December 06, 2025

LDI Enterprise Thailand (แอลดีไอ เอ็นเตอร์ไพรส์ ไทยแลนด์) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกา CITIZEN (ซิติเซน) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เดินหน้ากลยุทธ์ Seasonal Marketing ปลุกกระแสนาฬิกาคู่รัก พร้อมจัดโปรโมชันพิเศษกระตุ้นกำลังซื้อช่วงเดือนแห่งความรัก

นายกฤศณัฏฐ์ กิจวิทยศักดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอลดีไอ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่ LDI Enterprise Thailand ได้รับสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายสินค้า CITIZEN ในประเทศไทย บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์ Rebranding เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์ โดยใช้ KOL (Key Opinion Leaders) สะท้อนจุดแข็งด้านดีไซน์ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นสไตล์สปอร์ต คลาสสิก หรือหรูหรา ทำให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย รวมถึงการนำเสนอนาฬิการุ่นลิมิเต็ดเอดิชันเพื่อตอบโจทย์นักสะสม ตลอดจนการเป็นสปอนเซอร์ในงานอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ยอดขายในปีที่ผ่านมาสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับปีนี้บริษัทฯ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิงมากขึ้น พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ Seasonal Marketing ผ่านแคมเปญพิเศษ เริ่มต้นที่เทศกาลแห่งความรักด้วยคอนเซปต์ "นาฬิกาคู่รัก" (Couple Style) นำเสนอคู่สีโทนเดียวกัน และจัดโปรโมชันพิเศษ On-Top Discount 5% ระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ เคาน์เตอร์ CITIZEN ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาลนี้

พบกับนาฬิกา CITIZEN ได้ที่แผนกนาฬิกาห้างสรรพสินค้าชั้นนำ, ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย หรือ ออนไลน์ Shopee : https://shopee.co.th/citizen_thailand

และอัปเดตแฟชั่นนาฬิกาจาก CITIZEN ได้ที่ Facebook: CITIZEN Watch TH หรือ คลิก https://www.facebook.com/CitizenWatchesTH

พรูเด็นเชียล ประเทศไทย มอบรางวัลเกียรติยศ “Prudential Hospital Award 2024” แก่สุดยอดโรงพยาบาลพันธมิตร  เพื่อตอกย้ำการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในความเป็นผู้นำด้านการบริการลูกค้าอย่างเป็นเลิศ  พร้อมยืนยันการยกระดับมาตรฐานการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า “นับเป็นครั้งแรกที่พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ได้จัดพิธีมอบรางวัล “Prudential Hospital Award 2024” ซึ่งการมอบรางวัลฯครั้งนี้ เพื่อเป็นการขอบคุณแก่บุคลากรด้านการแพทย์ตลอดจนโรงพยาบาลพันธมิตร ที่มุ่งมั่นดูแลและให้บริการลูกค้าด้วยความเป็นเลิศ ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตอกย้ำความสัมพันธ์อันดีระหว่างพรูเด็นเชียลฯ และ โรงพยาบาลพันธมิตร”

 

สำหรับพิธีมอบรางวัล “Prudential Hospital Award 2024” คือ การมอบรางวัลให้แก่โรงพยาบาลพันธมิตรของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่ให้บริการด้านการรักษาพยาบาลแก่ลูกค้าของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย โดยมีโรงพยาบาลในเครือข่ายทั่วประเทศกว่า 320 แห่ง ที่ตอบรับเข้าร่วมโครงการประกวดการจัดอันดับในช่วงการให้บริการ นับตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม ถึง 30 พฤศจิกายน 2024 ซึ่งการจัดอันดับและให้รางวัลแบ่งออกเป็น 3 ประเภท รวมทั้งสิ้น 9 รางวัล ดังนี้:

1.รางวัลการให้ความร่วมมือเกี่ยวกับการดูแลลูกค้า และตัวแทนยอดเยี่ยม (Best Healthcare Partner Award): 

  • รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง (Gold): โรงพยาบาลพระราม9
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง (Silver): โรงพยาบาลนวมินทร์9
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง (Bronze): โรงพยาบาลจุฬารัตน์3

2.รางวัลการให้ความร่วมมือเกี่ยวกับการให้บริการสินไหมประกันสุขภาพ ระหว่างองค์กรยอดเยี่ยม (Best Quality Management Award):

  • รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง (Gold): โรงพยาบาลพญาไท2
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง (Silver): โรงพยาบาลมหาชัย2
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง (Bronze): โรงพยาบาลธนบุรี

3.รางวัลด้านการให้ประสบการณ์ด้านการบริการทางสุขภาพแก่ลูกค้ายอดเยี่ยม (Best Service Management Award):

  • รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง (Gold): โรงพยาบาลเปาโล รังสิต
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง (Silver): โรงพยาบาลวิภาวดี
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง (Bronze): โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์

“สำหรับ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เรานำแนวคิด ‘ลูกค้าคือเข็มทิศนำทาง’ (Customer is Our Compass) มาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเปิดรับฟังความต้องการของลูกค้าและมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อยกระดับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า ดังนั้นการเสริมสร้างมาตรฐานการให้บริการด้านการรักษา และยกระดับมาตรฐานของโรงพยาบาลพันธมิตรจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดการบริการให้มีบริการที่ดีในระดับสูงเพื่อลูกค้าของเราให้มีประสบการณ์ด้านการบริการทางสุขภาพที่ดี” นายบัณฑิต กล่าวเสริม 

นอกจากนี้ การมอบรางวัลในงาน “Prudential Hospital Award 2024” ยังเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพที่พรูเด็นเชียลฯ ร่วมกับโรงพยาบาลพันธมิตร เพื่อเสริมสร้างมาตรฐานและภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลพันธมิตรให้มีการบริการที่ดีเยี่ยม โดยรางวัลนี้รับรองว่าโรงพยาบาลที่ได้รับรางวัลมีการดูแลลูกค้าและตัวแทนประกันชีวิต รวมถึงการบริการสินไหมประกันสุขภาพระหว่างองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อมอบประสบการณ์ด้านการบริการสุขภาพที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า

กรุงเทพประกันภัยจัดโครงการส่งเสริมความปลอดภัย ให้ความรู้ด้านการปฐมพยาบาล ให้แก่ชุมชนและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อการช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม พร้อมเปิดจำหน่ายบัตรอัตโนมัติ Easy Pass สำหรับผู้ใช้บริการทางพิเศษ ซึ่งขณะนี้บัตร Easy Pass มีเพียงพอกับความต้องการและพร้อมให้บริการแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้บัตร Easy Pass ได้รับความนิยม จนทำให้บัตรไม่เพียงพอ โดยเริ่มเปิดให้สมัครใช้บริการบัตร Easy Pass ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป และหากแบตเตอรี่ของ Easy Pass หมดไม่สามารถใช้งานได้ และมียอดเงินคงค้างในบัตร ผู้ใช้ทางพิเศษสามารถนำ Smart Card และอุปกรณ์ OBU มาเปลี่ยนได้ ณ จุดบริการ และยอดเงินจะถูกโอนไปยังเครื่องใหม่ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางผ่านทางพิเศษ ลดปัญหาการจราจรหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษและส่งเสริมการใช้ระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติให้แพร่หลายมากขึ้น

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครและรับบัตร Easy Pass ได้ที่จุดให้บริการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  1. ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษทุกสายทาง (ยกเว้นทางพิเศษประจิมรัถยา)
  2. ศูนย์บริการลูกค้าบัตรอัตโนมัติ Easy Pass Fast Service บริเวณจุดพักรถ สถานีบริการน้ำมัน ปตท. (บางนาขาออก)
  3. ศูนย์ให้บริการที่เดียวเบ็ดเสร็จ (ONE STOP SERVICE CENTER) ชั้น 1 อาคารศูนย์บริหารทางพิเศษ กทพ.

สำหรับผู้ใช้บริการที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ EXAT Call Center โทร. 1543

การทางพิเศษฯ มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และส่งเสริมการเดินทางที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ผู้ใช้ทางพิเศษสามารถอัปเดต และดาวน์โหลด Application EXAT Portal เวอร์ชั่นใหม่ได้ที่ App Store หรือ Google Play Store และลงทะเบียน EXAT Reward ได้ผ่าน Line@exatsociety หรือ Application EXAT Portal”

ตอกย้ำผู้นำประกันชีวิตที่มุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและส่งเสริมความเท่าเทียม

Coral แพลตฟอร์มพาสปอร์ตของสะสมดิจิทัล (Digital Collectible) จับมือศิลปินผู้ออกแบบฝาท่อ จัดทำโครงการ “ฝาท่อ Chinatown เยาวราช สำรวจเมืองผ่านฝาท่ออัตลักษณ์” ชวนคนไทยมาเที่ยวเยาวราช เพื่อชมงานศิลปะลวดลายฝาท่อ ศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ และร่วมสนุกล่าของสะสมดิจิทัลลายฝาท่อเยาวราช 18 ลาย 18 จุด ตลอดถนนเยาวราช

นายธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์ Senior Venture Director บริษัท กสิกร เอกซ์ จำกัด (KX) เปิดเผยว่า Coral แพลตฟอร์มพาสปอร์ตของสะสมดิจิทัล (Digital Collectible) จาก KX ในเครือกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ได้นำบล็อกเชนและพาสปอร์ตดิจิทัลมาสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ ๆ ผ่านการทำแคมเปญ Consumer Engagement เพื่อสร้างความสนุกและความผูกพันระหว่างเมือง ชุมชน ธุรกิจ และผู้บริโภค ผ่านกลไกเกม (Gamification) โดยที่ผ่านมาได้มีการทำแคมเปญร่วมกับพาร์ทเนอร์หลายเจ้า เช่น ไปรษณีย์ไทย, GMM Music, สโมสรฟุตบอลการท่าเรือ, ร้านอาหาร Fishmonger เป็นต้น

ล่าสุด Coral ร่วมกับศิลปินผู้ออกแบบลายฝาท่อ จัดทำโครงการ “ฝาท่อ Chinatown เยาวราช สำรวจเมืองผ่านฝาท่ออัตลักษณ์” ต่อยอดงานออกแบบฝาท่ออัตลักษณ์บนถนนเยาวราชภายใต้โครงการปรับปรุงผิวจราจรและทางเท้าถนนเยาวราชของกรุงเทพมหานคร โดยสำนักการโยธา ที่จัดทำร่วมกับศิลปินและผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ ด้วยการนำบริการพาสปอร์ตดิจิทัลของ Coral มาเป็นเครื่องมือชวนคนไทยเที่ยวเยาวราช เพื่อชมงานศิลปะที่เป็นลวดลายของฝาท่อทั้ง 18 ฝาตลอดถนนเยาวราช พร้อมศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ โดยผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอป Coral แล้วเดินชมฝาท่อตลอดถนนตามแผนที่ในแอป พร้อมรับของที่ระลึกจากร้านพาร์ทเนอร์

และช่วงงาน Bangkok Design Week 2025 ในระหว่างวันที่ 8 – 23 ก.พ.นี้ Coral ร่วมกับ 8 ศิลปินผู้ออกแบบลายฝาท่อ และเครือข่ายพันธมิตร เช่น LINE MAN เวล ออฟ เทรดดิ้ง เบเยอร์ ไปรษณีย์ไทย ปั้นเมือง Culture Connex ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ อาคารพิชัยญาติ Blanco โรงแรมแกรนด์ไชน่า แบงคอก และโรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ ได้จัดกิจกรรมพิเศษในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเพิ่มความสนุกให้กับผู้ที่มาร่วมตามเก็บลายฝาท่อ เช่น

  • นิทรรศการ “เรื่องเล่าเยาวราชผ่านศิลปะลายฝาท่อ” บอกเล่าความเป็นมาของโครงการสร้างอัตลักษณ์ของเยาวราชและเบื้องหลังการทำงานก่อนจะมาเป็นศิลปะลายฝาท่อ พร้อมกิจกรรมต่อยอดที่นำเทคโนโลยีเข้ามาสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้คนโดย Coral
  • DIY แต้มสีฝาท่อเยาวราช ครั้งแรกกับเวิร์กช็อปหยอดสีฝาท่อจำลองที่ทำจากเหล็กที่ใช้ผลิตฝาท่อจริงสุดลิมิเต็ด ให้ผู้เข้าร่วมได้แต่งแต้มลวดลายฝาท่อตามสไตล์ตัวเอง แถมยังรับกลับบ้านได้ด้วย
  • โปสการ์ดออนไลน์ลายฝาท่อ ส่งต่อประสบการณ์และเรื่องราวของถนนเยาวราชผ่านโปสการ์ดออนไลน์ลายฝาท่อ และเขียนโปสการ์ดพร้อมส่งฟรีกับไปรษณีย์ไทย
  • เดินทัวร์ เล่าความทรงจำผ่านฝาท่อเยาวราช ชมฝาท่อบนถนนเยาวราช พร้อมรับฟังเรื่องราวมรดกวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนตลอดเส้นทางเดิน
  • Moon x Coggles ชวนตามล่าหาฝาท่อ ทักทายคาแรกเตอร์สุดคิ้วต์ น้อง Moon จาก LINE MAN และ Coggles จาก Coral ตามหน้าร้านค้า ร้านอาหาร บนเส้นถนนเยาวราช พร้อมถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียอวดเพื่อน

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งสำคัญของงานไม่ใช่เรื่องของฝาท่อ แต่คือความร่วมมือกันของ 3 องค์ประกอบ หรือ Digital Triple คือ ฝาท่อ (Analog) Coral (Digital) และชุมชน (Story) ที่ต้องเชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อให้เกิดเรื่องราว เรื่องเล่าของเมือง ทำให้เมืองมีเสน่ห์และเห็นถึงจิตวิญญาณ งานที่เยาวราชในครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของกรุงเทพฯ ที่จะขยายผลไปสู่ชุมชนทั่วกรุงเทพฯ และอาจขยายผลไปสู่เมืองทั่วทั้งประเทศในการเล่าเรื่องราวของเมืองผ่านเทคโนโลยี ซึ่ง กทม.พร้อมร่วมมือกับทุกคนที่จะเดินไปด้วยกัน เพื่อประคองให้ทุกชุมชนยืนหยัดด้วยอัตลักษณ์ของตนเอง

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Coral ได้ที่ https://coralworld.page.link/download หรือดูรายละเอียดโครงการ Bangkok Design Week ของ Coral และเครือข่ายพันธมิตรได้ที่  https://www.bangkokdesignweek.com/bkkdw2025/program/123728

รายชื่อศิลปินผู้ออกแบบฝาท่อ

  1. คุณ จุฤทธิ์ กังวานภูมิ
  2. คุณ ดุสิตา วระพงษ์สิทธิกุล
  3. คุณ รัชดาภรณ์ เหมจินดา
  4. คุณ ธนากร ดีอ่วม
  5. คุณ ณัฐพร เวสารัชตระกูล
  6. คุณ ภัทรายุ วัฒนพานิช
  7. คุณ วรภัค ทัศมากร
  8. คุณ แทนใท พรจันทร์ทอง

 

คอนโดใหม่ใกล้รถไฟฟ้าเตาปูนฯ พิเศษเฉพาะจองในงาน New Launch! 15 - 28 ก.พ. นี้เท่านั้น! ราคาเริ่มเพียง 2.29 ลบ. พร้อมอยู่ปลายปีนี้

กระทรวงอุตสาหกรรม  โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ผนึกกำลังเครือข่ายหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 30 หน่วยงาน ประชุมหารือเพื่อผลักดันการสร้างคอมมูนิตี้นิคมอุตสาหกรรม SME เพื่อสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เอื้อต่อการเติบโตของ SMEs และสามารถเชื่อมโยงเป็นซัพพลายเชนกับบริษัทใหญ่

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมต้องการที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ภายใต้นโยบาย "สู้ เซฟ สร้าง ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม SMEs ถือเป็นภารกิจสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการเติมเต็มและขยายโอกาสให้ SMEs เป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชนของธุรกิจขนาดใหญ่หรือบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทำให้เกิดการสร้างรายได้ สร้างโอกาสในการแข่งขัน และกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ ซึ่งตั้งเป้าผลักดัน GDP ประเทศให้เติบโตเพิ่มอีก 1% โดยไม่ต้องใช้งบประมาณรัฐ และจะทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากบริษัทขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุน ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการไทย นอกจากนี้ จะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยในมิติต่าง ๆ รวมถึงการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสะอาดและการจัดการของเสียอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมตอบรับนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยได้วางแผนการดำเนินงานคอมมูนิตี้นิคมอุตสาหกรรม SMEs เพื่อวางระบบสนับสนุนครบวงจร ทั้งด้านบุคลากร เทคโนโลยี การเงิน และการตลาด รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานหรือปัจจัยเอื้อที่จำเป็นต่อการประกอบกิจการ โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จะได้เข้ามามีบทบาทในด้านการส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการอุตสาหกรรม อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การส่งเสริมการพัฒนาทักษะบุคลากรอุตสาหกรรม การสนับสนุนผู้ประกอบการในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ และการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนสร้างระบบอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สะท้อนจากเสียงของผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม มีภารกิจหลักในการส่งเสริม สนับสนุน ผู้ประกอบการทุกระดับ ให้มีขีดความสามารถที่สูงขึ้น และแข่งขันได้ในตลาดโลก รวมทั้งมีบทบาทสำคัญด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่จำเป็นของประเทศ จึงมีแนวคิดในการสร้าง “ดีพร้อมคอมมูนิตี้” (DIPROM Community) ซึ่งเป็นการนำวิสาหกิจไทยเข้ามาสู่ระบบบริหารจัดการของดีพร้อม โดยการส่งเสริมและสนับสนุนด้วย 6 กลไกที่สำคัญ คือ 1) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก 2) เทคโนโลยี ดิจิทัล นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ 3) การเข้าถึงแหล่งเงินทุน 4) การเชื่อมสิทธิประโยชน์ 5) การเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตร และ 6) การผลักดันธุรกิจสู่สากล เพื่อให้วิสาหกิจไทยสามารถ “สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างเครือข่าย” เพิ่มศักยภาพวิสาหกิจไทยให้สามารถยกระดับธุรกิจให้เติบโต และแข่งขันได้อย่างมั่นคงในอนาคต รวมไปถึงเกิดเป็นซัพพลายเชนภายในดีพร้อมคอมมูนิตี้และสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันในรูปแบบธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถดูแลธุรกิจขนาดเล็กได้ (Big Brother) เป็นฮีโร่ที่ดีพร้อม เพื่อให้วิสาหกิจไทยเดินหน้าไปด้วยกัน ซึ่งสอดรับกับนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และในส่วนของการขับเคลื่อนนิคมฯ SMEs ดีพร้อม ได้ทำหน้าที่เป็นแม่สื่อในการหารือกับเครือข่ายหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 30 หน่วยงาน ถึงแนวทางการเชื่อมโยงผู้ประกอบการ SMEs เป็นซัพพลายเชนในนิคมฯ SMEs ร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งจะสอดรับการดึงดูดการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่และจะได้ดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการในมิติต่าง ๆ ตามข้อเสนอแนะที่ได้รับจากหน่วยงานพันธมิตร เพื่อช่วยเหลือให้วิสาหกิจไทยอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับการปรับตัวพร้อมยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว

เจแอลแอล (NYSE: JLL) ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก รายงานว่าตลาดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีนิคมอุตสาหกรรม โรงแรม และดาต้าเซ็นเตอร์เป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโต ความสนใจจากนักลงทุนที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้เจแอลแอลคาดการณ์ว่าแนวโน้มดังกล่าวจะดำเนินต่อไปในปี 2568 ซึ่งจะเปิดโอกาสสำคัญให้กับหลายภาคธุรกิจ

2567: ปีแห่งการเติบโตของการลงทุนเชิงกลยุทธ์

ตลาดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยสินทรัพย์บางประเภทได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นพิเศษ ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการลงทุนคือการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรม ดาต้าเซ็นเตอร์ และนิคมอุตสาหกรรมมีการลงทุนที่คึกคักมากขึ้น

นายกฤช ปิ่มหทัยวุฒิ หัวหน้าแผนกตลาดทุนประจำประเทศไทย บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวว่า "ตลาดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่งในภาคธุรกิจหลัก โดยเจแอลแอลให้คำปรึกษาด้านการลงทุนรวมมูลค่า 38,000 ล้านบาท ครอบคลุมสินทรัพย์และรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย ไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ ดีลเช่าระยะยาวที่ดินแปลงใหญ่ในย่านราชดำริ ดีลซื้อที่ดินของผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกในนิคมอุตสาหกรรม ดีลการซื้อที่ดินย่านบางนาเพื่อพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ และดีลเช่าที่ดินระยะยาวเพื่อพัฒนาโรงแรมในทำเลศักยภาพบนถนนสุขุมวิท ดีลเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนระดับภูมิภาค"

ตลาดการลงทุนโรงแรมในปี 2567 มีความคึกคักอย่างมาก โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 22,000 ล้านบาท จาก 15 ดีล ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยการซื้อขายในแต่ละปีตั้งแต่ปี 2553 ถึง 10,000 ล้านบาท โดยกรุงเทพฯ ครองตำแหน่งผู้นำตลาด ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายคิดเป็นเกือบ 50% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ตามมาด้วยภูเก็ตและเชียงใหม่ โดย นางสาวพิมพ์พะงา ยมจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการลงทุนด้านโรงแรม บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ จํากัด (JLL) กล่าวว่า "ปี 2567 ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดโรงแรม ด้วยดีลสำคัญอย่างการซื้อขายโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท ซึ่งถือเป็นดีลซื้อขายสินทรัพย์เดี่ยว (Single-Asset) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติการณ์"

แนวโน้มปี 2568: ปีแห่งโอกาสการลงทุน

เจแอลแอลคาดการณ์ว่าตลาดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมี 4 กลุ่มสินทรัพย์หลักเป็นตัวขับเคลื่อน ได้แก่ โลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงแรม และที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี โดย นายกฤช ปิ่มหทัยวุฒิ ให้ความเห็นว่า

"ด้วยสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน เราพบว่า นักลงทุนและผู้ผลิตจากต่างประเทศให้ความสนใจลงทุน ในประเทศไทยมากขึ้น โดย BOI มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดกลุ่มนักลงทุนเหล่านี้ผ่านมาตรการจูงใจ ทั้งในรูปแบบสิทธิ ประโยชน์ทางภาษีและมาตรการส่งเสริมอื่น ๆ นอกจากนี้ ความต้องการดิจิทัลสเปซที่เพิ่มขึ้น ทำให้ดาต้าเซ็นเตอร์เติบโต อย่างรวดเร็ว โดยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมนี้ มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับความต้องการอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป ขณะเดียวกัน ตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรียังคงได้รับความสนใจ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับอัลตราลักชัวรีในทำเลศูนย์กลางธุรกิจ ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อระดับไฮเอนด์ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง หากได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ปีนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับทั้งนักลงทุนและเจ้าของสินทรัพย์ โดยกุญแจสู่ความสำเร็จคือการเข้าใจภาพรวมตลาด การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และการกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสินทรัพย์แต่ละประเภท ทั้งนี้ เจแอลแอล มุ่งเน้นการใช้ข้อมูลเชิงลึก การวิจัยตลาด และองค์ความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้าของเรา"

สำหรับธุรกิจโรงแรมในปี 2568 ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย นางสาวพิมพ์พะงา กล่าวว่า "ตลาดการลงทุนโรงแรมยังคงมีความหลากหลาย ทั้งดีลประเภท Core/Core-Plus และ Value-Add/Opportunistic โดยในปี 2568 ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากผู้ขายสามารถใช้ประโยชน์จากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ โรงแรม รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างคงที่ ทำให้เราคาดการณ์ว่ามูลค่าการทำธุรกรรมจะสูงกว่า 13,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศตั้งแต่ปี 2553 ประมาณ 12%"

นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม เน้นย้ำถึงความน่าสนใจในระดับภูมิภาคว่า  "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับความสนใจอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลง ในภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยประเทศไทยเป็นผู้นำในกระแสนี้และได้รับประโยชน์จากแนวโน้มดังกล่าว เราเห็นความสนใจ จากนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ และโรงแรม รวมถึงผู้ผลิตที่ต้องการขยาย การลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย โอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เป็นปัจจัยหลัก ที่ขับเคลื่อนการเติบโต พร้อมกับปัจจัยสนับสนุนในภาพรวมที่ช่วยสนับสนุนกลุ่มโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ และอุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยว" แนวโน้มนี้สอดคล้องกับความพยายามของรัฐบาลในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจ รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์และการผ่อนปรน กฎระเบียบเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น

“การขยายตัวของโครงการที่เน้นความยั่งยืนและอาคารเขียวทั่วทั้งภูมิภาคนี้ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืนและมีวิสัยทัศน์ในตลาดที่กำลังเติบโต การพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศอย่างมาเลเซีย ไทย และเวียดนาม เป็นแนวโน้มที่น่าสนใจและดึงดูดนักลงทุนในด้านเทคโนโลยี พร้อมเปิดโอกาสในการเติบโตระยะยาว นอกจากนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็วในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ยังนำมาซึ่งโอกาสใหม่ ๆ ในธุรกิจเทคโนโยลีสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) และอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซ การพัฒนาเหล่านี้กำลังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาค พร้อมเปิดโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย”

ประเทศไทยกับบทบาทศูนย์กลางการลงทุนระดับภูมิภาค

ประเทศไทยมีจุดแข็งทั้งในด้านแรงงานที่มีคุณภาพ แหล่งพลังงานที่อุดมสมบูรณ์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้ประเทศมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง นักลงทุนต่างชาติเริ่มให้ความสนใจในด้านความยั่งยืน และพลังงานทดแทนมากขึ้น ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่มุ่งเน้นในด้านเหล่านี้สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยได้

เจแอลแอลยังคงมุ่งมั่นใช้ความเชี่ยวชาญในการช่วยลูกค้ารับมือกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยการนำข้อมูลเชิงลึกที่ทีมวิจัยของบริษัท ฯ ได้มีการรวบรวมและจัดทำบทวิเคราะห์ในหลากหลายแง่มุม ไปใช้ในการให้คำปรึกษาและพัฒนากลยุทธ์ให้แก่ลูกค้าของบริษัท ฯ อย่างต่อเนื่อง  โดยเจแอลแอลยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย

เอไอเอ ประเทศไทย เดินทางเยือนจังหวัดตาก จัดงานมอบรางวัลแก่โรงเรียนที่ชนะเลิศในโครงการ ‘สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools’ ปีที่ 2 ซึ่งได้แก่ โรงเรียนเทศบาล 1 กิตติขจร และ โรงเรียนเทศบาล 2 วัดดอนมูลชัย โดยชนะเลิศในระดับมัธยมศึกษาและประถมศึกษาตามลำดับ มูลค่ารางวัลโรงเรียนละ 350,000 บาท รวม 700,000 บาท เพื่อเชิดชูและยกย่องทั้งสองโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนต้นแบบในการดูแลนักเรียน คุณครู ผู้ปกครอง ตลอดจนชุมชนโดยรอบ ทั้งในด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ โภชนาการ ตลอดจนการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืน ตามแนวทางหลักของโครงการ ‘สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools’ พร้อมมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียน โรงเรียนละ 20,000 บาท อีกทั้งยังได้จัดงานสัมมนาเสริมองค์ความรู้ให้แก่โรงเรียนต่าง ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นสุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี ตามพันธกิจของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนผู้คนและเยาวชนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’

ในงานได้รับเกียรติจาก นายณรงค์ จีนอ่ำ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายปริญ ภัทรธนชินวัณ ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น กองส่งเสริมและ พัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น นายณพล ชยานนท์ภักดี ท่านนายกเทศมนตรีเมืองตาก และท่านปลัดเทศบาลเมืองตาก ร่วมเป็นประธานและวิทยากรพิเศษในงานสัมมนา ร่วมด้วยคณะผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ รวมทั้ง นายสัพพัญญู อวิหิงสานนท์ อดีตนักกีฬาแบดมินตัน ทีมชาติไทย วิทยากรซึ่งมาให้ความรู้ในเรื่องการพัฒนาการเรียนรู้เชิงบูรณาการเพื่อปลูกฝังให้เด็กมีสุขภาพที่ดีทั้งด้านร่างกายและอารมณ์

 

นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ผมรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานมอบรางวัลโครงการ ‘สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools’ ในปีที่ 2  ณ จังหวัดตากในครั้งนี้ เอไอเอมุ่งมั่นเดินตามพันธกิจ AIA One Billion ที่เราต้องการสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นภายในปี 2573 และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กลุ่มบริษัทเอไอเอ ได้ดำเนินการจัดการแข่งขันโครงการ ‘สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools’ ขึ้นมา เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมเชิงบวกให้กับเยาวชนทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยเริ่มต้นจากโรงเรียนซึ่งเปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่สองของเด็ก ๆ โดยทางโรงเรียนเทศบาล 1  กิตติขจร และ โรงเรียนเทศบาล 2 วัดดอนมูลชัย จังหวัดตาก ได้เข้าร่วมประกวดโครงการกับเรา และได้รับรางวัลชนะเลิศในระดับประเทศ อีกทั้งยังเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในระดับภูมิภาคอีกด้วย นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง นอกจากนี้ เรายังได้เห็นทั้งสองโรงเรียนนำเงินรางวัลที่ได้ไปพัฒนาโครงการเพื่อส่งเสริมสุขภาพและสุขลักษณะด้านโภชนาการที่ดีให้กับนักเรียน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเราในจัดโครงการนี้ และเรายังคงส่งเสริมโครงการดี ๆ อย่าง AIA Healthiest Schools อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมเชิงบวกไปพร้อมกับการสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเยาวชนไทยซึ่งเป็นอนาคตของชาติ เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives”

ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ขอเชิญชวนโรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาที่สนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการ ‘สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools’ ปีที่ 3 ได้แล้วที่เว็บไซต์ ahs.aia.com/th/th/ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 8 มีนาคม 2568 เพื่อชิงรางวัลรวมมูลค่าถึง 3.5 ล้านบาท และได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติ

X

Right Click

No right click