นายรูว์ ไฮซแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้ารายย่อย ทีเอ็มบี รับรางวัล Digital Bank of the Year Award 2018 ในงาน The Asset Triple A Digital Awards 2018 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมโฟร์ซีซัน ฮ่องกง เมื่อเร็วๆนี้ รางวัลที่ได้รับนี้เป็นผลสืบเนื่องจากผลงานด้านดิจิทัลแบงก์กิ้งที่โดดเด่นของทีเอ็มบีที่ได้รับรางวัลในหลากหลายสาขา ดังนี้ ผลงานจากการผสานใช้เทคโนโลยีด้านการเงิน ผ่านการใช้ข้อความเตือนในแอปพลิเคชัน TMB TOUCH ผลงานจากการออกแบบประสบการณ์ในรูปแบบ Gamification ของ TMB WOW เพิ่มประสบการณ์ความสนุกในการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน และผลงานการสร้างประสบการณ์ การบริจาค ครบทั้งกระบวนการผ่านช่องทางดิจิทัล เว็บไซต์ ปันบุญ www.punboon.org ศูนย์รวมมูลนิธิและองค์กรการกุศลทั่วประเทศ ตอกย้ำบทบาทของธนาคารที่ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด Make THE Difference ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการ ด้วยการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ย้ำเจตนารมณ์การเป็นธนาคารที่ให้ลูกค้าได้มากกว่าในยุคดิจิทัล
เอสซีจี โดยนายชนะ ภูมี Vice President-Cement and Construction Solution Business เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และนายศาณิต เกษสุวรรณ ผู้อำนวยการ-ธุรกิจสัมพันธ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน ธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ร่วมกับกองทัพบก และเครือข่ายจิตอาสา ส่งมอบถังเก็บน้ำผลิตด้วยวัสดุพอลิเมอร์ “เอลิเซอร์” ของเอสซีจี จำนวน 115 ถัง ให้แก่ นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 50 ถัง และนายทรงพล สวาสดิ์ธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง จำนวน 65 ถัง เพื่อช่วยเหลือเเละบรรเทาภัยแล้งระยะเร่งด่วนแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรม “เฉลิมราชย์ราชา จิตอาสาบรรเทาภัยแล้ง” ที่ร่วมเฉลิมพระเกียรติเเละถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เสด็จขึ้นครองราชย์ พร้อมเชิญชวนจิตอาสาระดมพลังสร้างฐานติดตั้งถังเก็บน้ำจากวัสดุรีไซเคิลที่เหลือจากการก่อสร้าง ซึ่งออกแบบโดยทีมงานเอสซีจีให้สอดคล้องกับแนวทาง SCG Circular Way หรือการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด และนำกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมเป็นจิตอาสาในโครงการ “เฉลิมราชย์ราชา” สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.scg.com/volunteerproject
เอสซีจี ยังคงมุ่งมั่นสร้างเครือข่ายจิตอาสาทั่วประเทศ โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคีเครือข่ายเป็นหัวใจสำคัญ พร้อมเชิญชวนทุกภาคส่วนให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “เฉลิมราชย์ราชา” ผ่านการดำเนิน 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ กิจกรรม “เฉลิมราชย์ราชา จิตอาสาบรรเทาภัยแล้ง” กิจกรรม “เฉลิมราชย์ราชา จิตอาสารักษ์น้ำ” และกิจกรรม “เฉลิมราชย์ราชา จิตอาสาพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วไทย” เพื่อสร้างพลังที่เข้มแข็ง อันจะนำไปสู่การผลักดันสังคม และชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งช่วยขับเคลื่อนประเทศให้เกิดความยั่งยืน และสร้างโลกที่น่าอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป
ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น มีความยินดีที่จะประกาศการแต่งตั้ง นายอันโดะ มูเนะโนริ เป็นกรรมการผู้จัดการคนใหม่ของเอปสัน สิงคโปร์ ดูแลกิจการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการประจำประเทศของเอปสัน ประเทศไทย และเอปสัน ฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ นายอันโดะ ยังดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารของไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น สำนักงานใหญ่ของเอปสันที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย
ทั้งนี้ นายอันโดะ รับตำแหน่งต่อจากนายโตชิมิตสุ ทานากะ ที่จะกลับไปดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับอาวุโสที่แผนกวางแผนการขายและฝ่ายสื่อสารการตลาดที่ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น
นายอันโดะ เคยดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายขายและการตลาดที่ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ดูแลรับผิดชอบเรื่องการพัฒนาโครงสร้างการขายและกลยุทธ์สำหรับผลิตภัณฑ์ของเอปสันทั่วโลก
นายอันโดะ ยังดำรงตำแหน่งอีกหลายตำแหน่งในเอเชียและอีกหลายประเทศ รวมถึงมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับภูมิภาค และมีประสบการณ์ในการบริหารมาหลายสิบปี นายอันโดะเคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเอปสัน จีน ระหว่างปี พ.ศ. 2557 – 2560 ด้วยการนำกลยุทธ์ “เทคโนโลยีผสมผสานกับพื้นที่” ทำให้สามารถขยายธุรกิจในประเทศจีนได้อย่างเต็มที่ และมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มสูงขึ้นในตลาดสำคัญๆ รวมทั้งตลาดพรินเตอร์ โปรเจคเตอร์ และหุ่นยนต์
นายอันโดะทำงานประจำที่สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในสิงคโปร์ ระหว่างปี พ.ศ. 2546 - 2551 โดยรับผิดชอบในการพัฒนาตลาดให้แก่พรินเตอร์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
นายอันโดะยังเป็นหัวหน้าทีมธุรกิจพรินเตอร์ ณ จุดขาย (POS) ในยุโรปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 - 2541 ซึ่งเป็นช่วงที่นายอันโดะประสบความสำเร็จในการเติบโตของธุรกิจตลาดพรินเตอร์ POS ผ่านการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้เอปสันกลายเป็นที่ 1 ในตลาดพรินเตอร์ POS
ลอรีอัล กรุ๊ป เตรียมแสดงวิสัยทัศน์ “ความงามไร้ขีดจำกัด” (Limitless Beauty) เพื่อความงามแห่งอนาคตและยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ผ่านการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีเสมือนจริง (AR) และเทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียง (Voice) ที่งาน วีวา เทคโนโลยี ปารีส 2019 (Viva Technology Paris)
นางลูโบมิรา โรเช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัลของลอรีอัล กล่าวว่า "เราตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ด้านความงามซึ่งมาพร้อมความหลากหลาย ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ อีกทั้งยังสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการและความปรารถนาของคนทั่วโลก นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล อาทิ AR, AI และเทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียง เปิดโอกาสให้เราสามารถมอบบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถผลิตสินค้าได้อย่างรวดเร็วในแนวทางที่ยั่งยืน นอกจากนั้นยังสามารถผสานผู้บริโภคเข้ากับกระบวนการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกที่และทุกเวลา"
เทคโนโลยีที่ไร้ขีดจำกัด Limitless Tech
บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลแบบไร้ขีดจำกัด Limitless Personalization
ความสร้างสรรค์ไร้ขีดจำกัด Limitless Creativity: โซน 360° immersion ที่เปิดโอกาสให้สัมผัสกับเทรนด์ความงามจากทั่วโลก ซึ่งรวบรวมมาจากโซเชียลมีเดียโดยฝีมือของ AI
ความว่องไวไร้ขีดจำกัด Limitless Agility: นำเสนอเกี่ยวกับเครื่องพิมพ์ 3 มิติและการผลิตตามคำสั่งพิเศษ ผ่านการออกแบบน้ำหอมใหม่ของลังโคม และ วิคเตอร์แอนด์รอล์ฟ รวมถึงทดลองเครื่องจำหน่ายลิปสติก จิออร์จิโอ อาร์มานี แบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถลองเฉดสีแบบเสมือนจริงได้จากเทคโนโลยี ModiFace
สถาบันภาษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในโครงการบัณฑิตศึกษา เปิดรับสมัครนักศึกษาประจำปีการศึกษา 2562 จำนวน 4 หลักสูตร ตั้งแต่วันนี้ – 20 พฤษภาคม 2562 ดังนี้
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา (กลาง) กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดบริการ “ประกันส่งออก SMEs Easy” เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผนจะส่งออกหรือกำลังจะส่งออกด้วยมูลค่าในแต่ละครั้งไม่สูงนัก หรือกำลังจะไปเจรจาการค้าที่งานแสดงสินค้าในต่างประเทศ และต้องการความคุ้มครองความเสี่ยงจากการทำการค้ากับผู้ซื้อในต่างประเทศ โดยบริการนี้คุ้มครองการส่งออกกว่า 140 ประเทศทั่วโลก ที่อัตรา 85% ของมูลค่าความเสียหาย สมัครง่าย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และสามารถเลือกรูปแบบวงเงินคุ้มครองที่เหมาะสมกับมูลค่าส่งออกได้สูงถึง 2 ล้านบาท
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือ กรมสรรพากร และสภาวิชาชีพบัญชี ช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย กรณีเคยนำส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีอากรผิดพลาด ไม่ต้องกลัวเสียค่าปรับ-จ่ายเงินเพิ่ม หรือมีความผิดทางอาญา โดยให้ลงทะเบียนขอยกเว้นเบี้ยปรับฯ กับกรมสรรพากร พร้อมชำระเงินภาษีอากรส่วนขาดให้ครบทั้งจำนวน ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2562 สำหรับงบการเงินฉบับแก้ไขให้นำส่งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทาง DBD e-Filing ...เพียงเท่านี้ ก็สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่น เชื่อ!! แสดงข้อมูลอย่างโปร่งใส่ สบายใจทั้งรัฐและเอกชน
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ขณะนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับ กรมสรรพากร และสภาวิชาชีพบัญชี ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทย กรณีเคยนำส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีอากรผิดพลาด โดยไม่ต้องเสียค่าปรับ-จ่ายเงินเพิ่ม หรือ มีความผิดทางอาญา ภายใต้ พ.ร.บ. ยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีอากร และความผิดทางอาญา เนื่องจากทั้ง 3 หน่วยงาน เข้าใจถึงสภาพการที่แท้จริงของเอสเอ็มอีว่ายังขาดความรู้ความเข้าใจในการจัดทำบัญชีที่ถูกต้องตามหลักการบัญชีและส่งผลให้ชำระภาษีไม่ครบถ้วนซึ่งอาจได้รับโทษทางแพ่งและอาญา ดังนั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ช่วยบรรเทาภาระแก่ผู้ประกอบการที่ชำระภาษีอากรไว้ไม่ถูกต้อง จึงได้ร่วมกันออกมาตรการฯ ดังกล่าวขึ้น”
“ผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมมาตรการฯ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ (1) เป็นนิติบุคคลที่เสียภาษีจากกำไรสุทธิ มีรายได้ทางภาษี ไม่เกิน 500 ล้านบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายที่ครบ 12 เดือน ซึ่งสิ้นสุดก่อนหรือในวันที่ 30 กันยายน 2561 (2) ได้ยื่นแบบภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด.50) ของรอบบัญชีที่สิ้นสุดก่อนหรือในวันที่ 30 กันยายน 2561 ภายในวันที่ 25 มีนาคม 2562 (3) ไม่เป็นผู้ออก/ผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอมที่กรมสรรพากรได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแล้วก่อนวันที่ พ.ร.บ.ฯ บังคับใช้ (25 มีนาคม 2562)”
อธิบดีฯ กล่าวต่อว่า “สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นที่จะได้รับการยกเว้นเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มและได้รับการยกเว้นความผิดทางอาญา ต้องดำเนินการดังนี้ (1) ลงทะเบียนต่อกรมสรรพากร (www.rd.go.th) และยื่นแบบแสดงรายการภาษีอากรทุกประเภท พร้อมทั้งชำระภาษีให้ครบถ้วนทั้งจำนวน ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2562 (2) ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงงบการเงินให้ถูกต้อง และ (3) ยื่นแบบภาษีอากรทุกประเภทผ่านระบบ e-Filing ของกรมสรรพากรต่อไปอีก 1 ปี (1 กรกฎาคม 2562 ถึง 30 มิถุนายน 2563)”
“สำหรับแนวทางการปรับปรุงงบการเงิน ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้ร่วมกันจัดทำตัวอย่างประกอบความเข้าใจ เช่น กรณีตรวจพบว่าสินค้าในบัญชีสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง กรณีลูกหนี้หรือเจ้าหนี้กรรมการไม่มีจริง กรณีที่ดินหรือสินทรัพย์อื่นที่เป็นกรรมสิทธิ์ของกิจการแต่ไม่เคยบันทึกบัญชีไว้ เป็นต้น โดยเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของสภาวิชาชีพบัญชี www.tfac.or.th หัวข้อ ข่าวสารสภาวิชาชีพบัญชี หัวข้อย่อย “ตัวอย่างเพื่อประกอบความเข้าใจในการปรับปรุงบัญชีเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด” ซึ่งเมื่อได้ปรับปรุงงบการเงินแล้ว หากมีความประสงค์จะนำส่งงบการเงินฉบับใหม่ทดแทนฉบับเดิมที่มีข้อผิดพลาด กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เปิดช่องทาง Fast Track อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ โดยดำเนินการดังนี้ (1) แจ้งความประสงค์ขอแก้ไขและนำส่งงบการเงินฉบับใหม่ผ่าน Google Forms : https://forms.gle/Pg74RUXh4 rNu4uEh8 พร้อมแนบหลักฐานการลงทะเบียนกับกรมสรรพากร (2) เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลแล้วจะแจ้งการเปิดสิทธิให้สามารถส่งงบการเงินฉบับใหม่ ผ่านทาง DBD e-Filing ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (3) เมื่อผู้ประกอบการส่งงบการเงินฉบับใหม่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะอนุมัติให้แบบเร่งด่วน ทั้งนี้ ช่องทาง Fast Track จะเปิดให้บริการถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 เท่านั้น หากพ้นกำหนดดังกล่าวแล้ว ให้แจ้งความประสงค์เป็นหนังสือไปยังกองข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า”
อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “มาตรการภาครัฐดังกล่าว จะช่วยสร้างความโปร่งใสและยกระดับธรรมาภิบาลให้แก่ภาคธุรกิจได้เป็นอย่างดี ทำให้ภาคธุรกิจมีความน่าเชื่อถือสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น และสอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ และที่สำคัญจะทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินได้สะดวก รวดเร็ว ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการได้รับการยกเว้นเบี้ยปรับ หรือเงินเพิ่มภาษีอากร ได้ที่กรมสรรพากร สายด่วน 1161 www.rd.go.th และการนำส่งงบการเงินผ่าน DBD e-Filing ได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กองข้อมูลธุรกิจ 0 2547 4377, 0 547 4390-91 e-Mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ สายด่วน 1570
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับพันธกิจในการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่สังคม ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ โดยล่าสุด ได้นำทีมผู้บริหาร พนักงาน นักศึกษา ชาวบ้าน และสื่อมวลชนลงพื้นที่บ้านนาโหนด ต.กำแพงเซา อ.เมือง และบ้านในถุ้ง ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช จัดโครงการ “ส่งความสุข และรอยยิ้มสู่ชุมชน#happysharing” เพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมอาคาร สถานที่ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติพายุปาบึก
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับชุมชนเพิ่มเติม อาทิ การตรวจสุขภาพให้กับคนในชุมชน และการจัดกิจกรรมให้ความรู้เสริมรายได้แก่ชุมชน เรื่องการเพาะเห็ด อีกทั้งยังได้ลงเรือปล่อยลูกปูม้า เพื่อเป็นการช่วยขยายพันธุ์ปูและทำซั้งสร้างบ้านปลา ให้เป็นแหล่งที่อยู่ของเหล่าสัตว์น้ำทะเลขนอน จ.นครศรีธรรมราช ต่อไป
ลอรีอัล ประเทศไทย เดินหน้าขยาย “โครงการ บิวตี้ ฟอร์ อะ เบทเทอร์ ไลฟ์” (Beauty For a Better Life) หรือโครงการหลักสูตรฝึกทักษะอาชีพเสริมสวยเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมุ่งช่วยให้ผู้ขาดโอกาสทางสังคมได้รับโอกาสในการสร้างอาชีพช่างผม เพื่อสามารถสร้างรายได้เลี้ยงตนเองและจุนเจือครอบครัว และสร้างคุณค่าในตัวเอง
โครงการ Beauty For a Better Life เป็นโครงการที่ก่อตั้งและกำกับดูแลโดยมูลนิธิลอรีอัล ซึ่งมีการดำเนินโครงการในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดยโครงการนี้ มอบหลักสูตรฝึกทักษะอาชีพช่างผมมืออาชีพที่มีคุณภาพสูง ฝึกสอนโดยผู้เชี่ยวชาญ ให้แก่ผู้ขาดโอกาส โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้สามารถนำมาประกอบอาชีพได้จริง หลักสูตรใช้ระยะเวลา 15 สัปดาห์ รวม 516 ชั่วโมง ผู้เข้าฝึกอบรมได้เรียนรู้ทักษะทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เทคนิคและศาสตร์ของการทำผมจากผู้เชี่ยวชาญ หลักสูตรการสอนครอบคลุมถึงการฝึกทักษะการสระไดร์ การตัดผม การดัด และทำสีผม เพื่อจะนำมาพัฒนาฝีมือตนเองและสร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพช่างผมมืออาชีพอย่างยั่งยืน
สำหรับโครงการ Beauty For a Better Life ในจังหวัดเชียงใหม่ ลอรีอัล ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับ 65 แฮร์สตูดิโอ เป็นพันธมิตรในการดำเนินโครงการฯ โดยเริ่มการอบรมนักเรียนรุ่นที่ 1 ในวันที่ 29 เมษายน 2562 ด้วยจำนวนนักเรียน 15 คนต่อรุ่น โดยศูนย์ฝึกอบรมหลักสูตร Beauty For a Better Life จัดขึ้นที่ 65 แฮร์สตูดิโอ สาขาถนนนิมมาน จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรจะได้รับวุฒิบัตรที่ได้รับการรับรองจาก ลอรีอัล ประเทศไทย และ 65 แฮร์สตูดิโอ
นางสาวอรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นในการเป็นพลเมืองบรรษัทที่ดี และร่วมสนับสนุนและแบ่งปันสิ่งดีๆ แก่ชุมชนที่เราดำเนินธุรกิจ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เราต้องการส่งมอบความรู้และทักษะช่างผมมืออาชีพมาตรฐานระดับโลก เพื่อให้ผู้ขาดโอกาส ที่มีความมุ่งมั่นสามารถฝึกฝนเพื่อนำไปประกอบอาชีพ มีรายได้มั่นคง สามารถดูแลตนเองและครอบครัว และประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพช่างผมต่อไป ”
นายปิตพุทธินันท์ ชัยเดช ผู้บริหาร 65 แฮร์สตูดิโอ กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับลอรีอัล ในการเปิดโครงการฯ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในการทำ 65 แฮร์สตูอิโอนั้น โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนหนึ่งที่เคยได้รับโอกาสมาก่อน จึงเห็นความสำคัญของโอกาสเป็นอย่างมาก และเมื่อประสบความสำเร็จถึงจุดนึงแล้ว เราจึงอยากส่งต่อโอกาสเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ทีมงานและคณะอาจารย์ 65 แฮร์สตูอิโอ มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ความรู้และทักษะแก่ผู้เข้าร่วมอย่างเต็มที่ และหวังว่าจะสามารถช่วยผลักดันให้ผู้เข้าร่วมทุกคนประสบความสำเร็จ”
ในประเทศไทยปัจจุบันมีการดำเนินโครงการหลักสูตรฝึกทักษะอาชีพเสริมสวยเพื่อพัฒนาคุณภาพ ในจังหวัดกรุงเทพฯ ที่ร่วมมือกับสถาบันนักออกแบบทรงผมเรืองฤทธิ์ โดยในปีที่ผ่านมา มีผู้จบหลักสูตรไปแล้วกว่า 4 รุ่น เป็นจำนวน 43 คน ซึ่งแต่ละคนก็ได้นำเอาความรู้ความสามารถที่ได้รับจากโครงการฯ ไปต่อยอดสร้างอาชีพช่างผมได้อย่างประสบความสำเร็จ ผู้ที่สนใจสมัครสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สาขากรุงเทพฯ โทร. 063-329-9464 และ สาขาเชียงใหม่ โทร. 097-035-3103
บริษัท อลิอันซ์ เยอรมนี ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของอลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต และบริษัท ศรีอยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (AYUD) ประสบความสำเร็จในการขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในประเทศไทย มั่นใจเป็นบริษัทประกันที่แข็งแกร่ง มุ่งเน้นตอบสนองความต้องการด้านความคุ้มครองที่หลากหลายและเพิ่มมากขึ้นของลูกค้าในประเทศ อีกทั้งยังยกระดับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของอลิอันซ์ให้กับลูกค้าในภูมิภาคนี้อีกด้วย
การควบรวมกิจการจะช่วยให้เกิด:
ความร่วมมือที่แนบแน่นของธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจประกันภัยในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มขนาดการลงทุนและสร้างนวัตกรรมในประเทศ ทั้งยังสร้างให้เกิดความมั่นใจว่าพันธมิตรจะร่วมกันกระตุ้นการเติบโตและส่งมอบมูลค่าที่เพิ่มมากขึ้นให้กับลูกค้าในประเทศไทย
ในการควบรวมกิจการครั้งนี้ AYUD จะเปลี่ยนชื่อเป็น Allianz Ayudhya Capital PCL แต่ยังคงจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ AYUD นอกจากนี้ ศรีอยุธยา เจนเนอรัล ประกันภัย (SAGI) จะเปลี่ยนชื่อเป็น อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน) (Allianz Ayudhya General Insurance PCL)
นายวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) มร.ไบรอัน สมิธ ดำรงตำแหน่งประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และได้รับตำแหน่งใหม่เป็นผู้จัดการประจำประเทศไทยของอลิอันซ์ ดูแลภาพรวมการประกอบธุรกิจในประเทศไทย และยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจประกันชีวิต ขณะที่ มร.ลาร์ส ไฮบุทสกี้ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
มร.โซลมาซ อัลทิน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอลิอันซ์ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “วันนี้แสดงถึงความสำเร็จครั้งสำคัญสำหรับความมุ่งหวังในการเติบโตของอลิอันซ์ในประเทศไทยและภูมิภาคอื่นๆ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นระหว่างบริษัททั้งสองจะช่วยเพิ่มความร่วมมือ ความเชี่ยวชาญและส่งมอบข้อเสนอที่ดีขึ้นแก่ลูกค้าในประเทศ การเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามเชิงกลยุทธ์ที่เรากำลังดำเนินการทั่วภูมิภาคเอเชีย และเรามั่นใจในอนาคตข้างหน้า”
นายวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรามั่นใจว่าการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่จะทำให้การนำเสนอผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้าในประเทศไทยก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง จะเป็นผลดีในอนาคตต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับบริษัท และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความเป็นเอกภาพที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นจะช่วยพัฒนาการบริการลูกค้าในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันก็ต้อนรับลูกค้ารายใหม่เข้าสู่ครอบครัวของเราด้วย”
มร.ไบรอัน สมิธ ผู้จัดการอลิอันซ์ ประจำประเทศไทย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขยายความร่วมมือถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่สำหรับลูกค้าในประเทศไทยและสร้างการเติบโตในอนาคตที่มั่นคง ขณะนี้เราอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งมากขึ้นในการส่งมอบโซลูชันความคุ้มครองที่ครบครันภายใต้ชื่อ Allianz วันนี้ถือว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมธุรกิจสำหรับลูกค้าในประเทศและภาคประกันภัยในประเทศไทย”
ประเทศไทยเป็นตลาดเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอลิอันซ์เอเชียและมีศักยภาพที่แข็งแกร่ง เนื่องจากมีการรุกตลาดประกันที่เพิ่มมากขึ้นรวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่ง ความร่วมมือระหว่างอลิอันซ์และ AYUD มีมาอย่างยาวนานเกือบ 2 ทศวรรษปี และในปัจจุบัน เราให้บริการลูกค้ามากกว่าหนึ่งล้านรายทั่วประเทศ