

“การท่องเที่ยวทางทะเลและชายหาด” เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังได้รับความนิยมจากทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นอย่างมาก
จากการที่การท่องเที่ยวทางทะเลและชายหาดของประเทศไทยมีความหลากหลายและความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยมีความน่าสนใจทั้งทางด้านทรัพยากรทางธรรมชาติ รูปแบบการจัดกิจกรรมตามแนวชายหาด และแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงต่างๆ ซึ่งเป็นที่สนใจสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีหลากหลายและมีความต้องการเฉพาะในแต่ละพื้นที่ ส่งผลให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2567 อย่างต่อเนื่อง เกิดการสร้างรายได้ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและเกิดการพัฒนาเชิงพื้นที่บนพื้นฐานบริบทด้านการท่องเที่ยวของประเทศ
โดยรัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญกับการท่องเที่ยวของประเทศ จึงได้กำหนดกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561- 2580) มีวิสัยทัศน์ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพชั้นนำของโลก ที่เติบโตอย่างมีดุลยภาพบนพื้นฐานความเป็นไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และกระจายรายได้สู่ประชาชนทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพระดับโลก

การที่จะบรรลุวิสัยทัศน์และเป้าหมายดังกล่าวนั้น วิธีการที่ทั่วโลกให้การยอมรับและเชื่อถือนั่นก็คือ การตรวจประเมินและรับรองคุณภาพมาตรฐานด้านการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้แหล่งท่องเที่ยวเกิดการพัฒนา เพื่อยกระดับคุณภาพพื้นที่ท่องเที่ยวให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักรับรองระบบคุณภาพ (สรร.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ในฐานะหน่วยรับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย และกรมการท่องเที่ยว ได้ร่วมกันยกระดับแหล่งท่องเที่ยวประเภทชายหาดสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ผ่านกระบวนการตรวจประเมินและรับรองมาตรฐานที่สอดคล้องตามมาตรฐาน ISO เพื่อการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
โดยได้ดำเนินการ ตรวจประเมินและรับรองตามมาตรฐาน ISO 13009: 2015 Tourism and related services — Requirements and recommendations for beach operation ซึ่งมาตรฐานนี้เป็นมาตรฐานด้านการจัดการชายหาดเพื่อการท่องเที่ยวทั้งในพื้นที่ที่มีหน่วยงานกำกับดูแลตามกฎหมายหรือผู้ประกอบการเอกชนซึ่งมีพื้นที่ติดแนวชายหาดสาธารณะ
ทั้งนี้มาตรฐานดังกล่าว มุ่งเน้นการดำเนินงานด้านการบริการ ด้านความปลอดภัย ความถูกสุขลักษณะสำหรับนักท่องเที่ยวและเป็นการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งมาตรฐานฉบับนี้ยังมีส่วนช่วยให้องค์กรที่ผ่านการรับรอง เกิดการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ตามเป้าหมายที่ 8, 11, 14 และ 15 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ช่วยให้การท่องเที่ยวประเภทชายหาดเกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ปัจจุบัน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย โดย สำนักรับรองระบบคุณภาพ สามารถให้บริการตรวจประเมินและรับรองมาตรฐาน ISO 13009 : 2015 สำหรับหน่วยงานกำกับดูแลพื้นที่ชายหาดหรือผู้ประกอบการเอกชนที่มีพื้นที่บริการติดกับแนวชายหาดสาธารณะ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นสำหรับนักท่องเที่ยวและสร้างความน่าเชื่อถือในการมีส่วนร่วมดูแลทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ชายหาดสาธารณะ
ผลการดำเนินงานในปี 2567 มีแหล่งท่องเที่ยวประเภทชายหาดจำนวน 11 ชายหาด ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 13009 : 2015 เป็นแห่งแรกของประเทศไทย ได้แก่
1.หาดพัทยา เมืองพัทยา
2.หาดน้ำใส หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ
3.หาดบิเละ (เกาะห้อง) อุทยานแห่งชาติแห่งชาติธารโบกขรณี
4.อ่าวมาหยา อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี
5.หาดป่าตอง เทศบาลเมืองป่าตอง
6.หาดเล็ก อุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่
7.หาดท้ายเหมือง (พื้นที่ลานพลับพลึงและปาง) อุทยานแห่งชาติหาดท้ายเหมือง-เขาลําปี
8.หาดเกาะสี่ อุทยานแห่งชาติสิมิลัน
9.หาดไม้งาม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์
10.หาดเกาะละวะใหญ่ อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา
11.พื้นที่บริการนักท่องเที่ยวหลังแนวชายหาดสาธารณะ โรงแรมลองบีช การ์เด้น โฮเต็ล แอนด์ สปา พัทยา

จากการดำเนินงานของ สำนักรับรองระบบคุณภาพ วว. ที่กล่าวมาข้างต้น นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่สามารถยกระดับด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ชายหาด ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมระดับโลก สู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนด้วยมาตรฐานระดับสากล ซึ่งจะช่วยกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรมให้กับคนในท้องถิ่น พร้อมๆ กับการส่งเสริมประสบการณ์ที่มีคุณค่ากับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอย่างเป็นรูปธรรม
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและรับบริการจาก สำนักรับรองระบบคุณภาพ (สรร.) วว. ติดต่อได้ที่ call center โทร. 0 2577 9000 ต่อ 9373 (คุณธนกร สุขกลับ, คุณเอก เอื้อตระการวิวัฒน์) E-mail This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. และ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือที่ระบบบริการลูกค้า “วว. JUMP”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์ทดสอบและมาตรวิทยา (ศทม.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนา ฟรี ! ในงาน Thailand Industrial Fair 2025 เพื่อเสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย ในธีม “ร่วมค้นหาเทคโนโลยีที่ใช่ แนวคิดทางธุรกิจที่ชอบ” โดยเป็นงานแสดงเครื่องจักรอัตโนมัติ เครื่องจักรอุตสาหกรรม เครื่องจักรบรรจุภัณฑ์ โซลาร์เซลล์ หลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบจัดเก็บสินค้า บริการด้านโลจิสติกส์ อุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุ ณ ไบเทค บางนา จำนวน 2 หัวข้อ ดังนี้

ทิพยตะกาฟุล ได้รับความไว้วางใจจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย โดยท่านจุฬาราชมนตรี (นายอรุณ บุญชม) ให้ทิพยตะกาฟุลรับประกัน “ตราสัญลักษณ์ฮาลาล (Halal Logo)” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการขอใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ฮาลาลสำหรับการส่งออกไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย (SASO CoC) โดยมี ดร.อาลี คาน รองเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รับมอบสัญญาตะกาฟุลจากนายกฤษฎา กิตติพรไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์ขยายงานการรับประกันภัยตะกาฟุล ณ สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
ทิพยตะกาฟุลถือเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่สามารถให้บริการรับประกันภัยตามหลักศาสนาอิสลามได้อย่างถูกต้อง และได้รับการยอมรับจากบริษัทรับประกันภัยต่อ (Re Takaful) อย่างครบถ้วน
แอมเวย์ประเทศไทย จัดอีเวนต์ใหญ่ชวนผู้สนใจมาสัมผัสประสบการณ์ผลิตภัณฑ์สุขภาพพร้อมดีลสุดคุ้ม ในงาน “แอมเวย์ เอ็กซ์โป 2568” (AMWAY EXPO 2025) เปิดเส้นทางสู่ “สุข” ทุกมิติ ด้วยแนวทางการสร้างสุขภาพและสุขภาวะที่ดีเพื่อนำไปสู่การมี Healthspan ที่ยืนยาว เต็มอิ่มกับความรู้ด้านสุขภาพและกิจกรรมในโซนต่าง ๆ อาทิ โซนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์ กับกิจกรรม Health Check-in ประเมินสุขภาพโดยรวมจากการรับประทาน กิจกรรมแชะแล้วแชร์กับน้อง Good Morning Mascot สุดน่ารัก โซนโปรแกรมผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนักและโปรแกรมฟิตเนสเอ็กซ์เอส กับกิจกรรมตรวจวัดองค์ประกอบและทดสอบสมรรถภาพทางกาย โซนผลิตภัณฑ์อาร์ทิสทรี กับกิจกรรมสอนแต่งหน้าแบบ Day & Night Look โซนเครื่องกรองน้ำอีสปริงและเครื่องกรองอากาศแอทโมสเฟียร์ กับสาธิตการกรองน้ำและการกรองอากาศที่สะอาดมีคุณภาพ และอีกมากมาย ห้ามพลาดกับงานมหกรรมสุขภาพที่แอมเวย์ยกทัพเสิร์ฟการมีสุขภาพและสุขภาวะที่ดี (Health & Wellbeing) ให้คุณแบบจุใจ
พบกันวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 9.00-16.00 น. และวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00-17.00 น. ที่อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.amway.co.th/amway-expo-2025
ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ เผยยอดขายอีโค่แท็งค์ ทะลุ 100 ล้านเครื่องทั่วโลก โดยเอปสันเป็นรายแรกที่ผลิตเครื่องพิมพ์ระบบแท็งค์แท้ออกสู่ตลาดตั้งแต่ปี 2553 ที่ ประเทศอินโดนีเชีย และปัจจุบันมีการขายในกว่า 170 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก พร้อมเปิดตัว EcoTank L8100 เครื่องพิมพ์สำหรับพิมพ์ภาพระดับมืออาชีพ
อีโค่แท็งค์ (EcoTank) เครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ความจุสูงของเอปสัน ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดเกิดใหม่ ด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและรูปแบบการขายที่แตกต่างจากเครื่องพิมพ์แบบเดิม นับตั้งแต่เปิดตัว เอปสันได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจเครื่องพิมพ์อย่างสิ้นเชิง และเป็นผู้นำในตลาดอิงค์แท็งค์อย่างแท้จริง
ปัจจุบัน เอปสันยังครองตำแหน่งเจ้าตลาดอิงค์แท็งค์พรินเตอร์ ด้วยส่วนแบ่งประมาณ 45% ของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับสำนักงานและการใช้ภายในบ้านทั่วโลก โดยเอปสันยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของโลกในกลุ่มเครื่อง พิมพ์อิงค์แท็งค์ความจุสูงได้อย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จนี้เกิดจากการยอมรับอย่างกว้างขวางจากลูกค้าในเรื่องคุณ สมบัติของเครื่องพิมพ์ที่ช่วยลดต้นทุนการพิมพ์ ลดความยุ่งยากในการเปลี่ยนหมึก และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับกระแสความตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความสำเร็จในการจำหน่ายเครื่องพิมพ์ EcoTank มากกว่า 100 ล้านเครื่องทั่วโลก ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่สำคัญถึงความไว้วางใจจากผู้ใช้งานของเอปสันในทุกภูมิภาครวมถึงในประเทศไทย เอปสันยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะมอบทั้งความคุ้มค่า การใช้งานที่ยืดหยุ่น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และขอขอบ คุณลูกค้าทุกท่านที่เชื่อมั่นในเอปสัน เราจะยังคงนำเสนอนวัตกรรมที่ยั่งยืนต่อไป”

ในโอกาสแห่งความสำเร็จนี้ เอปสันยังได้เปิดตัว EcoTank L8100 โซลูชันการพิมพ์ภาพถ่ายที่ตอบโจทย์คนรักการถ่ายภาพ ด้วยคุณภาพการพิมพ์ที่เหนือกว่าและความเร็วในการพิมพ์ที่เพิ่มขึ้น จากความต้องการพิมพ์ภาพถ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดการพิมพ์ภาพถ่ายมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.6% ตั้งแต่ปี 2567 ถึง 2575 โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุด โดยปัจจัยหลักมาจากความต้องการพิมพ์ภาพส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความนิยมในแอปพลิเคชันสำหรับถ่ายภาพและแก้ไขภาพบนสมาร์ทโฟน เพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว เอปสันได้เปิดตัว EcoTank L8100 ที่ต่อยอดจากรุ่น L850 ให้คุณภาพงานพิมพ์ระดับมืออาชีพ ด้วยระบบแท็งค์หมึกแบบ 6 สี หัวฉีด 180 หัวฉีดต่อสี (เพิ่มขึ้นสองเท่าจากรุ่น L850) ทำให้ได้ภาพที่ความคมชัดสูง มีการไล่เฉดสีที่สมูท และลดเม็ดสีที่เห็นได้ในงานพิมพ์ ความเร็วในการพิมพ์ก็โดดเด่นเช่นกัน สามารถพิมพ์ภาพถ่ายขนาด A4 แบบไร้ขอบได้เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 2 เท่า ใช้เวลาเพียง 64 วินาที ดีไซน์กะทัดรัดกว่าเดิม มีขนาดเล็กลงถึง 30% รองรับการพิมพ์ผ่านแอปพลิเคชัน Epson Smart Panel และฟังก์ชันการพิมพ์ผ่านมือถือ พร้อมการเชื่อมต่อที่หลากหลาย เช่น Wi-Fi, Wi-Fi Direct และ USB นอกจากการพิมพ์ภาพถ่าย เครื่องรุ่นนี้ยังรองรับการพิมพ์บัตร PVC/ID และการพิมพ์บนแผ่น CD/DVD โดยสามารถสั่งพิมพ์ผ่านแอป Epson Photo+ หรือแผงควบคุมโดยตรง และด้วยเทคโนโลยี Heat-Free ของเอปสัน ช่วยประหยัดพลังงานในการพิมพ์ได้มากถึง85% ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกด้วย พร้อมการรับประกัน
2 ปี หรือ 50,000 แผ่น ขึ้นกับระยะใดถึงก่อน
หลายปัจจัยที่อาจทำให้ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางธุรกิจที่ไม่อาจควบคุมได้ เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน มลพิษทางอากาศ น้ำท่วม รวมถึงการเกิดโรคระบาด ซึ่งยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องรับมือ ล่าสุดเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ได้รวบรวม 5 แนวทางสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและก้าวข้ามความท้าทายไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ดังนี้
เริ่มกันที่การวางแผนธุรกิจและบริหารความเสี่ยง ผู้ประกอบการ MSMEs ควรเริ่มต้นด้วยการประเมินปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การขาดแคลนวัตถุดิบ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค การจัดสรรเงินทุนสำรองเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าสถานที่ หรือค่าจ้างพนักงานการพัฒนาซัพพลายเชนสำรอง (Backup Supply Chain) การวางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) เช่น การสร้างแผนสำรองการจัดการซัพพลายเชน หรือการกำหนดขั้นตอนฟื้นฟูธุรกิจ

ถัดมาคือ การกระจายความเสี่ยงในธุรกิจ เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยลดความเปราะบาง โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากแหล่งเดียว การพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงที เช่น การขายสินค้าสุขภาพหรือสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในช่วงโรคระบาด ถือเป็นทางเลือกที่เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ การสำรวจตลาดใหม่ โดยเฉพาะการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถกระจายความเสี่ยงและขยายโอกาสในการเติบโตจากตลาดท้องถิ่นสู่ตลาดระดับประเทศได้อย่างรวดเร็ว
การเข้าร่วมเครือข่ายและความร่วมมือ การเข้าร่วมในกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจทั้งภาครัฐ และ เอกชน เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ MSMEs โดยการ เสริมการเข้าถึงข้อมูลด้านต่าง ๆ เช่น ข้อมูลด้านการตลาด การบริหารความเสี่ยง จากการการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ รวมถึงการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนจากวิสาหกิจชุมชน หน่วยงานในพื้นที่ หรือการขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น ยังช่วยเปิดโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การดูแลพนักงานและลูกจ้าง เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่กลุ่ม MSMEs ควรให้ความใส่ใจเป็นอย่างมากเพราะการดูแลพนักงานให้มีสุขภาพกายและจิตที่ดีไม่เพียงช่วยสร้างความมั่นใจและความทุ่มเท แต่ยังส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่ดีอีกด้วย การป้องกันด้วยประกันภัยและแผนสำรอง เป็นตัวช่วยในการลดความเสี่ยงทางการเงินจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือ โรคระบาด รวมถึงการทำประกันสุขภาพสำหรับพนักงานช่วยสร้างความเชื่อมั่น และซึ่งสวัสดิการด้านสุขภาพนั้นนอกจากจะช่วยดึงดูดให้คนอยากมาร่วมงานกับองค์กรแล้ว ยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย ช่วยให้พนักงานและลูกจ้างเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ช่วยป้องกันและลดผลกระทบระบาดหรือแพร่เชื้อ ขณะที่ประกันภัยความเสียหายทางธุรกิจ เช่น ประกันอัคคีภัย หรือประกันภัยทรัพย์สิน ช่วยป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ช่วยให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วและลดผลกระทบทางการเงินในระยะยาว

และสุดท้าย การปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัล และส่งเสริมทักษะใหม่ เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญในการวางแผนธุรกิจในยุคปัจจุบันทำให้ MSMEs จะเห็นได้ว่าในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 และการล็อกดาวน์ที่ผ่านมาผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวได้เร็ว และเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น อีคอมเมิร์ซ โซเชียลมีเดีย หรือฟู้ดเดลิเวอรี่ สามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าและลดผลกระทบจากการล็อกดาวน์ได้ การลงทุนในระบบจัดการข้อมูล ซอฟต์แวร์คลาวด์ และช่องทางชำระเงินออนไลน์ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเสริมความคล่องตัวให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว การฝึกให้พนักงาน หรือลูกจ้างเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และปรับตัวอยู่เสมอ เช่น การพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี การตลาดออนไลน์ และการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกัน การติดตามแนวโน้มของตลาดและการใช้ข้อมูลเชิงลึกในการวางกลยุทธ์ ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที เสริมความยืดหยุ่นและสร้างโอกาสในการเติบโตและรักษาความสำเร็จในระยะยาว
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สานต่อความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนความยั่งยืนสู่สังคมอย่างเป็นรูปธรรม มอบรางวัลแก่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ 3 ราย ได้แก่ เชิดชัย ออโต้เฮาส์ มิลเลนเนียม ออโต้ และเพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ในการประกวด Dealer Sustainability Awards 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม สนับสนุนผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยู และมินิอย่างเป็นทางการที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยเหลือสังคม
การประกวด Dealer Sustainability Awards 2024 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 'CHOICEISYOURS 2024' ซึ่งจัดขึ้นมาเป็นเวลาสามปีติดต่อกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมศักยภาพให้กับผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูอย่างเป็นทางการ ในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม รวมถึงพนักงาน ผ่านแนวคิดนวัตกรรมความยั่งยืนที่พัฒนาไปสู่การลงมือปฏิบัติจริงจนมีผลลัพธ์อันเป็นที่ประจักษ์ ครอบคลุม 4 หัวข้อ ได้แก่ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แนวคิดทรัพยากรหมุนเวียน การมีส่วนร่วมของพนักงาน และการช่วยเหลือสังคม โดยตัดสินภายใต้เกณฑ์ตามหลักการ ESG หรือแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน 3 ปัจจัยหลัก คือ ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance)
มร. เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เชื่อว่าการก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง เครือข่ายผู้จำหน่ายถือเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการขับเคลื่อนความมุ่งมั่นนี้ รางวัล Dealer Sustainability Awards 2024 ก็สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่เรามีร่วมกันในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับความยั่งยืนในประเทศไทย และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคมไทยได้ ผมขอแสดงความชื่นชมแก่ผู้จำหน่ายทั้งสามรายที่ได้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืน สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ความสำเร็จด้านธุรกิจจะต้องเกิดขึ้นควบคู่ไปกับความยั่งยืน และผู้จำหน่ายของเราก็ได้เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ถึงเป้าหมายในด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป"
สำหรับผู้จำหน่ายที่ได้รับรางวัล Dealer Sustainability Awards 2024 ในแต่ละหมวดหมู่ ได้แก่:
รางวัลยอดเยี่ยมด้านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Outstanding Circularity Initiatives) โครงการ “ReVolt” โดยเชิดชัย ออโต้เฮาส์

เชิดชัย ออโต้เฮาส์ เป็นผู้บุกเบิกแนวทางการจัดการแบตเตอรี่แบบหมุนเวียนด้วยโครงการ "ReVolt" โดยทำงานร่วมกับ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พัฒนาโซลูชันเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วให้กลับมามีประโยชน์ใหม่ ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ และนำเสนอโซลูชั่นที่ใช้งานได้จริง โครงการดังกล่าวประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญคือ การปรับสภาพแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้สามารถรองรับการชาร์จเร็วในพื้นที่ชนบทที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าต่ำ การจัดหาแบตเตอรี่ให้กับสถานพยาบาลในระดับตำบลเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองสำหรับตู้เย็นเก็บยา โซลูชั่นการชาร์จเคลื่อนที่กับการรวมแบตเตอรี่เข้ากับระบบการชาร์จเคลื่อนที่ที่ติดตั้งบนรถพ่วง เพื่อช่วยเหลือรถยนต์ไฟฟ้าที่แบตเตอรี่หมดระหว่างการเดินทาง ทำหน้าที่เป็นสถานีชาร์จแบบพกพา และระบบกักเก็บพลังงานสำหรับอุตสาหกรรมและบ้าน โดยนำแบตเตอรี่จากรถยนต์ไฟฟ้าเก่ามาใช้ใหม่สำหรับระบบกักเก็บพลังงานในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลดความต้องการพลังงานสูงสุด รวมถึงปรับเปลี่ยนให้ใช้ในที่อยู่อาศัยได้ ช่วยจัดการพลังงานในบ้านและส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน
รางวัลยอดเยี่ยมด้านการสร้างประโยชน์แก่สังคม (Outstanding Societal Impact Initiatives) โครงการ “Giving Something Good: Give Back to Society” มิลเลนเนียม ออโต้

มิลเลนเนียม ออโต้ สร้างความแตกต่างที่จับต้องได้ในชุมชนด้วยโครงการ "Giving Something Good" ด้วยการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่และการจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น โดยนำปฏิทินเก่ารวม 1,000 เล่ม ไปรีไซเคิลเพื่อทำหนังสืออักษรเบรลล์สำหรับผู้พิการทางสายตาในมูลนิธิต่าง ๆ รวบรวมขวดพลาสติกไม่ใช้แล้ว 3,200 ขวด บริจาคให้กับวัดจากแดง เพื่อเปลี่ยนขวดพลาสติกให้เป็นเส้นใย แล้วทอเป็นจีวรมอบให้พระภิกษุ และการนำสิ่งของจำเป็นมือสองที่ได้จากการร่วมบริจาค ไปจำหน่ายต่อเพื่อสร้างทุนการศึกษา
รางวัลยอดเยี่ยมด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โครงการ “Project South Pole” จาก เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส

เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย "Project South Pole" ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ลดการใช้กระดาษมาเป็นนามบัตรดิจิทัล การนำแพลตฟอร์ม Kube มาใช้ด้วยแบบฟอร์มดิจิทัลแทนการใช้แบบฟอร์มกระดาษ เพื่อลดทั้งการใช้กระดาษและลดคาร์บอน
รางวัลยอดเยี่ยมด้านการมีส่วนร่วมของพนักงาน โครงการ “Great Strength Comes From Within” จาก เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส

เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ส่งเสริมวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ที่ดีในหมู่พนักงานด้วยโปรแกรม "Great Strength Comes From Within" ส่งเสริมให้พนักงานมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี ผ่านกิจกรรมกีฬา คำแนะนำด้านโภชนาการจากผู้เชี่ยวชาญ และการจัดการน้ำหนัก ส่งผลให้พนักงานมีความกระฉับกระเฉง สุขภาพแข็งแรง ลูกค้าสัมผัสได้ถึงพลังบวกจากภายใน
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับประเทศไทย ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยได้ดำเนินการร่วมกับหลายภาคส่วนเพื่อส่งเสริมการตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการ CHOICEISYOURS มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 ทั้งสำหรับเครือข่ายผู้จำหน่ายของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และการร่วมมือกับอีก 7 องค์กรชั้นนำ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนให้แก่นิสิตนักศึกษา ได้แก่ กลุ่มเซ็นทรัลและมูลนิธิชัยพัฒนา ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เอสซีจี โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ และ บางจาก คอร์ปอเรชัน