลค่าหุ้นที่โอนเข้า
แคมเปญนี้สำหรับลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยมีพอร์ตการลงทุนกับ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เท่านั้น การเทรดหุ้นฟรีครอบคลุมหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ DR และ DRx รวมกันสูงสุด 2,000 บาท โดยจะทำการ cash back ภายในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 และลูกค้ายังจะได้รับสิทธิประโยชน์จาก TIGER CLUB ตามมูลค่าหุ้นที่โอนเข้า โดยสามารถใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2568
นักลงทุนที่สนใจโอนย้ายหุ้นมายังเมย์แบงก์สามารถแจ้งความประสงค์หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-17.30 น. โทร. 02-658-5050 หรือแอดไลน์ @maybankfriends
ข้อสงวนสิทธิ์ของแคมเปญ
บริษัทมีสิทธิใช้ดุลพินิจภายใต้เงื่อนไขของแคมเปญนี้โดยให้ถือว่าคำตัดสินของบริษัทเป็นที่สุด
นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี และแพทย์หญิงสุมิตษิ์ตรา ปิยะณัตดิ์พูล รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาบริการทางการแพทย์ รับมอบเงินบริจาคจำนวน 888,888 บาท จากนางสาวอรชลี เกริกฤทธิ์วณิช ผู้บริหารสูงสุดสายงานบริหารช่องทางการขาย “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จากการจัดกิจกรรม “ทุกบาท…ต่อลมหายใจ ทุกการให้…ต่อชีวิต” ภายใต้โครงการ Love & Share รักและแบ่งปัน ปีที่ 13 โดยพนักงานเคทีซี ผู้แนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินเคทีซี (อิสระ) และกลุ่มกัลยาณมิตร ร่วมกันบริจาคเงินสมทบทุนเพื่อก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน พร้อมทั้งจัดซื้ออุปกรณ์ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เสริมสร้างความสามารถด้านการแพทย์ที่มีคุณภาพให้แก่ผู้ป่วยในทุกสถานการณ์ ณ โรงพยาบาลราชวิถี

โครงการ Love & Share “รักและแบ่งปัน” ริเริ่มโดย KTC Outsource Sales Distribution ตั้งแต่ปี 2555 จากความตั้งใจที่ต้องการระดมเงินสมทบทุนช่วยเหลือชีวิตเพื่อนพนักงานในแผนกฯ ที่ประสบอุบัติเหตุ ต่อมาจึงเกิดแนวคิดจะขยายการระดมทุนให้ภาคสังคมเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ผ่านองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน มูลนิธิ จนถึงสถานพยาบาลที่ขาดแคลนงบประมาณในการสร้างอาคารผู้ป่วยและอุปกรณ์การแพทย์ เพื่อร่วมส่งต่อพลังแห่งการให้ ในการต่อลมหายใจแก่ผู้ป่วยหนักที่ยากไร้ สร้างความหวังและการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพแก่สังคม โดยผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคฯ มาจากหลายกลุ่มอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารและพนักงานเคทีซี ผู้แนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินเคทีซี (อิสระ) อีกทั้งกลุ่มบุคคลทั่วไป และกลุ่มบริษัทกัลยาณมิตร ที่ได้ร่วมจิตอาสาช่วยกันระดมเงินบริจาค ให้โครงการ Love & Share อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี