

บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH บริษัท Insurance and Finance เจ้าแรกของประเทศไทย จับมือกับ บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 Tech company ครบวงจร ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ เปิดตัว บริษัท ฮอไรซอน ที 8 จำกัด “HoriXonT8” หรือ “T8” เพื่อยกระดับ Insurance Ecosystem ให้กับอุตสาหกรรมประกันภัย ด้วย AI-Powered Digital Transformation เสริมศักยภาพพันธมิตรด้านนวัตกรรมประกันภัยทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน ด้วยบริการที่ตอบสนองความต้องการแบบ MORE + Better + Faster ของ HoriXon T8

ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “โลกปัจจุบันกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในหลายมิติ ทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมผู้บริโภค ด้านสภาพแวดล้อม และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ที่เข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรมทั่วโลก เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมประกันภัยก็ต้องเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ โดย Insurance Ecosystem ถือเป็นระบบนิเวศสำคัญ ทั้งในมิติของบริษัทประกันภัย, ตัวแทน/นายหน้า และคู่ค้า ตลอดจนผู้ให้บริการนอกอุตสาหกรรม เช่น สถาบันการเงิน, สถานพยาบาล, E-commerce และ Market Place ต่าง ๆ เราจึงเล็งเห็นโอกาสเพื่อปลดล็อคข้อจำกัดเดิม ๆ เพื่อให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านประกันภัยในรูปแบบใหม่ที่มีความหลากหลาย รวดเร็ว และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้นแบบไร้รอยต่อ ช่วยให้เราสามารถขยายฐานลูกค้าและเปิดตลาดใหม่ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
ด้วยประสบการณ์กว่า 72 ปีของทิพยประกันภัย ที่มีความเข้าใจในระบบประกันภัยและความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า การร่วมมือกับ BE8 ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการผสานความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญของทั้งสองบริษัท โดยนำเอา Artificial Intelligence (AI) มาพัฒนาโซลูชันเพื่อสร้าง The Future of Insurance ให้ตอบโจทย์กับทุกความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง”

นายอภิเษก เทวินทรภักติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เราเล็งเห็นศักยภาพของการนำ AI และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย มาร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงและพลิกโฉมวงการประกันภัยไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ตอบสนองกับ Global Trends ต่างๆ เช่น Embedded Insurance หรือประกันภัยที่ฝังตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์และบริการ ที่เกี่ยวข้องกับ ไลฟ์สไตล์ตั้งแต่เรื่องการเดินทาง การดูแลสุขภาพ และการซื้อสินค้าผ่านช่องทาง E-Commerce และการพัฒนา Digital Platforms ให้ทุกส่วนของ Insurance Ecosystem ได้เข้าถึงเทคโนโลยีและสามารถทำงานด้วยกับแบบไร้รอยต่อยิ่งขึ้น ซึ่งการร่วมมือกันระหว่าง TIPH และ BE8 ในครั้งนี้เป็นการผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านประกันภัยที่แข็งแกร่งของ TIPH กับความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีของ BE8 เรามุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อน Insurance Ecosystem ให้เข้าสู่ยุคแห่งเทคโนโลยี (Tech-Driven Industry) ด้วยโซลูชันและบริการใหม่ ๆ สร้างศักยภาพใหม่ให้ทั้ง Insurance Ecosystem แบบองค์รวมเพื่อให้ประกันภัยเข้าถึงได้ง่าย สะดวก และตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนในยุคดิจิทัล”
HoriXon T8 เป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมประกันภัยและพันธมิตรทางธุรกิจใน Insurance Ecosystem โดยไม่ได้จำกัดเพียงการพัฒนา Insurtech ระหว่างบริษัทประกันกับผู้ซื้อประกันเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ ด้วยการใช้ Modernized Application, Cloud Platforms, Open API Architecture และ AI การสร้างโซลูชันใหม่ที่ทันสมัย เพื่อให้พันธมิตรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี ซึ่งนำไปสู่การก้าวข้าม Digital Disruption สร้างขีดความสามารถใหม่ ๆ สร้าง New S-Curve ให้กับอุตสาหกรรมประกันภัย

ด้วยการนำนวัตกรรม AI และเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ในทุกมิติ ผสานกับแนวคิดแบบ Disruptive Mindset ที่พร้อมจะก้าวออกจากข้อจำกัดและกรอบการทำงานแบบเดิม HoriXon T8 ตั้งเป้าหมายที่จะปฏิวัติ Insurance Ecosystem เสริมศักยภาพให้กับพันธมิตรในทุกมิติได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อสร้างประกันภัยแห่งอนาคต เป็นศูนย์กลางการสร้างนวัตกรรมและ Tech Solutions ที่ครบวงจร
พร้อมขับเคลื่อนตลาดประกันภัยด้วยพลังของ AI และเทคโนโลยี แบบไม่มีขีดจำกัด ก้าวไปสู่การเป็นผู้นำด้านประกันภัยในระดับภูมิภาค
เอสซีจี ได้เปิดหลักสูตร Net Zero Accelerator Program 2025 หรือ NZAP 2025 ซึ่งเป็นหลักสูตร ที่เอสซีจี ร่วมกับพันธมิตร ชวนผู้ประกอบการ และผู้บริหารภาครัฐ เพิ่มความสามารถการแข่งขัน ผลักดันให้ธุรกิจและองค์กรเติบโตสู่เป้า Net Zero ด้วยกัน โดยจะมีการเรียนการสอนจนถึงเดือนมีนาคม ที่สำนักงานใหญ่ เอสซีจี บางซื่อ
“เอสซีจีมีแนวทาง Inclusive green growth ที่มุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน จึงมีโครงการช่วยยกระดับผู้ประกอบการ SME ในการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำหลายรูปแบบ รวมทั้งหลักสูตร NZAP 2025 ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เอสซีจีออกแบบพิเศษ ให้เป็นการเรียนรู้จากการลงมือทำจริง สร้างเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยให้คำแนะนำ” ดร.ชนะ ภูมี ช่วยผู้จัดการใหญ่ การบริหารความยั่งยืน เอสซีจี กล่าว

คุณมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร NZAP กล่าวว่า “หลักสูตรนี้ได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ในการร่วมจัดหลักสูตร อาทิ ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายหลักสูตร และร่วมเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้ความเห็นการนำเสนอเอกสารเชิงวิชาการ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์หลักสูตร โดยได้รับความสนใจทั้งจากผู้ประกอบการและหน่วยงานราชการสมัครเข้าร่วมหลักสูตร โดยได้คัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสม สามารถนำความรู้และเครือข่ายไปวางนโยบายในองค์กรของตนได้ 109 ราย โดยจะมีการเรียนทุกวันศุกร์ รวมทั้งการดูงานในประเทศ จนถึงเดือนมีนาคม พร้อมการทำถกแถลงและทำเอกสารเชิงวิชาการเป็นรายกลุ่ม โดยมีผู้เชี่ยวชาญเป็นที่ปรึกษาและให้ความเห็น ที่สามารถแก้ปัญหาและนำไปปฎิบัติได้จริง”

หลักสูตร NZAP 2025 เน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มกำไร ลดต้นทุน รับมือภาวะโลกเดือด ด้วยความเข้าใจทิศทางและนโยบายของประเทศไทย กลไกการค้าตลาดคาร์บอน กฎหมายและข้อบังคับด้าน Climate Change ตัวอย่างความสำเร็จของการการดำเนินการสู่ Net Zero และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมีพันธมิตรในการจัดหลักสูตรที่สำคัญ ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) หอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย (ICC Thailand) และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2024 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต้อนรับตรุษจีนให้แก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 4 ชุด อายุตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.35 – 4.00% ต่อปี เสริมด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” หรือ “Stable” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6 - 7 และ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทยอย่างยั่งยืน สะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยมีกำไรสุทธิ (หลังรายการปรับปรุง) 3.1 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน ทั้งนี้มีผู้ใช้บริการ 5G จำนวน 12.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ (Refinancing) โดยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่มีอายุระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 3 ปี สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี หรือนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมีนักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน และในปัจจุบันดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ในช่วงต้นปี เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง”
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” หรือ “Stable” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 6 - 7 และ 10 กุมภาพันธ์ 2568 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท หุ้นกู้มีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 4 ชุด มีดังนี้
ซึ่งเฉพาะชุดที่ 4 รุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6
อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตของไทย ประกาศจุดยืนสำคัญร่วมสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม พร้อมยืนหยัดในหลักการความเท่าเทียมกันของทุกเพศอย่างไม่มีเงื่อนไข เดินหน้าปรับนโยบายการรับประกันและการจ่ายผลประโยชน์ให้ครอบคลุมทุกกรมธรรม์อย่างเท่าเทียมตามกรอบของกฎหมายฉบับใหม่ สะท้อนวิสัยทัศน์องค์กรที่มุ่งสร้างสังคมที่เปิดกว้างและเป็นธรรม พร้อมส่งเสริมให้ทุกคนได้รับโอกาสในการวางแผนและสร้างความมั่นคงอย่างเท่าเทียม
นางสาว พัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารงานลูกค้าและความยั่งยืน บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เปิดเผยว่า "อลิอันซ์ อยุธยา มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสังคมไทยผ่านการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของประเทศในการยกระดับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนให้ทัดเทียมนานาประเทศ ทั้งนี้ นโยบายของกลุ่มอลิอันซ์ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่อง Diversity, Equity, and Inclusion (DEI) มาอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม โดยเรามีความเชื่อมั่นว่าทุกคนควรได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกันในทุกมิติของชีวิต การสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้จึงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการร่วมขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความเป็นธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน"

ล่าสุด อลิอันซ์ อยุธยา ได้เร่งดำเนินการปรับนโยบายการรับประกันและการจ่ายผลประโยชน์ให้ครอบคลุมคู่สมรสและคู่ชีวิตทุกเพศอย่างครบถ้วน พร้อมทั้งได้ปรับปรุงเงื่อนไขการรับประกันให้มีความยืดหยุ่น สะดวก และเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่ การเปิดโอกาสให้ผู้เอาประกันสามารถระบุชื่อคู่สมรสหรือคู่ชีวิตเป็นผู้รับผลประโยชน์ได้โดยไม่ต้องยื่นเอกสารพิสูจน์ความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นคู่สมรสเพศเดียวกันหรือเพศต่างกัน นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงเอกสารให้ครอบคลุมความหลากหลาย โดยเพิ่มคำว่า 'คู่สมรส' หรือ 'คู่ชีวิต' แทน 'สามี-ภรรยา' รวมถึงสามารถอัปเดตสถานะเป็นคู่สมรสหรือเปลี่ยนชื่อผู้รับผลประโยชน์ได้โดยไม่ต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม
นโยบายใหม่นี้ยังเน้นความคุ้มครองที่เท่าเทียมกันสำหรับทุกเพศในทุกกรมธรรม์ ยกเว้นในกรณีของความคุ้มครองเสริมที่อ้างอิงเพศกำเนิด เช่น ความคุ้มครองมะเร็งปากมดลูกสำหรับเพศกำเนิดหญิง
"อลิอันซ์ อยุธยา มุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรที่สนับสนุนความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วมในทุกมิติ การปรับเปลี่ยนนโยบายในครั้งนี้ไม่เพียงแค่สอดคล้องกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม แต่ยังเป็นการตอกย้ำจุดยืนของ อลิอันซ์ อยุธยา ในการเป็นผู้นำที่ส่งเสริมความเท่าเทียมและความเป็นธรรมในสังคม เราเชื่อว่าทุกคนควรได้รับโอกาสในการวางแผนอนาคตและความมั่นคงอย่างเท่าเทียม โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเพศ เพื่อร่วมสร้างสังคมที่เปิดกว้างและยั่งยืนในอนาคต" นางสาวพัชรา กล่าวทิ้งท้าย
เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 อยู่ที่ระดับ 53.9 อานิสงส์จากช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่และการเบิกจ่ายเงินโบนัสประจำปีของภาคเอกชน ทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในพื้นที่ท่องเที่ยว ช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาคและกระตุ้นใช้จ่ายมากขึ้น
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยดัชนี SMESI ประจำเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 53.9 จากระดับ 53.0 ของเดือนก่อนหน้า และปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 มีปัจจัยบวกจากการขยายตัวอย่างชัดเจนของภาคการบริการ ตามแรงส่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เร่งตัวสูงในช่วงเทศกาลปลายปี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกด้านกำลังซื้อจากการเบิกจ่ายเงินโบนัสประจำปีของภาคเอกชนที่กระตุ้นให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก รวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก อย่างไรก็ตามภาคการผลิตมีแนวโน้มทรงตัว ตามการปรับลดกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลดกำลังการผลิตตามจำนวนวันหยุดในช่วงสิ้นปี เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนี พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกองค์ประกอบ มีสาเหตุมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งด้านการท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภค โดยองค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อโดยรวม ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 62.0 เป็นระดับ 63.3 องค์ประกอบด้านปริมาณการผลิต/การค้า/บริการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 58.1 เป็นระดับ 58.5 องค์ประกอบด้านการลงทุนโดยรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดจากระดับ 50.6 เป็นระดับ 52.2 องค์ประกอบด้านต้นทุนรวม (ต่อหน่วย) ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 39.2 เป็นระดับ 39.8 องค์ประกอบด้านกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 58.0 เป็นระดับ 59.4 และองค์ประกอบด้านการจ้างงานปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 50.2 เป็นระดับ 50.3

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายสาขาธุรกิจ ประจำเดือนธันวาคม 2567 พบว่า ภาคการบริการ อยู่ที่ระดับ 54.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 53.3 ของเดือนก่อนหน้า ซึ่งขยายตัวในทุกพื้นที่จากภาคการบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งจากในและต่างประเทศที่พุ่งสูงในช่วงปลายปี นอกจากนี้วันหยุดยาวและการจัดงานอีเว้นท์ส่งเสริมเทศกาลต้อนรับปีใหม่ ยังส่งผลดีให้กับหลายสาขาธุรกิจ ทั้งกลุ่มงานจัดเลี้ยง งานสันทนาการ ภาคธุรกิจการเกษตร อยู่ที่ระดับ 58.6 ปรับเพิ่มจากระดับ 57.8 ของเดือนก่อนหน้า โดยปรับตัวดีขึ้น ตามองค์ประกอบด้านปริมาณผลผลิตที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงปัจจัยด้านราคาสินค้าเกษตรเป็นสำคัญ หลายรายการยังมีราคาสูงต่อเนื่อง และแรงส่งด้านสภาพอากาศที่เย็นลง ส่งผลให้ผลผลิตสินค้าเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ภาคการค้า อยู่ที่ระดับ 53.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 52.6 ของเดือนก่อนหน้า ซึ่งภาคการค้ายังขยายตัวในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มการค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค ในขณะที่กลุ่มการค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามกลุ่มสินค้ากึ่งคงทน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ปรับตัวดีขึ้นในบางพื้นที่จากการจ่ายเงินโบนัสประจำปี ขณะที่ภาคการผลิตอยู่ในระดับทรงตัวที่ระดับ 52.6 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.5 เป็นผลมาจากการทยอยขายสินค้าที่ผลิตไว้ โดยเฉพาะอาหาร ยาและสมุนไพร และสินค้าของฝาก ในกลุ่มที่มีราคาต่อหน่วยไม่สูง ในขณะที่ภาพรวมเดือนนี้มีการลดปริมาณการผลิตลง ตามจำนวนวันทำงานที่มีวันหยุดในช่วงเทศกาล ในขณะที่การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหล็ก ชะลอตัวต่อเนื่อง
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายภูมิภาค ประจำเดือนธันวาคม 2567 พบว่า ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 54.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 52.4 ของเดือนก่อนหน้า โดยภาคธุรกิจในพื้นที่ขยายตัวอย่างมากจากปัจจัยของสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิ
เย็นลง ทำให้กิจกรรมที่ดึงดูดกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น กิจกรรมที่พักแรม สินค้าของฝากของที่ระลึก เช่น ยา สมุนไพร เสื้อผ้า สิ่งทอ และกิจกรรมบริการที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ท้องถิ่น นอกจากนี้ธุรกิจการเกษตรยังขยายตัวดีจากปัจจัยของสภาพอากาศเช่นเดียวกัน ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 52.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 50.7 ของเดือนก่อนหน้า เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการเดินทางระหว่างภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นจากเทศกาลวันปีใหม่กับเดือนก่อนหน้าและช่วงเดียวกันในปีก่อน พบว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ตามเส้นทางการเดินทางขยายตัวอย่างชัดเจน ส่งผลดีต่อภาคการบริการ รวมถึงการค้าสินค้าของฝาก ของที่ระลึก และอาหาร ภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 54.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 53.4 ของเดือนก่อนหน้า มีสาเหตุจากแรงกระตุ้นของภาคการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มตลาดระยะไกล (Long-haul) ที่ยังเพิ่มต่อเนื่องตั้งแต่เดือนก่อนหน้า ส่งผลให้กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวขยายตัวชัดเจน ในขณะที่การเบิกจ่ายเงินโบนัสประจำปียังสร้างผลดีกับภาคการค้า และยอดขายของภาคการผลิตในพื้นที่ ภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 54.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 53.2 ของเดือนก่อนหน้า โดยกิจกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่เข้าสู่ช่วง High season เป็นปัจจัยบวกช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะจากกลุ่มนักท่องเที่ยวมาเลเซีย อย่างไรก็ตามบางพื้นที่ เช่น สุราษฎร์ธานี ยังเผชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวน และอุทกภัยระยะสั้นในช่วงกลางเดือน ซึ่งกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในบางส่วน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 54.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 54.2 ของเดือนก่อนหน้า โดยธุรกิจในพื้นที่ได้รับกำลังซื้อเพิ่มเติมจากแรงงานกลับถิ่นในช่วงวันหยุดเทศกาล ส่งผลดีกับธุรกิจภาคการค้าปลีก ค้าส่ง รวมถึงกลุ่มค้าจักรยานยนต์ที่มียอดขายเพิ่มมากขึ้นจากรายได้ภาคการเกษตรตามฤดูกาลเก็บเกี่ยวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ยังเห็นการซื้อสินค้ากึ่งคงทนในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก และเฟอร์นิเจอร์มากขึ้น สร้างผลดีกับสาขาการผลิตเฟอร์นิเจอร์ และภาคการค้าในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 53.3 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 53.1 ของเดือนก่อนหน้า มีสาเหตุจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในช่วง High season โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนและรัสเซีย ส่งผลดีกับกิจกรรมบริการท่องเที่ยวในพื้นที่ เช่น การขนส่งบุคคล ร้านอาหาร อย่างไรก็ตามในเชิงของที่พัก เริ่มเห็นการตึงตัวของค่าใช้จ่ายจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเลือกที่พักที่มีราคาถูก รวมถึงกลุ่มที่พักที่ปล่อยเช่ารายวัน ผ่านแอปพลิเคชันที่มีราคาเฉลี่ยถูกกว่า

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 53.0 ซึ่งปรับลดลงจากระดับ 53.9 ที่คาดการณ์ในเดือนก่อนหน้า มีสาเหตุจากความกังวลของผู้ประกอบการภาคการผลิตเป็นสำคัญที่ต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งปัจจัยกำลังซื้อในระยะยาวยังแผ่วลงอย่างต่อเนื่องซึ่งกระทบต่อกำลังการผลิต และปริมาณการขายสินค้า รวมถึงแรงกดดันจากด้านต้นทุน โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งกระทบต่อการดำเนินการของภาคธุรกิจการผลิต ในขณะที่ภาคการค้าและการบริการชะลอตัวลงเช่นกัน ตามการขาดแรงส่งด้านการท่องเที่ยวและการเดินทางเป็นหลัก
นอกจากนี้ สสว. ยังเปิดเผยถึงภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME ปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 52.4 ปรับตัวลดลงจากปี 2566 ที่ระดับ 53.2 มีสาเหตุมาจากภาพรวมเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคชะลอตัวลง การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ต้นทุนราคาสินค้าและวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง รวมไปถึงปัญหาการเข้ามาแข่งขันของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ออกมาในระยะสั้น ปัญหาจากสภาวะแวดล้อม เช่น ภาวะโลกร้อนที่ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตในภาคการเกษตร สถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือและภาคใต้ เป็นต้น
ดังนั้น สิ่งที่ SME ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุดคือ การออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยให้สิทธิในการเข้าร่วมมาตรการครอบคลุมถึงธุรกิจรายย่อยมากขึ้น เป็นการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้นและเป็นมาตรการที่เป็นแบบต่อเนื่อง รองลงมา คือ ด้านภาระหนี้สินและเงินทุน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่อาจเผชิญปัญหาการผิดนัดชำระในช่วงเวลาถัดไป รวมถึงมาตรการควบคุมราคาต้นทุนปัจจัยการผลิต ที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องที่เริ่มส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภาคการผลิต นอกจากนี้ต้องการให้ภาครัฐมีการส่งเสริมเรื่องศักยภาพของธุรกิจ เช่น การหาเครือข่ายหรือกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียงกันเพื่อแลกเปลี่ยนและแบ่งปันประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ โดย สสว. มีโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่คอยให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือ ผ่าน https://coach.sme.go.th/ หรือ Application ‘SME Connext’ ที่รวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ หรือสามารถสอบถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจรซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301
ดร.วงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานดิจิทัลและโซลูชัน บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มกลางการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์การนำเข้าส่งออก ณ จุดเดียวของประเทศ (Thailand National Single Window : THAI NSW) และ นายทรงเกียรติ เตชะสิริไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.ดับบลิว เทค แอนด์ มีเดีย จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ร่วมลงนามสัญญาความร่วมมือในการพัฒนาแอปพลิเคชันคำขอใบรับรองสุขอนามัยพืชอิเล็กทรอนิกส์ (ePhyto Sanitary Certificate) บนแพลตฟอร์มกลาง THAI NSW เพื่อรองรับการให้บริการคำขอ ePhyto ผ่านแพลตฟอร์มกลาง THAI NSW ภายในปี 2568 เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ส่งออกสินค้าพืชและผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรให้สามารถใช้ใบรับรองสุขอนามัยพืชและสินค้าเกษตรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือ ePhyto เต็มรูปแบบ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประเทศคู่ค้าในอาเซียนและประเทศอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพผ่านแพลตฟอร์มกลาง THAI NSW ซึ่งจะเสริมศักยภาพการส่งออกสินค้าเกษตรไทยให้มีมาตรฐานระดับสากล (23 มกราคม 2568)