

คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เผยสถิติ Deloitte เผย 66% ของ Gen Z และ 71% ของ Millennials สนใจหารายได้เสริม-ทำธุรกิจส่วนตัว ชี้SMEs และสตาร์ทอัพเป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย สร้างงานกว่า 14 ล้านตำแหน่ง เปิดปัจจัยผลักดัน คนรุ่นใหม่อยากทำธุรกิจมากกว่าทำงานประจำ จากปัจจัยความยืดหยุ่น เทคโนโลยีสมัยใหม่และ การสนับสนุนจากรัฐ-เอกชน แต่ยังพบอุปสรรคสำคัญด้าน เงินทุน ทักษะด้านบริหารธุรกิจ และการปรับตัวสู่ยุค AI โดยเดินหน้าเปิดหลักสูตรปั้นเจ้าของธุรกิจและ Startup ที่เก่งรอบด้าน เน้น AI Technology, Digital Marketing, Innovation เรียนรู้จาก CEO ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง สร้างเครือข่ายธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ

ผศ.ดร.เกรียงไกร สัจจะหฤทัย คณบดีคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ เปิดเผยว่า การสำรวจจาก Deloitte Global 2023 Gen Z และ Millennial Survey เปิดเผยแนวโน้มที่สำคัญของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในตลาดแรงงาน โดยพบว่า Gen Z และ Millennials ในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแนวทางการทำงานและสร้างรายได้ โดยให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น ลักษณะการทำงานแบบ Gig Economy ความหลากหลายในรูปแบบงาน และการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนผ่านธุรกิจส่วนตัวและการทำงานอิสระมากกว่าการพึ่งพางานประจำแต่เพียงอย่างเดียว ข้อมูลจากรายงานระบุว่า 66% ของ Gen Z และ 71% ของ Millennials แสดงความสนใจในการหารายได้เสริมผ่านงานอิสระ เช่น งานผ่านแอปพลิเคชันด้านการขนส่ง การสร้างเนื้อหาบนโลกออนไลน์ และการทำธุรกิจขนาดเล็กที่ตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม ความสนใจนี้สะท้อนถึงความต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงินด้วยการลงทุนในทักษะส่วนบุคคลและธุรกิจที่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ทั้งนี้ SME และสตาร์ทอัพ แกนกลางของการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นเส้นเลือดฝอยหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทย และหากสามารถเติบโตขยายกิจการให้เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ก็จะกลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจไทยได้ โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า SMEs มีสัดส่วนถึง 99% ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างงานมากกว่า 14 ล้านตำแหน่ง นอกจากนี้ ธุรกิจเหล่านี้ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) คิดเป็นมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาทในปี 2024 ธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทยเองก็เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น FinTech, HealthTech, และ AgriTech ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน การเติบโตของธุรกิจเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ที่มองหาวิธีการสร้างมูลค่าเพิ่มในยุคที่เศรษฐกิจดิจิทัลกำลังขับเคลื่อนโลก

นอกจากนี้ในเทรนด์โลก จากการสำรวจของ Guidant Financial ในสหรัฐฯ พบว่า มากกว่า 13% ของธุรกิจที่เริ่มต้นใหม่ในประเทศเป็นของ Millennials โดยในกลุ่มนี้ 55% มั่นใจในความสามารถที่จะบริหารธุรกิจของตนเองให้ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ รายงานจาก Mintel ยังชี้ว่า 25% ของ Millennials ทั่วโลกมีแผนที่จะเริ่มต้นธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าความมั่นใจและแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่กำลังขยายตัวในระดับโลก
ทั้งนี้ปัจจัยที่ผลักดันให้คนรุ่นใหม่หันมาทำธุรกิจส่วนตัว

อย่างไรก็ดีแม้ว่าการเริ่มต้นธุรกิจจะดูเหมือนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ยังมีอุปสรรคสำคัญ เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การขาดความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารธุรกิจ และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง
มุมมองในอนาคตการสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนการเติบโตของ SMEs และสตาร์ทอัพในประเทศไทยไม่เพียงแต่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวม แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสให้กับชุมชนท้องถิ่น เช่น ธุรกิจในกลุ่ม Green Business และ Social Enterprise ที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในอนาคต การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้คนรุ่นใหม่สามารถบรรลุเป้าหมาย
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยศรีปทุมได้มองเห็นเทรนด์และความสำคัญของการสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพและ SMEs ของประเทศจึงได้เดินหน้า พัฒนาหลักสูตรสร้างเจ้าของธุรกิจและสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ โดยคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) ได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้าสู่โลกธุรกิจ โดยเฉพาะในระดับปริญญาตรีที่เน้นการบูรณาการความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมกับการสร้างธุรกิจสองสาขาหลัก ได้แก่

รวมถึงหลักสูตรระยะสั้นสำหรับการเพิ่มทักษะ (Upskill) และการปรับเปลี่ยนทักษะ (Reskill) สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้แนวคิด คิด ทำ ขาย Local to Global ที่มีผู้สมัครเต็มตั้งแต่เปิดลงทะเบียน ทั้งนี้เมื่อผู้เรียนเข้ามาในหลักสูตรจะมีกระบวนการเติมทักษะในด้านต่างๆอาทิ Creativity Digital Marketing Storytelling Content Creator เป็นต้นผ่านการลงมือทำตั้งแต่ต้นและนำไปใช้ได้ทันที
“ทุกหลักสูตรเน้นการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงและการสร้างเครือข่ายในระดับประเทศและนานาชาติ เช่น การใช้ AI และเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อยกระดับการบริหารธุรกิจตามแนวคิด "University AI" ของมหาวิทยาลัยเราได้ดีไซน์ให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในสิ่งที่ชอบได้ เพราะเราเชื่อว่าไม่ใช่แค่การเรียนในห้องเรียน แต่คือการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือทำจริง และได้รับประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญในสายงาน เพื่อต่อยอดความสำเร็จในโลกอนาคต และถ้าผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่ชอบเพื่อไปต่อยอดเป็นอาชีพหรือทำงานในอนาคตได้ มีการเรียนข้ามศาสตร์ในคณะอื่นที่ผู้เรียนสนใจ และยังได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง จากเครือข่ายพันธมิตร แบรนด์ที่ประสบผลสำเร็จ จากระดับนานาชาติ ในประเทศ และภาคเอกชน มาถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับผู้เรียน "ผศ.ดร.เกรียงไกร กล่าว
กรุงเทพประกันชีวิต เปิดตัวบริการเสริมด้านสุขภาพ “BLA Health Butler” “ใส่ใจ” พาลูกค้าผู้สูงอายุไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ด้วยทีมงาน VNurse Care ผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการรับ – ส่งและดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ อุ่นใจด้วยการดูแลที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัว มอบสิทธิ์แก่ลูกค้าที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ติดต่อรับบริการได้แล้ววันนี้ โดยกดรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชั่น BLA Happy Life ถึงสิ้นปี 2568
นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรุงเทพประกันชีวิตได้เปิดตัวบริการเสริมด้านสุขภาพใหม่ ที่เรียกว่า BLA Health Butler ซึ่งเป็นบริการพาผู้สูงอายุไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและเป็นมืออาชีพ เพื่อเพิ่มความสะดวกและสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้าด้วยการบริการที่อบอุ่นเป็นกันเอง โดยกรุงเทพประกันชีวิตได้คัดเลือก บริษัท วีเนิร์สแคร์ จำกัด (VNurse Care) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการจัดหาผู้ดูแลและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยและเด็กเล็กอย่างครบวงจรเข้ามาเป็นผู้ดูแล

ทั้งนี้ขอบเขตการให้บริการดูแลผู้สูงอายุเมื่อไปพบแพทย์จะครอบคุลมตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีผู้ดูแลคุณวุฒิผู้ช่วยพยาบาลพร้อมพาหนะและคนขับในการเดินทางรับ-ส่งจากบ้านไปโรงพยาบาลโดย Grab Car Premium หรือ SUV จำนวนผู้เดินทางรวมบุคคลในครอบครัวไม่เกิน 2 ท่าน และบริการตามขั้นตอนก่อนการพบแพทย์ อาทิ การทำประวัติผู้ป่วย กรอกเอกสาร รับบัตรคิว พาลูกค้าไปรอตรวจตามลำดับคิว เข้าไปตรวจเป็นเพื่อนลูกค้าในกรณีที่ลูกค้าต้องการ พาไปชำระเงิน รับยาจนถึงพาเดินทางกลับบ้าน โดยผู้ดูแลจะสรุปข้อมูลและคำแนะนำจากการพบแพทย์ให้ลูกค้าและญาติรับทราบ
ไมเดีย กรุ๊ป (Midea Group) ผู้นำระดับโลกด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและโซลูชันสมาร์ทโฮม เดินกลยุทธ์รุกตลาดเอเชียแปซิฟิก ปักหมุดไทยเป็นศูนย์กลางด้านการผลิต การขาย และการกระจายสินค้า หนุนเป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของภูมิภาคนี้ในอีก 3 ปี โดยปัจจุบันไมเดีย กรุ๊ปเป็นผู้บริหารจัดการแบรนด์ชั้นนำอย่าง ไมเดีย (Midea) โตชิบา (Toshiba) และคอมฟี (Comfee')
มร. ซีล เจียง (Mr. Zeal Jiang) ประธาน ไมเดีย กรุ๊ป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไมเดียได้มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการสร้างงานและความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศไทย ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโรงงานผลิตในประเทศไทยจำนวน 7 แห่ง ครอบคลุมการผลิตสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่เครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัย เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เตาไมโครเวฟ และเครื่องทำความสะอาด ไปจนถึงเทคโนโลยีระบบอาคาร เทคโนโลยีระบบอุตสาหกรรม และชิ้นส่วนคอมเพรสเซอร์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยมีพนักงานกว่า 10,000 คน ไมเดียจึงมีรากฐานที่มั่นคงในอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายการดำเนินงานเพิ่มเติม เพื่อตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนพนักงานและเพิ่มกำลังการผลิตให้สูงขึ้นอีกด้วย ในขณะที่ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมทางด้านการเมืองที่มั่นคง มีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุน ทำให้ประเทศเป็นที่หมายสำคัญสำหรับการลงทุนในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของไมเดียในการเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

แผนการขยายธุรกิจของไมเดีย กรุ๊ปจะมุ่งเน้นที่การยกระดับคุณภาพการผลิต เสริมสร้างเครือข่ายการกระจายสินค้า และพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ให้มีความพร้อมที่สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ความพยายามเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังช่วยผลักดันความทะเยอทะยานในการเติบโตระดับภูมิภาคของไมเดียอีกด้วย
และเพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ดังกล่าว เมื่อช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ไมเดียได้ทำการเปิดศูนย์กระจายสินค้าประจำภูมิภาค (Regional Distribution Centre - RDC) ที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ารวม 1,000 ตารางเมตร ขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่สามารถให้บริการได้ทั้งตลาดในประเทศและทั่วภูมิภาคเอเชียเอเชียแปซิฟิก ศูนย์ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายสินค้าได้อย่างมาก เพราะช่วยลดระยะเวลาการจัดส่งสินค้าไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก 60 วัน เหลือเพียง 45 วัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน และยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า

นอกจากนี้ ในวันนี้ไมเดียยังได้เปิดสำนักงานประจำภูมิภาคแห่งใหม่ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของสำนักงานที่ประเทศสิงคโปร์ โครงสร้างแบบสำนักงานคู่เช่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อรองรับตลาดทั้งเอเชียแปซิฟิก โดยประเทศไทยจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในด้านการผลิตและกระจายสินค้า พร้อมกับขับเคลื่อนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกันระหว่างสองสำนักงาน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไมเดีย กรุ๊ปยึดมั่นในวิสัยทัศน์ “Bringing Great Innovations to Life” มาโดยตลอด ด้วยการผสานแนวทางความยั่งยืนเข้ารวมกับกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างลงตัว “Green Strategy” ของไมเดียแสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสูงสุดภายในปี พ.ศ. 2573 และความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2603 ผ่านการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนทั่วโลก และนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่ดีกว่า บริษัทฯ ยังมีโครงการริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมมากมายที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนการดำเนินงาน ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต กระบวนการรีไซเคิล การจัดซื้อ การขนส่ง และการให้บริการ
ด้วยศูนย์นวัตกรรม 33 แห่งทั่วโลก และความมุ่งมั่นในด้านการวิจัยและพัฒนา ทำให้ไมเดีย กรุ๊ปได้รับสิทธิบัตรกว่า 100,000 ฉบับจนถึงปัจจุบัน และยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมต่อไป ความสำเร็จเหล่านี้รวมถึงการได้รับการรับรองด้านคาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) ของผลิตภัณฑ์มากกว่า 40 รายการใน 9 หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ ช่วยขับเคลื่อนความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ สนับสนุนให้ผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมด้วยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร
บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ประกาศแต่งตั้ง นายนิติพงษ์ ปรัชญานิมิต ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานลูกค้าและการตลาด ซึ่งการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของพรูเด็นเชียลฯครั้งนี้ สอดคล้องกับกลยุทธ์และการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนของกลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล ตามแนวคิด “ลูกค้าคือเข็มทิศนำทาง” (Customer is Our Compass) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
นาย นิติพงษ์ จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนงานด้านลูกค้า การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์การตลาดและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนช่องทางการขายต่างๆ โดยมุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกกับลูกค้า เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าในทุกกลุ่ม
พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เชื่อมั่นว่า นายนิติพงษ์ จะนำประสบการณ์การบริหารจัดการประสบการณ์ลูกค้าแบบครบวงจรตลอดจนการดูแลแคมเปญด้านการตลาดต่างๆ ที่คร่ำหวอดในภาคธุรกิจประกันชีวิตมาอย่างยาวนาน มาร่วมขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตด้านสายงานลูกค้าและการตลาดที่ยั่งยืนในอนาคต ความสำเร็จที่โดดเด่นของนายนิติพงษ์ยังรวมถึงการได้รับรางวัล Young ASEAN Insurance Manager Award ประจำปี 2559 ปัจจุบัน นายนิติพงษ์ ยังดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทยอีกด้วย
สสว. MOU ไคโก ไลฟ์ จากแดนปลาดิบ เพื่อขยายช่องทางการตลาดไปในประเทศญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจ Thai-Japan BIG ADVANCE GLOBAL เชื่อมต่อสถาบันการเงินทั้งไทยและญี่ปุ่น ให้บริการแก่สมาชิก ONE ID ของ สสว.
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า พิธีลงนามความร่วมมือ ระหว่าง สสว. และ บริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด ผ่านแพลตฟอร์ม “Thai-Japan BIG ADVANCE GLOBAL” ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เป็นสมาชิก ONE ID ของ สสว. ผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจ Thai-Japan BIG ADVANCE GLOBAL (“TH-JP BAG”) กำหนดระยะเวลาความร่วมมือตั้งแต่ วันนี้ จนถึง วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2571 หรือมีระยะเวลา 3 ปี เป็นต้นไป

รก. ผอ. สสว. เผยอีกว่า สำหรับบทบาทของ สสว. คือ เพื่อสร้างขีดความสามารถและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เอสเอ็มอี รวมถึงการให้คำปรึกษาแนะนำการดำเนินธุรกิจในรูปแบบต่างๆ และร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบกิจการของเอสเอ็มอีและวิสาหกิจรายย่อย เช่น จัดหาสิทธิประโยชน์สนับสนุนการดำเนินธุรกิจ แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์ม “TH-JP BAG” และความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจับคู่ธุรกิจระหว่างเอสเอ็มอีไทย-ญี่ปุ่น ตลอดจนการให้คำปรึกษาทางธุรกิจเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ
“บริษัท ไคโก ไลฟ์ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น คือ Kokopelli ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 64,000 ราย และธุรกิจเหล่านี้ก็จะเข้าร่วมเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการไทยเอสเอ็มอีไทยในอนาคตอีกด้วย”
นายชินธิป พรประภา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด กล่าวว่า ขอบเขตความร่วมมือของบริษัท ได้แก่ การให้ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์กิจกรรมของ สสว. ที่เป็นประโยชน์ให้แก่ เอสเอ็มอี และวิสาหกิจรายย่อย รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจ “TH-JP BAG” ทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศญี่ปุ่น ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจรายย่อย

“บริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด ขอมอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการภายใต้ MOU โดยจะร่วมกันขยายช่องทางการตลาดผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจที่มีความแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น ในด้านการเชื่อมต่อสถาบันการเงินร่วมให้บริการแก่สมาชิกเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมในแพลตฟอร์ม ปัจจุบันมีสถาบันการเงินกว่า 80 สถาบัน ร่วมให้บริการในประเทศญี่ปุ่น การต่อยอดในประเทศไทยจะเป็นการพัฒนาคุณลักษณะของการใช้งาน เชื่อมโยงสถาบันการเงินในประเทศไทยเพื่อให้บริการร่วมในแพลตฟอร์ม TH-JP นี้ โดย Kokopelli ร่วมกับบริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด พัฒนาระบบให้เหมาะกับเอสเอ็มอีไทยที่มีความแตกต่างในการทำธุรกิจและการเชื่อมต่อกับสถาบันการเงินที่แตกต่างกัน โดยอ้างอิงจากการดำเนินการที่ญี่ปุ่นเป็นพื้นฐาน รวมถึงการเชื่อมต่อเครื่องมือทางการเงินจากต่างประเทศและการสร้างโอกาสผ่านการจับคู่ธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิตและบริการของเอสเอ็มอี” นายชินธิป กล่าว
เปิดปีใหม่มานี้...น้องๆ หลายคน ยังอยู่ในช่วงซีซั่นลงสนามสอบ TCAS68 ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงของรอบ Admission ที่ทุกคนคงได้รู้คะแนน TGAT/ TPAT กันไปเรียบร้อยแล้ว และในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ก็จะเป็นการสอบ A-LEVEL หรือ Applied Knowledge Level วัดความรู้เชิงวิชาการและความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ในแต่ละวิชา อีกหนึ่งด่านสำคัญที่ต้องดันคะแนนกันต่อ เพื่อเอามารวมกับ TGAT/TPAT ให้ได้มากที่สุด ช่วยให้น้องๆ ได้พิชิตคณะในฝัน เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยได้ตามที่ตั้งใจ
ในการสอบ TCAS67 ที่ผ่านมา มีจำนวนผู้สมัครสอบ A-LEVEL ทั้งหมด 187,342 คน ซึ่งจากสถิติในปี 2567 พบว่าวิชาที่มีค่าเฉลี่ยผลสอบสูงสุด คือ ภาษาไทย อยู่ที่ 57.39 คะแนน ขณะที่วิชาฟิสิกส์และสังคม มีสถิติค่าเฉลี่ยผลสอบต่ำสุดในรอบ 4 ปี ย้อนหลัง (2564 – 2567) โดยวิชาฟิสิกส์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 20.58 คะแนน ส่วนวิชาสังคม มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 35.21 คะแนน โดยเฉพาะวิชาสังคม มีผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 82 คะแนน หรือมากกว่า 80 คะแนน เพียง 1 คน จากผู้สมัครสอบวิชาสังคม A-LEVEL TCAS67 ทั้งหมด 156,197 คนทั่วประเทศ หลายคนเห็นข้อมูลสถิติแล้ว อาจจะคิดหนัก แต่หากเราเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ ก็จะเพิ่มความได้เปรียบในการทำข้อสอบมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการติดอันดับที่ต้องการมากขึ้น

จัดเต็ม...ฟรีคอร์สออนไลน์ A-LEVEL ติวจบ ครบที่เดียว กับ “ทรูปลูกปัญญา” ทั้งเว็บ แอป ช่องทีวี
ทรูปลูกปัญญา คลังความรู้ออนไลน์ที่มีสถิติผู้ใช้งานสูงสุดถึง 32 ล้านคน และมีผู้ใช้งานถึง 2.6 ล้านเพจวิวต่อเดือน จัดเตรียมคอร์สออนไลน์ A-LEVEL ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักเรียนชั้น ม.6 ได้ทบทวนเนื้อหาวิชาแบบเข้าใจง่ายๆ ฝึกฝนนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ พร้อมตะลุยโจทย์ข้อสอบจริง ครอบคลุมทั้ง 10 วิชาหลัก ได้แก่ คณิต 1 คณิต 2 วิทย์ประยุกต์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ และภาษาต่างประเทศ (ครบทั้ง 7 ภาษา) ที่จะจัดสอบพร้อมกัน ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น เกาหลี จีน บาลี และสเปน น้องๆ สามารถเข้าไปเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชันทรูปลูกปัญญา ไม่ต้องลงทะเบียนก็สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ทันที โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
รวมคลิปติว A-LEVEL ใหม่ล่าสุด ขนทัพติวเตอร์ชั้นนำ ในรายการสอนศาสตร์
ในปี 2025 นี้ รายการสอนศาสตร์ โดยทรูปลูกปัญญา ยังได้จัดทำคลิปติว A-LEVEL ชุดใหม่ มาให้เรียนฟรี พบกับพี่ๆ ติวเตอร์จากสถาบันชั้นนำที่จะมาแจกเทคนิคแก้โจทย์ คิดวิเคราะห์ เชื่อมโยงเนื้อหา เพิ่มความแม่นยำและความมั่นใจให้กับน้องๆ ได้อัปสกอร์โค้งสุดท้าย TCAS68 อาทิ ภาษาอังกฤษ โดย ครูพี่กิ๊บ ENCONCEPT ภาษาไทยและสังคมศึกษา โดย อ.ปิง คณิตศาสตร์ 1 โดยพี่แท็ป OnDemand ฟิสิกส์ โดยพี่เต้ย OnDemand คณิตศาสตร์ 2 โดยพี่โดนัท OnDemand เคมี โดยพี่เคน OnDemand และชีววิทยา โดยพี่วิเวียน OnDemand ออกอากาศแล้วทางช่องทรูปลูกปัญญา ทรูวิชั่นส์ 37 / HD 111 ทุกวันเวลา 19.30 น. นอกจากนี้ น้องๆ ยังสามารถติดตามรายการสอนศาสตร์ และดูคลิปย้อนหลังได้ที่แอปพลิเคชันทรูปลูกปัญญา
อีกหนึ่งไฮไลท์ เตรียมความพร้อมสอบอย่างมั่นใจ ที่ทรูปลูกปัญญาจัดให้ คือ Pre-Test A-LEVEL ที่รวบรวมชุดข้อสอบเสมือนจริงสำหรับการสอบวิชา A-LEVEL ให้น้องๆ ได้ฝึกทำข้อสอบออนไลน์ แบบจับเวลา พร้อมรับ Report วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง เพื่อวางแผนติวเพิ่มเติมได้ อีกทั้ง ยังรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้แก่น้องๆ ทั้งการเลือกวิชาที่จะสอบ การตั้งเป้าคะแนน การเตรียมความพร้อมสอบ ช่วยวางแผนการอ่านหนังสือและการสอบได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ น้องๆ ยังสามารถดูปฏิทิน TCAS68 ตลอดจนรายละเอียดข้อมูลครบทุกขั้นตอนของการสมัครสอบและตารางสอบ A-LEVEL แบบอัปเดทล่าสุด ไม่พลาดทุกสเต็ปสำคัญ พร้อมคำแนะนำในการเตรียมเอกสารและขั้นตอนการสมัครอย่างละเอียด
ดาวน์โหลดแอปทรูปลูกปัญญาได้แล้ววันนี้ ที่ www.trueplookpanya.com/go/app แถมใช้ฟรี ไม่เสียค่าเน็ต เมื่อใช้งานผ่านทรูมูฟ เอชด้วยนะ...แล้วมาเริ่มต้นการเตรียมสอบอย่างตรงจุด เพิ่มโอกาสพิชิตเป้าหมายมหาวิทยาลัยในฝันไปด้วยกัน
เคทีซีขานรับโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ร่วมมือแพลตฟอร์มออนไลน์ ช้อปปี้-ลาซาด้า-ติ๊กต่อก จัดส่วนลดพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” และยังสามารถนำใบเสร็จรับเงินจากการซื้อสินค้าตั้งแต่วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อประกอบการลดหย่อนภาษีส่วนบุคคล
นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งความรัก และยังเป็นเดือนสุดท้ายของการจัดโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ของภาครัฐเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ เคทีซียินดีมอบสิทธิพิเศษผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของพันธมิตร เพื่อส่งความสุขและความคุ้มค่าให้กับสมาชิกทุกการใช้จ่ายกับบัตรเคทีซี และคาดว่าในปี 2568 นี้ยอดใช้จ่ายออนไลน์ผ่านบัตรเครดิตเคทีซีจะเติบโต 15%”
สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกเคทีซีมีดังนี้ รับส่วนลดสูงสุด 1,500 บาท เมื่อใช้จ่ายบนแอปฯ ช้อปปี้ (Shopee) ตั้งแต่ 12,000 บาทขึ้นไป และชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่า หรือบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด พร้อมเลือกชำระแบบผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน (สำหรับสินค้าและร้านค้าที่ร่วมรายการ) หรือรับส่วนลด 300 บาท เมื่อช้อปครบ 2,000 บาทในหมวด Shopee Mall และกรอกโค้ดส่วนลดก่อนชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด หรือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ด” รับส่วนลดสูงสุด 1,200 บาท เมื่อช้อปบนแอปฯ ลาซาด้า (Lazada) ตั้งแต่ 11,999 บาทขึ้นไป หรือรับส่วนลด 500 บาท เมื่อช้อป 3,999 บาท และชำระด้วยบัตรเคทีซี มาสเตอร์การ์ด โดยสมาชิกสามารถเก็บโค้ดส่วนลดบนแอป Lazada รับส่วนลด 50 บาท เมื่อใช้จ่ายบน TikTok Shop ผ่านบัตรเคทีซี ยูเนี่ยนเพย์ ตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป โดยไม่ต้องกรอกโค้ดส่วนลด ดูรายละเอียดโปรโมชันช้อปออนไลน์เพิ่มเติมได้ที่ www.ktc.co.th/promotion/online/shopping/e-commerce ทั้งนี้ สมาชิกบัตรเคทีซีที่ซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในหมวดที่ภาครัฐกำหนด ยังสามารถนำใบกำกับภาษีไปใช้ลดหย่อนภาษีในปี 2569 ได้ในโครงการ Easy E-Receipt 2.0 โดยแนะนำให้ทักแชทแจ้งความประสงค์ขอใบกำกับภาษีกับแต่ละแพลตฟอร์มก่อนชำระเงิน

สมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card สมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD หรือติดต่อ KTC PHONE โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี สำหรับผู้ถือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว