

โก โฮลเซลล์ (GO WHOLESALE) ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร จุดหมายใหม่เพื่อผู้ประกอบการ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ยึดมั่นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจตามแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจ ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้านหลัก คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) ธรรมาภิบาล (Governance) ในทุกการเติบโต
เช่นเดียวกับ การขยายสาขาไปยังจังหวัดต่างๆ ล่าสุด กับสาขาหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สาขาลำดับที่ 13 ที่มีกำหนดการเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา “โก โฮลเซลล์” ได้ตระหนักถึงปัญหา “ขยะ” ที่เป็นวาระสำคัญของจังหวัดและนครหาดใหญ่ เนื่องจากเป็นเมืองสำคัญด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และมีจำนวนประชากรตามทะเบียนราษฎรมากที่สุดแห่งหนึ่ง และยังเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากประเทศใกล้เคียง จนทำให้เกิดปริมาณขยะจำนวนมาก ประมาณกว่า 200-250 ตันต่อวัน ดังนั้น “การคัดแยกขยะ” ตั้งแต่ต้นทางจึงเป็นเรื่องสำคัญ
เพื่อรณรงค์ส่งเสริมพฤติกรรมการแยกขยะให้ถูกต้องและลดปริมาณขยะฝังกลบที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม “โก โฮลเซลล์” ได้มอบถังขยะคัดแยกให้กับเทศบาลนครหาดใหญ่ ภายใต้โครงการ “โก โฮลเซลล์ คัดแยกขยะ เพื่อโลกสีเขียว” ซึ่งแต่ละจุดจะมีถังคัดแยก 4 ประเภท ได้แก่ ถังขยะย่อยสลาย(สีเขียว) สำหรับขยะที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เช่น เศษอาหาร กิ่งไม้ มูลสัตว์ ถังขยะทั่วไป(สีน้ำเงิน) สำหรับขยะทั่วไป ที่ย่อยสลายได้ยาก แต่ไม่มีพิษ เช่น โฟม ฟอล์ย ถุงพลาสติก ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถังขยะรีไซเคิล(สีเหลือง) สำหรับขยะที่นำกลับมาผลิตเพื่อใช้ใหม่ได้อีกครั้ง เช่น กระดาษ แก้ว พลาสติก โลหะ และ ถังขยะอันตราย (สีแดง) สำหรับขยะอันตรายที่มีการปนเปื้อนสารเคมีมีอันตรายต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม เช่น ถ่านไฟฉาย หลอดไฟ ขวดพลาสติกบรรจุสารเคมี กระป๋องสเปรย์ ยาฆ่าแมลง

ในการนี้ นางสาวจันทิรา บุญชู ผู้จัดการทั่วไป โก โฮลเซลล์ สาขาหาดใหญ่ พร้อมพนักงาน ได้ส่งมอบถังคัดแยกขยะ ให้แก่เทศบาลนครหาดใหญ่ โดยมี พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี นายกเทศบาลนครหาดใหญ่ เป็นผู้รับมอบ ซึ่งถังเหล่านี้จะถูกนำไปวางโดยรอบบริเวณสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ แหล่งพักผ่อนหย่อนใจและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง ที่มีประชาชนชาวหาดใหญ่ นักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน โก โฮลเซลล์ มีสาขา 12 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วย ศรีนครินทร์ เชียงใหม่ อมตะชลบุรี พัทยาใต้ พระราม2 รังสิต รามคำแหง ราไวย์ เมืองภูเก็ต เจริญราษฎร์ อุดรธานี ขอนแก่น และสาขาล่าสุดลำดับที่ 13 “สาขาหาดใหญ่”
สำนักงานพาณิชย์จังหวัดจังหวัดปัตตานี, ยะลา และนราธิวาส จัดงาน “หลาดชายแดนใต้” ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นการจัดแสดง จำหน่ายสินค้า และการเจรจาธุรกิจการค้า โดยนำผู้ประกอบการ OTOP, SMEs, Micro SMEs, วิสาหกิจชุมชน, ผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปในพื้นที่จังหวัดสามจังหวัดชายแดนใต้ (จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่องมาร่วมแสดง, จำหน่ายสินค้า และเจรจาธุรกิจการค้า จำนวน 5 วัน ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 12 ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 (ลานอควาเรียม และ ลานน้ำตกแสงจันทร์) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลอุบล จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างโอกาส, ขยายช่องทางการตลาด และประชาสัมพันธ์สินค้าชายแดนใต้ให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมในตลาดทั้งในระดับภูมิภาคและประเทศมากยิ่งขึ้น

สำหรับกิจกรรมวันที่ 12 ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 (ลานอควาเรียม และ ลานน้ำตกแสงจันทร์) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลอุบล จังหวัดอุบลราชธานี โดยกิจกรรมเริ่มวันพุธ ถึง ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10.30 น. ถึง 21.00 น. และวันเสาร์ ถึง อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 10.00 ถึง 21.30 น. ภายในงานประกอบด้วยสินค้าดี สินค้าเด่นของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ อาทิ ผ้าบาติก ผ้าปาเต๊ะ เครื่องหนัง สินค้าเกษตรแปรรูป อาหาร เครื่องดื่มขึ้นชื่อจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 50 คูหา พร้อมพบกับกิจกรรมภายในงานตลอดทั้งวัน อาทิ กิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากภาคใต้ ,การแสดงดนตรีสด,กิจกรรมส่งเสริมการขายภายในงาน เช่น สินค้านาทีเงิน นาทีทอง ,ช็อปลุ้นโชค และ กิจกรรมสาธิตเมนูอาหารคาวหวาน และศิลปหัตถกรรมขึ้นชื่อจากผู้ประกอบการชายแดนใต้ รวมทั้งกิจกรรมเจรจาธุรกิจการค้า ตลอดการจัดงานทั้ง 5 วัน โดยวันพฤหัสบดี ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ในวันพฤหัสบดี ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 13.00 น. พิธีเปิดงาน “หลาดชายแดนใต้” ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 (ลานอควาเรียม และ ลานน้ำตกแสงจันทร์) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลอุบล จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับเกียรติจาก นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ท่านผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน, นางกัณทิมา นวลศรี หัวหน้ากลุ่มทะเบียนธุรกิจและอำนวยความสะดวกทางการค้า (ผู้แทนพาณิชย์จังหวัดปัตตานี), นางผุสสดี จ๋ายเจริญ พาณิชย์จังหวัดยะลา, นางนฤมล แก้วมุกดากุล พาณิชย์จังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ในพื้นที่เข้าร่วมงาน “หลาดชายแดนใต้” ประจำปี 2568
ตลาดอาร์ตทอยส์ไทยยังโตแรง บริษัท ป๊อป มาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้การบริหารจัดการโดย POP MART INTERNATIONAL ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาร์ตทอยส์รายใหญ่ระดับโลก ตอกย้ำผู้นำตลาดของเล่นแบบ Blind Box อันดับ 1 เปิด POP MART Store คอนเซปต์ใหม่ที่แรกของโลก (outside China) และขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในตอนนี้ที่ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์
นางสาวศิริพร แผลงจันทึก Country General Manager บริษัท ป๊อป มาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ เปิด ป๊อปอัพ สโตร์ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พัทยา เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้เสียงตอบรับจากกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงเดินเกมรุกตลาดในกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดขยายฐานลูกค้าสู่โซนกรุงเทพฯ ตะวันออก เปิด POP MART Store คอนเซปต์ใหม่ที่แรกของโลก (outside China) และขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในตอนนี้ ด้วยพื้นที่กว่า 242 ตร.ม. ณ ชั้น 1 POP MART Store ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์

“POP MART ได้ขยายตลาดและการเข้าถึงลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและกำลังซื้อสูง ดังนั้นการเปิดสโตร์แห่งใหม่ที่ซีคอนสแควร์ ซึ่งอยู่นอกใจกลางเมือง เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่ช่วยให้ POP MART สามารถเข้าถึงลูกค้าในโซนกรุงเทพฯ ตะวันออกได้ง่ายขึ้น ลดข้อจำกัดด้านระยะทางการเดินทางสำหรับแฟนๆ ที่อาศัยในโซนบางนา - ศรีนครินทร์ และพื้นที่ใกล้เคียงให้สามารถเข้าถึงสินค้าของแบรนด์ได้สะดวกขึ้น ประกอบกับซีคอนสแควร์เป็นหนึ่งในศูนย์การค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ด้วยทำเลที่ติดกับแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ และมีความหนาแน่นของผู้อยู่อาศัยสูง รวมถึงเดินทางมาได้อย่างสะดวกสบาย ทำให้มีผู้เข้าชมจำนวนมากในแต่ละวัน รวมถึงมีฐานลูกค้าหลากหลาย ตั้งแต่นักสะสมของเล่น ดีไซเนอร์ไปจนถึงกลุ่มครอบครัวและวัยรุ่น ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของ POP MART นอกจากนี้ซีคอนสแควร์ยังมีพื้นที่สำหรับอีเวนต์และจัดกิจกรรมที่สามารถใช้โปรโมตสินค้าใหม่ๆ ของ POP MART ได้น่าสนใจอีกด้วย”

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ POP MART สามารถครองใจแฟนๆ ชาวไทย คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (Customer Experience) อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับป๊อปมาร์ทสโตร์คอนเซปต์ใหม่ ขนาด 242 ตร.ม.ที่มอบประสบการณ์ที่แตกต่าง เน้นบรรยากาศสนุกสนานและเป็นมิตรผ่านวัสดุลายไม้ที่สื่อถึงความยั่งยืน ผสานกับสเตนเลสตีลพ่นทราย สะท้อนความทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายในร้านประดับด้วยหน้าจอ LED ขนาดใหญ่ที่แสดงจุดเด่นของแบรนด์และเรื่องราวของแต่ละคอลเลกชันต่างๆ อีกหนึ่งจุดไฮไลต์ คือ การตกแต่งด้วย Big figure ที่ส่งตรงมาจากประเทศจีน จากคอลเลกชัน MOLLY Carb-Lover Series Figures โดยมาพร้อมกับเอเลเมนต์ โดนัท และขนมหวาน รวมถึงมีการรวบรวม Exclusive Collection หลากหลายคาแรกเตอร์น่าสะสม มาที่สโตร์แห่งนี้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น MEGA SPACE MOLLY SMITTEN LOVE “IN SPACE” 3D Painting หรือ HACIPUPU Thailand Limited Durian, Elephant ที่มีจำหน่ายเฉพาะที่นี่เท่านั้น รวมถึงคอลเลกชันหายากอย่าง HIRONO Paradise Lost Sculpture

นางสาวศิริพร แผลงจันทึก ระบุเพิ่มเติมว่า นอกจากจัดงาน POP MART HELLO SEACON SQUARE ฉลองเปิดสโตร์คอนเซปต์ใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว ยังจัด HACIPUPU EVENT เพื่อให้แฟนๆ อาร์ตทอยส์ป๊อปมาร์ทได้สัมผัสกับความน่ารักของคาแรกเตอร์สุดคิวต์ HACIPUPU (ฮาชิปูปู้) เด็กชายตัวน้อยขี้อายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยดวงตากลมโตแสนน่ารักไร้เดียงสาและเต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ที่ทำให้เราได้เห็นเซฟโซนภายในใจ กับความไร้เดียงสาที่ให้ทุกคนได้พบกับความสุขเหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง และเป็นครั้งแรกที่ 2 ศิลปินอาร์ตทอยส์ Agee (อาจี) และ Yep (เยบ) ผู้ออกแบบ HACIPUPU มาพบแฟนๆ ชาวไทยพร้อมร่วมงานแฟนไซน์สุดพิเศษ ซึ่งได้เสียงตอบรับจากแฟนๆ อาร์ตทอยส์ป๊อปมาร์ทเป็นอย่างดี
เปิดโลกอาร์ตทอยส์ได้ที่ POP MART @ SEACON SQUARE คอนเซปต์ใหม่ ได้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 10.30–21.30 น. และ วันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 10.00–21.30 น. ณ โซนซีคอนสแควร์ ฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/popmartth/?locale=th_TH
“พิชัย”นำทีมพาณิชย์ลงพื้นที่ จ.เชียงราย ติดตามการจำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการ ชูใจ วัยเก๋า 60+ ที่ตลาดล้านเมือง พบผู้บริโภคและผู้สูงวัยที่ได้เงินหมื่นจากรัฐบาล มาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างคึกคัก พร้อมติดตามการซื้อขายหอมหัวใหญ่และสับปะรดภูแล หลังประสานผู้ประกอบการ 23 ราย เข้ารับซื้อ เพื่อดันราคาให้กับเกษตรกร

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้นำทีมพาณิชย์ ประกอบด้วย นายคุณากร ปรีชาชนะชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ณ ตลาดล้านเมือง ซึ่งเป็นตลาดกลางที่อยู่ในความส่งเสริมของกรมการค้าภายใน เพื่อติดตามสถานการณ์การจำหน่ายสินค้า ภายใต้โครงการชูใจ วัยเก๋า 60+ ร่วมกับนายไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการตลาด โดยพบว่า พี่น้องประชาชน และกลุ่มผู้สูงวัย ที่ได้รับเงินหมื่นจากรัฐบาล ให้การสนใจเข้ามาซื้อสินค้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผักสด ที่เป็นสินค้าหลักของตลาด เนื่องจากมั่นใจว่าจะได้บริโภคผักปลอดภัย ในราคาที่เหมาะสม

ทั้งนี้ ยังได้ติดตามการรับซื้อสับปะรดภูแล และหอมหัวใหญ่ ที่กรมการค้าภายในได้ประสานความร่วมมือกับพันธมิตรเครือข่ายภาคเอกชน 23 ราย ประกอบด้วย ตลาดสด ตลาดกลาง ผู้รวบรวม ผู้ส่งออก ผู้แปรรูป และห้างค้าปลีก-ค้าส่ง อาทิ Tops, Go wholesale, The mall, Makro, Lotus’s, Big C สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง อาทิ PT, OR, Bangchak, Shell และ Susco เข้ารับซื้อสับปะรดภูแลและหอมหัวใหญ่ จากกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งจาก จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ และ จ.แม่ฮ่องสอน ในราคานำตลาด รวมทั้งได้ปล่อยขบวนคาราวานสินค้าสับปะรดภูแล 60 ตัน เพื่อนำไปแปรรูปเพื่อการส่งออก และส่งออกไปจำหน่ายยังมาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และจีน
โดยหอมหัวใหญ่ ได้เริ่มเข้ามารับซื้อจากสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่บ้านกาดพัฒนา จำกัด อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ จำนวน 100 ตัน และจะทยอยเข้าซื้อสินค้าทั้ง 2 ชนิด ทั้งหอมหัวใหญ่และสับปะรดภูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลราคาให้กับเกษตรกร และมั่นใจว่าราคาจะอยู่ในเกณฑ์ดีจนจบฤดูกาล ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการทุกรายที่เข้ามาช่วยเหลือรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร เพื่อเป็นการกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิตสู่ผู้บริโภคโดยตรง

สำหรับสับปะรดภูแล จะออกสู่ตลาดมากช่วงเดือน เม.ย.-มิ.ย และ ธ.ค.-ก.พ. ส่วนหอมหัวใหญ่ ออกสู่ตลาดมากช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.
“ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน ติดตามและประเมินสถานการณ์การผลิต การตลาดสินค้าหอมหัวใหญ่และสับปะรดภูแล ร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอย่างต่อเนื่อง และขอให้ช่วยเร่งระบายผลผลิตออกจากพื้นที่ นำไปขายให้ผู้บริโภคในพื้นที่อื่น กระจายผ่านร้านธงฟ้าและโมบายธงฟ้า ผลักดันแปรรูป และส่งออก เพื่อไม่ให้มีปัญหาด้านราคา และช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้ขายผลผลิตได้ราคาดี”นายพิชัยกล่าว
จัดโครงการสร้างความเข้าใจในกระบวนการชำระบัญชี การพิจารณาคำทวงหนี้และการจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ของกองทุนประกันวินาศภัย พร้อมสร้างความตระหนัก ถึงความสำคัญของการประกันวินาศภัย แก่ตัวแทน – นายหน้าประกันภัย และเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย
กองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) ได้มีการจัดโครงการเชิงรุก ภายใต้ชื่อ โครงการสร้างความเข้าใจในกระบวนการชำระบัญชี การพิจารณาคำทวงหนี้และการจ่ายเงิน ให้แก่เจ้าหนี้ ของกองทุนประกันวินาศภัย พร้อมสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการประกันวินาศภัยแก่ตัวแทน – นายหน้า ประกันภัย และเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย จังหวัดพิษณุโลก ณ ห้องประชุม คอนเวนชั่น 1 ชั้น 5 โรงแรมท็อปแลนด์ จังหวัดพิษณุโลก

โดยมีนายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย เป็นประธานในการเปิดโครงการฯ และ เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “บทบาท หน้าที่ และภารกิจกองทุนประกันวินาศภัย” พร้อมด้วยบุคลากรกองทุน ประกันวินาศภัย และได้รับเกียรติจาก นางสาวถนอมใจ ลาภเจริญพร ผู้อำนวยการ สำนักงาน คปภ. จังหวัดนครสวรรค์ และ นายยศพล จิตติมานุสรณ์ ผู้อำนวยการ สำนักงาน คปภ. จังหวัดพิษณุโลก เป็นผู้ร่วมบรรยาย ในหัวข้อ “ภารกิจ ของสำนักงาน คปภ. ภาค 2 (นครสวรรค์) พื้นที่ในจังหวัดนครสวรรค์และภารกิจของสำนักงาน คปภ. จังหวัดพิษณุโลก” พร้อมทั้งมีการเสวนาเปิดโอกาสตอบข้อซักถามเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมโครงการฯ นำมาปรับใช้ในการดำเนินงานของกองทุนฯ และมีการมอบของที่ระลึกอีกมากมายให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ

ซึ่งการจัดโครงการฯ ในครั้งนี้ เป็นการประชาสัมพันธ์ถึงกระบวนการชำระบัญชี การพิจารณา คำทวงหนี้และการจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ของกองทุนประกันวินาศภัย พร้อมสร้างความตระหนักถึงความสำคัญ ของการประกันวินาศภัย และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตัวแทน - นายหน้าประกันภัย และเจ้าหนี้ ตามสัญญาประกันภัย ที่จะเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้และการเข้าถึงระบบประกันภัย เพื่อให้ประชาชน ในทุกระดับมีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงคุณค่า ความสำคัญในการสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิต และทรัพย์สิน รวมถึงปกป้องคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนในฐานะผู้เอาประกันภัยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ นายชนะพล มหาวงษ์ พร้อมบุคลากรกองทุนประกันวินาศภัยได้เข้าตรวจดูทรัพย์สิน ของบริษัท สินมั่นคง ประกันภัย จำกัด สาขาพิษณุโลก ในการตรวจสอบจำนวนทรัพย์สินและเร่งจำหน่ายทรัพย์สิน ในสาขา เพื่อรวบรวมเงินเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชีต่อไป
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด และภาพลักษณ์องค์กร (คนที่ 12 จากขวา) ให้เกียรติกล่าวเปิด โครงการ KTAXA Know You Can Football Youth (U-15) Academy ซีซั่น 5 สนามที่ 2 ณ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งได้รับการตอบรับจากเยาวชนทั้งเพศชายและเพศหญิงอายุระหว่าง 13-15 ปี จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือและจังหวัดใกล้เคียง ที่ตบเท้าเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 540 คน โดยในปีนี้เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับทุนการศึกษารวมกว่า 200,000 บาท พร้อมด้วยกรมธรรม์ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง ทุนประกันมูลค่ารวมกว่า 5,000,000 บาท ทั้งนี้ทางบริษัทฯ ขอแสดงความยินดีกับ 2 เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกในสนามนี้ ได้แก่

สำหรับ KTAXA Know You Can Football Youth (U-15) Academy ไม่เพียงแต่สนับสนุนการพัฒนาทักษะฟุตบอล แต่ยังส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีและความมั่นใจในตนเอง เพื่อให้เยาวชนไทยก้าวสู่ความสำเร็จตามความฝัน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่สนับสนุนความมุ่งมั่นว่า ทุกคนทำได้ หรือ Know You Can
และเตรียมพบกับสนามที่ 3 ซึ่งจะจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ณ สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี (สนามกลาง) ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 หากเยาวชนท่านใดสนใจเข้าร่วมกิจกรรมหรือสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line: @ktaxa-u15 หรือทางเฟสบุ๊ก https://www.facebook.com/Hearts.in.action.volunteers
MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ยกระดับขั้นกว่าของการบริการด้วย MEA e-Service บริการออนไลน์ด้านระบบไฟฟ้าครบวงจร ตลอด 24 ชั่วโมง สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ครบทุกงานบริการด้านไฟฟ้า ขอใช้ไฟฟ้าใหม่ ตรวจสอบประวัติการใช้ไฟฟ้า บริการรับชำระเงิน ติดตามงานบริการ ลงทะเบียนรับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ MEA Point MEA e-Bill ฯลฯ เพียงลงทะเบียนยืนยันตัวตนใน MEA e-Service ตามขั้นตอนดังนี้
MEA ในฐานะหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ให้ความสำคัญในการยกระดับงานบริการ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองมหานคร พร้อมให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจรองรับการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต MEA ยังมุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในเมืองมหานครอย่างต่อเนื่องเพื่อร่วมกันพัฒนาขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวหน้าและอย่างยั่งยืนต่อไป
ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดียทางการต่าง ๆ ของ MEA ได้ที่ Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่เขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการ เลือกเมนู ติดต่อ MEA Call Center Online 1130 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และติดตามข่าวสารงานบริการของ MEA ผ่านทางเว็บไซต์ www.mea.or.th