

โรงพยาบาลไทยนครินทร์ ประกาศความพร้อมในการให้บริการ ‘Thainakarin Precision Oncology Center : TPOC’ หรือศูนย์มะเร็งมุ่งเป้าเฉพาะบุคคลไทยนครินทร์ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพและรักษาโรคมะเร็งที่มีความทันสมัยแห่งหนึ่งของประเทศไทย ประสานนวัตกรรมเทคโนโลยีระดับสากลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็ง พร้อมด้วยทีมสหสาขาวิชาชีพและแพทย์ชำนาญการเฉพาะทาง มุ่งเน้นการดูแลแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Cancer Care) วินิจฉัยโรคและวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ เป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างผู้มารับบริการในทุกช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิต

นายฐิติ สิหนาทกถากุล ประธานบริหาร บริษัท โรงพยาบาลไทยนครินทร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปัจจุบันแม้การรักษาโรคมะเร็งจะมีการพัฒนาดีขึ้นอย่างมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการวินิจฉัยที่แม่นยำและขาดการดูแลรักษาที่เหมาะสมในแต่ละบุคคล
โรงพยาบาลไทยนครินทร์ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงลงทุนมากกว่า 400 ล้านบาท ในการจัดตั้ง ศูนย์มะเร็งมุ่งเป้าเฉพาะบุคคลไทยนครินทร์ หรือ TPOC : Thainakarin Precision Oncology Center พร้อมผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการแพทย์ระดับประเทศ เพื่อให้บริการผู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งด้วยแนวทางการดูแลเฉพาะบุคคล (Personalized Cancer Care) ที่มีประสิทธิภาพสูง ผสมผสานเทคโนโลยีที่หลากหลาย เช่น การตรวจยีน (Genetic Testing), การใช้ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy), การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy), และการฉายรังสีด้วยเครื่อง Vital Beam ที่มีความแม่นยำสูง ปลอดภัย ช่วยลดการทำลายเนื้อเยื่อปกติ เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของเซลล์มะเร็งในผู้ป่วยแต่ละบุคคล การรักษาที่หลากหลายและตรงจุดนี้ ช่วยเพิ่มความสำเร็จของการรักษา ลดผลข้างเคียง และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น
โรงพยาบาลไทยนครินทร์ได้รับการรับรองมาตรฐาน AACI (American Accreditation Commission International)ด้านการรักษามะเร็งเต้านม จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าศูนย์มะเร็งมุ่งเป้าเฉพาะบุคคลไทยนครินทร์(TPOC)มีความพร้อมในการให้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ด้วยแนวคิดที่ว่า ปัญหาพฤติกรรมสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก แต่ TPOC พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างผู้มารับบริการในทุกช่วงเวลาที่สำคัญ พร้อมต่อยอดทุกความหวัง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้มารับบริการทุกคน” นายฐิติ สิหนาทกถากุล กล่าวทิ้งท้าย

นพ.อาคม เชียรศิลป์ อายุรแพทย์มะเร็งวิทยาและผู้อำนวยการศูนย์มะเร็งและรังสีรักษา ได้กล่าวถึง “การนำความรู้และเทคโนโลยีองค์รวมของยีน หรือ Omics ของเซลล์มาไขปัญหาลับของเซลล์มะเร็งในปัจจุบัน มีความรู้มากมายที่เป็นประโยชน์ในทุกมิติของการแพทย์โรคมะเร็ง สนับสนุนแผนการรักษาที่แม่นยำ ถูกต้องและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล ช่วยในการป้องกันและประเมินความเสี่ยงโรค รวมถึงการพัฒนายา และวัคซีนด้วย AI เช่น Alpha Fold_AI ที่ใช้ลำดับกรดอะมิโนเอซิคของโปรตีนเพื่อหาสัมพันธ์กับโครงสร้างโปรตีน และชุดข้อมูลในการสร้างโปรตีน”

นพ.คณินทร์ ศรีอุดมพร อายุรแพทย์ด้านเวชพันธุศาสตร์และเวชศาสตร์จีโนมส์ กล่าวถึงการตรวจพันธุกรรมโรคมะเร็ง (Genetic Testing) ว่า “เป็นการตรวจเชิงลึกเพื่อหาการกลายพันธุ์ของยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ซึ่งมะเร็งแต่ละชนิดมีโอกาสที่จะเป็นโรคทางพันธุกรรมไม่เท่ากัน ดังนั้น ก่อนเข้ารับการตรวจควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง สำหรับประโยชน์ในการตรวจพันธุกรรมจะมีบทบาทในเรื่องของการกำหนดรูปแบบการดูแลมะเร็งระยะยาวไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการคัดกรอง การลดความเสี่ยงโรคมะเร็งและการดูแลคนในครอบครัว”
ศูนย์มะเร็งมุ่งเป้าเฉพาะบุคคลไทยนครินทร์ เปิดให้บริการแล้ววันนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2340-7777 Line Official Account: @tnhcancercenter หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.thainakarin.co.th
‘การปลูกถ่ายอวัยวะ’ นับเป็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สำคัญอย่างมากในการช่วยชีวิตและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตองผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้หลายโรค เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคตับแข็ง และโรคหัวใจล้มเหลว รวมถึงการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา ซึ่งเปรียบเสมือนการให้ชีวิตใหม่เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง
ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนอวัยวะปลูกถ่าย โดยข้อมูล Global Observatory on Donation and Transplantation (GODT) ระบุว่าในปี 2022 ทั่วโลกมีการปลูกถ่ายอวัยวะทั้งหมดเพียง 157,494 ครั้ง และ ‘ไต’ เป็นอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายมากที่สุดในโลก รองลงมาคือ ตับ และหัวใจ และยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะ ขณะที่ข้อมูลของประเทศไทยล่าสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จากศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ระบุว่า มีจำนวนผู้ป่วยที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะ สูงถึง 7,486 ราย ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดย 95% เป็นผู้ป่วยที่รอ ‘ไต’ รองลงมา คือ ตับ หัวใจ ปอด และตับอ่อน ขณะเดียวกันมีผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะแล้วเพียง 946 ราย และจะมีผู้เสียชีวิตระหว่างรอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะ เฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 ราย

รศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้เปิดเผยในงานแถลงข่าว ‘Bumrungrad Transplant Services: Where Life Gets a Second Chance’ ว่า การปลูกถ่ายอวัยวะ เปรียบเสมือนความหวังใหม่และอีกโอกาสที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามีชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์มากขึ้น ในฐานะที่บำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลที่ให้การรักษาในระดับจตุตถภูมิ (Quaternary Care) เราได้พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์เพื่อให้การบริบาลดูแลผู้ป่วยอย่างครอบคลุมเพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยทีมแพทย์และสหสาขาวิชาชีพที่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะสำคัญ ปัจจุบัน บำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับให้เป็นศูนย์การปลูกถ่ายอวัยวะหัวใจ ไต ตับ และกระจกตา จากศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย และสามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ครบทั้ง 3 อวัยวะ และ 1 เนื้อเยื่อ ได้แก่ ‘หัวใจ ไต ตับ และกระจกตา’ ซึ่งการปลูกถ่ายอวัยวะถือเป็นการผ่าตัดที่มีความซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยความชำนาญการของทีมแพทย์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย และทำในสถาบันที่มีมาตรฐานและมีประสบการณ์สูง

นพ. ทัตพงศ์ จิตเอื้ออารีย์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ - ไตวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ไต เป็นอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายบ่อยที่สุดในโลก โดยกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไต คือ ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย ทั้งในกลุ่มที่ได้รับการบำบัดทดแทนไตหรือยังไม่ได้รับการบำบัดทดแทนไตสามารถปลูกถ่ายไตได้ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับการประเมินความพร้อมด้านสุขภาพก่อนเข้ารับการปลูกถ่ายไตจากสหสาขาวิชาชีพ อาทิ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านหัวใจ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวช แพทย์ผู้ชาญการด้านศัลยศาสตร์การปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น
บำรุงราษฎร์ได้ดำเนินการปลูกถ่ายไตให้กับผู้ป่วยมากว่า 37 ปี ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น การดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง และการรักษาผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายด้วยการปลูกถ่ายไต และสามารถปลูกถ่ายไตผู้ป่วยได้ตั้งแต่อายุไม่ถึง 10 ปี จนถึงอายุมากกว่า 80 ปี รวมถึงผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหลายโรค โดยมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลภาวะหลังการปลูกถ่ายไตอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังมีทีมแพทย์ผ่าตัดที่พร้อมเดินทางไปผ่าตัดไตที่รับบริจาคจากโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ และพร้อมผ่าตัดปลูกถ่ายไตให้ผู้ป่วยหลังจากไตบริจาคมาถึงโรงพยาบาล
โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บำรุงราษฎร์มีอัตราความสำเร็จในการปลูกถ่ายไตสูงกว่า 90% ซึ่งนับเป็นอัตราความสำเร็จที่สูงเทียบเท่ามาตรฐานระดับโลกอย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรปตะวันตก ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานประสบการณ์ของทีมแพทย์ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การตรวจวิเคราะห์ยีน การใช้เทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องและหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ที่สำคัญ บำรุงราษฎร์ยังสามารถทำการปลูกถ่ายไตข้ามหมู่เลือดได้สำเร็จ ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างครบวงจรและมีโอกาสกลับมามีชีวิตที่สมบูรณ์ได้อีกครั้ง

พญ. ปิยฉัตร พิพัฒนพงศ์โสภณ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจ - หัวใจล้มเหลว โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวถึงผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวขั้นสุดท้ายมักเผชิญกับความท้าทายในการใช้ชีวิตประจำวัน หัวใจที่อ่อนล้าไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างเพียงพอ ทำให้เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงถึง 10% ต่อปี ‘การปลูกถ่ายหัวใจ’ จึงเป็นการรักษาขั้นสูงสุดที่ช่วยยืดอายุและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย ปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจถือว่าประสบความสำเร็จสูง จากสถิติผู้ป่วยมีอัตรารอดชีวิตมากถึง 85-90% ซึ่งหากผู้ป่วยไม่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่อาจเสียชีวิตภายในระยะเวลาเพียง 1-2 ปี
การปลูกถ่ายหัวใจ จึงเป็นทางเลือกในการรักษาที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวขั้นสุดท้าย เพราะเป็นการรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูง โดยการแทนที่หัวใจที่เสียหายด้วยหัวใจดวงใหม่จากผู้บริจาค ทำให้หัวใจสามารถทำงานได้เป็นปกติอีกครั้ง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ การปลูกถ่ายหัวใจเป็นการผ่าตัดใหญ่และมีขั้นตอนที่ซับซ้อน โดยก่อนการผ่าตัด แพทย์จำเป็นต้องประเมินสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของผู้ป่วยอย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจการผ่าตัดจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 1-3 สัปดาห์ ซึ่งจะมีหน่วยดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจขั้นวิกฤต ที่จะดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
สถาบันโรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีทีมแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขาวิชาชีพที่เชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจอย่างครอบคลุม รวมถึงแพทย์เฉพาะทางด้านภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งผ่านการฝึกอบรมและได้รับวุฒิบัตรผู้ชำนาญการเฉพาะทางสาขาภาวะหัวใจล้มเหลวจากประเทศสหรัฐอเมริกา (American Board) ด้วยแนวทางการดูแลรักษาเฉพาะบุคคล ตั้งแต่การวินิจฉัย การวางแผนการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ จนถึงการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย และได้การรับรองมาตรฐานสากล JCI Heart Failure สหรัฐอเมริกา ทำให้การผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บำรุงราษฎร์สามารถผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจให้กับผู้ป่วย 5 รายได้สำเร็จ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

พญ. อรพิน ธนพันธุ์พาณิชย์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร - โรคตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะตับ มักจะเป็นผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับตับในระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ได้ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก โดยโรคที่จำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายตับ ได้แก่ 1. ภาวะตับวายเฉียบพลัน มักเกิดกับผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคตับมาก่อน ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ยาเกินขนาดหรือเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ 2. โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคที่ทำให้มีการสะสมสารบางอย่างในตับผิดปกติ ส่งผลต่อการทำงานของตับและอวัยวะอื่น ๆ 3. ภาวะตับอักเสบเรื้อรังจนทำให้เป็นตับแข็งระยะท้ายที่มีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยยาหรือเทคนิคการรักษาอื่น ๆ ซึ่งเกิดหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบและเชื้อไวรัสอื่น ๆ การดื่มสุรามากเกินไปเป็นระยะเวลานานและโรคไขมันพอกตับ และ 4. โรคมะเร็งตับ ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนและสภาพของตับว่าเหมาะสมกับการปลูกถ่ายตับหรือไม่ หากเป็นในระยะแรกเริ่ม แพทย์สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการอื่น ซึ่งการรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับจะช่วยยืดอายุและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยให้ดีขึ้น
การรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับ จะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยกลับมาทำงานได้เป็นปกติมากขึ้น ทั้งในส่วนของการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ดีขึ้น โดยตับใหม่จะทำหน้าที่ในการกำจัดสารพิษในร่างกาย สร้างโปรตีน และผลิตน้ำดี ทำให้การทำงานของอวัยวะอื่น ๆ เช่น ไต หัวใจ และสมองกลับมาเป็นปกติ รวมถึงอาการที่เกิดจากโรคตับจะทุเลาลง เช่น อาการเหนื่อยง่าย บวม อาเจียน ก็จะทุเลาลงหรือหายไป ส่งผลให้ผู้ป่วยมีแรงมากขึ้น ทำกิจวัตรประจำวันได้มากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงมีอายุขัยที่เพิ่มขึ้น
ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายตับ จะมีอัตราการรอดชีวิตสูงถึง 97% ในปีแรก, 82% ใน 5 ปี และ 67% ใน 10 ปี ซึ่งถือเป็นอัตราความสำเร็จที่สูง สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์และการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ และด้วยประสบการณ์กว่า 22 ปีในการปลูกถ่ายตับ ซึ่งคลินิกโรคตับเป็นหนึ่งใน 8 คลินิกเฉพาะทางของศูนย์ทางเดินอาหาร-ตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่ดูแลรักษาผู้ป่วยมากกว่า 42,000 รายต่อปี และสามารถดูแลรักษาโรคตับได้อย่างครอบคลุม เช่น ตับอักเสบเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง ก้อนเนื้อในตับ ไขมันพอกตับ และมะเร็งตับ จนถึงการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง

ศ.พญ. งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ แพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา การผ่าตัดแก้ไขสายตา กระจกตา และ ต้อกระจก โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวปิดท้ายเกี่ยวกับปัญหากระจกตาเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคกระจกตาเสื่อม กระจกตาโก่ง/ย้วย กระจกตาบวม และกระจกตาเป็นแผล ซึ่ง ‘การปลูกถ่ายกระจกตา’ เป็นการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนกระจกตาส่วนที่เสียหายด้วยกระจกตาจากผู้บริจาค เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการมองเห็นของผู้ป่วยให้ดีขึ้น ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระจกตาในกรณีที่ผู้ป่วยมีกระจกตาบางหรือทะลุ ซึ่งบำรุงราษฎร์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น กล้องผ่าตัดที่มีการผนวกเทคนิคที่ช่วยในการตรวจชั้นต่าง ๆ ของกระจกตาในระหว่างผ่าตัด ทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูงขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา มีด้วยกัน 2 วิธี คือ 1. การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาทุกชั้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาที่กระจกตาทุกชั้น และ 2. การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาเฉพาะชั้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาที่กระจกตาบางชั้นเท่านั้น โดยมีให้เลือกทั้งการปลูกถ่ายกระจกตาชั้นบน และการปลูกถ่ายกระจกตาชั้นใน ซึ่งเป็นเทคนิคที่ละเอียดอ่อนและมีความแม่นยำสูง และในกรณีผู้ป่วยที่มีโรคกระจกตาซับซ้อน ศูนย์ปลูกถ่ายกระจกตา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา พร้อมเทคนิคการรักษาที่หลากหลาย เช่น เลเซอร์ PTK, ฉายแสง UV-A และการผ่าตัดใส่วงแหวน ซึ่งอาจใช้รักษาร่วมกับการปลูกถ่ายกระจกตาเพื่อปรับปรุงการมองเห็นให้ดีที่สุด
ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายกระจกตาด้วยอัตราสูงถึง 97% โดยผู้ป่วยยังคงมองเห็นได้ชัดเจนหลังการผ่าตัด 1 ปี และไม่มีรายงานภาวะแทรกซ้อนใด ๆ เช่น การติดเชื้อ ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามองเห็นเป็นปกติได้
New Era สุดยอดแบรนด์หมวกและแฟชั่นชั้นนำจากอเมริกา เอาใจสาวกสตรีทแฟชั่นชาวไทย เปิดตัวหมวกรุ่นใหม่ 9SEVENTY ที่ตอบโจทย์ในเรื่องของสไตล์และความยืดหยุ่น ซึ่งมาพร้อมกับคอลเลกชัน NEW ERA X BIG LEAGUE CHEW ที่ร่วมมือกับแบรนด์หมากฝรั่งชื่อดังแห่งวงการเบสบอล แต่งแต้มไอเทมสุดเท่ห์ ด้วยสีสันสะดุดตา พร้อมมิกซ์แอนด์แมทช์กับลุคต่าง ๆ ได้ไม่มีซ้ำ!

หมวกรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง 9SEVENTY เป็นการผสมผสานระหว่างทรงหมวกที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหมวกรุ่น 9FIFTY และปีกหมวกที่เป็นปีกโค้งเหมือนหมวกรุ่น 9FORTY โดยความพิเศษของหมวกรุ่น 9SEVENTY คือผ้าทั้งสามด้าน ยกเว้นด้านหน้าทำจากวัสดุที่เป็นผ้ายืด ซึ่งตอบโจทย์ในเรื่องของความยืดหยุ่น ใส่สบาย เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบทรงหมวกแบบ 9FIFTY แต่ต้องการเพิ่มสไตล์ที่แตกต่างด้วยปีกทรงโค้ง และความพิเศษนี้เอง ทำให้หมวกทรง 9SEVENTY ได้รับความนิยม และเป็นที่จับตามองของสายแฟทั้งหลาย

คอลเลกชัน NEW ERA X BIG LEAGUE CHEW
หมวกที่มาพร้อมชื่อทีมโปรด ทั้ง NEW YORK YANKEES, LOS ANGELES DODGERS, BOSTON RED SOX, CHICAGO WHITE SOX, OAKLAND ATHLETICS, NEW YORK METS และ DETROIT TIGERS และเฉดสีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สีน้ำเงิน, ม่วง, ขาว, แดง, ชมพูเข้ม, ฟ้า และ เขียว มาพร้อมกับเข็มกลัดที่ถูกดีไซน์มาจากรูปทรงของแพคเกจจิ้ง Big League Chew แบรนด์หมากฝรั่งคู่ใจสาวกเบสบอลอเมริกัน อยู่บริเวณด้านขวาของหมวก เอาใจแฟน ๆ คนรักเบสบอล แถมถูกใจนักสะสมแน่นอน

หมวกรุ่น 9SEVENTY ในคอลเลกชัน Big League Chew พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่หน้าร้าน New Era ณ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิ สยามเซ็นเตอร์, เซ็นทรัลเวิลด์, ไอคอนสยาม, เซ็นทรัล ชิดลม, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล ศาลายา, เซ็นทรัล อีสต์วิลล์, เซ็นทรัล จังซีลอน, เซ็นทรัล เวสต์เกต, เซ็นทรัล พัทยาบีช รวมถึงสาขาใหม่ล่าสุด วัน แบงค็อก และช่องทางออนไลน์ อย่าง เว็บไซต์ https://bit.ly/3ACe664 Lazada และ Shopee รวมถึงค้นหาสาขาใกล้คุณ ได้ที่ https://bit.ly/NE_storelocation
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ให้การสนับสนุนการจัดคอนเสิร์ตสุดพิเศษ “In the Footstep of Bartók” ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฮังการี นำโดย ฯพณฯ นายชานโดร์ ชีโปช (H.E. Mr. Sándor Sipos) เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทย เพื่อเฉลิมฉลองมิตรภาพทางวัฒนธรรมระหว่างไทยและฮังการี ณ ห้องประชุม Grand Step C ชั้น 6 อาคาร Big C House เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568

คอนเสิร์ตครั้งนี้นำเสนอการแสดงเดี่ยวโดยศิลปินชื่อดังชาวฮังการี Ms. Kriszta Kovats (คริสต้า โควาส) นักแสดง นักร้อง ผู้กำกับ และพิธีกรวิทยุมากความสามารถ ที่มาถ่ายทอดบทเพลงหลากหลายแนว ทั้งเพลงรัก (Love Songs), เพลงฮิตจากละครเวที (Hit Musical Songs) และเพลงพื้นบ้าน (Folk Songs) พร้อมด้วยการแสดงพิเศษจากศิลปินรับเชิญ นายภาธร สวัสดิสุข อดีตสมาชิกคณะประสานเสียงกรุงเทพฯ และครูสอนร้องเพลง ที่มาร่วมขับร้องบทเพลงฮังการีสร้างสีสันในงาน

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงผลงานศิลปะสิ่งทอของ Ms. Andrea Ruttka (แอนเดรีย รัตก้า) ศิลปินสิ่งทอชื่อดังจากฮังการี ผู้เคยร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์แห่งชาติฮังการี, วิทยาลัยศิลปะประยุกต์ฮังการี และโรงเรียนเต้นรำ Madach Theatre โดยผลงานของเธอช่วยเติมเต็มบรรยากาศทางศิลปะและเสริมประสบการณ์การชมคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้อย่างลงตัว สะท้อนถึงความงดงามของดนตรีในฐานะภาษาสากลที่เชื่อมโยงผู้คนจากทั่วโลก
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-ฮังการี และมอบโอกาสให้พนักงานรวมถึงแขกผู้มีเกียรติได้สัมผัสประสบการณ์ทางดนตรีและศิลปะอันทรงคุณค่าในค่ำคืนแสนพิเศษนี้
| สหรัฐ |
เฟดคงดอกเบี้ยตามคาด ขณะที่ทรัมป์เตรียมขยายการเก็บภาษีนำเข้ารายสินค้า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25-4.50% โดยนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดย้ำว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องรีบลดอัตราดอกเบี้ยจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส 4 ปี 2567 ชะลอลงสู่ 2.3% QoQ annualized จาก 3.1% ในไตรมาสก่อนหน้า
แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง แต่ยอดรีไฟแนนซ์หนี้ภาคเอกชนคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในปีนี้ การจ้างงานมีแนวโน้มลดลงจากนโยบายเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย รวมถึงสงครามการค้ากำลังทวีความรุนแรงขึ้น ล่าสุดทรัมป์ขู่จะเพิ่มภาษีนำเข้ารายสินค้า เช่น กลุ่มพลังงานและโลหะ นอกเหนือการประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าจากจีน แคนาดา และเม็กซิโก จากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวประกอบกับนโยบายส่งเสริมการขุดเจาะน้ำมันที่ช่วยบรรเทาเงินเฟ้อ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าเฟดสามารถพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้อีก 0.75% สู่ระดับ 3.50-3.75% ภายในปี 2568

| ยูโรโซน |
เศรษฐกิจยูโรโซนฟื้นตัวแบบเปราะบางจากปัจจัยกดดันทั้งภายนอกและภายในประเทศ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 2.75% พร้อมระบุว่าเงินเฟ้อกำลังชะลอตัวต่อเนื่องและคาดว่าจะกลับสู่เป้าหมายที่ 2% ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ 0% QoQ จากที่ขยายตัว 0.4% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเยอรมนีและฝรั่งเศส สองประเทศใหญ่สุดของยุโรป หดตัวลง -0.2% และ -0.1% ตามลำดับ
เศรษฐกิจยูโรโซนในปี 2568 ยังมีแนวโน้มโตต่ำและมีความเสี่ยงจากภาคการผลิตที่หดตัวต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงความขัดแย้งทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งสองประเทศเศรษฐกิจหลักของยุโรป ได้แก่ เยอรมนีและฝรั่งเศส ยังคงเผชิญกับปัญหาทางการเมืองที่กำลังสร้างความไม่แน่นอนต่อการผลักดันนโยบายต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมาสู่ความสามารถในการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะถัดไป จากเหตุผลดังกล่าว วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ECB มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.75% สู่ระดับ 2.00% ภายใต้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่กลับลงสู่ระดับ 2.00% ภายในสิ้นปีนี้

| จีน |
การเติบโตของจีนโดยรวมยังพึ่งพามาตรการกระตุ้น ขณะที่การใช้จ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีนน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บางส่วน ทางการ (NBS) รายงาน PMI ภาคการผลิต ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ และ PMI นอกภาคการผลิตชะลอตัวลงในเดือนมกราคม (ดังรูป) ส่วนกำไรภาคอุตสาหกรรมพลิกกลับมาเป็นบวกในเดือนธันวาคมที่ 11% YoY จาก -7.3% ในเดือนพฤศจิกายน แต่โดยรวมทั้งปี 2567 ยังคงหดตัวติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ที่ -3.3%
การชะลอตัวของ PMI ล่าสุดส่วนหนึ่งเป็นผลจากการหยุดทำการชั่วคราวก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีน ขณะที่ผลบวกจากช่วงเทศกาลน่าจะปรากฏให้เห็นชัดในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนกำไรภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงท้ายปีที่ผ่านมา คาดว่าเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นรอบใหญ่ นอกจากนี้ การเปิดตัวของ DeepSeek ยังสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนที่เขย่าวงการ AI ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นในระยะข้างหน้า ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจีนและโลกโดยรวม โดยเฉพาะผลกระทบจากการเร่งส่งออกสินค้าและเทคโนโลยีราคาถูกจากจีน

ภาคท่องเที่ยวแม้เผชิญความท้าทายแต่ยังจะเป็นแรงหนุนสำคัญของเศรษฐกิจในช่วงต้นปี โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเครื่องชี้เศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปี 2567 โดยภาพรวมปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ตามแรงขับเคลื่อนจากภาคท่องเที่ยว รวมถึงรายจ่ายลงทุนภาครัฐที่เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าการส่งออกไม่รวมทองคำอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนจากการส่งออกสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี ด้านการบริโภคภาคเอกชนทรงตัว แม้ได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 1 แต่ยอดขายยานยนต์หดตัว ส่วนการลงทุนภาคเอกชนปรับลดลงจากหมวดยานพาหนะและหมวดก่อสร้าง
วิจัยกรุงศรีประเมินเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2568 ยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของภาคท่องเที่ยว แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบในระยะสั้นแต่แนวโน้มโดยรวมยังคงเป็นบวก จากข้อมูลในช่วงวันที่ 1-26 มกราคม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 3.02 ล้านคน (+19.3% YoY) สร้างรายได้ 150,650 ล้านบาท นำโดยนักท่องเที่ยวจีน (532,853 คน) ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการ Easy-E-Receipt และมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 วงเงินประมาณ 3 หมื่นล้านบาท อาจให้ผลบวกไม่มาก และหากเทียบกับการแจกเงินในเฟส 1 วงเงินกว่า 1.4 แสนล้านบาท ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนซึ่งพบว่าการบริโภคในช่วงดังกล่าวทรงตัว (ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน -0.1% QoQ) สะท้อนกำลังซื้อที่อ่อนแอของผู้บริโภค

คลังคงประมาณการ GDP ปีนี้ขยายตัวที่ 3% จากปีก่อนที่คาดว่าจะโตเพียง 2.5% ส่วนความคืบหน้ามาตรการคุณสู้เราช่วยยังมีผู้สนใจต่ำกว่าคาด ล่าสุดสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2567 จากขยายตัว 2.7% เหลือเพียง 2.5% ส่วนปี 2568 ยังคงประมาณการ GDP ไว้ว่าจะขยายตัวที่ 3% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.5%-3.5%) นอกจากนี้ ทางการยังรายงานความคืบหน้าของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยผ่านโครงการคุณสู้เราช่วย โดยมีลูกหนี้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวคิดเป็นเพียง 25% ของเป้าหมายที่จะช่วยแก้หนี้ได้ 2.1 ล้านบัญชี (ข้อมูลถึง ณ วันที่ 28 มกราคม จำนวน 576,496 บัญชี)
การปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2567 ของสศค. สะท้อนแรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนที่อาจอ่อนแอกว่าคาด สาเหตุสำคัญมาจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่หดตัว โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์ที่ลดลง (ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในไตรมาส 4 ปี 2567 หดตัว 2.0% YoY แต่หากไม่รวมอุตสาหกรรมยานยนต์ การผลิตจะขยายตัว 1.3%) ทั้งนี้ ยังต้องรอติดตามการประกาศตัวเลข GDP จากสภาพัฒน์ฯ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ สำหรับข้อมูลการเข้าร่วมในมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยยังมีผู้สนใจต่ำกว่าเป้าหมายอยู่มาก ซึ่งชี้ว่าการบริโภคในปีนี้อาจเติบโตได้จำกัดจากแรงกดดันของปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูความคืบหน้าของโครงการนี้หลังสิ้นสุดการเปิดให้ลงทะเบียนภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ และเสริมสถานะให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับนักลงทุนต่างชาติ พร้อมช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศ ผ่านเครือข่ายธนาคารยูโอบี ที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน
ภายใต้ความร่วมมือนี้ ธนาคารยูโอบี และ สกพอ. จะนำความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่มีมาร่วมนำเสนอโซลูชันทางการเงินและบริการให้คำปรึกษาที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการลงทุนให้ราบรื่นยิ่งขึ้น ยกระดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมอุตสาหกรรมหลักตามกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย อันได้แก่ ยานยนต์ยุคใหม่ การแพทย์และสุขภาพ ดิจิทัลและนวัตกรรม รวมถึงเศรษฐกิจสีเขียวและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายริชาร์ด มาโลนี่ย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “การร่วมมือระหว่างธนาคารยูโอบี และ สกพอ. แสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการมีส่วนร่วมในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเราจะให้การสนับสนุนแบบครบวงจรแก่นักลงทุนทั้งในประเทศ ภูมิภาค และระดับนานาชาติ เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางชั้นนำด้านนวัตกรรมและการพัฒนาในภูมิภาคนี้ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจของ สกพอ.”
ความร่วมมือครั้งนี้จะครอบคลุมโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการร่วมกัน อาทิ แคมเปญส่งเสริมการลงทุน การจัดโรดโชว์สำหรับนักลงทุน และการสนับสนุนผ่านหน่วยงานที่ปรึกษาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDIA) ของธนาคาร ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2563 หน่วยงาน FDIA ของยูโอบีได้สนับสนุนให้บริษัทกว่า 450 แห่งขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศไทย โดยคาดว่าสร้างมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศกว่า 45,000 ล้านบาท และสร้างโอกาสการจ้างงานให้กับคนไทยมากกว่า 31,000 ตำแหน่ง

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า “การร่วมมือกับธนาคารยูโอบี สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการขับเคลื่อนเป้าหมายทางเศรษฐกิจของไทย การดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธนาคารยูโอบีในประเทศไทย และเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับนักลงทุนที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมความสามารถของ สกพอ. ในการเสนอโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจร ไม่เพียงแต่สำหรับโครงการในประเทศเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับฐานลูกค้าที่หลากหลายและขยายตัวเพิ่มขึ้นของธนาคารยูโอบี โดยทั้งสององค์กรมุ่งมั่นดึงดูดการลงทุนมูลค่าสูงที่ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างโอกาสให้กับชุมชนในประเทศไทย”

เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก และนโยบายที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมสร้างปัจจัยบวกให้ประเทศไทย โดยนักลงทุนจะได้รับบริการธนาคารที่ราบรื่นไร้รอยต่อ คำแนะนำด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติ และการเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ เป็นต้น
บินลัดฟ้าเสิร์ฟความพิเศษเพื่อแฟนคลับในประเทศไทย มินนี่ – ณิชา ยนตรรักษ์ ศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปแห่ง (G) I-DLE ศิลปินหญิง K-POP สัญชาติไทยที่โด่งดังในประเทศเกาหลีใต้อีกท่าน ขณะนี้ “มินนี่ ณิชา” ปล่อยโซโล่อัลบั้มเดี่ยวแรกกระแสฮ็อตฮิต ติดชาร์จ Bugs ของประเทศเกาหลีใต้ นับเป็นความสำเร็จที่ทำให้แฟนคลับชาวไทยปลื้ม

แฟนคลับชาวไทยกรี๊ดหนักแน่นอน เมื่อ มินนี่ (G)I-DLE จัดงานภายใต้ชื่อ “MINNIE (G)I-DLE The 1st Mini Album [HER] FANSIGN EVENT IN BANGKOK ” เป็นงานแฟนไซน์ครั้งแรกในประเทศไทยโดยมี CUBE ENTERTAINMENT และ COPAN GLOBAL บริษัทชั้นนำจากประเทศเกาหลีใต้ ร่วมกับ4NOLOGUE เพื่อดีไซน์อีเว้นต์แสนพิเศษครั้งนี้มอบให้ประทับใจแฟนคลับมากที่สุด
เตรียมสัมผัสความน่ารักสดใส มินนี่ ณิชา (G)I-DLE จัดหนักเซอร์ไพรส์อีกมากมาย ปักหมุดวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2025 เวลา20.00 น. ทั้งนี้เริ่มขายอัลบั้ม MINNIE ((G)I-DLE) 1st Mini Album [HER] เพื่อเข้าร่วม FANSIGN ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์2025 เวลา 12:00 น. จนถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เวลาปิดรับการลงทะเบียน 23:59 น. ผ่านเว็บไซต์ www.minnie-her-fansigninbkk.com

ติดตามการประกาศผลผู้ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2025 เวลา 18:00 น. ผ่านทางโซเซียลมีเดีย Facebook , X และ IG ของ 4NOLOGUE ทั้งนี้การประกาศผู้ที่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงาน 200 ท่าน “MINNIE (G)I-DLE The 1st Mini Album [HER] FANSIGN EVENT IN BANGKOK ” ทางบริษัทฯ แจ้งผ่านทางอีเมล์เพื่อยืนยันสิทธิ์อีกครั้ง
สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) สถาบันอุดมศึกษาก่อตั้งโดย บมจ.ซีพี ออลล์ เข้าชิงรางวัล "กลยุทธ์การเรียนการสอนแห่งปี หรือ Teaching and Learning Strategy of the Year" ใน Times Higher Education Awards Asia 2025 ด้วยสุดยอดผลงานจากการพัฒนาโมเดลการเรียนการสอนที่มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ โดยเป็น 1 ใน 8 สถาบันอุดมศึกษาจากทั่วทั้งทวีปเอเชียที่ได้รับการคัดเลือกเข้าชิงรางวัลนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพการศึกษาและนวัตกรรมในด้านการเรียนการสอนด้วยรูปแบบ Work-based Education
ในปีนี้ รางวัล Times Higher Education Awards Asia ได้รับผลงานส่งเข้าประกวดมากกว่า 500 ผลงานจากสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วเอเชีย ซึ่งจะมีการมอบรางวัลใน 10 สาขาหลัก โดยพีไอเอ็มได้รับการคัดเลือกในสาขา "กลยุทธ์การเรียนการสอนแห่งปี" ร่วมกับสถาบันระดับแนวหน้าจากหลายประเทศ เช่น Singapore Management University (สิงคโปร์), Sunway University (มาเลเชีย), Lovely Professional University (อินเดีย)
รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี พีไอเอ็ม เปิดเผยถึงแนวทางการพัฒนาการศึกษาที่มุ่งเน้นการเรียนรู้ควบคู่กับการฝึกงาน ซึ่งเป็นการผสานการเรียนทฤษฎีในห้องเรียนกับการปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง มีทักษะที่สามารถนำไปใช้ได้ทันทีในโลกการทำงาน (Ready to Work) ซึ่งทุกองค์ประกอบของ Work-based Education ต้องมีการพัฒนาและขับเคลื่อนทั้งผู้เรียน ผู้สอน บุคลากร ไปพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
พีไอเอ็มมุ่งมั่นพัฒนานักศึกษาให้มีทักษะ “คิดเป็น” “ทำเป็น” “เด่นนวัตกรรม” และ “มีคุณธรรมสูง” โดยเน้นให้มีความสามารถใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมเสริมสร้างความเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม และมีมุมมองความคิดที่กว้างไกล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสู่โลกการทำงานที่ท้าทาย อีกทั้งการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้พีไอเอ็มสามารถสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพ พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ สังคม และองค์กรได้อย่างแท้จริง รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพกล่าว

ผลงานที่พีไอเอ็มส่งเข้าประกวดคือ Work-based Education Model (WBE Model) ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นตามปรัชญาการศึกษาของสถาบันที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง โดย WBE Model นี้มีความเข้มข้นมากกว่าการเรียนการสอนแบบสหกิจศึกษา (Cooperative Education) การบูรณาการการเรียนรู้ร่วมกับการทำงาน (Work-integrated Learning) ด้วยการบูรณาการทั้งภาคทฤษฎีและการปฏิบัติจริงจากการฝึกงานในสถานประกอบการจริง
โมเดลนี้ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่:
ผลจากการดำเนินการด้วย WBE Model นี้ทำให้บัณฑิตของพีไอเอ็มพร้อมทำงานทันทีเมื่อสำเร็จการศึกษา ด้วยอัตราการได้งานทำสูงถึง 88.94% ภายใน 2 เดือนหลังจบการศึกษา และค่าเฉลี่ยเงินเดือนเริ่มต้นของบัณฑิตปริญญาตรีของพีไอเอ็มยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศไทยอีกด้วย โดยการประกาศผู้ชนะรางวัล Times Higher Education Awards Asia 2025 จะมีขึ้นในงาน THE Asia Universities Summit ที่จัดขึ้นในเดือนเมษายน 2025

ซีพี ออลล์ มีความภาคภูมิใจที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 8 สถาบันอุดมศึกษาเข้าชิงรางวัล "กลยุทธ์การเรียนการสอนแห่งปี” จากผลงานที่ส่งเข้าประกวดมากกว่า 500 ผลงานจากทั่วทั้งทวีปเอเชีย ทั้งนี้ซีพี ออลล์มุ่งมั่นให้ความสำคัญนโยบาย “สร้างคน” โดยส่งเสริมการศึกษาพัฒนาเยาวชนเพื่อ “สร้างคนเก่ง คนดี มีความสามารถผ่านการศึกษา” ซึ่งเป็นฐานรากที่สำคัญของประเทศ การสร้างคนเป็นเรื่องหนึ่งที่ซีพี ออลล์ มุ่งมั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้สังคมและเศรษฐกิจของไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง ตามปณิธานองค์กร Giving and Sharing