December 06, 2025

Wellness Golf Academy รุ่นที่ 3 เปิดรับสมัครแล้วอย่างเป็นทางการแล้ว โดยหลักสูตรนี้ได้ออกแบบภายใต้แนวคิด Longevity Wellness ซึ่งผู้เข้าเรียนจะได้เทคนิคการเล่นกอล์ฟอย่างมืออาชีพควบคู่กับกิจกรรมด้านสุขภาพที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งการประเมินสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล การให้คำปรึกษาทางการแพทย์ การออกแบบ ทรีตเมนต์เฉพาะบุคคล รวมถึงการใช้ Health Wallet เพื่อช่วยติดตามและพัฒนาสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นหลักสูตรแรกที่มีการออกแบบ Bundle Wellness Package ไม่ว่าจะเป็น Oxygen Therapy / Hyperbaric Oxygen Therapy, Detox Program และ Personal Fitness for Golfers และยังมี Health Wallet ที่จะเป็น Information ด้านสุขภาพที่สำคัญกับผู้ร่วมหลักสูตรทุกท่าน สำหรับรุ่นที่ 3 จะเริ่มเรียนตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม -28 สิงหาคม 2568 โดยจัดการเรียนการสอนทุกวันพฤหัสบดีตลอดระยะเวลา 3 เดือน ที่สนามกอล์ฟชั้นนำของประเทศ

 

นายภาณุเมศวร์ เศรษฐสิริสุนทร กรรมการบริหาร บริษัท จี โอ ดี โซลูชั่น จำกัด  กล่าวว่า หลักสูตร Wellness Golf Academy รุ่นที่ 3 เปิดรับสมัครแล้วอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้งนี้อยากเชิญชวนผู้ที่สนใจกีฬากอล์ฟ แม้จะเล่นไม่เป็น หรือ ไม่มีพื้นฐานมาก่อนเลย และผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่ผสานศาสตร์ด้านการพัฒนาทักษะกอล์ฟเข้ากับการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม เนื่องจากหลักสูตรนี้ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด Longevity Wellness โดยเชื่อว่าการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม คือ รากฐานสำคัญของการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ

นายภาณุเมศวร์  กล่าวต่อไปว่า สำหรับการเรียนตีกอล์ฟกับ Wellness Golf Academy รุ่นที่ 3 เป็นการต่อยอดความสำเร็จจาก Wellness Golf Academy  รุ่นที่ 1 และ รุ่นที่ 2 โดยเรามุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายนักกอล์ฟสุขภาพดีให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้เทคนิคการเล่นกอล์ฟอย่างมืออาชีพควบคู่กับกิจกรรมด้านสุขภาพที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งการประเมินสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล การให้คำปรึกษาทางการแพทย์ การออกแบบทรีตเมนต์เฉพาะบุคคล รวมถึงการใช้ Health Wallet เพื่อช่วยติดตามและพัฒนาสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว หนึ่งในจุดเด่นของรุ่นที่ 3 คือ การรวบรวมแพ็คเกจ Wellness ที่ออกแบบมาอย่างครอบคลุมและตอบโจทย์เฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็น

  • Oxygen Therapy / Hyperbaric Oxygen Therapy: การบำบัดด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ภายใต้แรงดันสูง เพื่อฟื้นฟูร่างกายระดับเซลล์อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
  • Detox Program: โปรแกรมล้างสารพิษ เพื่อการฟื้นฟูระบบต่าง ๆ ของร่างกาย
  • Personal Fitness for Golfers: การออกแบบการออกกำลังกายเฉพาะส่วน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านกอล์ฟ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้สอดคล้องกับสรีระของแต่ละบุคคล
  • Health Wallet จะเป็น Information ส่วนบุคคลที่เราเองจะสามารถเลือกรับบริการด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามพื้นฐานสุขภาพของแต่ละบุคคล ที่มีเป้าหมายการดูแลสุขภาพที่ดีร่วมกัน

นายภาณุเมศวร์  กล่าวเสริมว่า หลักสูตร Wellness Golf Academy รุ่นที่ 3 จัดการเรียนการสอนทุกวันพฤหัสบดี ตลอดระยะเวลา 3 เดือนตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม-28 สิงหาคมนี้ ผู้เข้าร่วมจะได้ฝึกฝนในสนามกอล์ฟชั้นนำระดับประเทศ อาทิ สนามไพน์เฮิร์ส, สนามไทยคันทรีคลับ, สนามทอสคาน่า (เขาใหญ่) และสนามริเวอเดล โดยมีทีมโปรกอล์ฟมืออาชีพประจำหลักสูตรให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด แม้ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็สามารถพัฒนาไปสู่การ
ออกรอบได้อย่างมั่นใจ

“หลักสูตร Wellness Golf Academy รุ่นที่ 3 ได้รับความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสร้างชุมชนนักกอล์ฟสุขภาพดีอย่างยั่งยืน นับว่าเป็นโอกาสพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการยกระดับชีวิต ด้วยการพัฒนาทักษะกอล์ฟควบคู่กับการดูแลสุขภาพแบบลึกซึ้ง เปิดประสบการณ์ใหม่ที่ทรงคุณค่า เพื่อชีวิตที่แข็งแรง   ยืนยาว และเต็มไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง นายภาณุเมศวร์ กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account: @eeebooking  หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Facebook Page : Wellness golf academy

สสว. เผยผลสำรวจการขับเคลื่อน Digital ของ SME ไทย ประจำปี 2568 พบว่า เริ่มมีการเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มขึ้น เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ Social Media โปรแกรมบริหารจัดการธุรกิจ ฯลฯ กว่า 80% ใช้ในด้านการให้บริการและการตลาด แต่ยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ความยุ่งยากในการใช้งาน และทักษะของบุคลากร ขณะที่ภาครัฐควรมุ่งส่งเสริมโดยเน้นการเพิ่มองค์ความรู้และการสนับสนุนทางการเงิน เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้กับ SME

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยผลสำรวจการขับเคลื่อน Digital Transformation ในธุรกิจ SME ซึ่งเป็นการสำรวจรายปี สำหรับปี 2568 เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 โดยสอบถามผู้ประกอบการ SME จำนวน 2,704 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 20–28 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งผลสำรวจครั้งนี้มีการเปรียบเทียบกับผลสำรวจในประเด็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินธุรกิจ SME ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 การสำรวจอ้างอิงตามแนวคิด Digital Maturity Model (DMM) ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เพื่อนำข้อมูลผลสำรวจมาใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไปได้ ซึ่งการวัดระดับ Digital Transformation ของผู้ประกอบการถึงระดับ 4.0 นั้น แบ่งการใช้งานดิจิทัลเป็น 5 Pillars โดยภาพรวม พบว่า ผู้ประกอบการเริ่มมีการปรับตัวด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับ 1.0-2.0 ทั้งการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ Social Media โปรแกรมบริหารจัดการธุรกิจ เป็นต้น

เมื่อพิจารณาผลสำรวจเป็นราย Pilar พบว่า Pillar ที่ 1 การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการติดต่อซัพพลายเออร์หรือผู้ขายวัตถุดิบ/สินค้า พบว่า ยังอยู่ในระดับ 1.0 แต่มีแนวโน้มเป็นระดับ 2.0 เพิ่มขึ้นเนื่องจาก SME มีการเปลี่ยนรูปแบบวิธีการจากการติดต่อผ่านช่องทางโทรศัพท์หรือติดต่อโดยตรงกับผู้ขาย ไปใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการติดต่อหรือสั่งซื้อสินค้า โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม Pillar ที่ 2 ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ พบว่า กำลังพัฒนามาอยู่ในระดับ 1.0 SME เริ่มเล็งเห็นถึงการสร้างแบรนด์และเอกลักษณ์ของสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาเพื่อช่วยสร้างเอกลักษณ์ของธุรกิจ เช่น การสร้างโลโก้ สติ๊กเกอร์ร้าน โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดย่อม สำหรับธุรกิจขนาดกลางเริ่มมีการออกแบบด้วยตนเองโดยภาพ 2D/3D Pillar ที่ 3 ด้านการจัดการกระบวนการผลิต พบว่า ยังอยู่ที่ระดับ 1.0 SME ส่วนใหญ่ใช้แรงงานคนร่วมกับการทำงานของเครื่องจักรแบบพื้นฐาน มีการนำเครื่องจักรอัตโนมัติมาใช้ในบางกระบวนการแต่ยังเป็นส่วนน้อย Pillar ที่ 4 ด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า พบว่าอยู่ที่ระดับ 1.0 แต่มีแนวโน้มเป็นระดับ 2.0 เพิ่มขึ้น SME ในทุกขนาดธุรกิจมีการใช้ Social Media ในการติดต่อสื่อสารและรับฟังความต้องการจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังเริ่มมีการนำโปรแกรมบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) มาใช้เพิ่มขึ้นเพื่อติดต่องานขายและบริการลูกค้า และ Pillar ที่ 5 ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ พบว่า อยู่ในระดับ 1.0 แต่มีแนวโน้มเป็นระดับ 2.0 เพิ่มขึ้น SME ทุกขนาดธุรกิจยังคงใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐาน เช่น Microsoft Office มาใช้ในการบริหารจัดการ อีกทั้งมีการนำโปรแกรมเฉพาะ เช่น ระบบ POS มาใช้ในธุรกิจเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยในการจัดเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า

หากพิจารณาการขับเคลื่อน Digital Transformation ในภาคธุรกิจในสาขาที่สำคัญ พบว่า ทุกภาคยังอยู่ที่ระดับ 1.0 แต่มีภาคการค้า การผลิต และการบริการ ที่มีแนวโน้มการพัฒนาไปสู่ระดับ 2.0 ได้มากกว่าภาคธุรกิจอื่น สาขาภาคการค้า เช่น การค้าปลีกอุปโภค/บริโภค Modern Trade หรือ การค้าวัสดุก่อสร้าง มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารสต็อก เชื่อมโยงการขายสินค้าทั้งหน้าร้านและการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สาขาการผลิตสำคัญ เช่น การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม การผลิตโลหะ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การทำการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นต้น สาขาภาคการบริการ เช่น ร้านอาหาร/ภัตตาคาร โรงแรม/เกสต์เฮาส์/บังกะโล จะนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้บริการลูกค้า ทั้งใช้ AI Chatbot ช่วยตอบคำถามจากลูกค้าและวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เป็นต้น

จากผลสำรวจได้ระบุถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจของ SME ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล พบว่า SME ร้อยละ 81 ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการให้บริการและการตลาด เช่น การทำช่องทางการชำระเงินและธุรกรรมดิจิทัล รองลงมาคือด้านการใช้ AI คิดเป็นร้อยละ 11 โดยการนำ Chatbot มาใช้สื่อสารกับลูกค้า และร้อยละ 8 นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ ระบบ ERP เป็นต้น สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้เทคโนโลยีมากที่สุด คือ ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป คิดเป็นร้อยละ 38 รองลงมา คือ การแข่งขันที่สูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 29 ถัดมา คือ ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน/ลดต้นทุน คิดเป็นร้อยละ 23 อย่างไรก็ตาม SME ทุกขนาดธุรกิจมักประสบกับอุปสรรคในเรื่องงบประมาณที่จำกัดในการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพราะส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมที่มาจากต่างประเทศ รองลงมา คือ ความยากลำบากในการประเมินผลลัพธ์หรือประโยชน์ที่ได้รับหลังจากใช้งานเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงการขาดบุคลากร/แรงงานที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี

ดังนั้น ภาครัฐควรให้ความสำคัญและเพิ่มระดับความเข้มข้นในการพัฒนา และส่งเสริมทักษะทางดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างมองว่าการช่วยเหลือในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมและไม่สามารถนำไปต่อยอดได้จริง ทั้งนี้ การสนับสนุนให้ SME เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น หรือขับเคลื่อน Digital Transformation ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ควรมุ่งเน้นในการเพิ่มขีดความสามารถ เพิ่มองค์ความรู้ต่าง ๆ หรือการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจไปสู่ตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ในส่วนของ สสว. พร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ในทุกขนาดธุรกิจที่ต้องการขับเคลื่อน Digital Transformation ให้เกิดขึ้นในธุรกิจของตนเอง โดย SME สามารถค้นหาโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่คอยให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือ ผ่าน https://coach.sme.go.th/ หรือโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS (Business Development Service) ที่มีบริการต่าง ๆ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพด้านดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการและธุรกิจ เช่น การฝึกอบรมบุคลากร ระบบการจัดการคลังสินค้า บริการการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ เป็นต้น หรือสอบถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจร ซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301

 

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 4 (นครราชสีมา) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครนายก ในฐานะเจ้าของพื้นที่รับผิดชอบ ได้ลงพื้นที่ทันทีเพื่อตรวจสอบ กรณีรถบัสโดยสารประจำทางของบริษัท 407 พัฒนา หมายเลขทะเบียน 10-7125 อุดรธานี เกิดอุบัติเหตุเสียหลักพุ่งชนรถพ่วง 18 ล้อ บริเวณทางหลวงหมายเลข 304 ตำบลบุพราหมณ์ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ใกล้เคียงศาลเจ้าพ่อปู่โทน เป็นเหตุให้เกิดไฟลุกไหม้ตัวรถโดยสารอย่างรวดเร็ว เบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียชีวิต 7 ราย และบาดเจ็บกว่า 40 ราย พร้อมทั้งตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัย และติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเป็นธรรม

จากการลงพื้นที่ของสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครนายก เบื้องต้นพบว่า รถบัสคันดังกล่าวทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยกรมธรรม์เริ่มคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2567 และสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2568 คุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บค่ารักษาสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000 - 500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน คุ้มครองสูงสุด 10,000,000 บาทต่อครั้ง นอกจากนี้ รถบัสคันดังกล่าวยังได้ทำประกันภัยรถภาคสมัครใจ ประเภท 3 ไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)  กรมธรรม์เริ่มคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2567 และสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2568 คุ้มครองต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอกเฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุดตาม พ.ร.บ. 800,000 บาทต่อคน ความคุ้มครองสูงสุด 10,000,000 บาทต่อครั้งความรับผิดต่อทรัพย์สิน 1,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายส่วนแรก 5,000 บาท และยังมีความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร 100,000 บาทต่อคน ทุพพลภาพชั่วคราว 1,000 บาทต่อคน ค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาทต่อคน ประกันตัวผู้ขับขี่ 200,000 บาทต่อครั้ง

สำหรับการติดตามค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เบื้องต้นอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น สำนักงาน คปภ. ได้ประสานกับบริษัทประกันภัยเข้าไปอำนวยความสะดวก และรับรองสิทธิค่ารักษาพยาบาลกับโรงพยาบาลโดยตรง โดยผู้บาดเจ็บไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิแต่อย่างใด

สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต และขอร่วมไว้อาลัยต่อเหตุการณ์อุบัติเหตุครั้งนี้ สำนักงาน คปภ. พร้อมอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือ  กรณีประสบปัญหาด้านประกันภัย สามารถสอบถามข้อมูลได้จากสายด่วน คปภ. 1186

เนื่องในโอกาสวันคุ้มครองโลก (Earth Day) วัตสัน แบรนด์สุขภาพและความงามชั้นนำของ เอเอส วัตสัน ประกาศขยายความร่วมมือกับ ClimatePartner เพื่อยกระดับโครงการชดเชยคาร์บอน สำหรับการซื้อผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้า Watsons Sustainable Choice ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 4,000 ตัน

สร้างแรงบันดาลใจให้ลูกค้าเลือกอย่างชาญฉลาด เพื่อใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน

เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ยั่งยืน วัตสันเปิดตัวโครงการชดเชยคาร์บอนร่วมกับ ClimatePartner ตั้งแต่ปี 2566 โดยเริ่มต้นในผลิตภัณฑ์ 7 กลุ่ม และปัจจุบันมีความพยายามขยายให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ 30 กลุ่ม ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของวัตสันต่อความยั่งยืน โดยโครงการนี้เปิดตัวที่ Watsons O+O (ออฟไลน์และออนไลน์) ทั่วไทย ฮ่องกง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ตุรกี และตลาดกลุ่มประเทศ GCC (พันธมิตรทางการเมืองและเศรษฐกิจของตะวันออกกลาง)

วัตสันมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากขึ้น ในขณะที่รับประกันว่าทุกการซื้อจะสร้างความแตกต่างที่มีความหมายและสร้างผลกระทบ นอกเหนือจากความพยายามในการปลูกป่าอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ริมบารายา  ประเทศอินโดนีเซีย* วัตสันมุ่งเน้นไปที่การปลูกป่าที่สำคัญในติ่งซี สาธารณรัฐประชาชนจีน** ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการแปรสภาพเป็นทะเลทราย ภัยแล้ง และการพังทลายของดินอย่างรุนแรง โครงการนี้เกี่ยวข้องกับการปลูกพันธุ์ไม้พื้นเมืองที่คัดเลือกเพื่อความทนทานในสภาพกึ่งแห้งแล้ง โดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนที่ดินทำการเกษตรที่เสื่อมโทรมให้กลายเป็นป่าที่เจริญเติบโต

นอกเหนือจากประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม โครงการนี้ยังสร้างโอกาสในการจ้างงานคนท้องถิ่นในการปลูกต้นไม้และดูแลรักษาป่า โดยส่วนหนึ่งมีผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมและบทบาทสำคัญ ซึ่งช่วยส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและเสริมพลังให้กับชุมชนท้องถิ่น

ตั้งแต่เปิดตัวโครงการฯ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและได้รับความคิดเห็นเชิงบวก อาทิ เจสัน โฮห์ ลูกค้าจากมาเลเซียแบ่งปันว่า "ผมชอบซื้อสินค้า Sustainable Choices ที่วัตสัน เพราะทุกครั้งที่ซื้อจะช่วยสนับสนุนโลกให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผมหันมาใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในทุก ๆ วัน"

โคลอี้ หวอง ลูกค้าจากฮ่องกงกล่าวว่า "รหัส QR Code ที่แสดงบนชั้นวางสินค้า Sustainable Choices ช่วยให้ฉันสามารถค้นหาเกี่ยวกับกระบวนการลดคาร์บอน ซึ่งช่วยแสดงให้เห็นว่าวัตสันใส่ใจเรื่องการจัดการกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไร"

วนิดา จากประเทศไทยกล่าวว่า “ครอบครัวของฉันตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ยั่งยืน หลังจากทราบว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไปก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนในปริมาณมากตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ซึ่งทางเลือกที่ดีกว่านี้ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ตั้งแต่ต้นทาง แม้จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ แต่ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายได้จริง”

การสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกค้าเลือกผลิตภัณฑ์ Sustainable Choices เป็นขั้นตอนสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพที่ช่วยค้ำจุนพวกเราทุกคน ซึ่งเราสามารถร่วมสร้างผลกระทบเชิงบวกที่วงกว้าง เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสและอุดมสมบูรณ์กว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป โดยวันคุ้มครองโลก นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเดินทางของวัตสัน เพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมพลังให้ลูกค้า Look Good. Do Good. Feel Great. คือดูดีจากภายนอก ทำดีจากภายใน และรู้สึกดีที่ได้มอบสิ่งดีๆ คืนสู่สังคมเพื่อสังคมที่ยั่งยืนต่อไป

กลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางการเงินและเทคโนโลยีดิจิทัล เข้าร่วมงาน Money 20/20 Asia ซึ่งเป็นงานสัมมนาด้านฟินเทคระดับโลก จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 - 24 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีธนาคารระดับโลกและภูมิภาค บริษัทผู้ให้บริการด้านการชำระเงินระดับโลกและเอเชีย ผู้นำด้านเทคโนโลยี นักลงทุนและกลุ่มบริษัทร่วมทุน สตาร์ทอัพ หน่วยงานกำกับดูแลชั้นนำของเอเชีย และมีเดียแพลตฟอร์มมากมายที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ โดยผู้บริหารธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์และมุมมองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการเงินในยุคดิจิทัล พร้อมเปิดตัว ออร์บิกซ์กรุ๊ป ให้บริการที่ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Ecosystem) ในประเทศไทย   ถือเป็นกลุ่มธุรกิจทางการเงินที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ครอบคลุมที่สุด เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ธุรกิจที่ตอบโจทย์อนาคตภายใต้กลุ่มออร์บิกซ์

ผู้นำธนาคารกสิกรไทยบนเวทีระดับโลก

นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า งาน Money20/20 มหกรรมงานฟินเทคชั้นนำระดับโลก ซึ่งกรุงเทพฯ ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากเป็นเมืองศูนย์กลางการเติบโตของฟินเทคในเอเชียที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยได้ขึ้นร่วมเสวนาในหัวข้อ "Legacy Banks in the New Economy: Innovation, Agility, and Customer-Centric Transformation" การพลิกโฉมธนาคารดั้งเดิมในยุคเศรษฐกิจใหม่ ด้วยนวัตกรรม ความคล่องตัว และการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยได้แสดงวิสัยทัศน์ของธนาคารกสิกรไทย มุ่งสร้างอนาคตการเงินด้วยนวัตกรรมและพันธกิจเพื่อความยั่งยืน ด้วยการปรับตัวก้าวข้ามทุกวิกฤตสู่การเป็น Early Adopter อย่างแท้จริง  ด้วยความสำเร็จจาก K PLUS โมบายแบงกิ้งที่ครองอันดับหนึ่งดิจิทัลแบงก์กิ้งที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ธนาคารยังเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ความร่วมมือกับพันธมิตร และการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกมิติ สอดคล้องกับทิศทางของยุคเศรษฐกิจใหม่ และสร้างนวัตกรรมทางการเงินในโลกบล็อกเชน เชื่อมโยงกลยุทธ์ทั้งด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และ  ESG เพื่อขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน

ขณะที่ นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ "Digital Banks vs. Legacy Banks: Will 2025 Be the Tipping Point?" การแข่งขันระหว่างธนาคารดิจิทัล และธนาคารดั้งเดิม ผ่านมุมมองของผู้นำองค์กรการเงินระดับโลก โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ ธนาคารดั้งเดิมสามารถรักษาความสำคัญและแข่งขันกับธนาคารดิจิทัลได้โดยการปรับตัวเป็น Hybrid Bank ผสมผสานระหว่างความแข็งแกร่งดั้งเดิม เช่น ความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์กับลูกค้า กับการพัฒนา ประสบการณ์ดิจิทัลที่ทันสมัย และการจับมือเป็นพันธมิตร เพื่อเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ส่วนกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ การลงทุนในนวัตกรรม ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงการใช้จุดแข็งด้าน Human Touchpoints เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย ขับเคลื่อนให้ลูกค้าใช้ชีวิตและทำธุรกิจได้ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยบริการที่ครบวงจร สอดรับกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล พร้อมต่อยอดจากธุรกิจธนาคารสู่ระบบนิเวศทางการเงินยุคใหม่ เช่น การจัดตั้งกลุ่มธุรกิจทางการเงินเพื่อรองรับ Digital Asset Ecosystem และ การให้บริการที่ครบวงจร เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในโลกการเงินยุคใหม่

ทั้งนี้ ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ยังได้แถลงข่าวเปิดตัว กลุ่มออร์บิกซ์ อย่างเป็นทางการ พร้อมแสดงวิสัยทัศน์การให้บริการที่ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญในการวางรากฐานให้กับอนาคตของวงการการเงินไทย ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัยน่าเชื่อถือสอดคล้องตามเกณฑ์จากหน่วยงานกำกับดูแลภายในประเทศ และเข้าถึงได้จริง สำหรับทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน ออร์บิกซ์กรุ๊ป ตั้งเป้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาค

ดร.กรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การให้บริการที่ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลนี้จะเป็นพลังขับเคลื่อนในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม และสร้างความเชื่อมั่นอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุน โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อปูทางสู่ระบบการเงินดิจิทัลที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาวของประเทศ

สำหรับ บริษัท ออร์บิกซ์ โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้เปิดตัว กลุ่มออร์บิกซ์ (Orbix Group) ผู้ให้บริการที่ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มุ่งเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้รอยต่อ (Seamless) บริการครอบคลุมในระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยีระบบรักษาข้อมูลและความปลอดภัย

 

ปัจจุบัน มีบริการที่ครอบคลุมระบบนิเวศด้านสินทรัพย์ดิจิทัล 5 บริษัท ภายใต้ออร์บิกซ์กรุ๊ป ประกอบด้วย:

  • Kubix (คิวบิกซ์)ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) รายแรกของกลุ่มธุรกิจทางการเงินไทย ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
  • Orbix Trade (ออร์บิกซ์ เทรด) ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่หลากหลาย
  • Orbix Invest (ออร์บิกซ์ อินเวสท์) ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Fund Manager) ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจจากกระทรวงการคลัง ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
  • Orbix Technology (ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี) ผู้พัฒนาและให้บริการ Quarix ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อคเชนระดับภูมิภาค ที่มุ่งขับเคลื่อนให้เกิด Use Cases ในโลกความจริง
  • Orbix Custodian (ออร์บิกซ์ คัสโทเดียน) ผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัลรายแรกของไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต.

มุ่งสู่อนาคตของฟินเทคและสินทรัพย์ดิจิทัล

การเข้าร่วมงาน Money20/20 Asia ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของธนาคารกสิกรไทย และ ออร์บิกซ์กรุ๊ปภายใต้กลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทย ในการเป็นผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมทางการเงิน พร้อมพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับอนาคตทางการเงินที่มีมาตรฐานภายใต้หน่วยงานกำกับดูแล และสามารถเข้าถึงได้

บริษัท ซาวด์ รีพับลิค จำกัด ผู้นำเข้าเครื่องเสียงไฮไฟระดับโลก ภายใต้บริษัท Home Hi-Fi เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด “Vibelink Amp” (ไวบ์ลิงค์ แอมป์) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้ “WiiM” (วิม) แบรนด์ที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยี WIFI, สตรีมมิ่งและได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานทั่วโลก เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคดิจิทัลที่ชื่นชอบคุณภาพเสียงระดับพรีเมียม ด้วยเทคโนโลยีไวไฟที่เหนือชั้น พร้อมการเชื่อมต่ออัจฉริยะในราคาที่จับต้องได้

นายกฤศนุ งามประเสริฐพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซาวด์ รีพับลิค จำกัด กล่าวว่า “WiiM: Game Changer แห่งวงการเครื่องเสียง บริษัทในเครือ Linkplay ผู้บุกเบิกโซลูชั่นด้านเครือข่ายเสียงระดับโลก สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเครื่องเสียง ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีเสียงคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์ฟังเพลงที่คมชัด สมจริง และเชื่อมต่อได้หลากหลาย ด้วยจุดเด่นด้าน Wi-Fi Connectivity ที่เสถียรและใช้งานง่าย ผ่านแอป WiiM Home ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบ Multi-room Audio ทำให้ทุกพื้นที่ในบ้านเต็มไปด้วยเสียงคุณภาพสูงที่ปรับแต่งอัตโนมัติด้วย AI Room Correction”

“เรามองเห็นศักยภาพของตลาดเครื่องเสียงในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่มองหาเทคโนโลยีเสียงที่ล้ำสมัยในราคาสมเหตุสมผล กลุ่มเป้าหมายหลักของ WiiM คือ คนรุ่นใหม่ วัยทำงาน และผู้ประกอบการ ที่ต้องการระบบเสียงที่มีคุณภาพสูง ใช้งานง่าย และรองรับระบบสมาร์ทโฮมในราคาคุ้มค่า การเปิดตัว Vibelink Amp จาก แบรนด์ WiiM ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดแบบผสมผสาน (Hybrid Marketing) ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ร่วมกับลูกค้า และการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขาย และดิจิทัลคอนเทนต์ ที่ตรงใจ Vibelink Amp จากแบรนด์ WiiM Game Changer แห่งวงการเครื่องเสียง เป็นคำตอบที่ลงตัว และเรามั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ และสร้างประสบการณ์เสียงที่เหนือระดับให้กับผู้ใช้งานชาวไทยได้อย่างแน่นอน”

Vibelink Amp มาพร้อมกำลังขับ 100W ต่อข้าง (ที่ 8Ω) Class D และเทคโนโลยี PFFB (Post-Filter Feedback) ที่ให้เสียงคมชัดทรงพลัง พร้อมความเพี้ยนต่ำเพียง (<0.0005%) มอบประสบการณ์เสียงที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง หัวใจสำคัญของคุณภาพเสียงระดับพรีเมียมคือ DAC ESS 9039Q2M ที่ให้รายละเอียดเสียงยอดเยี่ยม รองรับไฟล์เพลง Hi-Res สูงสุดถึง 192kHz/24-bit ให้คุณได้สัมผัสทุกอณูของดนตรีอย่างเต็มอิ่ม นอกจากนี้ Vibelink Amp ยังโดดเด่นด้วยช่องต่อ Pure Analog Input ที่ช่วยรักษาคุณภาพเสียงอนาล็อกดั้งเดิมโดยไม่มีการแปลงสัญญาณดิจิตอล ทำให้ได้เสียงที่เป็นธรรมชาติและสมจริง

สำหรับผู้ที่มองหาชุดเครื่องเสียงที่ลงตัว Vibelink Amp ยังสามารถทำงานร่วมกับ WiiM รุ่น ULTRA ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มอบโซลูชั่นเสียงคุณภาพสูงที่ใช้งานง่ายและพร้อมยกระดับประสบการณ์การฟังเพลงของคุณไปอีกขั้น ซึ่งนอกจากคุณภาพเสียงระดับไฮไฟแล้ว Vibelink Amp ยังมาพร้อมดีไซน์เรียบหรู ขนาดกะทัดรัด ติดตั้งง่าย เหมาะสำหรับทั้งบ้านพักอาศัย และธุรกิจเชิงพาณิชย์ ในราคา 13,900 บาท

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 02-448-5489, 02-448-5465-6 หรือโชว์รูมบริษัท Sound Republic จำกัด ถนนบรมราชชนนี ทุกวันวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 - 17.30 น. และวันเสาร์ เวลา 10.00 – 15.00 น. Google Map: https://goo.gl/maps/fPjbfhH7kPJ2

SCGP จับมือ ธนาคารกรุงไทย เตรียมเสนอขาย “หุ้นกู้ดิจิทัล SCGP” อายุ 3 ปี 11 เดือน 19 วัน บนแอปฯ เป๋าตัง วงเงิน 2,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ รับดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ให้สิทธิผู้ถือหุ้นกู้ดิจิทัล SCGP จองซื้อก่อน เปิดโอกาสลงทุนกับผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน เริ่มต้นเพียง 10,000 บาท “จองก่อน ได้ก่อน” เปิดจองซื้อต้นเดือนมิถุนายน 2568

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือSCGP เปิดเผยว่า SCGP ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย เตรียมออกและเสนอขาย “หุ้นกู้ดิจิทัล SCGP” ผ่านบริการซื้อขายหุ้นกู้บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” วงเงินรวมไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่บริษัทจะออกและเสนอขายหุ้นกู้ดิจิทัล ซึ่งมีความพิเศษเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนด้วยการให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นกู้ดิจิทัล SCGP256A จองซื้อหุ้นกู้ดิจิทัลครั้งใหม่ได้ก่อน โดยหุ้นกู้ดิจิทัลแบ่งการเสนอขายเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 สำหรับผู้ถือหุ้นกู้ดิจิทัล SCGP256A จองซื้อขั้นต่ำ 1,000,000 บาท ช่วงที่ 2 สำหรับผู้ถือหุ้นกู้ดิจิทัล SCGP256A จองซื้อขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท และ ช่วงที่ 3  สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 10,000 บาท การจัดสรรแบบ “จองก่อน ได้ก่อน” จนกว่าหุ้นกู้จะเต็มจำนวนในแต่ละช่วงการจองซื้อ โดยคาดว่าทั้ง 3 ช่วงจะเปิดจองซื้อต้นเดือนมิถุนายนนี้ 

หุ้นกู้ดิจิทัล SCGP เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เป็นหุ้นกู้ที่คนไทยทุกคนเข้าถึงได้ สามารถซื้อขายแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอ ในระยะเวลาลงทุนเพียง 3 ปี 11 เดือน 19 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ รับดอกเบี้ยทุก 6 เดือน สำหรับอัตราดอกเบี้ยและวันจองซื้อที่แน่นอนจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง โดยหุ้นกู้ดิจิทัล SCGP ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A(tha)” โดย บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 สะท้อนถึงธุรกิจที่แข็งแกร่งในฐานะผู้ให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน และสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ

นายวิชาญ กล่าวต่อว่า SCGP ได้เดินหน้ากลยุทธ์หลักเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ด้วยการเพิ่มความสามารถทำกำไร โดยมุ่งสร้างการเติบโตในบรรจุภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียนที่ความต้องการบรรจุภัณฑ์มีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในห่วงโซ่อุปทาน โดยนำเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Data Analytic การพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันและสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า รวมถึงการขับเคลื่อน ESG ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพในการดำเนินกลยุทธ์ของบริษัทให้เติบโตและแข็งแกร่ง รวมถึงช่วยให้การบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อบรรลุเป้าหมายธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

 

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ SCGP ในครั้งนี้ นับเป็นการต่อยอดความสำเร็จด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนบนช่องทางดิจิทัลของธนาคาร เพื่อยกระดับตลาดทุนไทย ส่งเสริมให้คนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ทั่วถึง สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ  โดยหุ้นกู้ดิจิทัลบนแอปฯ เป๋าตัง อำนวยความสะดวกให้ผู้ลงทุนซื้อขายได้แบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง ได้รับหุ้นกู้ทันทีที่ซื้อและได้รับเงินทันทีที่ขาย แสดงข้อมูลการถือครองหุ้นกู้ ราคาซื้อขาย ครบจบในที่เดียว ตอบโจทย์การออมและการลงทุน  เพื่อต่อยอดความมั่นคงทางการเงินให้อย่างยั่งยืน

“ธนาคารเชื่อมั่นว่า หุ้นกู้ดิจิทัล SCGP จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน เพราะเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพมีโอกาสเติบโต และให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ โดย SCGP เป็นหนึ่งในผู้นำด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาค ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่หลากหลาย ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน  ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการดำเนินงานของธนาคาร  “นวัตกรรมสร้างคุณค่า ตอบโจทย์ลูกค้า สู่ความยั่งยืน”  

สำหรับผู้ที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ดิจิทัล SCGP สามารถลงทะเบียนวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้บนแอปฯ “เป๋าตัง” ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คาดเปิดจองซื้อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2568 โดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นกู้ดิจิทัล  SCGP256A จองซื้อก่อน กลุ่มแรกจองซื้อขั้นต่ำ 1,000,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท กลุ่มที่ 2 สำหรับผู้ถือหุ้นกู้ดิจิทัล SCGP256A จองซื้อขั้นต่ำ 10,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 10,000 บาท ในวงเงินไม่เกิน 800 ล้านบาทและรวมกับหุ้นกู้ส่วนที่เหลือจากช่วงที่ 1 และกลุ่มที่ 3 เปิดให้ผู้ลงทุนทั่วไป จองซื้อขั้นต่ำ 10,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 10,000 บาท ในวงเงินไม่เกิน 200 ล้านบาทและรวมกับหุ้นกู้ส่วนที่เหลือจากช่วงที่ 2 จองซื้อสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อรายในแต่ละช่วงจัดสรรในรูปแบบ “จองก่อน ได้ก่อน” จนกว่าหุ้นกู้เต็มจำนวนในแต่ละช่วงจองซื้อ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111 หรือธนาคารกรุงไทยทุกสาขา

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ร่วมพิธีเปิดโครงการติดตั้งและบํารุงรักษาอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในระบบการผลิตไฟฟ้า หรือพลังงานทางเลือก (Solar Rooftop) โดยมีพลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานเปิดการใช้งานโครงการติดตั้ง และบำรุงรักษาอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ในระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือก พร้อมด้วย พลเรือโท ประทีป ตังติสานนท์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ พลเรือตรีสมชาย จันทโรธร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงาน ร่วมให้เกียรติเป็นสักขีพยานในพิธี ณ ห้องประชุมแพทย์ทางไกล อาคารผู้ป่วยใน ชั้น 13 โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ

 

พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวเปิดโครงการว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) โดยสนับสนุน และพร้อมส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น กองทัพเรือได้ตระหนักถึงความสำคัญของเป้าหมายนี้ และให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง โดยถือว่าเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐในการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านการบริหารจัดการด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเลือกใช้พลังงานสะอาด พลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือก เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ดำเนินงานอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นหน่วยงานที่มีการปฏิบัติและบริหารงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่ 1 ของกองทัพเรือ คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงาน โดยเน้นกลยุทธ์หลัก คือการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน

 

อย่างไรก็ตามโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ ถือเป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิชั้นสูงของกองทัพเรือ ซึ่งมีภารกิจหลักในการให้บริการตรวจรักษาด้านการแพทย์แก่กำลังพล ครอบครัวและประชาชนทั่วไป ตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน ด้วยบทบาทดังกล่าวโรงพยาบาลจึงมีความจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับภารกิจด้านการแพทย์ การดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในการดูแลผู้ป่วยวิกฤต การผ่าตัด ตลอดจนระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศของโรงพยาบาล

 

นอกเหนือจากความตระหนักในต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นแล้ว โรงพยาบาลยังให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านพลังงาน การลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมก้าวสู่การเป็น “โรงพยาบาลสีเขียว” (Green Hospital) อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมของกองทัพเรือภายใต้แนวคิด “Green Navy” และสนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาลในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593)

ด้านผู้ว่าการ MEA กล่าวเสริมว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐด้านพลังงานหมุนเวียน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา MEA ได้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสนับสนุนตามนโยบายลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐ มีการใช้พลังงานอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ มีเป้าหมายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี ตามมติคณะรัฐมนตรี กำหนดให้หน่วยงานราชการลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงร้อยละ 20 จึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ ในครั้งนี้ โดยบทบาทของ MEA ครอบคลุมการสำรวจ ออกแบบ ติดตั้ง และบำรุงรักษา มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงการมอนิเตอร์ปริมาณพลังงานจากแสงอาทิตย์ และระบบจำหน่ายของ MEA ผ่านระบบออนไลน์ แบบ Realtime ทั้งหมดนี้ นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญ โดย MEA พร้อมที่จะต่อยอด และขยายผลความร่วมมือในโอกาสต่อไป

 

โดยโครงการนี้ดำเนินการติดตั้งระบบ Solar Rooftop ของอาคารผู้ป่วยในโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ รวมกำลังการผลิตสูงสุด 1,780.64 กิโลวัตต์ คาดการณ์ผลประหยัดเฉลี่ย 4.7 ล้านบาทต่อปี ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศได้เฉลี่ย 1,035.61 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกต้นสักประมาณ 58,841 ต้น ปัจจุบัน MEA ดำเนินการติดตั้งระบบเสร็จเรียบร้อยเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา และมีความพร้อมในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือแล้ว การจัดพิธีเปิดโครงการในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ร่วมมือกันและมีเป้าหมายเดียวกันในการพัฒนาพลังงานสะอาด มุ่งเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป็นต้นแบบในการพัฒนาโครงการบริหารจัดการพลังงานสะอาดของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป

 

ทั้งนี้ ผู้สนใจจะติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยของ MEA สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายธุรกิจบริการและคุณภาพไฟฟ้า โทร. 0 2878 5385, 0 2878 5432, 0 2878 5433 และ 0 2878 5434 ระหว่างเวลา 07.30 - 15.30 น. ในวันเวลาทำการ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้แก่ Facebook: การไฟฟ้านครหลวง MEA, Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่เขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการ เลือกเมนู ติดต่อ MEA Call Center Online 1130 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่น เดลิเวอรี่ ร่วมกับ Mission To The Moon จัดงาน “7-ELEVEN YOUNG GENIVERSITY 2025” จัดหนักจัดเต็ม อีเวนต์ที่จะพาน้องๆ ไปเรียนรู้ ลงมือทำ และสร้างโอกาสแห่งความสำเร็จสู่สนามอาชีพในแบบของตัวเอง ภายในงานพบกับเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ ครีเอเตอร์ชั้นนำระดับประเทศ ที่จะมาร่วมถ่ายทอดมุมมอง แบ่งปันประสบการณ์ เปิดโลกความรู้แบบไม่มีกั๊ก!

 

พบกับ 7 Sessions สุดเข้มข้นจาก 11 Speakers ชั้นนำของเมืองไทย ที่จะมาร่วมแชร์เคล็ดลับและประสบการณ์ตรง พร้อมเทคนิคการทำงานที่ช่วยให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จในแบบของคุณเอง

อีเวนต์นี้เหมาะสำหรับใคร?

  • นักศึกษามหาวิทยาลัย
  • เด็กจบใหม่
  • คนทำงานรุ่นใหม่ที่ต้องการพัฒนาตัวเองและปรับ Mindset ในการทำงาน
  • ผู้ที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจและโอกาสใหม่ๆ ในการทำงาน

 

คุณจะได้อะไรจากงานนี้?

  • เคล็ดลับความสำเร็จจากผู้บริหารและครีเอเตอร์ชั้นนำระดับประเทศ
  • แนวทางค้นพบตัวตนและออกแบบเส้นทางอาชีพที่ใช่ ผ่านกิจกรรมและเวิร์กช็อปเชิงปฏิบัติ
  • เทคนิคการเป็นผู้นำรุ่นใหม่และการพัฒนาทักษะสำคัญสำหรับอนาคต
  • โอกาสสร้างเครือข่ายและเชื่อมต่อกับองค์กรชั้นนำเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพ

ในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 เวลา 09:00 - 18:00 น. อาคาร PANYAPIWAT CONVENTION HALL ชั้น 2-3, TARA PARK แจ้งวัฒนะ

 

ลงทะเบียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย (ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2568 หรือจนกว่าที่นั่งจะเต็ม)

>>> https://www.zipeventapp.com/e/7-ELEVEN-YOUNG-GENIVERSITY-2025 

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โรคร้ายโซชิลด์ แบบประกันโรคร้ายแรง ที่คุณสามารถใช้ชีวิตแบบชิลด์ได้ชัวร์ ไม่กลัวโรคร้าย และพร้อมเคียงข้างทุกคนที่มีความฝัน ซึ่งช่วยคุณวางแผนค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลในอนาคตแบบไร้กังวล ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวครอบคลุม 10 โรคร้ายแรง และเพิ่มเติมอีก 4 โรคร้ายในเด็ก โดยสามารถสมัครได้ตั้งแต่อายุ 1 – 65 ปี คุ้มครองยาวนานถึงอายุ 99 ปี ด้วยวงเงินรักษาเหมาจ่ายสูงสุด 10 ล้านบาท ต่อรอบปีกรมธรรม์ ด้วยค่าเบี้ยประกันที่เข้าถึงได้ เริ่มต้นแค่วันละ 16 บาท พร้อมรับสิทธิในการลดหย่อนภาษี

ผลิตภัณฑ์โรคร้ายโซชิลด์ (Roke Rai So Shield) มีจุดเด่นดังนี้

  • เลือกแผนความคุ้มครองได้ถึง 4 แผน คุ้มครองยาวนานถึงอายุ 99 ปี
  • ครอบคลุมการรักษาทั้ง 3 ขั้นตอน ตั้งแต่เตรียมความพร้อม เข้ารับการรักษา และระยะฟื้นฟู
  • ค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย ทั้งกรณีผู้ป่วยใน (IPD) และ ผู้ป่วยนอก (OPD) จากการรักษาโรคร้ายแรง
  • เบี้ยประกันภัยสุขภาพ สามารถนำมาใช้ดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท ตามเงื่อนไขที่ทางกรมสรรพากรกำหนด

ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต และบริการให้สามารถเข้าถึงผู้คนให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลครอบครัว ธุรกิจ และชุมชนได้อย่างมั่นใจ พร้อมเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

X

Right Click

No right click