December 06, 2025

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)  นำโดย คุณ รพีชัย  จินตเศรณี รองผู้อำนวยการฝ่ายสินไหมรถยนต์  พร้อมทีม TIP Smart Assist   ร่วมพิธีปล่อยแถวเตรียมความพร้อมดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ให้บริการช่วยเหลือประชาชน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มอบน้ำดื่มทิพย จำนวน 1,200 ขวด  และบ๊วยเค็ม  ให้แก่กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.)  เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมเป็นกำลังใจในการดูแลประชาชนทั่วประเทศ โดยมี พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ สว่างงาม ผู้บังคับการตำรวจจราจร เป็นผู้รับมอบ และได้รับเกียรติจาก พล.ต.ต.สันติ์นที ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาฝ่ายธุรกิจภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมพิธีในครั้งนี้  ณ กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.)

“สวนน้ำรามายณะ พัทยา” แลนด์มาร์กแหล่งท่องเที่ยวผจญภัยทางน้ำชั้นนำและยอดนิยมของประเทศไทย ฉลองเทศกาลสงกรานต์สุดยิ่งใหญ่ เสิร์ฟประสบการณ์การความสนุกสุดมันส์ และกิจกรรมความบันเทิงแบบจัดเต็มสุดยิ่งใหญ่ไว้ในที่เดียว! พบกับโปรโมชั่นดับร้อน พร้อมขนทัพกิจกรรมความสนุกสาดกันให้ชุ่มฉ่ำกันทั้งครอบครัว ระหว่างวันที่ 12 – 15 เม.ย. 68 ไม่ว่าจะเป็น...

 

  • แจกฟรี! ปืนฉีดน้ำ และความสนุกสุดสดชื่นสำหรับทุกคน! (ปืนฉีดน้ำมีจำนวนจำกัด)
  • เข้าสวนน้ำฟรี สำหรับเด็กสูงไม่เกิน 106 ซม.!
  • กิจกรรม Meet & Greet กับพี่มาสคอตสุดน่ารัก
  • ชวนสัมผัสกับความตื่นเต้นทั้งครอบครัวกับการแสดงเต้นลิมโบ และระบำฮาวายพ่นไฟสุดตระการตา
  • สนุกสนานได้ทั้งวัน กับกิจกรรม Splash Activities ไม่ว่าจะเป็น Game Zone ที่โซน Kids Kingdom, Water Splash Down และ Water Gun Battle ที่โซน Double Wave Pool
  • แด๊นซ์กระจายให้สวนน้ำลุกเป็นไฟกับโฟมปาร์ตี้ ที่มาพร้อมดีเจ EDM ชื่อดัง
  • สัมผัสบรรยากาศสุดชิลล์ เล่นน้ำไปฟังเพลงเพลิน ๆ ไปกับวงดนตรีสดที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนมามอบความบันเทิงมากมาย

 

เตรียมตัวให้พร้อม! เทศกาลสงกรานต์นี้พาครอบครัว และชวนเพื่อนๆ มาสาดน้ำให้สุด มันส์ให้เต็มที่ กับสวนน้ำที่ใหญ่ และดีที่สุดในประเทศไทย! ‘สวนน้ำรามายณะ พัทยา’ เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 11.00 - 18.00 น. (ปิดบริการทุกวันพุธ) พิเศษ! วันพุธที่ 16 เม.ย. 68 เปิดให้บริการตามปกติ โดยสามารถจองบัตรเข้าสวนน้ำ ได้ที่ https://ramayanawp.com/4j1SZet พร้อมติดตาม รายละเอียดกิจกรรม  และโปรโมชั่นได้ทาง https://www.facebook.com/RamayanaWaterParkThailand และ www.ramayanawaterpark.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 033-005-929

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  เผยการติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 และยังไม่เห็นสัญญาณการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวของสมาชิกลดลง เนื่องจากสมาชิกได้วางแผนการเดินทางท่องเที่ยวล่วงหน้า เช่น การจองโรงแรมที่พัก หรือการจองตั๋วเครื่องบินไว้ก่อนเกิดเหตุแล้ว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่11 เมษายน 2568 - 17 เมษายน 2568 เส้นทางท่องเที่ยวในประเทศที่สมาชิกเลือกเดินทางมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี เนื่องจากเดินทางสะดวก มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย  จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดภูเก็ต ตามลำดับ สำหรับเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมในต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ประเทศเกาหลีใต้ และประเทศจีน ตามลำดับ โดยประเทศจีนเป็นเส้นทางที่ยอดการใช้จ่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% รับอานิสงส์ของนโยบายฟรีวีซ่า

เคทีซียังเผยถึงตัวเลขยอดการใช่จ่ายผ่านบัตรเครดิตช่วงไตรมาส 1 (มกราคม – มีนาคม 2568) เติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 โดยหมวดที่มีการใช้จ่ายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หมวดประกัน หมวดท่องเที่ยว และหมวดสถานีบริการน้ำมัน มั่นใจยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในปีนี้ยังขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10%

สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

ต้อนรับฤดูกาล Spring-Summer 2025 ไปพร้อมกับไอคอนเพลงป๊อประดับโลก และนักแสดงสาวดีกรีผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง อารีอานา กรานเด ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของสวารอฟสกี้ พร้อมพาทุกท่านก้าวเข้าสู่โลกแห่ง 'Mathemagical' ของสวารอฟสกี้ อาณาจักรแฟนตาซีที่เต็มไปด้วยสีสัน   และความเปล่งประกาย โดยชิ้นงานแต่ละชิ้นแปรเปลี่ยนเฉดสีอย่างมหัศจรรย์ สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะแห่งงานฝีมือ และการแสดงออกถึงตัวตนอย่างมีชีวิตชีวา

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 130 ปีของสวารอฟสกี้ จิโอวานน่า อิงเกอเบิร์ท ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ระดับโลกของสวารอฟสกี้ได้ปลุกจิตวิญญาณแห่ง ‘Metamorphosis’ ขึ้นมาอีกครั้ง โดยใช้ความงดงามเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดวิวัฒนาการทางด้านสไตล์ของสวารอฟสกี้ ตอกย้ำความเป็นไอคอนแห่งวงการเครื่องประดับที่ยืดหยัดเหนือกาลเวลา

แคมเปญ Spring-Summer 2025 นับเป็นแคมเปญที่สามของ อารีอานา กรานเด ที่ร่วมงานกับ สวารอฟสกี้ ซึ่งในครั้งนี้เธอได้รับการแปลงโฉมอย่างงดงามด้วยเครื่องประดับที่ส่องประกายราวกับแสง ซึ่งแตกต่างจากลุคของเธอในแคมเปญ Party of Dreams ช่วงเทศกาลวันหยุดเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา และคอลเลกชัน Ariana Grande x Swarovski Capsule ที่มีกลิ่นอายความหรูหราจากยุค Old Hollywood โดยในแคมเปญนี้ อารีอานาจะได้สัมผัสถึงสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างสไตล์ และการแสดงออกถึงตัวตนของสวารอฟสกี้ โดยได้รับเกียรติจากช่างภาพระดับตำนานอย่าง Mert และ Marcus มาถ่ายทอดถึงแรงบันดาลใจของคอลเลกชันนี้ซึ่งมาจากสไตล์ป๊อปในยุค 1960s

คอลเลกชันและแคมเปญนี้ตั้งใจทำขึ้นเพื่อเป็นการยกย่องความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของแฟชั่นชั้นสูง รวมไปถึงธรรมชาติของคริสตัลที่มีความไหลลื่น และความสามารถของบ้านสวารอฟสกี้ในการกำหนดทิศทางของเรื่องราวที่เป็นที่กล่าวถึงในวัฒนธรรมป๊อป คริสตัลจากสวารอฟสกี้สะท้อนถึงพลังแห่งความชำนาญผ่านชิ้นงานที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน พร้อมโอบรับความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ในทุกรูปแบบ

จิโอวานน่า อิงเกอเบิร์ท กล่าวว่า “ฉันรู้สึกหลงใหลในวัฒนธรรมป๊อป และบทบาทของเครื่องประดับในบริบทนั้นเป็นอย่างมาก มันมีพลังสามารถเปลี่ยนแปลงทั้งรูปลักษณ์ และความรู้สึกของคุณ วิสัยทัศน์ของฉันคือการสร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ ในวงการเครื่องประดับให้ทรงพลัง สดใหม่ และเฉียบคม ซึ่งอารีอาน่าเป็นตัวแทนของสิ่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยความงามและความกล้าหาญที่ทำให้เครื่องประดับแต่ละชิ้นกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเปล่งประกาย การเคลื่อนไหว และความสุข”

อารีอานา กรานเด กล่าวว่า “ฉันรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่เส้นทางในด้านความคิดสร้างสรรค์ของฉันได้ดำเนินต่อไปกับสวารอฟสกี้ และฉันหลงใหลในเรื่องราวของการแปรเปลี่ยนของแคมเปญ Spring-Summer 2025 ในครั้งนี้ แคมเปญนี้ทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงพลังบวกและความสุขอย่างแท้จริงด้วยโทนสีสันที่สดใสและเครื่องประดับคริสตัลที่ดูเปล่งประกายสุดๆ”

ตระกูลเครื่องประดับต่างๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของสวารอฟสกี้จะยังคงสะท้อนถึงดีเอ็นเอที่โดดเด่นของตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาให้ดูเปล่งประกายในโทนสีใหม่ๆ รูปทรงแฟนตาซีที่หลากหลาย และวัสดุใหม่ๆ ในฤดูกาลนี้

เครื่องประดับตระกูล Millenia สุดไอคอนิกมาในเฉดสีใหม่อย่างสีม่วงดอกไลแลค โดยตัวคริสตัลได้รับการเจียระไนอย่างประณีต ร่วมเติมเต็มความโรแมนติกด้วยโทนสีที่สดใสจากเครื่องประดับตระกูล Idyllia พร้อมเสิร์ฟความสดใสสุดป๊อปด้วยเครื่องประดับตระกูล Dulcis และสัมผัสความหลากหลายที่ไร้ขีดจำกัดไปกับเครื่องประดับตระกูล Chroma

สัมผัสเสน่ห์แห่งคอลเลกชันใหม่ Spring-Summer 2025

Millenia

เครื่องประดับระดับไอคอนเพื่อไอคอนตัวจริง อารีอานาถ่ายทอดจิตวิญญาณของเครื่องประดับ Millenia ด้วยเฉดสีใหม่อย่างสีไลแลค ซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์ของเวทมนตร์ ความลึกลับ และความสง่างาม อัญมณีสีไลแลคแต่ละชิ้นถูกฝังด้วยมือลงบนตัวเรือนสีทอง เปรียบเสมือนจดหมายรักแด่คริสตัล ในรูปทรงริเวียร์สุดโดดเด่นที่งดงามเหนือกาลเวลา เมื่อผสานเข้ากับพลังแห่งความไอคอนิกของป๊อปสตาร์สาวแล้ว จึงก่อเกิดเป็นแฟนตาซีแห่งแฟชั่นชั้นสูง

Idyllia

ก้าวเข้าสู่สวน Mathemagical ของสวารอฟสกี้ไปด้วยกันกับอารีอาน่าในลุคอันแสนอ่อนโยนด้วยอัญมณีจากตระกูล Idyllia ซึ่งสะท้อนถึงความประณีต และจินตนาการอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ กลีบดอกคริสตัลสุดวิจิตรที่แต่ละชิ้นได้รับการฝังคริสตัลด้วยเทคนิคชั้นสูง ร้อยเรียงเป็นดอกไม้ และผีเสื้อราวกับหลุดมาจากโลกแฟนตาซี ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งความโรแมนติกผ่านสีสันสุดตระการตา อารีอานาเผยเสน่ห์ที่ทั้งเย้ายวน อ่อนหวาน และเท่ในแบบฉบับของเธอ เมื่อได้สวมใส่เครื่องประดับสุดประณีตจากงานฝีมือชั้นยอดของสวารอฟสกี้

Dulcis

เมื่อไอคอนแห่งวงการป๊อปมาบรรจบพบกับสีสันแห่งป๊อปแคนดี้ อารีอาน่าเผยพลังความสนุกสนานของคอลเลกชัน Dulcis ผ่านเครื่องประดับเรซินสุดจี๊ด ที่ผสานสีสันสดใสเข้ากับคริสตัลระยิบระยับ ออกแบบมาให้เลเยอร์สวยโดนใจผู้สวมใส่ เพิ่มลูกเล่นให้ลุคดูโดดเด่นยิ่งกว่าที่เคย นอกจากชิ้นงานแต่ละชิ้นจะเปล่งเสน่ห์ความหวานสดใสอย่างคาดไม่ถึงแล้ว ยังสวมใส่เบาสบาย และดูหรูหราในคราวเดียวกัน

Chroma

อัญมณีจากตระกูล Chroma พร้อมมอบความสดใสด้วยสีสันสุดป๊อปไปพร้อมๆ กับเครื่องประดับตระกูล Dulcis ด้วยดีไซน์ที่คมชัด เหมาะสำหรับทุกโอกาส โดย Chroma Twist จากตระกูล Chroma ถือเป็นคอลเลกชันแรกจากสวารอฟสกี้ที่คำนึงถึงการหมุนเวียนทรัพยากร โดยใช้คริสตัล Swarovski ReCreated™ อย่างน้อย 50% และโลหะรีไซเคิลอย่างน้อย 90% พร้อมดีไซน์ที่สามารถเปลี่ยนสี และสไตล์ได้ เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก (ที่ 2 จากซ้าย) ร่วมกับ พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง ประธานคณะอนุกรรมาธิการความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและการกีฬา ในคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา (กลาง) ส่งความห่วงใยถึงคนไทยทั่วประเทศ มอบ “กรมธรรม์ประกันภัยสุขใจสงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์)” จำนวน 25,000 สิทธิฟรี และสนับสนุนหมวกนิรภัยจำนวน 100 ชุด ให้แก่ประชาชนทั่วไป และผู้ขับขี่เดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พลตำรวจโท ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ที่ 2 จากขวา) ให้เกียรติเป็นผู้รับมอบ โดยกรมธรรม์มีระยะเวลาคุ้มครองนาน 30 วัน ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตสูงถึง 100,000 บาทต่อกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมรับผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุด 5,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีความคุ้มครองอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความอุ่นใจในการวางแผนเดินทาง สอดคล้องตามคำมั่นสัญญา ‘เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน Healthier, Longer, Better Lives’ โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก พันตำรวจเอกโอฬาร เอี่ยมประภาส รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ขวาสุด) และนายอนิรุทธ์ สิงหศิริ อนุกรรมาธิการ (ซ้ายสุด) ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ กองบังคับการตำรวจทางหลวง กรุงเทพมหานคร

SCB  WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ หัวข้อ “Trump Tariff กับบริบท เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก” โดยการผนึกกำลังกันของหน่วยงาน SCB EIC , SCB CIO , SCB Finance Market  และ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์  โดย SCB EIC มองทั่วโลกรับผลกระทบกำแพงภาษีทรัมป์ถ้วนหน้า ไทยรับผลกระทบหนักเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลก ลุ้นรัฐเจรจาต่อรองผ่อนหนักเป็นเบา ขณะที่ นักกลยุทธ์ตลาดการเงิน คาดในระยะสั้นภาษีทรัมป์กดดันบาทอ่อน 34.5-35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วน InnovestX มองตลาดหุ้นไทยรับผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจมากกว่าทางตรง แนะนำเลือกลงทุนหุ้นที่มีรายได้อิงในประเทศ ด้าน SCB CIO แนะลงทุนเน้นตราสารหนี้ระยะสั้น-กลาง กองทุนผสม และทองคำก่อน หลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง รอความผันผวนลดลง ค่อยกลับเข้าลงทุนตลาดหุ้นเมื่อเห็นสัญญาณที่ดีของการเจรจา

SCB  WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ ผ่านทาง SCB WEALTH Line official ในหัวข้อ “Trump Tariff กับบริบท เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก” โดยการผนึกกำลังกันของหน่วยงาน SCB EIC , SCB CIO , SCB Finance Market  และ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์  ให้แก่ลูกค้า SCB WEALTH  และนักลงทุนทั่วไป ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบาย  Trump Tariff และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโลกและไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมให้คำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมในช่วงเวลานี้ เพื่อให้พอร์ตลงทุนไม่ผันผวนและมีเสถียรภาพ  

ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCBEIC เปิดเผยว่า การประกาศขึ้นกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา  ส่งผลกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก โดย SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการ GDP โลก ปีนี้เหลือเติบโต 2.2% จากเดือน มี.ค.ที่ประเมินไว้ว่าจะเติบโต 2.4% ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโต 1.3% ลดลงจากเดือน มี.ค. ที่คาดการณ์ไว้ 1.9%  สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้ เดิมคาดว่าจะเติบโต 2.4% ประเมินเบื้องต้นคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตลดลงเหลือราว 1.4-1.5% (SCB EIC อยู่ระหว่างการปรับประมาณการใหม่)  เพราะนอกจากถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำกับทุกประเทศ 10% แล้ว ไทยยังจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศที่มีความไม่เป็นธรรมทางการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มอีก จนเพดานภาษีที่จะเก็บไทยสูงสุดที่ 36% สูงกว่าค่าเฉลี่ยการถูกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มของทั้งโลก อยู่ที่ 16% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน อยู่ที่ 33%

ส่วนทิศทางนโยบายการเงิน คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีนี้ไปอยู่ที่ 1.25% ณ สิ้นปี จากเดิมที่มองอีกแค่ 2 ครั้ง ตามทิศทางเศรษฐกิจไทยที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงขึ้น  ทั้งนี้ เราอยู่ในเกมที่ทุกประเทศถูกเก็บภาษีไม่เท่ากัน โดยที่ประเทศอื่นส่วนใหญ่ถูกเก็บภาษีน้อยกว่าเรา ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคากับสินค้าประเทศอื่นที่ถูกกว่า ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องปรับตัวทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกระจายตลาดส่งออก การบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือความไม่แน่นอน และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขณะที่บริบทของภาครัฐก็มีความสำคัญในด้านการเจรจาการค้า เตรียมแผนลดผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในระยะสั้น และการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว 

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets    ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษี เงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้แข็งค่าอย่างที่เคยคาดไว้ แต่ค่าเงินกลับอ่อนลง  ด้านสกุลเงินหลักอื่น ๆ ในโลก เช่น เงินยูโร เงินเยน และเงินฟรังก์สวิส  แข็งค่าขึ้น เนื่องจากรับหน้าที่เป็นสกุลเงินปลอดภัย (Safe haven currency) ส่วนสกุลเงินในเอเชียอ่อนค่าลง จากการที่นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่น  โดยค่าเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เนื่องจากไทยเผชิญผลกระทบ 2 เรื่องซ้อนกัน คือผลกระทบจากแผ่นดินไหว และผลกระทบจากการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าของทรัมป์ อีกทั้ง ไทยพึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ และจีนสูง นักลงทุนจึงสูญเสียความเชื่อมั่นค่อนข้างมาก สำหรับค่าเงินบาทในระยะสั้น คาดว่า อาจจะอ่อนค่าอยู่ในกรอบ 34.5-35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องกับประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่ยอมให้เงินอ่อนค่าเพื่อรองรับผลกระทบจากกำแพงภาษีของทรัมป์ และเงินบาทอาจอ่อนค่าตามแนวโน้มเงินหยวน สำหรับในระยะกลางถึงยาว แนวโน้มเงินบาทจะขึ้นอยู่กับการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยในกรณีที่ไทยไม่สามารถตกลงกับสหรัฐฯ เพื่อให้ลดภาษีลงได้ภายใน ก.ค. อาจทำให้ความเชื่อมั่นลดลง ในช่วงครึ่งปีหลัง กดดันบาทอ่อนค่าเร็วต่อได้ในกรอบ 35.50-36.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี หากไทยสามารถเจรจาได้ และสหรัฐฯ ยอมลดภาษีลงบางส่วน ทั้งต่อไทยและประเทศอื่น ๆ ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและ Global capital flows ไม่รุนแรง ก็อาจทำให้เงินบาททรงตัวหรือกลับมาแข็งค่าเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีหลังในกรอบ 34.00-35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน   บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์  จำกัด กล่าวว่า หากนับตั้งแต่ต้นปี  2568  ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ให้ผลตอบแทนต่ำสุดอันดับต้นๆ ของโลก แต่หากนับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีศุลกากร ตลาดหุ้นไทย ปรับลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยเราคาดว่า ตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบทางตรงไม่มาก โดยหากรายได้จากสหรัฐฯ ลดลง 10% จะกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียน 2% แต่หากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง ก็สามารถชดเชยผลกระทบนี้ได้แล้ว ส่วนที่กระทบตลาดหุ้นไทยมากคือ ผลกระทบทางอ้อมที่มาจากเศรษฐกิจ โดยหาก GDP ของไทยลดลง 0.5% จะทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง 6% หาก GDP ไทย ลดลง 3% จะทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลงเกือบ 30% จึงต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจว่าได้รับผลกระทบมากน้อยอย่างไร ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเวลานี้ เรามองว่า ควรเน้นคัดเลือกหุ้นของบริษัทที่เน้นตลาดในประเทศมากๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากความต้องการในประเทศ และราคาพลังงานที่ลดลง

นางสาวเกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO  ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า SCB CIO ประเมินผลกระทบจากภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็น 2 กรณี  โดยกรณีแรก Base case มีความเป็นไปได้ 80% ประเทศต่างๆ จะเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ ได้ โดยใช้เวลาไม่นานนัก ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นชั่วคราว ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น ส่วน กรณีที่ 2 Worst case มีความเป็นไปได้เพียง 20% คือ การเจรจายืดเยื้อมากกว่า 6 เดือน มีการตอบโต้รุนแรงจากจีนและประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรป รวมถึงประธานาธิบดีทรัมป์ อาจประกาศมาตรการทางภาษีใหม่ๆ ที่รุนแรงเพิ่มเติม จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อสูง (Stagflation) หรือเกิดภาวะถดถอย (Recession) ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดหุ้นโลก เป็นขาลงในระยะยาว  ทั้งนี้ เรามองว่า มีโอกาสเกิดกรณี  Base case มากกว่า จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงช่วงนี้ จนกว่าสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ส่งผลให้ความผันผวนปรับลดลง อย่างไรก็ตาม ยังสามารถลงทุนได้ในตราสารหนี้ ที่มี Duration ระยะสั้นและระยะกลาง กองทุนผสมที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลปรับสัดส่วนการลงทุนให้ในพอร์ตหลัก และ ทองคำ

นายชาตรี โรจนอาภา หัวหน้าทีมที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO  ธนาคารไทยพาณิชย์  กล่าวว่า ในภาวะที่ตลาดการเงินกำลังมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรใจเย็น  ติดตามสถานการณ์ก่อน กรณีความเป็นไปได้ของการเจรจาระหว่างทรัมป์ และประเทศต่างๆ ออกมาเป็น Base case ตามที่ SCB CIO ประเมิน นักลงทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ ควรรอดูสถานการณ์ก่อน (Wait and See) เมื่อตลาดเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว อาจกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ปรับลดลงไปมาก จากการได้รับผลกระทบด้านกำแพงภาษีของทรัมป์ เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นเวียดนาม ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม หากเหตุการณ์พัฒนาจนกลายเป็น Worse case ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อย แต่หากเกิดขึ้นจริง อาจจำเป็นต้องขายลดน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวมในพอร์ตลงทุน ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่ได้มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเลย สามารถทยอยลงทุนได้ หลังจากที่สถานการณ์เริ่มมีความชัดเจนแล้ว

ในส่วนของสินทรัพย์ที่เสี่ยงไม่สูงอย่าง ตราสารหนี้ สามารถลงทุนได้เลย เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ดังนั้น การลงทุนตราสารหนี้ในช่วงเวลานี้ จะช่วยให้ผู้ลงทุนยังมีโอกาสรับผลตอบแทนในระดับสูงอยู่ ก่อนที่ดอกเบี้ยจะปรับลดลง โดยอาจเลือกตราสารหนี้ระยะสั้นและกลางเป็นหลัก ขณะที่ ทองคำ เป็นสินทรัพย์อีกประเภทที่น่าสนใจ เพราะธนาคารกลางประเทศต่างๆ มีแนวโน้มสะสมทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น โดยการปรับฐานของราคาทองคำในช่วงนี้ อาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนทองคำในระยะยาว


คำเตือน

  • เอกสารนี้จัดทำขึ้นโดย SCB CIO ณ วันที่ 8 เม.ย. 2568 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเอง และรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง
  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
  • เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด
  • สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

 

นายประสงค์ พูนธเนศ ประธานกรรมการ และนางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2567 และนำเสนอวาระเพื่อพิจารณาต่างๆ โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 1.32 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 18 เมษายน 2568 และจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 รวมเงินปันผลทั้งสิ้น 3,403,400,972 ล้านบาท โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นในวันนี้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ตามพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 รวมถึงกฎหมายและระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า ชี้มาตรการภาษีทรัมป์เป็นการโยนหินถามทางเพื่อสังเกตท่าทีของคู่ค้าสหรัฐฯ แต่ยอมรับว่าอาจส่งผลกระทบต่อ GDP ไทย คาดมาตรการดังกล่าวจะยังไม่ส่งผลทันที แนะไทยเร่งหาตลาดใหม่ทดแทน และสร้างช่องทางการส่งออกให้กับผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย เพื่อสร้างรายได้จากการส่งออกและโอกาสทางธุรกิจ อีกทั้งเป็นการกระจายเม็ดเงินสู่ระดับฐานราก

 

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า การที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากทุกประเทศ ส่วนประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 36% จากเดิมที่มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมานั้นถือเป็นการโยนหินถามทางเพื่อสังเกตท่าทีของคู่ค้าสหรัฐฯ แต่ยอมรับว่าอาจส่งผลกระทบต่อ GDP ของประเทศ อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะยังไม่ส่งผลอย่างทันท่วงที ซึ่งสอดคล้องกับการประกาศล่าสุดกับการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากคู่ค้าส่วนใหญ่ลงเหลือ 10% เป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดทางให้เกิดการเจรจาการค้า โดยมีผลบังคับใช้ทันที ยกเว้นสาธารณรัฐประชาชนจีนที่สหรัฐฯ ปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเป็น 125%

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ประเทศไทยจะต้องเตรียมการในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาตลาดใหม่ทดแทนสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนสถานะให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมูลค่าเพิ่ม และการสร้างช่องทางการส่งออกให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย โดยไทยจะมีรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้นจากผู้ประกอบการเหล่านั้น ซึ่งถือเป็นการกระจายเม็ดเงินสู่ระดับฐานราก และเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจ รวมไปถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม PromptTrade หรือระบบการค้าระหว่างประเทศรูปแบบดิจิทัล

พร้อมรับสิทธิพิเศษมูลค่ารวมกว่า 34,000 บาท วันนี้ถึง 13 เม.ย. 68 เท่านั้น

X

Right Click

No right click