“พฤกษา เรียลเอสเตท” บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย ล้ำหน้าด้วยความสำเร็จด้านการพัฒนาสินค้าและบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านนวัตกรรม จนได้รับรางวัล International Quality Management Award รางวัลระดับอินเตอร์ที่มอบให้กับองค์กรที่ทุ่มเทและพัฒนาด้านนวัตกรรมเป็นเลิศ โดยในปีนี้ได้วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรผ่าน Digital Transformation เดินหน้าด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี INNO–TECH เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย ก้าวเป็นอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค
นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “รางวัล International Quality Management Award เป็นรางวัลจากเวทีระดับโลก มอบให้องค์กรที่ทุ่มเทและพัฒนาด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้ความสำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรมในองค์กรในการมุ่งเน้นด้านคุณภาพเพื่อความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพฤกษา เรียลเอสเตท ได้รับรางวัลนี้เพราะให้ความสำคัญในเรื่องของ Quality, Innovation, Product และ Brand รางวัลนี้จึงเป็นความภูมิใจของพฤกษา เรียลเอสเตท ซึ่งเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ได้ไปสร้างชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในเวทีระดับนานาชาติ และเป็นกำลังใจที่จะทำให้เราเดินหน้าพัฒนาสินค้าและการบริการ รวมถึงนวัตกรรมต่างๆ ให้ก้าวล้ำเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค พร้อมทั้งรักษามาตรฐานความเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มุ่งหวังให้สินค้าและการบริการดีเลิศควบคู่ไปพร้อมกับการใช้เทคโนโลยี”
“ในปีที่ผ่านมา พฤกษา เรียลเอสเตท ใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง เน้นสร้าง Excellent Quality ด้วยการยึดหลักแบรนด์ไอเดีย “PRUKSA ใส่ใจ...เพื่อทั้งชีวิต” โดยวางโรดเมพ ไว้ 5 ด้าน คือ Construction ใส่ใจในเทคโนโลยีการก่อสร้างและการผลิต, Innovation ใส่ใจในนวัตกรรมที่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ไม่หยุดยั้ง, Product Design ใส่ใจการออกแบบฟังก์ชั่นใช้สอยเพื่อให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า รวมไปถึงการออกแบบบ้านเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับทุกเพศทุกวัย, Community ใส่ใจสร้างสรรค์สังคมน่าอยู่ เพื่อให้ลูกค้ามีสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี และ Service ใส่ใจด้านบริการที่มีมาตรฐานทั้งก่อนและหลังการขายด้วยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ โดยในปีนี้ได้มีการเปิดตัว The Living Application ที่ทำให้ทุกเรื่องบ้าน ครบ จบ ในแอปเดียว ตั้งแต่เริ่มค้นหาบ้าน ข่าวสารและโปรโมชั่น ไปจนถึงการตรวจรับบ้านและเข้าอยู่อาศัย” นางสุพัตรา กล่าว
สำหรับในปี 2562 นี้ พฤกษา เรียลเอสเตท ได้ประกาศชูแผนกลยุทธ์รักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้วยการขับเคลื่อนองค์กรผ่าน Digital Transformation พร้อมเดินหน้าด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี INNO–TECH เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย และยังมุ่งมั่นในการสร้างวัฒนธรรมในองค์กรเรื่องของคุณภาพ ลงมือทำจริงเพื่อส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพให้ลูกค้า โดยทุกวันศุกร์ทีมผู้บริหารจะออกตรวจไซต์งาน ดูแลใกล้ชิดตั้งแต่คนงานก่อสร้าง ลูกค้า และพนักงาน พร้อมปรับปรุงทุกกระบวนการทำงานให้มีคุณภาพ ขณะเดียวกัน ยังคงให้ความสำคัญกับโรดเมพทั้ง 5 ด้าน คือ Construction, Innovation, Product Design, Community และ Service อย่างต่อเนื่อง
จากการดำเนินงานตาม Roadmap ที่ตอกย้ำด้วยการลงมือทำจริง ความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กร พัฒนาสินค้า และการบริการ นอกจากจะทำให้ พฤกษา เรียลเอสเตท ได้รับรางวัล International Quality Management Award ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสแล้ว ในด้านความพึงพอใจจากลูกค้าของพฤกษายังเพิ่มสูงขึ้น รายการข้อร้องเรียนต่างๆ ลดลงถึง 18% แบรนด์พฤกษาได้รับการชื่นชมในโลกโซเชียลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เรายังคงเดินหน้าพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อตอบโจทย์ Brand Propose ของพฤกษาที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานคุณภาพความสุขที่แท้จริงของการใช้ชีวิตของคนไทย” นางสุพัตรา กล่าวทิ้งท้าย
รองศาสตราจารย์นายแพทย์ ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นร่วมกับ มหาวิทยาลัยคิวชู จัดโครงการถ่ายทอดนวัตกรรม เทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด เพื่อรองรับการเป็นเมดิคอลฮับ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยในช่วง 10 ปีนี้ หุ่นยนต์ผ่าตัดได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งปัจจุบันการพัฒนาหุ่นยนต์ผ่าตัด ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นให้หุ่นยนต์ผ่าตัดตามการเคลื่อนไหวนิ้วและมือของศัลยแพทย์ (da vinci model) มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในเอเชียที่วิจัยคอมพิวเตอร์ช่วยผ่าตัด (หุ่นยนต์ผ่าตัด) เฉพาะทางนรีเวช ตั้งแต่ปี 2550 โดยทีมวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จ และมีงานวิจัยหุ่นยนต์ผ่าตัดที่ก้าวหน้าที่สุด หวังว่าการร่วมมือกัน ระหว่าง มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประเทศไทย และ มหาวิทยาลัยคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าวนี้ จะทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวไทยต่อไป
อย่างไรก็ตามหนึ่งในชุดผลงานหุ่นยนต์ผ่าตัดทางนรีเวช คือ หุ่นยนต์ช่วยถือและเคลื่อนกล้องผ่าตัด สำหรับการผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน ได้รับรางวัลเหรียญทองจาก The international Federation of Inventors’ Associations ในงานวันนักประดิษฐ์นานาชาติครั้งที่ 1 ปี พ.ศ.2551 เทคโนโลยี “หุ่นยนต์ช่วยถือกล้องผ่าตัด” ถูกพัฒนาคิดค้นโดยคณะแพทย์ไทยเพื่อช่วยให้การผ่าตัดทางนรีเวชสะดวก ปลอดภัย มีความถูกต้อง แม่นยำและรวดเร็ว ช่วยให้คนไข้ฟื้นตัวเร็วขึ้น ทำให้พื้นผิวบริเวณที่ผ่าตัดได้รับความกระทบ กระเทือนน้อยที่สุด หุ่นยนต์มีลักษณะเป็นแขนกลช่วยจับกล้องที่ใช้ในการผ่าตัดเคลื่อนไปในมุมต่าง ๆ ตามที่แพทย์ต้องการได้อย่างแม่นยำ โดยแพทย์สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ผ่านการสัมผัสบนจอทัชสกรีน ช่วยให้การผ่าตัดผ่านกล้องของแพทย์สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการอบรมเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด โดย ศาสตราจารย์ นพ.โกวิท คำพิทักษ์ และรองศาสตราจารย์ นพ.เกรียงศักดิ์ เจนวิถีสุข ร่วมกับศาสตราจารย์จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อวางแนวทางรวมทั้งยกระดับวงการวิทยาศาสตร์สุขภาพ รองรับการเป็นเมดิคอลฮับ ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงต่อไป
อาจารย์ ดอกเตอร์ นายแพทย์ วิทูร ชินสว่างวัฒนกุล (ขวา) หัวหน้าสถานวิทยามะเร็งศิริราช ร่วมกับ นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช (ซ้าย) ผู้อำนวยการ – ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ขอเชิญชวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีผู้มีจิตศรัทธาใช้คะแนน KTC FOREVER ทุก 1,000 คะแนน แทนเงินบริจาค 100 บาท สมทบทุนเพื่องานวิจัยการถอดรหัสยีนมะเร็งของคนไทย (Cancel Cancer Festival 2019) ในการดูแลรักษาโรคมะเร็งแบบบูรณาการ ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมส่วนบุคคล อันจะนำไปสู่การรักษาโรคมะเร็งที่แม่นยำและเหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2562 - 31 ธันวาคม 2562 ทั้งนี้เงินบริจาค 200 บาทขึ้นไป สามารถนำใบเสร็จรับเงินไปหักลดหย่อนภาษีได้
สำหรับการร่วมบริจาคสามารถทำได้ผ่าน 4 ช่องทาง 1) แอปฯ “KTC Mobile” 2) SMS (1 ครั้ง = แลก 1,000 คะแนน แทนเงินบริจาค 100 บาท) โดยพิมพ์ SIC วรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรฯ 16 หลัก ส่งมาที่ 0613845000 (ค่าส่งครั้งละ 3 บาท) และจะได้รับข้อความตอบกลับเมื่อลงทะเบียนสำเร็จ 3) เว็บไซต์ www.ktc.co.th/clickktc 4) KTC PHONE 02 123 5000 กด 0
นายปรีชา รุธิรพงษ์ (คนที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด พร้อมด้วยพนักงาน บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมให้กำลังใจและส่งคุณอิทธิพล สมุทรทอง หรือ คุณป๊อก (คนที่ 3 จากขวา) ที่เป็นตัวแทนเอฟดับบลิวดี ประเทศไทย เดินทางไปร่วม "FWD North Pole Marathon" มาราธอนที่วิ่งบน “แผ่นน้ำแข็ง” ปราศจากพื้นดิน บริเวณมหาสมุทรอาร์กติก ขั้วโลกเหนือ ที่ระยะ 42.195 กิโลเมตร จัดว่าเป็นมาราธอนที่อยู่เหนือสุดและหนาวที่สุดในโลก ด้วยอากาศต่ำกว่าศูนย์องศา (Sub-Zero Temperatures) ตลอดการแข่งขัน ร่วมให้กำลังใจและติดตามการผจญภัยครั้งสำคัญในชีวิตของคุณป๊อก ได้ที่ Facebook Fan Page FWD Thailand
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยสำนักส่งเสริมการค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ จัดโครงการส่งเสริมพัฒนาสินค้าและเทคนิคการผลิตของผู้ประกอบการMaterial ของไทยสู่ตลาดญี่ปุ่น เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไทย พัฒนาสินค้าวัตถุดิบ / วัสดุท้องถิ่นหรือ Material ของไทย รุกตลาดต่างประเทศ โดยได้ Mr. Junya Kitagawara ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นร่วมติวเข้ม แนะแนวทางการเจาะตลาดพร้อมพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยในเวทีโลกโดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์จากไทยมากเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา โดยปี 2561 ไทยส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ไปยังประเทศญี่ปุ่น คิดเป็นมูลค่ากว่า 413 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าที่ใช้วัสดุและเทคนิคการผลิตของไทยเป็นสินค้าที่มีความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่าง และหายากมากขึ้นในตลาดญี่ปุ่น เนื่องจากสามารถนำมาพัฒนาเป็นสินค้าของใช้ของตกแต่งบ้าน หรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีเอกลักษณ์ การเจาะตลาดญี่ปุ่นจะสามารถขยายมูลค่าส่งออกได้เป็นอย่างดี
เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ กรมฯ จะมีการจัดประชุมหัวข้อ “แนะนำแนวโน้มสินค้าที่ทำจากวัตถุดิบของไทย : เทรนด์การส่งออกที่มีศักยภาพของอุตสาหกรรมตกแต่งภายในประเทศญี่ปุ่น” (Material Trend : Potential Products for Japanese Interior design Industry) โดยได้ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น Mr. Junya Kitagawara ติวเข้มให้ผู้ประกอบการไทยกลุ่มสินค้าที่ใช้วัสดุ / วัตถุดิบท้องถิ่น อาทิ ของขวัญ ของใช้ ของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เคหะสิ่งทอ และผู้สนใจ ไม่ต่ำกว่า 80 ราย ได้เข้าใจถึงสินค้า "Material" และช่องทางในการส่งออกสู่ประเทศญี่ปุ่น
กิจกรรมจะจัดขึ้นในวันที่ 19 เมษายน 2562 ภายในงานแสดงสินค้า STYLE Bangkok เดือนเมษายน 2562 และวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2562 จะเป็นการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ โดย Mr. Kitagawara เพื่อรับคำแนะนำเชิงลึกต่อไป ทั้งนี้ สินค้าที่ผ่านการพัฒนาแล้ว จะได้ร่วมจัดแสดงภายในงานแสดงสินค้า Tokyo International Gift Show 2019 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02 507 8330 หรืออีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ โทรสายตรงกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 1169
ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ชูนวัตกรรมอัจฉริยะจาก AI คลาวด์ และ IoT ยกระดับศักยภาพธุรกิจเอสเอ็มอีไทยให้ทัดเทียมองค์กรขนาดใหญ่บนเวทีโลก ในงาน Microsoft Innovation Conference ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ เพื่อให้คำแนะนำทั้งในเชิงเทคนิคและกลยุทธ์กับผู้บริหารและพนักงานฝ่ายไอทีของธุรกิจเอสเอ็มอีทั่วไทย และนำเสนอโซลูชันเด่นที่พร้อมเร่งประสิทธิภาพให้กับทุกองค์กร
ภายในงาน ทีมผู้บริหารไมโครซอฟท์ นำโดยนายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เสนอแนะแนวทางการนำเทคโนโลยีระดับโลกมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับธุรกิจในทุกประเภทและอุตสาหกรรม ทั้งยังเจาะลึกแนวคิด “Three Clouds” กับการผสมผสาน 3 โซลูชันและแพลตฟอร์มคลาวด์ของไมโครซอฟท์อย่าง อาซัวร์ Office 365 และ Dynamics 365 เข้าด้วยกันเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้รุดหน้าอย่างรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
“คำพูดที่ว่า ‘AI มีอยู่ทุกหนแห่ง’ นั้น กำลังใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย เพราะไม่ว่าจะเป็นแชทบอทของร้านค้าที่ตอบคำถามของลูกค้าอย่างอัตโนมัติ หรือระบบ Electronic Know-Your-Customer สำหรับการยืนยันตัวตนลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลของธนาคาร ก็ล้วนทำงานโดยมี AI เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานอยู่เบื้องหลัง” นายธนวัฒน์กล่าว “AI และคลาวด์ ไม่ได้เป็นเทคโนโลยีที่อยู่ไกลเกินเอื้อมของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย เพราะเงินทุนไม่ใช่อุปสรรคในการนำนวัตกรรมเหล่านี้มาใช้งานให้เต็มประสิทธิภาพอีกต่อไป แต่กลับเป็นเรื่องของกลยุทธ์และแนวคิดในการพัฒนาธุรกิจที่ยังขาดหายไปอยู่ โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่มีธุรกิจเพียง 26% เท่านั้นที่นำ AI มาเป็นหัวใจหลักในกลยุทธ์ทางธุรกิจ เราเชื่อว่าธุรกิจในยุค AI จะต้องมี Tech Intensity หรือความเข้มข้นในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ผ่านทางการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่ที่เปี่ยมด้วยศักยภาพจากเทคโนโลยี”
ยกระดับประสบการณ์ให้กับลูกค้า พร้อมเสริมความคล่องตัวให้พนักงานและองค์กร ด้วยโซลูชันคุณภาพจากพันธมิตรของไมโครซอฟท์
ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ได้จับมือกับพันธมิตรผู้พัฒนาและติดตั้งโซลูชันชั้นนำในประเทศไทยเพื่อร่วมกันจัดแสดงผลิตภัณฑ์และบริการล่าสุดสำหรับทั้งกลุ่มเอสเอ็มอีและธุรกิจขนาดใหญ่ โดยครอบคลุมการทำงานในหลายด้าน นับตั้งแต่ประสบการณ์ของลูกค้าไปจนถึงระบบงานภายในองค์กร เช่น Wolf Approve ระบบการขออนุมัติเอกสารออนไลน์ผ่านคลาวด์ โดยบริษัท เทคคอนส์บิส จำกัด จะช่วยลดความซับซ้อนในการเดินเอกสารทั่วไปภายในองค์กร เช่นการขอเบิกค่าใช้จ่าย เบี้ยเลี้ยง หรือการยื่นใบลา เป็นต้น ด้วยการสร้างแบบฟอร์มและกระบวนการอนุมัติที่เป็นดิจิทัลทั้งหมดบนแพลตฟอร์มคลาวด์ ไมโครซอฟท์ อาซัวร์
คุณสิโรฒม์ ทัศนัยพิทักษ์กุล Solution Specialist จากเทคคอนส์บิส เผยว่า “นอกจากจะเป็นการย้ายระบบงานเอกสารจำนวนมากขององค์กรให้กลายเป็นระบบดิจิทัลที่ไม่ต้องพึ่งพากระดาษแล้ว Wolf Approve ยังรองรับการตั้งเงื่อนไขการอนุมัติเอกสารได้โดยอัตโนมัติ ตามรูปแบบการทำงานของแต่ละบริษัท ไม่สับสนในการส่งเอกสารไปหาผู้อนุมัติที่ถูกต้องอีกต่อไป ทั้งยังเปิดให้ใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชันในอุปกรณ์พกพาต่างๆ จึงทำให้พนักงานและผู้อนุมัติเอกสารสามารถทำเรื่องและอนุมัติคำร้องต่างๆ ได้จากทุกที่ ทุกเวลา แม้ในขณะเดินทาง”
ส่วนโซลูชัน Smart Self-Checkout จุดชำระเงินซื้อสินค้าแบบอัจฉริยะ โดย บริษัท ริเวอร์พลัส จำกัด นำบริการ Custom Vision บนแพลตฟอร์มอาซัวร์ มาพัฒนาต่อยอดเป็นระบบ AI ที่สามารถแยกแยะวัตถุตรงหน้าเพื่อให้บริการลูกค้าได้โดยอัตโนมัติ เช่นในกรณีตัวอย่างของร้านเบเกอรี่ ที่สามารถฝึกสอนให้ AI ดังกล่าวจดจำลักษณะของขนมปังแต่ละชนิดจากภาพที่มองเห็นผ่านกล้อง เมื่อลูกค้านำถาดมาวางใต้กล้อง AI จะระบุชื่อสินค้า ระบุราคา ปริมาณแคลอรี่ โปรโมชั่น สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องบนหน้าจอได้ทันที นอกจากนี้ AI และแพลตฟอร์มอาซัวร์ ยังสามารถเก็บข้อมูลอื่นไม่ว่าจะเป็นยอดขาย สินค้าขายดี อายุ เพศ ความพึงพอใจของผู้ซื้อ ซึ่งฟังก์ชั่นดังกล่าวสามารถนำมาดัดแปลงให้เข้ากับการทำงานในแต่ละธุรกิจได้อีกด้วย
“เทคโนโลยีด้าน Machine Vision หรือการมองเห็นของระบบคอมพิวเตอร์ ที่ทางริเวอร์พลัสพัฒนาขึ้นมานั้น ไม่ได้ใช้ได้เพียงแต่ในกรณีนี้เพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสาหกรรมได้อีกหลากหลายรูปแบบด้วย เช่นในกรณีของการตรวจสอบรหัสชิ้นส่วนหรือคุณภาพสินค้าในสายการผลิต เป็นต้น” คุณจิราภรณ์ ตีระมาศวณิช ผู้จัดการทั่วไปของริเวอร์พลัสเผย
บริษัท จีเอเบิล จำกัด ได้นำโซลูชันระบบงานฝ่ายทรัพยากรบุคคล Staffio และระบบจัดทำ นำส่ง และจัดเก็บข้อมูลภาษีแบบครบวงจรบนคลาวด์ Taxircle มาจัดแสดงภายในงาน โดย Staffio เป็นระบบที่รองรับงานทั้งในด้านโครงสร้างองค์กร การบริหารจัดการพนักงานเป็นรายบุคคล การบันทึกเวลางาน วันลาหยุด การจัดการเงินเดือน ส่วน Taxircle จะช่วยแปลงข้อมูลจากระบบบัญชีให้กลายเป็นรูปแบบดิจิทัลอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมนำส่งไปยังกรมสรรพากรและคู่ค้าได้ทันที และเก็บรักษาข้อมูลได้ปลอดภัย ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
คุณปณต กาญจนศูนย์ หัวหน้าแผนกการตลาดและดิจิทัลโซลูชันจากจีเอเบิล เสริมอีกว่า “เราต้องการนำโซลูชันดิจิทัลเข้ามาช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการข้อมูลและระบบงานที่มีในมือได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำงานได้ง่ายขึ้น ทั้ง Staffio และ Taxircle เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการ Corporate Digital Solution ของจีเอเบิล ซึ่งไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะงานด้าน HR และภาษีเท่านั้น แต่ยังมีโซลูชันด้านการตลาดแบบดิจิทัลแบบครบวงจรที่เพียบพร้อมด้วยระบบวิเคราะห์ข้อมูลหลากหลายรูปแบบอีกด้วย”
ทางสตาร์ทอัพไทย ฟีดแบค 180 ได้ใช้ความเชี่ยวชาญของบุคลากรฝ่ายวิจัยและพัฒนาในบริษัทมาสร้างสรรค์โซลูชัน Closed Loop Feedback ซึ่งนำ AI และ machine learning มาช่วยให้ธุรกิจได้รับรู้และเข้าใจในเสียงตอบรับจากลูกค้าในทุกช่องทางอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งมากขึ้น โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาระบบช่วยวิเคราะห์และตีความความคิดเห็นจากข้อความภาษาไทยที่ถูกโพสท์ลงบนโลกออนไลน์
คุณยงยุทธ ทรงศิริเดช ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการของฟีดแบค 180 เผยว่า “เป้าหมายของเราคือการสร้างเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำในด้านการทำความเข้าใจในตัวลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการแยกแยะและจดจำลักษณะของลูกค้าที่แวะมาที่หน้าร้านค้าหรือสาขา หรือการเปลี่ยนกระแสเสียงตอบรับของฐานลูกค้าให้กลายเป็นข้อเสนอพิเศษที่ตรงเป้า โดยที่ลูกค้าองค์กรสามารถเลือกเติมความสามารถให้กับโซลูชัน Closed Loop Feedback ให้เหมาะสมกับการใช้งานจริงได้ตามต้องการ เช่นโมดูล Social Voice ที่รองรับการวิเคราะห์ข้อความเกี่ยวกับแบรนด์หรือสินค้าที่กำหนดไว้ในโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญของเราในด้านการวิเคราะห์และทำความเข้าใจภาษาด้วย AI ยังช่วยให้เราสามารถสร้างระบบคลังความรู้ภายในองค์กรแบบ Knowledge Graph ที่ค้นหาข้อมูลได้ด้วยประโยคคำถามที่เรียบเรียงแบบธรรมชาติและไม่ตายตัว”
ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชัน AI ของไมโครซอฟท์ได้ที่
https://news.microsoft.com/apac/features/artificial-intelligence/
นางสาวอังคณา ลิขิตจรรยากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดองค์กร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และนายแพทย์ สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมทำพิธีเปิดห้องสอนแสดง “ โครงการรู้ทัน...กันหักซ้ำ” ที่โรงพยาบาลเลิดสิน ซึ่งเป็นห้องตัวอย่างสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยกระดูกสะโพกหัก โดยมีการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ และมีนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุ รวมถึงมีการให้ความรู้ในการเตรียมพื้นที่สำหรับผู้สูงอายุหลังรับการฟื้นฟูจากโรงพยาบาลเมื่อกลับไปใช้ชีวิตประจำวันปกติที่บ้าน
ห้องตัวอย่างดังกล่าวเป็นหนึ่งในโครงการความร่วมมือระหว่างพฤกษา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย และกรมการแพทย์ ที่มีการลงนาม MOU ในการร่วมกันพัฒนานวัตกรรมบ้านผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) โดยพฤกษา “ใส่ใจ” ในคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะประชากรวัยสูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่สนใจสามารถชมห้องตัวอย่างได้ที่ชั้น 17 อาคารกาญจนาภิเษก โรงพยาบาลเลิดสิน
วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ระดับปริญญาตรี หลักสูตรนานาชาติ รอบที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2562-2563 จำนวน 6 หลักสูตร 16 สาขาวิชา ระหว่างวันที่ 18 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2562 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : www.muic.mahidol.ac.th หรือติดต่อหน่วยรับสมัครฯ โทร.0-2700-5000 ต่อ 4344, 4347 อีเมล์ : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
– สาขาวิชาสื่อและการสื่อสาร (Media and Communication)
- สาขาวิชาออกแบบนิเทศศิลป์ (Communication Design)
– สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกิจการทั่วโลก (International Relations and Global Affairs)
– สาขาวิชาวัฒนธรรมนานาชาติศึกษาและภาษา (Intercultural Studies and Languages)
– สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ (Business Economics)
– สาขาวิชาการเงิน (Finance)
– สาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business)
– สาขาวิชาการตลาด (Marketing)
5. หลักสูตรการจัดการบัณฑิต (BACHELOR OF MANAGEMENT : B.M.)
– สาขาวิชาการจัดการการบริการนานาชาติ (International Hospitality Management)
- สาขาวิชาคณิตศาสตร์ประยุกต์ (Applied Mathematics)
– สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Biological Sciences)
– สาขาวิชาเคมี (Chemistry)
– สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science)
– สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental Science)
– สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร (Food Science and Technology)
– สาขาฟิสิกส์ (Physics)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เดินหน้าสร้างสรรค์สังคมไทย ผ่านหลากหลายกิจกรรมส่งเสริมเยาวชนที่ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องภายใต้วิสัยทัศน์ “ปันความรู้สู่เด็กไทย” ล่าสุด เปิดตัวแนวคิด “Explore the Future With Us” ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในการส่งเสริมเยาวชนในปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เยาวชนไทยออกไปค้นหาสิ่งใหม่ๆ รอบตัว พร้อมเดินหน้าล่าฝัน ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์สังคมที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา อาชีพและความเป็นผู้นำ รวมทั้งงานด้านจิตอาสา ที่ขยายถึงทุกคนในสังคม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกให้กับเยาวชนโดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน
นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารการตลาดและสื่อสารองค์กร บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เปิดเผยว่า กว่า 60 ปีที่ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิตได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสร้างสรรค์สังคมควบคู่ไปกับการทำธุรกิจอย่างซื่อตรง โดยตระหนักถึงบทบาทความรับผิดชอบในฐานะส่วนหนึ่งของสังคมไทยและยึดมั่นในปณิธานอันแน่วแน่ที่จะคืนกำไรตอบแทนสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปันความรู้สู่เด็กไทย” ให้เป็นสังคมอุดมปัญญาที่ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ริเริ่มและดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมหลากหลายรูปแบบครอบคลุมทุกมิติ
สำหรับโครงการเพื่อสังคมในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าต่อยอดในเรื่องการสนับสนุนเยาวชน หากแต่ดำเนินนโยบายภายใต้แนวคิดที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับบริษัทในกลุ่มอลิอันซ์ นั่นคือ การขับเคลื่อนให้เยาวชนทุกคนมุ่งค้นพบสิ่งใหม่ๆ รอบตัว ภายใต้ชื่อ “Explore the Future with Us” ที่มุ่งส่งเสริม สนับสนุนและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในการออกเดินตามความฝันของแต่ละคนในหลากหลายมิติ อันได้แก่
1.การสนับสนุนด้านกีฬา ด้วยการเข้าเป็นผู้สนับสนุนหลักในโครงการ เอฟซี บาร์เยิร์น ยูธ คัพ ไทยแลนด์ 2019 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องสู่ปีที่ 4 มีเยาวชนกว่า 10,000 คนเข้าร่วมโครงการนี้มาแล้ว ถือเป็นการสนับสนุนเยาวชนไทยไปสู่สังเวียนลูกหนังระดับโลก แทนที่โครงการ “อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์” นอกจากนั้น บริษัทฯก็ยังคงสานต่อโครงการ “อลิอันซ์ อยุธยา สานฝัน ปันสนามฟุตบอลให้น้อง” จัดเป็นปีที่ 5 โดยที่ผ่านมาได้ทำการปรับปรุงสนามฟุตบอลมาแล้วทั้งหมด 28 แห่ง เข้าถึงเยาวชนไทยกว่า 10,000 คน ทั่วประเทศ ด้วยงบประมาณกว่า 11.5 ล้านบาท และปีนี้ ตั้งเป้าปรับปรุงสนามต่ออีก 4 แห่ง ที่จังหวัด ลำปาง หนองคาย กาญจนบุรี และชัยนาท
2. การสนับสนุนด้านอาชีพและความเป็นผู้นำ ผ่านโครงการ “อลิอันซ์ อยุธยา พาน้องเที่ยวบางกอก” โดยนำนักเรียนชั้น ป.5 สังกัดกรุงเทพมหานครไปเรียนรู้นอกห้องเรียนและได้ประสบการณ์จริงจากการไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ถือเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้โดยตรงให้กับนักเรียน และยังต่อยอดด้วยโครงการยุวมัคคุเทศก์ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่สนใจได้เรียนรู้ฝึกฝนและปฏิบัติงานเป็นยุวมัคคุเทศก์ นำชมสถานที่สำคัญทางประวิติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน มีเยาวชนที่เข้ารับการอบรมในหลักสูตรและได้ทำงานเป็นมัคคุเทศก์ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไปแล้วกว่า 200 คน
นอกจากนั้นผ่าน ยังได้จับมือกับกลุ่ม Music Sharing และ พันธมิตร จัดโครงการดนตรีเปลี่ยนชีวิต Music Change Children’s Lives เป็นโครงการที่นำดนตรีเข้ามาเปลี่ยนชีวิตเด็ก เยียวยาจิตใจให้มีความสุขและสามารถประกอบเป็นอาชีพได้ในอนาคต ซึ่งโครงการนี้ บริษัทฯ ได้รับความร่วมมือจากกลุ่ม Music Sharing ครูดนตรีอาสาจัดสอนดนตรีทุกวันศุกร์ช่วงบ่ายตลอดปี ณ สถานแรกรับเด็กชาย (บ้านภูมิเวท) โครงการนี้ได้รับการคัดเลือกจากกลุ่มอลิอันซ์ระดับโลกมอบทุน Social Innovation Fund จำนวน 50,000 ยูโร หรือประมาณ 2 ล้านบาท นำไปพัฒนาศักยภาพเด็กๆ ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์และเด็กด้อยโอกาสต่อเนื่อง 3 ปี
3. การสนับสนุนด้านจิตอาสา โดยระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งพนักงาน ตัวแทนประกัน ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านการบริจาค มุ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนทำความดีในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น งานวันเด็กแห่งชาติ การช่วยเหลือนักเรียนผู้ประสบภัย การบริจาคโลหิต ร่างกายและอวัยวะ กิจกรรมระดมทุนเพื่อมอบรายได้ให้กับมูลนิธิและองค์กรการกุศล เช่น มูลนิธิชัยพัฒนา จากกิจกรรม อลิอันซ์ อยุธยา ชาริตี้ฟันแฟร์ และการระดมทุนจัดจำหน่ายสินค้า เพื่อมอบรายได้ให้กับมูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ โครงการที่โดดเด่นที่สุดในปีที่ผ่านมา คือ การจัดกิจกรรมเปลี่ยนโรงหมูให้เป็นโรงเรียนรู้ ซึ่งเป็นการรวมพลังของทุกฝ่ายปรับเปลี่ยนโรงหมูในชุมชนคลองเตยให้เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมของเด็กในชุมชน ซึ่งนับว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนและยังช่วยพัฒนาศักยภาพเด็กในพื้นที่คลองเตย สร้างภาวะผู้นำ และสร้างความรู้สึกรับผิดชอบต่อสังคมของผู้คนในชุมชนได้เป็นอย่างดี
“ในฐานะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานจนถึงปีที่ 68 และปัจจุบันได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในบริษัทประกันชั้นนำที่นอกจากจะเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์คุ้มครองชีวิตและสุขภาพแล้ว เรายังได้พิสูจน์แล้วว่า ในการดำเนินธุรกิจของเรา เราไม่ได้มุ่งแสวงหาแต่กำไรเพียงอย่างเดียว หากแต่เรายังได้ให้ความสำคัญกับการริเริ่มกิจกรรมสร้างสรรค์และส่งเสริมสังคมไทยให้เป็นสังคมที่ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมที่เราทำอย่างยาวนานและตั้งใจจริง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กไทยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ร่วมสร้างสรรค์สังคมไทยให้พัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืน” นางสาวพัชรา กล่าวทิ้งท้าย
“พณชิต กิตติปัญญางาม” ผอ. DPU X เผย รัฐ-เอกชน ตื่นตัวเทคโนโลยีใหม่ เตรียมเปิดหลักสูตร “Geeks on The Block Chain” ปลุกวงการ Developer แต่งตัวให้พร้อมช่วยองค์กรพัฒนาธุรกิจ
ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ผู้อำนวยการสถาบัน DPU X โดย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และนายกสมาคม Thailand Tech Startup Association (สมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่) เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลายองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเริ่มมีการตื่นตัวกันมากในการนำเทคโนโลยี BlockChain มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการจัดการข้อมูล โดยเฉพาะภายในระยะเวลา อีก 5 ปีนับจากนี้จะเห็นคุณค่าของ BlockChain เพิ่มมากขึ้นเหมือนกับในอดีตที่เริ่มมีอินเตอร์เน็ต ทุกคนมองคุณค่าของอินเตอร์เน็ตไม่ออก ต่อมาเมื่อมีคนเริ่มสร้างแอพพลิเคชั่นต่างๆ มีการส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนเริ่มเห็นพลังของอินเตอร์เน็ต เช่นเดียวกันวันนี้ผู้คนกำลังอยู่บนโลกของดิจิตอลกันมากขึ้น Block Chain ที่ทำหน้าที่ส่งผ่านมากกว่าเพียงข้อมูล แต่ส่ง "คุณค่า" ไปด้วย จะทำให้เกิดฝาแฝดของสิ่งต่างๆในโลกดิจิตอล ช่วยให้ Interaction หรือการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันบนโลกดิจิตอลมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น
ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนในเทคโนโลยี BlockChain มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสถาบันการเงินที่แสดงความสนใจทั้งด้านการวิจัยพัฒนาระบบและการร่วมลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ เนื่องจากธุรกรรมต่างๆที่ต้องใช้ตัวกลาง (บุคคลที่สาม) จะได้รับผลกระทบค่อนข้างชัดเจนหลังเทคโนโลยี Block Chain เข้ามาจัดการการแลกเปลี่ยนต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น จากการสำรวจของ World Economic Forum (WEF) คาดว่า ภาครัฐของประเทศต่างๆ จะนำร่องประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ก่อนภายในปี 2023 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า และจะนำมาใช้อย่างแพร่หลายภายในปี 2027 หรือในอีก 8 ปีข้างหน้า
ดังนั้นช่วงเวลาของการเตรียมพร้อมรับมือกับการมาของ เทคโนโลยี BlockChain จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากขององค์กรต่างๆ หลายองค์กรเริ่มมองเห็นคุณค่า ของ BlockChain ที่มีระบบเข้ามาช่วยจัดการข้อมูล จึงนำมาซึ่งการตื่นตัวและเริ่มนำ Block chain มาใช้กันเพิ่มมากขึ้น นับเป็นสัญญาณที่ดีให้กับวงการ Developer เพราะผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจการทำงานบนระบบ Decentralized จะสามารถมองเห็นภาพและพัฒนา Application ในอนาคตได้ เนื่องจากโครงสร้างและสถาปัตยกรรมจะเปลี่ยนไป เป็นแบบ Decentralized ด้วย Blockchain เช่น แนวคิด World Computer ของ Ethereum
ล่าสุด ทาง DPU X สถาบันเพื่อพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการและบุคลากรแห่งอนาคต ได้ร่วมมือกับ Smart Contract Thailand พร้อมด้วยวิทยากรรับเชิญจาก KBTG ได้จัดหลักสูตร “Geeks on The Block(Chain)” หรือ Block Chain Camp for Developers batch 1 ครั้งแรกของประเทศ เป็นหลักสูตรที่เน้นการพัฒนาเชิง Technical ด้าน Block Chain ที่เข้มข้นที่สุดในประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ภูมิ ภูมิรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Block Chain ระดับแนวหน้าของประเทศและผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการรักษาความปลอดภัยในโลกโซเชียล รวมถึงทีม Smart Contract Thailand และทีม KBTG มาร่วมออกแบบ และดูแลหลักสูตรดังกล่าวนี้
ดร.พณชิต กล่าวด้วยว่า นอกจากการเรียนรู้ด้านพื้นฐานและแนวความคิดระบบ Block Chain ในหลักสูตรนี้แล้ว ผู้เข้าอบรมจะได้ลงมือเขียนโค้ด จากโจทย์จริงด้วย จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้เข้ารับการอบรมที่จะได้มีโอกาสฝึกการคิดค้น แก้ปัญหาให้ตรงจุด และเพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์อย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้หลักสูตรยังได้มีการจัด Public Code Review เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เข้าอบรมท่านอื่นๆ, วิทยากร, Commentator ผู้เชี่ยวชาญ, องค์กรภาครัฐและเอกชน รวมถึง Developer ท่านอื่นๆที่มีความสนใจ
ดร.พณชิต กล่าวอีกว่า หลักสูตรดังกล่าวนี้ทาง DPUX เตรียมเปิดอบรมระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2562 ผู้เข้ารับการอบรมจนสำเร็จจะสามารถเพิ่มศักยภาพในการทำงาน ตลอดจนใช้ในการพัฒนาธุรกิจของตนเองหรือองค์กรต้นสังกัดเพื่อเป็น Developer ที่มีความพร้อมด้าน Block Chainอย่างแท้จริงผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่ http://dpux.dpu.ac.th/geeksontheblock/register/batch1