

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิดงาน “สืบศิลป์ สานสร้าง นวัตกรรมผ้าบาติก” ซึ่งเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมของจังหวัด ส่งเสริมการใช้ประโยชน์งานด้าน การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) เพื่อพัฒนาผ้าบาติกในพื้นที่จังหวัดปัตตานี โดยมีนางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี คณะผู้บริหารกระทรวง อว. และหน่วยงานในพื้นที่เข้าร่วมเป็นเกียรติ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ณ วิทยาลัยชุมชนบาติกโมเดล จังหวัดปัตตานี

โอกาสนี้ ดร.จิตรา ชัยวิมล รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์และจัดการนวัตกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) พร้อมคณะ ร่วมลงพื้นที่พร้อมนำเสนอแนวทางการพัฒนาพื้นที่ Area- Based ของ วว. ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยมี นางสาวมาลินี ลี้กระจ่าง นักวิจัย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ วว. ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้การใช้ประโยชน์วัตถุดิบท้องถิ่นสำหรับใช้เป็นสีย้อมผ้าและจัดแสดงผลงานวิจัยด้านเทคโนโลยีการผลิตผงสีจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น สีจากเปลือกมังคุด และเทคโนโลยีการผลิตสีย้อมผ้าสะท้อนความร้อนด้วยเมล็ดสีดินลูกรัง ซึ่งเป็นการพัฒนานวอัตลักษณ์ เพื่อยกระดับชุมชนนวัตกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยใช้วัตถุดิบที่มีและผลิตขึ้นในพื้นที่ โดยนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของ วว.ตลอดจนศักยภาพในการบริหารจัดการเข้าไปช่วยตอบโจทย์ให้พี่น้องประชาชน ทั้งในแง่การเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรพื้นถิ่นสู่การพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสร้างโอกาส สร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม
“บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด” (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง “ธนาคารไทยพาณิชย์” ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกของประเทศ และ “จูเลียส แบร์” (Julius Baer) ผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชั้นนำระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และผู้ให้บริการธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้งที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย ประกาศแต่งตั้ง นายเอเดรียน เมซซินาวเออร์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด คนใหม่ เพื่อนำทัพไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ สู่ผู้นำที่มีความเป็นเลิศด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรของเมืองไทย โดยก่อนหน้านี้ นายเอเดรียน ดำรงตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายการบริหารความมั่งคั่ง บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด
นายเอเดรียน มีประสบการณ์ และบทบาทสำคัญในฐานะผู้บริหารระดับสูงให้กับหลายสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงระดับโลกกว่า 25 ปี โดยร่วมงานกับ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทในปี 2562 ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายการบริหารความมั่งคั่ง ด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแนวทางที่สร้างสรรค์ในการวางแผนบริหารความมั่งคั่งให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย
ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ นายเอเดรียนจะเป็นผู้กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ รวมถึงนำทัพทีมดูแลลูกค้าและทีมปฏิบัติการของไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ เพื่อสร้างการเติบโต และตอกย้ำบทบาทผู้นำที่มีความเป็นเลิศด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงของเมืองไทย
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการประกาศแต่งตั้งนายเอเดรียน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ ด้วยประสบการณ์การทำงานด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งจากทั่วโลกกว่า 25 ปี ผสานกับความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความเข้าใจด้านภูมิทัศน์การบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง รวมถึงความทุ่มเทในการทำงานของ นายเอเดรียน จะสามารถสร้างการเติบโตให้ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูง พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรในเมืองไทยที่สามารถดูแลและให้บริการแก่ลูกค้าแบบมืออาชีพที่ได้มาตรฐานระดับโลก ตอกย้ำความมุ่งมั่น “Your legacy. Our promise.” ของ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์”
มร.จิมมี่ ลี (Jimmy Lee) ประธานประจำภาคพื้นเอเชีย จูเลียส แบร์ และกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด เปิดเผยว่า “การแต่งตั้งนายเอเดรียน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้บริการลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย จากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับโลก และแนวทางในการบริหารงานแบบที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางของนายเอเดรียน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในฐานะผู้นำด้านบริหารความมั่งคั่งในภูมิภาค พร้อมทั้งขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย”
งานหลังคาเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของงานก่อสร้างอาคารทุกประเภท ปัจจุบันหลังคาเมทัลชีทที่มีการนำน้ำยาพียูโฟม (PU Foam) มาฉีดเป็นฉนวนหรือ “หลังคาพียู” เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมมากขึ้นและถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เพราะสามารถช่วยลดความร้อนสะสมในอาคารได้มากกว่าการติดตั้งหลังคาเมทัลชีทโดยไม่มีฉนวน ช่วยลดค่าไฟฟ้าจากการใช้งานเครื่องปรับอากาศลดลง และช่วยซับเสียงดังเวลาฝนตก เนื่องจากโฟมพียูในหลังคาเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาจากฉนวนที่ใช้ในตู้เย็น ทำให้มีประสิทธิภาพกันความร้อนได้ดีที่สุด มีน้ำหนักเบา ไม่เป็นภาระกับโครงสร้างหลังคามากเกินไป อีกทั้งติดตั้งง่าย และมีความสวยงามไม่น้อยกว่าวัสดุหลังคาประเภทอื่น อย่างไรก็ตามแม้โฟมพียูในหลังคาเมทัลชีทจะดูเหมือนๆ กัน แต่แท้จริงแล้วโฟมพียูของผู้ผลิตแต่ละรายนั้นมีความแตกต่างกันทั้งในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพการเป็นฉนวน ขึ้นอยู่กับสารเคมีในน้ำยาที่ใช้ฉีด
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) บริษัทด้านวัสดุศาสตร์ชั้นนำของโลก คำนึงถึงความสำคัญของคุณภาพของโฟมโพลียูริเทน หรือ โฟมพียูที่เป็นส่วนประกอบในการผลิตหลังคาพียู จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมที่มีคุณภาพสูง เพื่อตอบโจทย์การผลิตและการใช้งานหลังคาที่หลากหลาย โดยผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมของ Dow มีคุณสมบัติสำคัญที่โด่ดเด่นและเป็นผู้นำตลาดในด้านการเป็นฉนวนที่มีประสิทธิภาพสูงในการกันความร้อนและเสียงรบกวน โฟมพียูที่ฉีดขึ้นรูปจึงมีลักษณะเนื้อแข็ง ที่สำคัญ Dow ได้ใส่สารกันลามไฟในผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมทุกเกรดที่วางจำหน่าย ช่วยเพิ่มคุณสมบัติความหน่วงระยะเวลาในการลุกลามไฟกรณีเกิดติดไฟ ผลิตภัณฑ์ของ Dow จึงได้รับความนิยมอย่างสูงในอุตสาหกรรมการผลิตหลังคาพียู

ปัจจุบัน กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมสำหรับฉีดหลังคาของ Dow ภายใต้เครื่องหมายการค้า “โวราคอร์” (VORACOR™) มีอยู่ด้วยกันถึง 4 เกรด ให้เจ้าของโครงการหรือผู้รับเหมาได้เลือกใช้ตามความต้องการ ตั้งแต่การก่อสร้างขนาดใหญ่ อย่างโรงงาน คอมมูนิตี้ มอลล์ อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ โรงเรียน บ้านเดี่ยวทรงโมเดิร์น และทาว์นโฮม จนถึงงานก่อสร้างขนาดเล็ก เช่น ร้านค้าขนาดเล็กและการต่อเติมครัว หรือ โรงจอดรถ โดยผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมของ Dow ทั้ง 4 เกรดมีรายละเอียด ดังนี้

VORACOR™ CM 1040 เหมาะกับผู้ที่ต้องการโฟมคุณภาพสูง ต้องการหลังคาพียูเพื่อไปใช้ในงานโปรเจคใหญ่ ๆ เช่น สร้าง คอมมูนิตี้ มอลล์ ร้านสะดวกซื้อ โรงงาน หรืออาคาร เป็นเกรดสูงสุดของ Dow เป็นโฟมที่เรียกว่าเซลล์ปิด มีความหนาแน่นและแข็งมากที่สุด กันความร้อนได้ดีกว่าโฟมเซลล์เปิด เนื่องจากไม่มีช่องอากาศให้ไอร้อนผ่านไปได้ เนื้อโฟมมีความแข็งกว่าแบบเซลล์เปิด จึงมีความทนทานกว่า ใช้งานได้นานกว่า

VORACOR™ CM 1076/1077 เหมาะกับงานที่ต้องการโฟมที่ยังกันความร้อนได้ดี เช่น ทำหลังคาบ้าน โรงจอดรถ คาเฟ่ ร้านอาหารต่างๆ เป็นโฟมเซลล์ปิด เนื้อโฟมแข็งสวยงาม แต่ใช้น้ำหนักฉีดน้อยลง

VORACOR™ CM 1075 เหมาะกับงานที่ต้องการบริหารจัดการต้นทุนให้แข่งขันได้ สำหรับผู้ฉีดหลังคา น้ำยาชนิดนี้ใช้น้ำหนักฉีดน้อยกว่า และเป็นโฟมชนิดเซลล์เปิดที่ยังมีผิวแข็ง

และ VORACOR™ CM 1118 เหมาะกับงานที่เน้นประหยัดต้นทุนเป็นหลัก ใช้สำหรับงานทั่วๆ ไป สำหรับผู้ฉีดหลังคา เกรดนี้เป็นเกรดโฟมเซลล์เปิดที่ใช้น้ำหนักฉีดน้อยที่สุด จึงประหยัดที่สุด และแข่งขันกับตลาดได้
“Dow เป็นผู้ผลิตน้ำยาพียูโฟมที่มีโรงงานผลิตอยู่ในประเทศไทยตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง จึงมีความน่าเชื่อถือสูง สามารถตรวจสอบได้ การที่โรงงานตั้งอยู่ในประเทศไทยทำให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาในการนำเข้าส่งออก อีกทั้งเรายังมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากความเป็นบริษัทระดับโลก มีฝ่ายบริการด้านเทคนิคและทีมวิจัยที่จะช่วยให้คำแนะนำและบริการในการแก้ไขปัญหาการใช้งานต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทันท่วงที ที่สำคัญผลิตภัณฑ์น้ำยาพียูโฟมของ Dow สามารถนำไปใช้ในการผลิตหลังคาพียูของทุกโรงงาน เพราะมีเกรดเฉพาะที่สามารถเข้ากันได้กับสารที่ใช้ประกอบการฉีดโฟม ที่เรียกว่า “สารฟูตัว” แต่ละชนิดในท้องตลาด ผลิตภัณฑ์ VORACOR™ ของ Dow จึงใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก” นายเมธี กฤษณาสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าว
แม้ว่าปัจจุบันตลาดหลังคาพียูจะมีผู้ผลิตและผู้ใช้งานมากขึ้นจนเกิดการแข่งขันด้านราคา และอาจจะเป็นการยากสำหรับผู้บริโภคที่จะเลือกผลิตภัณฑ์โฟมพียูจากการมองด้วยตาเปล่า แต่การเลือกใช้โฟมพียูจากผู้ผลิตหรือแหล่งที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือจะช่วยให้เจ้าของบ้านหรือเจ้าของโครงการก่อสร้างไม่ต้องประสบปัญหาจากหลังคาพียูที่ไม่ได้คุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโฟมที่นิ่มและกันความร้อนได้ไม่ดี หรือเนื้อโฟมนิ่มที่อุ้มน้ำฝนจนเกิดความชื้นสะสมและเชื้อราได้ง่าย ทำให้มีโอกาสเกิดรอยรั่วและน้ำรั่วตามมา ดังนั้น โฟมพียูคุณภาพสูงที่มีความแข็งเพียงพอ สามารถกันความร้อนและลดเสียงได้ดี และให้ความปลอดภัยมากขึ้นจากคุณสมบัติความหน่วงการลามไฟ จึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่ผู้บริโภคจะพิจารณาเลือกนำมาใช้ให้เหมาะสมและเกิดความคุ้มค่าในระยะยาว
เปิดมุมมองการบริหารของหัวเรือใหญ่แห่ง มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กับการดำเนินงานเพื่อสานต่อพันธกิจแห่ง ‘การให้’ ที่ทำให้องค์กรมีแผนการปฏิบัติงานที่ยืดหยุ่นพร้อมปรับตัวให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในทุกยุคสมัยและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้เสมอ มุ่งสู่การให้ที่สร้างความยั่งยืนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พร้อมก้าวสู่การเป็นแนวหน้าในการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้มีความก้าวหน้าทางด้านศักยภาพของการรักษาพยาบาลอย่างยั่งยืน

คุณพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า “มูลนิธิรามาธิบดีฯ ยึดมั่นในพันธกิจเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีในทุกมิติมาโดยตลอด โดยให้ความสำคัญกับการมองหาโอกาสในการสื่อสารเพื่อเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันและเส้นทางที่กลุ่มเป้าหมายสามารถพบเจอได้ ผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเพื่อพัฒนาแคมเปญสร้างสรรค์ที่เข้าถึงกลุ่มคนทุกเจเนอเรชั่นอยู่เสมอ พร้อมสร้างระบบที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในยุคดิจิทัล โดยในปี พ.ศ. 2568 นี้ มูลนิธิฯ ตั้งใจเพิ่มแนวทางการบริจาคที่สร้างสรรค์เพื่อให้ทุกคนสามารถเป็น ‘ผู้ให้’ ได้ง่ายยิ่งขึ้น ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมของการบริจาคที่มักจะมาพร้อมกับความตั้งใจในการทำบุญเท่านั้น มูลนิธิฯ จึงผสาน ‘การให้’ ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนด้วยการเชื่อมโยงกิจกรรมที่สร้างความสุข ความสนุนสนาน และโอกาสในการทำบุญเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ความร่วมมือกับบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เปิดโอกาสให้ผู้ชมสามารถสนุกไปกับละครเวทีและมีส่วนร่วมในการเป็น ‘ผู้ให้’ ในเวลาเดียวกัน เพื่อขับเคลื่อนแคมเปญที่สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ พร้อมส่งต่อเนื้อหาที่สร้างการรับรู้ถึงความจำเป็นในการเปิดรับบริจาคทุนทรัพย์ไปสู่ประชาชนหลากหลายช่วงวัย พร้อมสร้างความตระหนักถึงผลลัพธ์แห่งการบริจาคที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เชื่อว่า ‘การให้’ นั้นทำให้เกิดความสุข และ ‘การให้’ สุขภาพที่ดีแก่ผู้คนจะส่งเสริมให้เกิด ‘ความสุขที่ยั่งยืนแก่ทุกคน’”
สำหรับโครงการที่มูลนิธิรามาธิบดีฯ ให้ความสำคัญในปีนี้ ได้แก่ โครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาพยาบาลผ่านเทคโนโลยีและทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ พร้อมส่งเสริมการบูรณาการทางการแพทย์สำหรับการวิจัยโรคซับซ้อน สู่การเป็นต้นแบบการรักษาในอนาคต เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการดูแลสุขภาพประชาชน โครงการนี้คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประชาชนในปี 2573

โครงการศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยา ศูนย์การแพทย์ที่ก่อตั้งบนพื้นที่ย่านพญาไท โดยมีที่มาจากมูลนิธิรามาธิบดีฯ ที่เล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างเงินทุนหมุนเวียนกลับมาสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคมอย่างยั่งยืน โดยเน้นการให้บริการทางการแพทย์ที่ดูแลร่างกายและจิตใจในเชิงป้องกันเพื่อให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพในทุกช่วงวัย ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในปลายปี 2568

โครงการผู้ป่วยยากไร้ มีวัตถุประสงค์เพื่อระดมเงินบริจาคมาสนับสนุนผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการรักษาพยาบาลให้ได้เข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่ผู้บริจาคให้การช่วยเหลือมากที่สุดอย่างต่อเนื่องทุกปี

นอกจากนี้ มูลนิธิรามาธิบดีฯ ยังให้ความสำคัญกับการสื่อสารถึง ‘ผลลัพธ์จากการให้’ ที่จับต้องได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริจาคและสะท้อนความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยเฉพาะการจัดสรรทุนทรัพย์จากการบริจาคของประชาชนเพื่อสร้างสาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง เช่น การสนับสนุนงบประมาณการบริหารจัดการ การจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ การซ่อมแซมและบำรุงระบบในอาคารสถานที่ของโรงพยาบาลรามาธิบดี รวมถึงสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ โดยเฉพาะอาคารกายวิภาคทางคลินิก (Clinical Anatomy Building) ผ่านการจัดซื้อเครื่องมือการเรียนการสอนที่เป็นสากล เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนรู้กายวิภาคผ่านเทคโนโลยีสามมิติที่ล้ำสมัย เอื้อต่อการเรียนรู้และทบทวนบทเรียน ควบคู่ไปกับการศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ เพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่เต็มเปี่ยมด้วยความสามารถและความเชี่ยวชาญเข้าสู่ระบบสาธารณสุขไทย

นอกจากนี้ มูลนิธิรามาธิบดีฯ พัฒนาช่องทางการสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่มคนที่หลากหลาย ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะ TikTok ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางสนับสนุนของที่ระลึกและมอบความสุขที่เกิดจาก ‘การให้’ โดยเน้นสร้างเนื้อหาที่เข้ากับยุคสมัย ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ได้รู้จักกับมูลนิธิฯ แม้จะยังไม่เคยมีประสบการณ์ตรงกับโรงพยาบาล

สำหรับภาพรวมในการสร้างสรรค์สินค้าของที่ระลึกการกุศลในปี 2567 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะความร่วมมือกับ ‘CryBaby’ ศิลปินไทยที่มีชื่อเสียงในตลาดสากล และในปี 2568 นี้ มูลนิธิฯ จะสานต่อความตั้งใจในการสนับสนุนวงการงานอาร์ตของไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านการขยายโอกาสไปสู่กลุ่มนักออกแบบหน้าใหม่เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับแสดงศักยภาพไปสู่สายตาคนไทยมากขึ้น นอกจากนี้ ความท้าทายจากการติดต่อลิขสิทธิ์ต่างประเทศที่มีฐานแฟนคลับขนาดใหญ่หลากหลายช่วงวัย เช่น Hello Kitty, Sesame Street, Peanuts และ Peter Rabbit โดยคอลเล็กชั่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ คือ เจ้าชายน้อย (The Little Prince)
มูลนิธิรามาธิบดีฯ จะยังคงมุ่งมั่นสานต่อบทบาทของ ‘สะพานแห่งการให้’ โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนด้านการขับเคลื่อนความก้าวหน้าของระบบสาธารณสุขในประเทศไทยอย่างยั่งยืน พร้อมเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ด้วยการปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยอยู่เสมอ พร้อมสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ควบคู่กับการถ่ายทอด ‘ผลลัพธ์จากการให้’ อย่างต่อเนื่องไปสู่กลุ่มผู้บริจาคในทุกเจเนอเรชั่น เพื่อให้กลุ่มผู้บริจาคมีความรู้สึกร่วมของการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย สู่การสร้างสังคมแห่ง ‘การให้’ ที่สามารถสร้างและส่งต่อสาธารณประโยชน์ต่อไปได้อย่างไม่สิ้นสุด

หลังรับตำแหน่งเพียงไม่ถึงเดือน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ดำเนินมาตรการตามนโยบาย America First ซึ่งคำนึงถึงผลประโยชน์ของสหรัฐฯ มาก่อน และสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเข้มงวดผู้อพยพ การหันหลังให้นโยบายสีเขียวและถอนตัวออกจากข้อตกลง Paris Agreement ล่าสุดยังเปิดฉากสงครามการค้ารอบใหม่ (Trade War 2.0) ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 10% และอยู่ระหว่างเจรจากับเม็กซิโกและแคนาดา ภายใต้เงื่อนไขการพิจารณาเพิ่มภาษีนำเข้าจากทั้ง 2 ประเทศ 25% ในเดือนหน้า ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้า 15% สำหรับถ่านหินและ LNG และ 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรทางการเกษตร และรถยนต์บางประเภท รวมถึงจำกัดการส่งออกแร่หายาก โดยสงครามการค้ารอบใหม่จะส่งผลกระทบและมีข้อพึงระวังที่ธุรกิจไทยต้องปรับกลยุทธ์เพื่อเตรียมรับมือ ดังนี้
การค้าโลกในปีนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะจากการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งแม้ว่าอาจมีบางประเทศหรือบางอุตสาหกรรมได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว แต่ภาพรวมของผลกระทบมีแต่จะบั่นทอนสถานการณ์การค้าโลก และทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทยยังคงมีประเด็นที่ต้องติดตามกันอย่างต่อเนื่อง
โดย ฝ่ายวิจัยธุรกิจ
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) จับมือ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก พร้อมด้วย บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก เปิดตัวโครงการ ESG-Linked Foreign Exchange (FX) นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของทั้งสามองค์กรอีกครั้งในการสนับสนุนส่งเสริมด้านความยั่งยืนของประเทศไทย ตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของทั้งสามองค์กรในด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน และยังเป็นการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศเพื่อความยั่งยืนที่สอดคล้องและเป็นไปตามมาตรฐานสากล สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการและความก้าวหน้าของนวัตกรรมด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยอีกด้วย
โครงการ ESG-Linked FX ได้ผสานเอาหลักการและมิติในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เข้ากับการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ โดยเชื่อมโยงเงื่อนไขทางการเงิน อย่างเช่นเรื่องของต้นทุนการประกันความเสี่ยง เข้ากับการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ภายใต้โครงการนี้ ลูกค้าที่ขับเคลื่อนและบรรลุเป้าหมายด้าน ESG ที่กำหนดไว้ อาทิ เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือการปรับปรุงตัวชี้วัดด้านการพัฒนาสังคม จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางการเงิน เช่น ต้นทุนการประกันความเสี่ยงที่ลดลง
ทั้งนี้ ภายใต้โครงการดังกล่าว กรุงศรีได้ผสานตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน (Key Performance Indicators: KPIs) และเป้าหมายด้านความยั่งยืน (Sustainability Performance Targets: SPTs) ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการเสนอขายตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน (Thai Union’s Sustainability-Linked Financing Framework) เข้ากับธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งทั้ง KPIs และ SPTs จะได้รับการพิจารณาและตรวจสอบโดยหน่วยงานภายนอก เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางและการดำเนินงานดังกล่าวสอดคล้องและเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยการบูรณาการนี้จะช่วยให้การบริหารจัดการความเสี่ยงสกุลเงินต่างประเทศมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยรวมเอาปัจจัยด้านความยั่งยืนเข้าไว้ในกลยุทธ์ทางการเงิน และช่วยลดต้นทุนธุรกรรมแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศได้อีกด้วย

นายฮิโรทากะ คุโรกิ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ ไทยยูเนี่ยน และ ไอ-เทล ในโครงการ ESG-Linked FX นี้ โดยในฐานะที่กรุงศรีเป็นสถาบันการเงินที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนด้านการเงินที่ยั่งยืน เราได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้าน ESG Finance และทำงานเชิงรุกอย่างใกล้ชิดกับลูกค้า โดยกรุงศรีเห็นถึงความต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเงินความยั่งยืนที่เพิ่มมากขึ้นในตลาด เมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ธนาคารจึงได้ออก ESG-Linked Derivatives และตามมาด้วยโครงการ ESG-Linked FX ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ผสานเอาหลักการด้าน ESG เข้าไว้กับการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ เป็นการต่อยอดการบริหารจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศแบบดั้งเดิม เพื่อรวมปัจจัยด้านความยั่งยืนเข้าไว้กับกลยุทธ์ทางการเงิน ซึ่งจะเป็นการช่วยสนับสนุนวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนของทั้งสององค์กร”
นายประกอบ เพียรเจริญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ที่ผ่านมา กรุงศรี และ ไทยยูเนี่ยน ประสบความสำเร็จร่วมกันจากความร่วมมือในโครงการ Blue Finance หรือการบริหารจัดการการเงินเพื่อการทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเลของไทยยูเนี่ยน โดยเราได้บรรลุเป้าหมายที่สำคัญในภูมิทัศน์ทางการเงินด้านความยั่งยืนของประเทศไทย ทั้งการออกสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan หรือ SLL) ครั้งแรกของประเทศไทยและญี่ปุ่น เมื่อปี 2564 และในปีเดียวกันนั้น กรุงศรีและไทยยูเนี่ยนยังประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond หรือ SLB) เป็นครั้งแรกของประเทศไทย สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ยังคงเป็นการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านความยั่งยืนออกสู่ตลาดในประเทศไทย และชี้ให้เห็นถึงจุดยืนของกรุงศรีในการเป็นผู้นำตลาดด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน และเน้นย้ำถึงคำมั่นสัญญาของเราที่จะให้การสนับสนุนลูกค้าสู่การบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง”
นายยงยุทธ เสฎฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความยั่งยืนถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยนและไอ-เทล เพื่อเป้าหมายการมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ “Healthy Living, Healthy Oceans" ซึ่งขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์ SeaChange®2030 ที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับอุตสาหกรรม ผู้คน และโลก โดยในด้านการเงินไทยยูเนี่ยนมีเป้าหมายจัดหาเงินทุนที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้ได้ 75 เปอร์เซ็นต์ของการจัดหาเงินทุนระยะยาวภายในปี 2568 เพื่อการทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเล ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการทำงานด้านความยั่งยืนอย่างจริงจัง เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และยกระดับนวัตกรรมทางการเงินเพื่อสร้างสมดุลในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล”
สยามคูโบต้า เปิดตัว “โรงเรียนดินและปุ๋ย” พื้นที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาดินและการตรวจคุณภาพดินจากหมอดินอาสาของจังหวัดอุดรธานี ภายใต้โครงการ “คูโบต้า พลิกฟื้นผืนดิน” โดยมีกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชนทำนาห้วยตาดข่า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ร่วมสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ พร้อมดึงผู้เชี่ยวชาญหมอดินอาสา มุ่งถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกรและผู้สนใจ ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพดินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตในการเพาะปลูก ต่อยอดสู่การทำเกษตรยั่งยืน ณ วิสาหกิจชุมชนทำนาห้วยตาดข่า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี

นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงการเปิดตัว “โรงเรียนดินและปุ๋ย” จังหวัดอุดรธานีว่า “ภาคการเกษตรถือเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต เพราะหนึ่งในปัจจัยด้านคุณภาพชีวิตที่ดีมาจากผลิตผลทางการเกษตรที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ทางการเกษตรรวม 147.73 ล้านไร่ หรือร้อยละ 46.7 ของเนื้อที่ทั้งประเทศ ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญความท้าทายที่หลากหลาย อาทิ ความเสื่อมโทรมของดิน การปนเปื้อนของสารเคมีจากการใช้ปุ๋ยและสารเคมีที่ทำให้ศักยภาพของดินลดลง เมื่อดินอยู่ในสภาพที่ไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืชจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการทำการเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม การนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาก่อให้เกิดประโยชน์ รวมถึงส่งเสริมการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน ผนวกกับการใช้เทคโนโลยีและความรู้ใหม่ ๆ อย่างเหมาะสมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา
“โรงเรียนดินและปุ๋ย” ภายใต้โครงการ “คูโบต้า พลิกฟื้นผืนดิน” จึงเกิดขึ้นบนแนวคิดที่อยากให้เกษตรกร และผู้สนใจทำการเกษตรทุกคนเห็นความสำคัญของดิน เรามุ่งหวังเป็นพื้นที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาดินและการตรวจคุณภาพดินซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับทุกชีวิตบนโลกรวมถึงการทำเกษตร สยามคูโบต้า จึงได้ร่วมกับ กรมพัฒนาที่ดิน เพื่อพัฒนาจัดการดินเพื่อการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนองค์ความรู้ด้านวิชาการ เทคโนโลยีสารสนเทศ การตรวจวิเคราะห์ดิน ผลิตภัณฑ์ พด. และเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด รวมทั้งบุคลากรจากกรมพัฒนาที่ดิน และวิสาหกิจชุมชนทำนาห้วยตาดข่า ที่สยามคูโบต้าเข้าไปร่วมพัฒนาจนเกิดเป็น ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า – ห้วยตาดข่า เมื่อปี 2560 และขยายผลสู่การสร้างโรงเรียนดินและปุ๋ย พร้อมกันนี้ยังมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น ภายใต้การพัฒนาที่ยั่งยืนหรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ตามเป้าหมายที่ 15 (Goal 15 : Life on land) ปกป้อง ฟื้นฟู สนับสนุนการใช้ระบบนิเวศ ฟื้นสภาพการเสื่อมโทรมของที่ดิน และหยุดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

ดร. ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “การพัฒนาคุณภาพดินเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นรากฐานของการผลิตทางการเกษตร กรมพัฒนาที่ดินได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นองค์กรอัจฉริยะทางดิน เพื่อขับเคลื่อนการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม โดยมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการจัดการดินที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ พร้อมสร้างศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะทางดินเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินอย่างยั่งยืน รวมถึงพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่ดินเชิงรุกผ่านการมีส่วนร่วม เพื่อรักษาสมดุลความเสื่อมโทรมของที่ดินและระบบนิเวศทางการเกษตร ซึ่งการจัดตั้งโรงเรียนดินและปุ๋ย ถือเป็นส่วนหนึ่งของก้าวสำคัญในการบรรลุวิสัยทัศน์นี้เช่นกัน สำหรับกรมพัฒนาที่ดิน เราให้ความร่วมมือในการถ่ายทอดข้อมูลผ่านบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านดิน อาทิ หมอดินอาสา เพื่อรองรับผู้ที่สนใจในการเรียนรู้เกี่ยวกับดินและปุ๋ย ในรูปแบบของการเรียนทฤษฎีและปฏิบัติ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจวิเคราะห์คุณภาพดิน ความร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของเกษตรกรและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน และต่อยอดในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นายฉัตรเชาวสิโรตม์ ยอดคีรี ประธานวิสาหกิจชุมชนทำนาห้วยตาดข่า และประธานศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า – ห้วยตาดข่า กล่าวถึงการสานต่อโครงการนี้ว่า “วิสาหกิจชุมชนทำนาห้วยตาดข่า มุ่งให้ความสำคัญกับการดูแลดินตลอดมา เพราะเรามองว่า ดินกับการทำเกษตรเป็นของคู่กัน แต่ในอดีตที่ผ่านมาเกษตรกรต้องใช้เวลาทำความเข้าใจเรื่องดิน แม้จะได้รับการให้ความรู้ทั้งเรื่องธาตุอาหารในดิน การปรับปรุงดิน การเตรียมดิน แต่ในการปฏิบัติจริงเกษตรกรมักวัดเอาจากประสบการณ์ตามความเคยชิน ซึ่งในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา กลุ่มวิสาหกิจฯ และเกษตรกรในพื้นที่ได้เข้าอบรมองค์ความรู้เรื่องปุ๋ยทำให้เรามีวิธีการจัดการดินที่ดีขึ้น ซึ่งการก่อตั้งโรงเรียนดินและปุ๋ยจะช่วยให้เกิดเป็นพื้นที่ให้ความรู้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนให้บริการตรวจดินและปุ๋ยจากหมอดินอาสาของชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญที่คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ช่วยให้เกษตรกรได้เข้าใจสภาพดินในพื้นที่การเกษตรของตนเอง และสามารถนำความรู้ที่ได้รับเกี่ยวกับธาตุอาหารในดิน การใส่ปุ๋ยในสูตรหรือปริมาณที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชแต่ละชนิด นำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งสร้างโอกาสในการต่อยอดความรู้ให้แก่ชุมชนข้างเคียงได้ ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรจากการทำปุ๋ยสั่งตัดด้วย

นอกจากนี้คณะทำงานของวิสาหกิจชุมชนฯ ที่มีความรู้เรื่องดินจะมาช่วยกันต่อยอดบริหารจัดการโรงเรียนดินและปุ๋ย พร้อมรองรับผู้สนใจเข้าศึกษาดูงานโดยเน้นการปฏิบัติจริงผ่านกิจกรรมต่างๆ ภายในโรงเรียน ซึ่งเราเชื่อว่าเมื่อเกษตรกรรู้ดิน รู้พืช ก็จะรู้การจัดการที่ดี ทำให้สามารถใช้ทรัพยากรดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อผลผลิตที่ดีต่อไป สำหรับแผนงานต่อไปของโรงเรียนดินและปุ๋ย เราจะดำเนินการประชาสัมพันธ์ไปยังหน่วยงานราชการท้องถิ่นในพื้นที่ของชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนขยายผลให้เกษตรกรและผู้สนใจสามารถเพิ่มเติมองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรและเทคโนโลยีการเกษตรได้ด้วย เราหวังให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นพื้นที่ให้เกษตรกรทุกคนสามารถเข้าถึงได้และเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะรายได้จากการทำเกษตรกรรมต้องเริ่มต้นจากดินที่ดี” ประธานวิสาหกิจฯ กล่าว

“สยามคูโบต้าเชื่อว่า เมื่อดินดี ผลผลิตดี คุณภาพชีวิตดีแล้ว จะช่วยให้การทำเกษตรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเราจะสามารถสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ตลอดจนความยั่งยืนในภาคการเกษตร อยากให้ทุกคนที่เข้ามาสัมผัสโรงเรียนแห่งนี้ ได้เรียนรู้การปรับปรุงบำรุงดิน การตรวจวิเคราะห์ดินกับหมอดินอาสา เพราะเราอยากให้โรงเรียนดินและปุ๋ยแห่งนี้ สามารถมอบประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนและเกษตรกร จนเกิดการต่อยอดในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งแผนการต่อยอดในอนาคตสยามคูโบต้าเตรียมก่อตั้งโรงเรียนดินและปุ๋ย แห่งที่ 2 ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกข้าวหอมมะลิหนองผักบุ้งพัฒนา จังหวัดเพชรบูรณ์ในปีนี้ และมุ่งมั่นจะสร้างการขยายผลในชุมชนที่สยามคูโบต้าให้การสนับสนุนต่อไป” นางวราภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย
“โรงเรียนดินและปุ๋ย” ภายใต้โครงการ “คูโบต้า พลิกฟื้นผืนดิน” เปิดให้ทุกคนได้เข้ามาเรียนรู้ ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ 09.00 – 15.00 น. ณ วิสาหกิจชุมชนทำนาห้วยตาดข่า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี (ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยาม คูโบต้า – ห้วยตาดข่า) โทร : 063 601 7455 Facebook: https://www.facebook.com/huaitadkha/