

TIP Society โดยบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัยของประเทศไทย จับมือกับ MAAI BY KTC (มาย บาย เคทีซี) ผู้นำด้านแพลตฟอร์มดิจิทัลลอยัลตี้ เดินหน้ามอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ลูกค้าสมาชิก ด้วยระบบแลกเปลี่ยนคะแนนสะสมที่สะดวกรวดเร็ว ครอบคลุมหลากหลายไลฟ์สไตล์ เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่นและตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยความร่วมมือครั้งนี้ มุ่งยกระดับการมอบประสบการณ์ลูกค้า ด้วยการเชื่อมต่อระบบแลกเปลี่ยนคะแนนสะสมที่ใช้งานได้ง่าย สะดวก พร้อมเพิ่มความคุ้มค่าผ่านสิทธิประโยชน์ที่ออกแบบมาเพื่อลูกค้าสมาชิกในทุกมิติของการใช้ชีวิต
นางสาวปนัดดา ชุติโกมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกิจการองค์กร บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิพยประกันภัยมุ่งมั่นพัฒนาการมอบสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิก TIP Society ที่สะสม TIP Coin ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง สำหรับการผนึกกำลังระหว่างทิพยประกันภัยและ MAAI BY KTC ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับสิทธิประโยชน์ให้เหนือระดับและครอบคลุมทุกมิติของไลฟ์สไตล์ มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์การใช้คะแนนสะสมที่ง่ายดายและคุ้มค่ายิ่งขึ้น พร้อมเติมเต็มทุกความต้องการของการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ
สมาชิก TIP Society จะได้รับ TIP Coin เมื่อซื้อประกันผ่านเว็บไซต์ www.tipinsure.com ซึ่งสามารถนำคะแนนไปใช้เป็นส่วนลดซื้อประกันทุกประเภท หรือแลกเป็นคะแนน MAAI BY KTC ได้ในอัตราเดียวกัน ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการโอนคะแนนระหว่างแพลตฟอร์ม พร้อมสิทธิประโยชน์หลากหลาย เช่น ส่วนลด ของรางวัลพิเศษ และสิทธิประโยชน์จากร้านค้าชั้นนำมากมาย เพื่อให้ทุกคะแนนสะสมของลูกค้าสมาชิกมีความคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
นางสาวอุษณีย์ เลาหะวรนันท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานสื่อสารการตลาดและธุรกิจ MAAI BY KTC “เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า MAAI BY KTC (มาย บาย เคทีซี ) ผู้ให้บริการด้านดิจิทัล ลอยัลตี้แพลตฟอร์ม (Digital Loyalty Platform) แบบครบวงจรสำหรับบริหารจัดการคะแนนสะสมและสิทธิประโยชน์ด้านไลฟ์สไตล์ ล่าสุด MAAI BY KTC ได้เชื่อมต่อระบบแอปพลิเคชันกับ TIP Coin ของทิพยประกันภัย เพื่อเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสมาชิกสามารถโอนคะแนนระหว่างกันได้ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้นับว่าเป็นการยกระดับประสบการณ์ในการรวมคะแนนสะสมเพื่อแลกสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการที่หลากหลายได้สะดวกและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
สำหรับลูกค้าสมาชิก TIP Society และสมาชิก MAAI BY KTC สามารถแลกเปลี่ยนคะแนนระหว่างกันผ่านช่องทาง ดังนี้
โรงแรมเครือดุสิตธานี ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองการเริ่มต้นปีใหม่ และต้อนรับเทศกาลวันแห่งความรักที่กำลังจะมาถึง ด้วยโปรโมชั่นพิเศษ ‘Double Perks’ มอบส่วนลดสูงสุด 30% สำหรับการเข้าพักที่โรงแรมในเครือในหลากหลายจุดหมายปลายทางทั่วโลก อาทิ อาบูดาบี ดูไบ โดฮา อียิปต์ กรีซ กวม ญี่ปุ่น เคนยา เนปาล โอมาน สิงคโปร์ ไทย มัลดีฟส์ และมาเลเซีย

ข้อเสนอ ‘Double Perks’ เปิดให้จองแล้วตั้งแต่ วันนี้ – 31 มีนาคม 2568 โดยสามารถเข้าพักได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 พร้อมมอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสองต่อ ด้วยตัวเลือกมากมาย เช่น รับเครื่องดื่มฟรี, เครดิตเงินสดใช้ที่สปาสูงสุด 1,680 บาท, การอัพเกรดห้องพัก, เช็กอินก่อนเวลา (12:00 น.), เช็กเอาท์ล่วงเวลา (16:00 น.), กิจกรรมสุดพิเศษ หรือการนำสัตว์เลี้ยงเข้าพักฟรี (เฉพาะโรงแรมที่ร่วมรายการ)

ความพิเศษของโปรโมชั่น ‘Double Perks’ ยังครอบคลุมการเข้าพักในโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ที่แห่งใหม่ รวมถึงโรงแรมดุสิตปริ๊นเซส เชียงใหม่ ที่กลับมาเปิดให้บริการหลังจากการปรับโฉมครั้งใหญ่ และโรงแรมดุสิตปริ๊นเซส มะละกา ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกของกลุ่มดุสิตธานี ในประเทศมาเลเซีย ที่ตั้งอยู่ในย่านมรดกโลกขององค์การยูเนสโก
พิเศษสำหรับสมาชิกดุสิตโกลด์ รับส่วนลดเพิ่มอีก 15% โดยสามารถสมัครสมาชิกดุสิตโกลด์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านทางออนไลน์ที่ https://www.dusit.com/enrollment/
ดูรายละเอียดข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพักได้ที่ Double Perks.
เทรนด์ดูแลสุขภาพมาแรงต่อเนื่อง สังเกตได้จากกิจกรรมที่รองรับกลุ่มรักสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมวิ่ง กิจกรรมปั่น หรือกิจกรรมสุดฟิตอย่าง Hyrox ที่ชัดเจนที่สุดคือการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจสายสุขภาพ สายเฮลท์ตี้ โดยเฉพาะเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ Functional Drink ที่เห็นวางจำหน่ายบนเชลฟ์สินค้าร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าชั้นนำทั่วไปมากมาย ใครที่เป็นแฟนตัวยงบอกเลยธุรกิจนี้น่าสนใจมาก
วงการ Functional Drink ปลุกกระแสคนรักสุขภาพต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงเป็นแรงกระตุ้นให้คนไทยเริ่มปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ตามวิถีไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ผู้คนหันมาให้ความสำคัญเรื่องอาหารการกิน การดูแลสุขภาพ รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี
จากความสำเร็จของแบรนด์ “คิวมินซี” ภายใต้การบริหารของ บริษัท เทรา ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เริ่มจำหน่ายครั้งแรกในร้านเซเว่นฯ เมื่อปี 2020 มีกำลังการผลิตเฉลี่ยล้านขวดต่อเดือน พบว่าคนไทยตื่นตัวเรื่องสุขภาพมากขึ้นทุกปี โดยสินค้าตัวแรก คือ คิวมินซีขมิ้นชันสกัดผสมเลมอน จากนั้นก็เป็น ขิงสกัด กระชายขาวสกัด ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีในเรื่องของการเสริมภูมิคุ้มกัน และลดการอักเสบ ล่าสุดได้พัฒนาสูตรที่เข้าถึงง่ายมากขึ้น เป็นสูตร “สมูทตี้ โพรไบโอติก” โดดเด่นด้วยโพรไบโอติกสายพันธุ์ Bacillus Coagulans GBI-30 ที่มีงานวิจัยรองรับ ช่วยเสริมภูมิต้านทาน ดีต่อระบบลำไส้ สุขภาพดีจากภายใน ยังคงคอนเซ็ปต์ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น คิวมินซีสมูทตี้โพรไบโอติก แอปเปิ้ลออร์แกนิควีทกราส 250มล. , คิวมินซีสมูทตี้โพรไบโอติก สตรอเบอร์รี่บีทรูท 250 มล., คิวมินซี น้ำส้มสายน้ำผึ้ง 100% 250 มล. เต็มไปด้วยกากใยอาหารอาหารหรือไฟเบอร์ ช่วยให้ลำไส้แข็งแรงท้องไม่ผูก เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมการสกัดที่โดดเด่นของ “คิวมินซี”

“คิวมินซี” ผู้บุกเบิกเครื่องดื่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพ สู่ Functional drink ตัวขายดีในร้านเซเว่นฯ
วงการเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพต้องจับตา เมื่อ คิวมินซี แบรนด์ SME ไทย จับกระแสคนรักสุขภาพจนบูมในไทยอย่างรวดเร็ว โดยผู้ก่อตั้งแบรนด์ “คุณท๊อป” ฐานธิษณ์ ยืนยงเตชะหิรัณ ประธานกรรมการ บริษัท เทรา ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ จำกัด เล่าถึง Passion ของการก่อตั้งแบรนด์ว่า ไลฟ์สไตล์ส่วนตัวเป็นคนชอบออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็ก จะมีวินัยมากๆ ออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 ครั้ง ชีวิตประจำวันนอกจากทำงาน ชอบวิ่ง ชอบเข้าฟิตเนส และเล่นกีฬาฟุตบอล ยิ่งเรื่องอาหารการกินยิ่งให้ความสำคัญเป็นพิเศษ จากการปลูกฝังของครอบครัว ที่มักเลือกทานอาหารปลอดสาร ปรุงสดใหม่ ปลูกพืชผักสวนครัวทานเอง เลือกปลูกเฉพาะพืชผักที่ปลูกง่าย ดูแลง่าย เช่น ถั่วฝักยาว คะน้า กวางตุ้ง ที่สำคัญเป็นคนชอบดื่มเครื่องดื่มที่สร้างความสดชื่นมาแต่ไหนแต่ไร ประกอบกับที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรม คลุกคลีกับภาคเกษตรอยู่แล้ว จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งแบรนด์ คิวมินซี เมื่อปี 2018 และตั้งโรงงานเมื่อปี 2019 ณ จังหวัดนครราชสีมา
“จุดเริ่มต้นของแบรนด์ “คิวมินซี” เกิดจากความตั้งใจของผมที่เป็นคนรักสุขภาพมากๆ คนหนึ่ง จนมองเห็นว่าอนาคตเทรนด์รักสุขภาพต้องมาแน่ๆ และมี Passion ว่าผมต้องการผลิตสินค้าที่เพื่อสุขภาพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนมาเริ่มที่เครื่องดื่มก่อน ผมเริ่มต้นจากการพัฒนาสูตรเครื่องดื่มจากสมุนไพรสกัด โดยมีการทดลองและพัฒนารสชาติ จนสามารถเข้าสู่ร้านเซเว่นได้สำเร็จเป็นที่แรกเมื่อปี 2020 ในตอนนั้นเราถือเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ พาร์ทเนอร์ของเราในตอนนั้นคือเซเว่น อีเลฟเว่น โดยมีทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์เซเว่นฯ คอยให้คำแนะนำตั้งแต่กระบวนการคิด การทำการตลาด รวมถึงการเลือกวัตถุดิบในท้องตลาดที่ตอบโจทย์ลูกค้า มีแนะนำแหล่งรับวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพ คอยช่วยแก้ปัญหามาตั้งแต่เริ่มธุรกิจ เพราะธุรกิจนี้ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบเป็นอันดับต้นๆ เราต้องคำนึงถึงแหล่งเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ และมีคุณภาพ

จากสินค้าแบรนด์ใหม่บนเชลฟ์เซเว่น ตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพ ดังไกลไปตลาดต่างประเทศ
หากพูดถึงไลฟ์สไตล์ของคนไทยและต่างประเทศมีความใกล้เคียงกันมาก พบว่าคนไทยให้ความสำคัญในเรื่องของ “คุณภาพและความอร่อย” ในต่างประเทศให้ความสำคัญในเรื่องของ “วัตถุดิบ” เราพบว่าพืชสมุนไพรและผลไม้ มีอยู่ทั่วโลก หาง่าย แปรรูปง่าย จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสในขยายตลาดสู่ตลาดต่างประเทศ ตอนนี้ขยายไปแล้วกว่า 10 ประเทศ ครอบคลุมทั้งโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และตะวันออกกลาง ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ บรูไน บาห์เรน มัลดีฟส์ โรมาเนีย คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อาบูดาบี การ์ตาร์ เป็นต้น
“การทำธุรกิจเครื่องดื่ม Functional Drink สิ่งที่กังวลมากที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) ที่ไม่สามารถคาดเดาสภาพอากาศได้เลย เพราะมีผลต่อการควบคุมคุณภาพของรสชาติ ดังนั้นแหล่งปลูกต้องสมบูรณ์พอที่จะควบคุมคุณภาพวัตถุดิบได้ ให้รสชาติคงที่ อร่อย และปลอดภัย รวมถึงเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยผลิต เราทุ่มทุนกว่า 200 ล้านบาท เพื่อนำเข้าเทคโนโลยีจากเยอรมัน ที่มีการฆ่าเชื้อที่ที่ดีโดยที่เราไม่ต้องใส่สารกันบูด แม่นยําในเรื่องของการบรรจุภัณฑ์ เพื่อคงรสชาติที่สด สะอาด ปลอดภัย และรองรับการผลิตเครื่องดื่มรสชาติใหม่ๆ ในอนาคตได้” คุณท๊อป กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับกลยุทธ์มัดใจลูกค้าสายสุขภาพ มี 3 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน
หัวใจสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของ คิวมินซี คือ การส่งต่อสิ่งดีๆ เพื่อสุขภาพ ปลอดภัย จากวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพเสมอ เรายึดมั่นว่าต้องเป็นเครื่องดื่มที่ไม่เติมน้ำตาล ไม่ผสมสารกันบูด ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ

“จากภัยทางอากาศอย่างฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ที่ส่งผลต่อสุขภาพในวงกว้าง รวมถึง climate change ที่เป็นสัญญาณเตือนเรื่องภัยธรรมชาติ ในปี 2568 มองว่ามีผู้คนจะใช้ชีวิตได้สมดุลมากขึ้น ใช้ชีวิตระมัดระวังมากขึ้น ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน เรื่องดูแลสุขภาพ เลือกกินเลือกทานมากขึ้น ความคลีน สะอาด ปลอดภัย คือตัวตัดสินใจเลือก รวมถึงมีการจัดตารางการดูแลสุขภาพที่เป็น Routine มากขึ้น คิวมินซีเชื่อว่าการดูแลสุขภาพที่ดีเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ในทุกวัน เราจึงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ภายใต้แนวคิด ‘Daily intake for better health – คิวสำคัญทุกวันของคุณ’ ให้คุณได้เลือกเติมสิ่งดี ๆ ให้ร่างกายได้ทุกวัน ทุกเวลา และในอนาคต เราจะมีสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพมากขึ้น เพื่อให้คิวมินซีเป็นทางเลือกที่ดีของผู้บริโภค อยากให้ทุกคนคอยสนับสนุนแบรนด์ไทยอย่างคิวมินซี ด้วยนะครับ” คุณท๊อป กล่าวทิ้งท้าย
“พี่เคยเกลียดช้างป่านะ มันทำให้พี่เป็นหนี้ บ้านช่องก็ไม่ได้อยู่ ต้องมาเฝ้าสวนตลอดเวลา เพราะกลัวว่าช้างป่าจะออกมากินสัปปะรดพี่หมด” นี่คือความในใจของ ตุ้ย - จันท์จิรา ภูฆัง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านรวมไทย ต.หาดขาม อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
ประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นแหล่งเพาะปลูกสัปปะรดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีพื้นที่เพาะปลูกรวมกันกว่า 402,000 ไร่ ทั้งยัง เป็นแหล่งแปรรูปสัปปะรดเพื่อการบริโภคและส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในโลก จนได้รับการขนานนามว่า “เมืองหลวงสัปปะรด” สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี โดยสัปปะรดปัตตาเวียเป็นสายพันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากที่สุด ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้หล่อเลี้ยงชีวิตชาวประจวบคีรีขันธ์มาหลายทศวรรษ

ที่ผ่านมา เกษตรกรไทยต่างเผชิญกับปัญหาและความท้าทายนานานัปการเป็นทุนเดิม ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ต้นทุนทางการเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้น ราคาพืชผลตกต่ำ ผลผลิตล้นตลาด และศัตรูพืช แต่สำหรับเกษตรกรชาวสวนสัปปะรดที่หมู่บ้านรวมไทย หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีพื้นที่ติดต่อกับอุทยานแห่งชาติ (อช.) กุยบุรี ศัตรูพืชของพวกเขานั้นมีขนาดใหญ่ หนักนับตัน และพวกมันไม่ได้ทำลายพืชผลเพียงบางส่วนของต้นเหมือนศัตรูพืชชนิด อื่นแต่กินเข้าไปทั้งผล เรียกได้ว่าผลผลิตที่ปลูกมานานแรมปีหายไปทั้งสวน ศัตรูพืชชนิดนี้ คือ “ช้างป่า”
ความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่า (Human-Elephant Conflicts: HEC) นับเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่เขตร้อนอย่างทวีปแอฟริกาและเอเชีย การเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ การพัฒนาสู่สังคมเกษตรอุตสาหกรรม การแย่งชิงทรัพยากรที่ดิน และจำนวนที่ลดลงของประชากรสัตว์นักล่า ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่ามีความรุนแรงขึ้นในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ไทย เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่าปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง รุนแรง และปรากฏเหตุในหลายพื้นที่ ตัวอย่างเช่น บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จ.ฉะเชิงเทรา อช.เขาสิบห้าชั้น จ.จันทบุรี อช.เฉลิมรัตนโกสินทร์ จ.กาญจนบุรี และ อช.น้ำตกคลองแก้ว จ.ตราด ส่งผลกระทบและความเสีนหายทางด้านทรัพย์สินและผลผลิตทางการเกษตรแก่ชาวบ้านเกือบ 400,000 คน จาก 156,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ
อช.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในอดีตเคยเป็นหนึ่งสมรภูมิความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่าที่ดุเดือดมากที่สุด ในช่วงปี 2538-2542 มีรายงานช้างป่าถูกทำร้ายนับสิบตัว และถูกวางยาเบื่อจนเสียชีวิต 4 ตัว กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งและได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
ตุ้ย - จันท์จิรา ภูฆัง เล่าว่า ครอบครัวของเธอปักหลักอาศัยอยู่ที่กุยบุรีตั้งแต่รุ่นตายาย ประกอบอาชีพเกษตรกรปลูกสัปปะรดมาตั้งแต่จำความได้ ตุ้ยใช้ชีวิตอยู่กินที่ไร่สัปปะรดเป็นหลัก ด้วยเหตุที่ไร่ของเธอตั้งอยู่ “แนวแรก” อันเป็นส่วนที่ติดกับเขตพื้นที่ป่า เมื่อช้างป่าออกหากิน ไร่ของเธอจึงกลายเป็นพื้นที่แรกที่ช้างป่าเข้าถึง นั่นจึงทำให้ตุ้ยต้องหมั่นไปเฝ้าไร่ทุกคืนและทำไร่ในตอนกลางวัน เพื่อดูแลผลผลิตที่รอจำหน่ายให้โรงงานแปรรูปต่อไป
“บ้านช่องมีนะ แต่ไม่ค่อยได้กลับหรอก เพราะพี่ต้องไปเฝ้าไร่ บางทีก็ต้องกระเตงลูกไปไร่ด้วย ปล่อยไว้ที่บ้านก็เป็นห่วง อยู่ตัวคนเดียว” เธอเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า “มันเครียดนะที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะหากสัปปะรดที่ออกผลปีละครั้งถูกช้างป่ากินไปหมด นั่นหมายถึง เงินที่พี่ไปกู้มาเพื่อซื้อหน่อซื้อปุ๋ยมาลงทุนก็หายไปด้วย เงินก็ไม่ได้แถมยังเป็นหนี้อีก ความเจ็บปวดนี้มันยากจะเยียวยานะ”

นิติพัฒน์ แน่นแคว้น ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านรวมไทย เล่าว่า หมู่บ้านรวมไทยก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2521 ตามนโยบายรัฐบาลสมัยนายกรัฐมนตรีเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ที่ต้องการเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ที่มีฐานะยากจนจากทั่วประเทศได้มีพื้นที่ทำกิน โดยใช้พื้นที่เขตป่าสงวนที่เสื่อมโทรมมาจัดสรรแก่ราษฎร ผู้ที่ผ่านการคัดเลือก จะได้ร้บการจัดสรรที่ดิน 2 ส่วน โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเช่าที่ป่าจากรมป่าไม้ ประกอบด้วย ที่ดินสำหรับที่อยู่อาศัยในเขตชุมชน 3 ไร่ และพื้นที่ทำทำกินอีก 20 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ติดกับ อช.กุยบุรี นอกจากประเด็นปากท้องแล้ว การจัดสรรที่ดินดังกล่าวยังแฝงนัยยะทางการเมือง โดยรัฐบาลฯ ต้องการให้ชาวบ้านเป็นอีกหนึ่งกำลังในการเฝ้าระวังการรุกรานของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ในช่วงที่การเมืองไทยครุกรุ่น
ในปี 2521 มีผู้ได้รับการคัดเลือกทั้งสิ้น 150 ครัวเรือน หรือประมาณ 600 คน ขณะที่ปัจจุบัน ประชากรขยายตัวขึ้น จนมีราษฎรอาศัยอยู่ทั้งสิ้นราว 3,100 คน 770 ครัวเรือน ทั้งนี้ ช่วงปี 2520-2525 ถือเป็นยุคบุกเบิกที่ดินเพื่อการเพาะปลูกสัปปะรด ต่อมาในปี 2525-2537 จำนวนไร่สัปปะรดมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากจากความต้องการที่มากขึ้นและราคาผลผลิตที่สูงขึ้น จนมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกติดพื้นที่ป่าสงวนฯ และเมื่อฤดูกาลเคลื่อนย้ายจากภูเขาสู่ที่ราบของช้างป่ามาถึง ด้วยกลิ่นที่หอมหวนจึงเย้ายวนพวกมันได้ลองลิ้มรสความหวานของสัปปะรดเป็น “ครั้งแรก”
ต่อมา ในช่วงปี 2538-2545 สถานการณ์สู้รบในเมียนมาร์รุนแรงขึ้น กอปรกับพัฒนาการการเรียนรู้ของช้างป่า ทำให้พวกมันมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปักหลักหากินพื้นที่ติดชายขอบพื้นที่เพาะปลูกสัปปะรดนานขึ้น ปรากฏตัวนอกพื้นที่มากขึ้น พืชผลได้รับความเสียหาย จนสถานการณ์เข้าสู่ความรุนแรงขั้นขีดสุดในปี 2542 มีช้างป่าตายเป็นจำนวนมาก และกลายเป็น “ความขัดเเย้งระหว่างคนและช้างป่า” ตามนิยามทางวิชาการ
ต่อมา ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ในหลวง ร.9 พระองค์ทรงมีรับสั่งให้จัดตั้ง “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับผืนป่าแห่งนี้ โดยประกอบด้วยคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ได้แก่ 1. ฝ่ายความมั่่นคง โดย กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 พัน 3 รอ.) 2. ฝ่ายอนุรักษ์และคุ้มครอง โดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ และ 3. ฝ่ายปกครอง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะทำงานด้านพัฒนาอาชีพประชาชน มีการเวนคืนพื้นที่ราบระหว่างแนวเขากว่า 20,000 ไร่ เพื่อให้กลับมาเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าอีกครั้ง จากเดิมที่เริ่มบุกเบิกเพาะปลูกต้นยูคาลิปตัส ต้นสน และสัปปะรดตั้งแต่ปี 2510 และจากการแก้ไขที่เป็นรูปธรรมดังกล่าว ส่งผลให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงอย่างมีนัยสำคัญ
ช้าง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักราว 3-4 ตัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 สายพันธ์ใหญ่ๆ ได้แก่ สายพันธ์แอฟริกา และสายพันธ์เอเชีย สำหรับสายพันธ์เอเชีย พบเห็นได้มากในอินเดีย ศรีลังกา เนปาล มาเลเซีย เมียนมาร์ และไทย ฯลฯ พวกมันจะโตเต็มวัยเมื่ออายุ 15 ปี ตั้งท้องนานถึง 22 เดือน และตกลูกครั้งละ 1 ตัว โดยแต่ละครอกจะมีระยะเวลาห่างกัน 4 ปี ในภาวะปกติ ประชากรช้างถูกสร้างสมดุลโดยการล่าตามธรรมชาติจากสัตว์นักล่า การเสียชีวิตตจากการคลอด การถูกทำร้ายจากช้างเพศผู้นอกฝูง แต่เมื่อช้างโตเต็มวัยแล้วจะมีอัตราการตายต่ำ มีอายุขัยเฉลี่ยราว 60-70 ปี ข้อมูลจากกรมอุทยานฯ ระบุว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีประชากรช้างป่ากระจายตัวใน 16 กลุ่มป่า 93 พื้นที่อนุรักษ์ คิดเป็นจำนวน 4,000-4,400 ตัว มีอัตราการเกิดเฉลี่ย 8% ต่อปี
ช้างเอเชีย อาศัยอยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ทุ่งหญ้าจนถึงป่ารกทึบ มี “วงรอบ” ในการออกหาอาหารถึง 180-400 ตร.กม. ตามฤดูกาล ด้วยร่างอันมหึมา ช้างป่าจึงใช้เวลาในการกินมากถึงวันละ 14-19 ชม. คิดเป็นน้ำหนัก 150-200 กม. ต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายมูลวันละ 16-18 ครั้ง คิดเป็นน้ำหนักราว 100 กก. ต่อวัน เลยทีเดียว
ด้วยพฤติกรรมดังกล่าว ช้างป่า จึงได้รับสมญานามว่า “ผู้สร้างสมดุลแห่งป่า” พฤติกรรมการกิน การเดินทาง การถ่ายมูลถือเป็นกลไกสำคัญต่อการสร้างสมดุลทางระบบนิเวศ กล่าวคือ นอกจากมูลที่ทำหน้าที่ปุ๋ยอย่างดีแล้ว ยังเป็นอาหารของแมลง อีกทั้งการเดินทางระยะไกลและการกินพืชที่มีลักษณะสูงใหญ่ ยังช่วยให้เกิดการกระจายตัวของเมล็ดพันธุ์ ตลอดจนเศษพืชที่ตกลงก็ยังเป็นอาหารให้แก่สัตว์เล็กได้ดำรงชีพอีกด้วย
สำหรับลักษณะทางชีววิทยา ช้างยังเป็นสัตว์ขี้ร้อน จึงมักอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือใกล้แหล่งน้ำ เพื่อลดอุณหภูมิภายในร่างกาย ออกหากินในตอนกลางคืน และนอนในเวลากลางวัน นอกจากนี้ พวกมันมีความสามารถทางการได้ยินที่ดีมาก แม้ต้นกำเนิดเสียงจะอยู่ไกลหลายกิโลเมตร

อรรถพงษ์ เภาอ่อน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ให้ข้อมูลว่า อช.กุยบุรี มีขนาดพื้นที่ราว 1,000 ตร.กม. ครอบคลุม 4 อำเภอ ได้แก่ อ.กุยบุรี อ.ปราณบุรี อ.สามร้อยยอดและ อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ พันธุ์ไม้ สัตว์ป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทิงและวัวแดงฝูงใหญ่ ตลอดนจนภูมิทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขาตระนาวศรี
ข้อมูลปี 2564 ประชากรช้างป่าในพื้นที่มีแนวโน้ม “เพิ่มขึ้น” ราว 350 ตัว เมื่อเทียบข้อมูลจากการสำรวจประชากช้างป่าด้วย DNA ในปี 2559 ที่มีประชากรช้างป่า ไม่น้อยกว่า 237 ตัว มีลักษณะการรวมฝูงทั้งขนาดใหญ่และเล็ก
จากสถานการณ์ช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่อนุรักษ์ ส่งผลให้ราษฎรที่อาศัยรอบแนวเขต อช.กุยบุรี ได้รับผลกระทบทั้งพืชผลกว่า 60,000 ต้นและมีผู้เสียชีวิต 4 รายและบาดเจ็บอีก 2 ราย (ข้อมูลระหว่างปี 2550-2566)
“เราต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า ช้างป่าต้องอยู่ในป่า แต่ด้วยประชากรมนุษย์ที่เพิ่มขึ้น ความต้องการที่ดินทำกินก็มากขึ้น” อรรถพงษ์กล่าวและเสริมว่า เมื่อพิจารณาถึงประเด็นเกี่ยวเนื่อง พบว่า ต้นตอปัญหาที่แท้จริงของความขัดแย้งระหว่างคนและช้างที่แท้จริงกลายเป็นประเด็น “ปากท้อง” ซึ่งมีสาเหตุจากการเข้าไปกินผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้าน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาฯ อย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทและเงื่อนไขที่จำกัด อช.กุยบุรี จึงได้แบ่งออกเป็น 3 แนวทาง ภายใต้กฎหมายและ ระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
การรักษาความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหารและน้ำ ถือเป็นกลไกหลักในการป้องกันไม่ให้ช้างออกนอกพื้นที่ สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ในป่าธรรมชาติและกลับสู่ถิ่นฐานที่อยู่อาศัยดั้งเดิม สำหรับสัตว์ป่ากินพืช “โป่ง” (Salt Lick) หรือพื้นที่ที่เป็นแหล่งสะสมแร่ธาตุนานาชนิด มีความจำเป็นต่อการดำรงของสัตว์ประเภทนี้อย่างมาก โดยพวกมันจะกินดินและน้ำ น้ำ เพื่อรับหรือทดแทนสารอาหารประเภทแร่ธาตุที่ไม่มีอยู่ในพืช
อย่างไรก็ตาม ด้วยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก และการขยายตัวของพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้โป่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ อันเป็นแหล่งอาหารหลักของสัตว์ป่ามีจำนวนลดน้อยถอยลง แนวคิดและการสร้าง“โป่งเทียม” จึงถือกำเนิดขึ้น โดยเป็นหนึ่งในวิธีการบริหารจัดการสัตว์ป่า กล่าวคือ เจ้าหน้าที่จะนำเกลือสมุทรผสมกับดินบริเวณที่กำหนด เมื่อเผชิญกับความชื้นจากฝนหรือน้ำค้าง เกลือก็จะละลาย ทำให้ดินบริเวณนั้นเค็ม สัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ก็จะพากันมากินดินเหล่านี้ เช่นเดียวกับแหล่งน้ำที่มีความสำคัญต่อช้างป่าที่มีอัตราการบริโภคน้ำที่ 200 ลิตรต่อวัน ทำให้ต้องมีการจัดทำแหล่งน้ำขึ้นเช่นเดียวกัน
ในช่วงปี 2551-2566 อช.กุยบุรี ได้จัดทำโป่งเทียมแล้วเสร็จทั้ืงสิ้น 103 โป่ง ตลอดจนแหล่งน้ำ 18 บ่อ (สร้างจากดิน) และกระทะน้ำ 43 จุด (สร้างจากปูนซีเมนต์)
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ปฏิเสธได้ยากว่าจะไม่มีช้างออกหากินนอกพื้นที่เลย เนื่องจากพื้นที่เกษตรกรรมในปัจจุบันเดิมทีเป็นถิ่นฐานที่ช้างป่าอาศัยและแหล่งอาหาร ด้วยเหตุนี้ การผลักดันช้างกลับเข้าป่า จึงเป็นอีกแนวทางในการลดความเสียหายและลดความขัดแย้งฯ
ทั้งนี้ อช.กุยบุรี ได้ร่วมมือกับสมาชิกชุมชนจัดตั้ง “ชุดปฏิบัติการเฝ้าระวังช้างป่า” มีหน้าที่ป้องกันและเฝ้าระวังช้างป่าออกนอกเขตพื้นที่อนุรักษ์ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรและทรัพย์สินของราษฎร โดยแบ่งชุดปฏิบัติการออกเป็น 5 ชุด ชุดละ 5-6 คน ในตอนกลางของอุทยานฯ ขณะที่ตอนเหนือและใต้มีประจำการอีกฝั่งละ 1 ชุด
แต่ด้วยสถานการณ์ที่ช้างป่าออกหากินเขตพื้นที่เกษตรกรรมมีมากขึ้น ทำให้ อช.กุยบุรี ต้องสนธิกำลังกับราษฎร ผ่านการรวมกลุ่มก่อตั้ง “เครือข่ายราษฎรเฝ้าระวังช้างป่า” ซึ่งประกอบด้วยราษฎรในพื้นที่จำนวน 117 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 16 หมู่บ้าน 6 ตำบล 4 อำเภอของ จ.ประจวบคีรีขันธ์
เพราะ “ปากท้อง” คือต้นตอแห่งความขัดแย้ง ดังนั้น การเพิ่มรายได้ เพื่อทดแทนผลกระทบหรือลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน จึงเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่จะเข้ามาแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนผ่านการมีส่วนร่วมผ่าน “การท่องเที่ยว” โดยใช้ฐานทรัพยากรที่มีอยู่ เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส เปลี่ยนความเกลียดชังเป็นความหวงแหน และนั่นจึงเป็นที่มาของสมญานาม “กุยบุรี ซาฟารีเมืองไทย”
“ผมเชื่อว่าที่กุยบุรี เป็นต้นแบบการจัดการความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่าที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ผ่านการปรับใช้ 3 แนวทางสำคัญ ป้องกัน ผลักดัน สร้างการมีส่วนร่วม เพราะเมื่อเศรษฐกิจดี สังคมก็มีสุข สิ่งแวดล้อมยั่งยืน” หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี กล่าว
แม้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าบริเวณพื้นที่ อช.กุยบุรี จะเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ระหว่างทาง โดยเฉพาะการนำแผนบนกระดาษไปสู่ภาคปฏิบัติ ยังคงมีความท้าทายนานัปการรออยู่เบื้องหน้า
ติดตามเรื่องราวการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งคนและช้างป่าผ่านกุยบุรีโมเดล ตอนที่ 2 ได้เร็ว ๆ นี้ที่ https://www.true.th/blog/newsroom
บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP ผู้นำด้านโซลูชันผลิตภัณฑ์หล่อลื่นแบบครบวงจร เผยความสำเร็จปี 2567 ในการขยายตลาดธุรกิจผลิตภัณฑ์หล่อลื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนด้วยดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ขยายธุรกิจด้านโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ร่วมพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพจากน้ำมันปาล์ม รวมไปถึงการลงทุนใน Recycle Engineering ผู้นำด้านธุรกิจรีไซเคิลสารเคมี และก้าวสู่อุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคต ผ่านการลงทุนใน Geneus DNA ผู้นำด้านการตรวจวิเคราะห์ DNA แย้มแผนธุรกิจปี 2568 ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15% ด้วยการขับเคลื่อนผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ การเป็นผู้นำที่ยั่งยืน เน้นเพิ่มสัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างประเทศ ไปพร้อมกับการสร้างการเติบโตใหม่จากจุดแข็งที่มี และพัฒนาโอกาสทางธุรกิจใหม่ด้วยการผนึกกำลังกับพันธมิตร ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืนในทุกมิติ มุ่งลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจอย่างยั่งยืน
นายเสกสรร ครองพาณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP เปิดเผยว่า การเติบโตที่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของ PSP ในปี 2567 ที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการขยายตลาดผลิตภัณฑ์หล่อลื่นทั้งในและต่างประเทศ โดยมีกำลังการซื้อที่มากขึ้นจากทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ อีกทั้งยังมีการลงทุนใน บริษัท รีไซเคิล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด หรือ RE ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ โมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ที่พัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ เชื่อมโยงกับ เศรษฐกิจหมุนเวียน ที่คำนึงถึงการนำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และดำเนินการอยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว การลงทุนใน RE ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ PSP ในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของบริษัทฯ

นอกจากนี้ PSP ยังร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยและพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพจากน้ำมันปาล์ม ในโครงการ “EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ยกระดับความปลอดภัยของประชาชน พร้อมเปิดโอกาสสู่เศรษฐกิจใหม่” ซึ่งมีสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ดำเนินการหลัก เพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในอนาคต การร่วมพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพจากน้ำมันปาล์มไทยในครั้งนี้ ถือเป็นโครงการสำคัญที่ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการลดการนำเข้าและพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นอกจากนี้ PSP ยังได้ลงทุนผ่าน บริษัท พี.เอส.พี. เวนเจอร์ส จำกัด ใน บริษัท จีเนียส เจเนติกส์ จำกัด หรือ Geneus DNA ผู้นำด้านการตรวจวิเคราะห์ DNA รายแรกในประเทศไทย เพื่อตรวจวิเคราะห์สุขภาพและพรสวรรค์ รวมไปถึงการดูแลสุขภาพอย่างวิตามินเฉพาะบุคคล และลงทุนใน บริษัท วอทส์เอ็ก (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของ EGG Mall แพลตฟอร์มซื้อขายชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นการสร้างโอกาสหา New S Curve ให้ PSP ในยุคที่สุขภาพและการตลาดดิจิทัลเป็นเมกะเทรนด์
“ปี 2567 ถือเป็นปีที่สำคัญสำหรับ PSP ในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG และเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง เป็นการเตรียมความพร้อมกับการสร้างโอกาสให้กับ PSP ในการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ทั้งในแง่ของการเพิ่มรายได้และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งอีกหนึ่งในไมล์สโตนของเราในปีที่ผ่านมา คือการกรุยทางตลาด B2C เป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดตัวน้ำมันหล่อลื่นอเนกประสงค์ภายใต้แบรนด์ ‘PROTECH’ รวมทั้งสเปรย์ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศและสเปรย์ขจัดกลิ่นอับและกลิ่นไม่พึงประสงค์ แบรนด์ ‘MASTER’ นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมาเราได้ลงทุนด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การดำเนินงาน และการบริการลูกค้า รวมทั้งช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของ PSP ในระยะกลางและระยะยาว" นายเสกสรร กล่าว

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 PSP ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15% โดยมี 3 กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนแผนงานของบริษัทคือ การเป็นผู้นำที่ยั่งยืน (Sustained leadership) เน้นการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ขยายฐานลูกค้าตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง ควบคู่กับการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศและการขยายตลาดในประเทศ การสร้างการเติบโตใหม่จากจุดแข็งที่มีอยู่ (Specialized creation) โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่มีความเฉพาะเจาะจง และเป็นการต่อยอดความเชี่ยวชาญของ PSP รวมถึงเป็นนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน และการพัฒนาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ผ่านการผนึกกำลังกับพันธมิตร (Synergized initiatives) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันและขยายฐานธุรกิจในทุก ๆ ด้านให้ PSP เติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากเป้าหมายด้านรายได้แล้ว PSP ยังมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืนหรือ ESG ในกระบวนการดำเนินงานของทุกหน่วยงานในองค์กรในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ควบคู่กับตั้งเป้าหมายการลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยมุ่งเน้นการรีไซเคิลตามแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการนำทรัพยากรที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ การใช้พลังงานสะอาดทดแทน และการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตที่มั่นคง และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน นายเสกสรร กล่าวทิ้งท้าย
โออิชิ บิซโทโระ (OISHI BIZTORO) เอาใจสายอาหารญี่ปุ่น ล่าสุด !!! สร้างสรรค์อาหารจานพิเศษ จัดเต็มเมนูใหม่ ข้าวหน้าและราเมน พลาดไม่ได้ กับ 4 เมนูไฮไลต์ อร่อยหน้าล้น จัดจ้าน...เต็มคำ เริ่มที่ “ข้าวหน้าล้นไก่คั่วพลิกเกลือ” ไก่กรอบคั่วจนหอม คลุกเคล้าพริกและเกลือสูตรพิเศษ รสชาติจัดจ้านถึงใจ ราคาจานละ 69 บาท (จากปกติ 89 บาท), ตามมาด้วย “ข้าวหน้าล้นหมูมิโซะก้อนทอด” หมูปรุงรสมิโซะอย่างพิถีพิถัน ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน หอมอร่อยเกินต้าน ราคาจานละ 79 บาท (จากปกติ 99 บาท), “ราเมนแห้งเกี๊ยวซ่าต้มยำ” เส้นราเมนเหนียวนุ่มคลุกซอสแซ่บ เสิร์ฟคู่เกี๊ยวซ่าหมู ไส้แน่นเต็มคำ ราคาจานละ 79 บาท (จากปกติ 99 บาท), และ อาหารรับประทานเล่น “เกี๊ยวซ่าต้มยำ” เกี๊ยวซ่าไส้หมูฉ่ำ ๆ ราดซอสต้มยำรสจัดจ้าน เปรี้ยว เค็ม เผ็ด กลมกล่อม ราคาจานละ 69 บาท (จากปกติ 89 บาท) ที่ โออิชิ บิซโทโระ ทุกสาขา (ยกเว้น สาขา วัน แบงค็อก, และ ศูนย์ฯ สิริกิติ์) วันนี้ถึง 30 เมษายน 2568 เท่านั้น
ติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติม คลิกแฟนเพจ OISHI Restaurant Thailand: www.facebook.com/oishigroup หรือค้นหา โออิชิ บิซโทโระ สาขาใกล้ ๆ คุณ คลิกเว็บไซต์โออิชิฟู้ด: www.oishifood.com
=====
หมายเหตุ: ราคาโปรโมชันพิเศษนี้ เฉพาะบริการรับประทานที่ร้านหรือซื้อกลับบ้านเท่านั้น
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ร่วมกับ ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์ มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งสุดพิเศษในเดือนแห่งความรักให้กับผู้ถือบัตรเครดิต ttb และบัตรเครดิต ttb Global House ประเภทบุคคลธรรมดา ด้วยแคมเปญ “EM District Love Unstoppable 2025” พร้อมรับคูปองแทนเงินสด สูงสุด 11,500 บาท / วัน เมื่อช้อปตามเงื่อนไข ตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2568
พิเศษ! 3 วันเท่านั้น รับเพิ่ม Erb Dazzling Couple Gift เซตคู่ดูแลผิวสวยและผิวหอม มูลค่า 2,280 บาท จำนวน 1 สิทธิ์ / ท่าน ตลอดรายการ เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ttb และบัตรเครดิต ttb Global House ตั้งแต่ 14,000 บาท ขึ้นไป / เซลล์สลิป ในระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 - 16 กุมภาพันธ์ 2568 ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของโปรโมชัน ได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/emdistrict-feb25
ทีทีบีส่งเสริมให้ลูกค้าบัตรเครดิตใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 7% - 16% ต่อปี เพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้ และอนาคต
นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช (กลางซ้าย) ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มอบเงินบริจาคจำนวน 43,025,632 บาท ให้แก่ ศิริราชมูลนิธิ โดยมีศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล (กลางขวา) คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เป็นผู้รับมอบ เมื่อเร็วๆ นี้
เงินบริจาคดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่ร่วมบริจาคผ่านบัตรเครดิต และใช้คะแนน KTC FOREVER ทุก 1,000 คะแนน แทนเงินบริจาค 100 บาท เพื่อนำไปสนับสนุนการดำเนินงานของศิริราชมูลนิธิในการจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงพยาบาลศิริราช
ศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ กล่าวว่า “ศิริราชมูลนิธิเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งมั่นในการจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงพยาบาล เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ป่วยและสังคมโดยรวม การสนับสนุนจากเคทีซีและสมาชิกถือเป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้มูลนิธิสามารถดำเนินภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน”
นางสาวสิรีรัตน์ กล่าวว่า “เคทีซีมีความมุ่งมั่นในการร่วมสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส โครงการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมืออันดีระหว่างภาคเอกชนและภาคประชาสังคม และเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของหลักการ ESG ที่เคทีซีให้ความสำคัญ”