

บัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรชี้ ญี่ปุ่นยังคงเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย โดยบัตรเครดิตยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกในการชำระเงินที่เป็นที่นิยม ด้วยความสะดวกสบายในการใช้จ่ายและสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ โดยในปี 2567 ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ที่ญี่ปุ่น เติบโต 12% ชี้หมวดห้างสรรพสินค้า, แฟชั่น, โรงแรม, เครื่องสำอาง และสินค้าปลอดภาษี ติดอันดับหมวดใช้จ่ายผ่านบัตรยอดนิยม เตรียมสานต่อแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” จับมือพันธมิตรแบรนด์และร้านค้าชั้นนำกว่า 600 รายทั้งในไทยและญี่ปุ่น จัดดีลช้อป เที่ยว สุดคุ้ม เพิ่มสิทธิพิเศษครบจบทุกประสบการณ์เรื่องญี่ปุ่น ทั้งห้าง, ร้านค้าชั้นนำในญี่ปุ่น, โรงแรม, เว็บไซต์จองเที่ยว, สายการบิน, สิทธิพิเศษที่สนามบิน หวังกระตุ้นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรรับฤดูท่องเที่ยว ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นในปี 2568 กว่า 2,530 ล้านบาท เติบโต 15% เทียบกับปีก่อน

นายสมหวัง โตรักตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ในฐานะตัวแทนบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ อันประกอบไปด้วย บัตรเครดิต กรุงศรี, บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์, บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเครดิตโลตัส กล่าวว่า “ญี่ปุ่นยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย โดยจากข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในต่างประเทศในปี 2567 พบว่า ญี่ปุ่น ยังครองอันดับหนึ่งในฐานะประเทศที่สมาชิกบัตรฯ เดินทางไปและมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุด โดยในปีที่ผ่านมา มีสมาชิกบัตรฯ เดินทางและใช้จ่ายที่ญี่ปุ่นกว่า 120,000 บัญชีบัตร เติบโต 18% และมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ญี่ปุ่นรวมกว่า 2,200 ล้านบาท เติบโต 12% เทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีทางเลือกในการใช้จ่ายที่หลากหลายขึ้น แต่บัตรเครดิตยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกในการใช้จ่ายในต่างประเทศที่ได้รับความนิยม เนื่องจากความสะดวกสบายและสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายทั้งส่วนลด คะแนนสะสมและสิทธิพิเศษ ตอบโจทย์นักเดินทางที่ต้องการความคุ้มค่า โดยเฉพาะในการใช้จ่ายที่มียอดสูง โดยจากข้อมูลชี้ให้เห็นว่าการรูดชำระค่าสินค้าผ่านบัตรเครดิตที่ญี่ปุ่นเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000 บาทต่อครั้ง ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ญี่ปุ่นเฉลี่ยต่อคน 29,000 บาทต่อปี ส่วนหมวดใช้จ่ายยอดนิยมเรียงตามยอดใช้จ่าย ได้แก่ 1. ห้างสรรพสินค้า, 2. สินค้าแฟชั่นและเครื่องแต่งกาย, 3. โรงแรมที่พัก, 4. เครื่องสำอางสินค้าเบ็ดเตล็ด และ 5. สินค้าปลอดภาษี”

“จากศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายดังกล่าว ในปีนี้ บัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ จึงมุ่งสานต่อแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” เพื่อรุกตลาดคนรักการท่องเที่ยวญี่ปุ่น รับเทศกาลท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว โดยจะต่อยอดความร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำกว่า 600 ร้านค้าทั้งในไทยและญี่ปุ่น เพื่อขยายสิทธิประโยชน์ให้หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเพิ่มยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เช่น มอบเครดิตเงินคืน ส่วนลดและสิทธิประโยชน์สุดคุ้มที่ญี่ปุ่นเมื่อใช้จ่ายที่ห้างสรรพสินค้าและร้านค้า สายการบิน และผู้ให้บริการท่องเที่ยวชั้นนำ อาทิ Hankyu, Takeya, Mitsui Outlet, Japan Airlines, Agoda, Klook, Trip.com, Dragonpass เป็นต้น ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกบัตร เช่น ฟีเจอร์ ‘U Japan’ ในแอปพลิเคชัน UCHOOSE ที่รวบรวมดีลสุดคุ้มเกี่ยวกับการเที่ยวญี่ปุ่น รวมทั้งฟังก์ชันอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น การซื้อประกันการเดินทางผ่านแอป และการทำรายการเปลี่ยนยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นในสกุลเงินเยนเป็นแบ่งชำระดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในการใช้จ่าย และส่งเสริมภาพลักษณ์ของบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในฐานะบัตรเครดิตหลักที่ลูกค้านิยมใช้จ่ายที่ญี่ปุ่น โดยบริษัทตั้งเป้าในปี 2568 จะมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่น 2,530 ล้านบาท เติบโต 15% เทียบกับปีก่อน” นายสมหวัง กล่าวสรุป

แคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” มอบสิทธิพิเศษหลากหลายที่ญี่ปุ่น สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไขที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่ 1 เมษายน 2568 – 30 มิถุนายน 2568 อาทิ มอบเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 5,000 บาท เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไขเป็นสกุลเงินเยนที่ญี่ปุ่น หรือเลือกรับสิทธิ์เปลี่ยนยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นในสกุลเงินเยนเป็นแบ่งชำระดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน; รับสิทธิ์ใช้บริการห้องพักรับรองสนามบิน Dragon Pass หรือรับเซ็ตอาหารจากร้านอาหารในสนามบินที่ร่วมรายการทั่วญี่ปุ่นเมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไข (เฉพาะสมาชิกบัตรเครดิต กรุงศรี วีซ่า);ส่วนลดสูงสุด 20% หรือสิทธิพิเศษเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรที่ห้างและร้านค้าชั้นนำที่ญี่ปุ่นที่ร่วมรายการ เช่น Hankyu, Takeya, Mitsui Outlet Group, Bic Camera, Matsumoto Kiyoshi เป็นต้น; ส่วนลดหรือสิทธิพิเศษเมื่อจองบัตรโดยสารสายการบินที่ร่วมรายการ; สิทธิพิเศษเมื่อเลือกจองโรงแรม และบัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นกับแพลตฟอร์มบริการท่องเที่ยวที่ร่วมรายการ เช่น Klook, Trip.com, Agoda เป็นต้น; รับเครดิตเงินคืนหรือสิทธิประโยชน์เมื่อซื้อประกันการเดินทางผ่าน U Japan ในแอป UCHOOSE; ทั้งนี้ ระยะเวลาและเงื่อนไขของแต่ละโปรโมชันขึ้นอยู่กับร้านค้าและประเภทของบัตรที่ร่วมรายการ กรุณาตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.krungsricard.com ทั้งนี้ ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
ยูโอบี ประเทศไทย มุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงอนาคตทางการเงินของเยาวชนไทยยกระดับโครงการ “UOB Money 101: Teen Edition วัยรุ่นเก่งการเงิน” หลักสูตรการเงินออนไลน์ที่เสริมสร้างทักษะและความรู้ทางการเงินที่จำเป็นให้กับนักเรียนที่ขาดโอกาส โดยปีนี้ มุ่งขยายสู่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาอีก 2,200 คนทั่วประเทศ พร้อมต่อยอดสู่โครงการประกวด “Money Coach Junior Contest’ เปิดโอกาสให้นักเรียนในโครงการ UOB Money 101: Teen Edition เขียนแผนให้ความรู้ด้านการเงิน โดยนำเนื้อหาจากหลักสูตรที่ได้เรียน มาพัฒนาและส่งต่อความรู้ให้กับชุมชนและคนรอบตัวอย่างสร้างสรรค์

ความก้าวหน้าโครงการ:
หลักสูตรนี้เป็นการทำงานร่วมกับโครงการร้อยพลังการศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ UOB My Digital Space มุ่งขับเคลื่อนการศึกษาที่มีคุณภาพ และสร้างโอกาสในการเรียนรู้จากสื่อดิจิทัลแก่เด็กไทยที่ขาดโอกาส
นางสาวธรรัตน โอฬารหาญกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ธนาคาร ยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เรามองว่าความรู้ทางการเงินเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เยาวชนสามารถกำหนดเส้นทางอนาคตของตนเองได้อย่างมั่นใจ ผ่านโครงการ UOB Money 101: Teen Edition เวอร์ชันปรับปรุงใหม่ เราต้องการมอบความรู้และทักษะให้กับนักเรียน เพื่อให้สามารถตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมีข้อมูลและรอบคอบ การส่งเสริมให้เยาวชนเหล่านี้ถ่ายทอดความรู้ต่อไปยังผู้อื่น ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการจุดประกายให้เกิดชุมชนที่มีความรู้ทางการเงิน พร้อมเติบโตและก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน”

นางสาวกนกวรรณ โชว์ศรี ผู้อำนวยการโครงการร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์ กล่าวว่า “จากการทำงานร่วมกัน เราได้ต่อยอดหลักสูตรการเงินออนไลน์สู่โครงการ ‘Money Coach Junior Contest’ เพื่อส่งเสริมความรู้ทางการเงินสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะมีสถานะทางการเงินหรืออายุเท่าใด นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ Money Coach Junior Contest ได้ออกแบบโครงการของพวกเขาเพื่อแก้ไขปัญหาความรู้ทางการเงินที่แท้จริงในชุมชนท้องถิ่นของพวกเขา ซึ่งเป็นโอกาสให้พวกเขาได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริง นอกจากนี้ นักเรียนที่เข้าใจความรู้ทางการเงินอย่างแท้จริง จะช่วยให้พวกเขาสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้อย่างอิสระ หลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวง และเพิ่มโอกาสในการขยายความรู้ในอนาคต"

โค้ชหนุ่ม - จักรพงษ์ เมษพันธุ์ ผู้ร่วมออกแบบหลักสูตร UOB Money 101: Teen Edition วัยรุ่นเก่งการเงิน กล่าวว่า “วันนี้ผมดีใจมากที่โครงการได้ทำงานสร้างเด็กไทยให้ความรู้เรื่องการเงิน อีกทั้งยังต่อยอดให้นักเรียนที่ได้เรียนหลักสูตร UOB Money 101: Teen Edition เป็น Money Coach Junior ซึ่งนับว่าเดินทางมาไกลมาก และเป็นการขยายความรู้เรื่องการเงินให้เบ่งบานทั่วประเทศไทย”
ครูรูลฮายยะห์ บากา โรงเรียนนราสิกขาลัย “ปีนี้เป็นปีที่ 3 นักเรียนก็รู้จักมากขึ้น รู้จักวิธีการใช้เงิน มีเอาคำพวกนี้ไปหยอกล้อกันในแต่ละวัน คืออย่างน้อยถึงเค้าพูดเล่น มันก็มีเรื่องการเงิน อยู่ในชีวิตตัวเค้าเอง อีกอันหนึ่งที่เห็นชัด คือ นักเรียน ม.5 มีนักเรียนที่เป็นแกนนำโครงงานคุณธรรม ซึ่งเค้านำเรื่องนี้ไปต่อยอดทำโครงงานคุณธรรม ซึ่งมีนักเรียน ม.4 รวมอยู่ด้วย 3-4 คน เค้าไปทำที่บ้านให้ผู้ปกครองจดรายรับรายจ่าย นอกจากนี้ นักเรียนแกนนำโครงงานคุณธรรมมีการนำความรู้ 6 Jars ไปนำเสนอโครงงานให้ครูฟังด้วย เพื่อให้ครูประเมิน ก็มีครูถามว่า เอาความรู้นี้มาจากไหน มาทำโครงงานได้ยังไง นักเรียนก็อธิบายว่า 6 Jars คืออะไร ให้คุณครูดูทีละอย่าง ครูบางคนไม่รู้จัก 6 jars ด้วยซ้ำ”

นางสาวแพรวา เทศงามถ้วน ชั้น ปวช. 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาศาสนบริหารธุรกิจ “ความรู้สึกที่ได้เรียน ครั้งแรกก็รู้สึกว่าเหมือนจะยาก ดูยุ่งยาก ดูวุ่นวาย ดูแบ่งเงินไม่ถูก ต้องเรียนเลขเยอะ แต่พอทำความเข้าใจแล้ว มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด และรู้สึกสนุกที่ได้เรียน คือเราได้รู้การออม การเก็บ การออมระยะสั้น การออมระยะยาว ประโยชน์สำหรับตัวเองคือ หนูมีการแบ่งเงิน ค่ากิน ค่าเน็ต ค่าน้ำ เหลือเงิน หนูก็จะเก็บทุกเดือน เดือนละเท่านี้ๆ แยกเก็บไว้ก่อนเลย และถ้ามีเหลือจากการกิน หนูก็ออม เพราะทำกับข้าวไปกินเอง ตรงนั้นก็ไม่ได้ใช้”

โครงการ UOB Money 101: Teen Edition วัยรุ่นเก่งการเงิน ได้รับการออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษามีความรู้เรื่องการเงิน มีความรู้พอที่จะตัดสินใจทางการเงิน และสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมั่นคง ผ่านกิจกรรมและการสื่อสารออนไลน์ใน 6 บทเรียน เพื่อปลูกฝังความคิดในการวางแผนทางการเงิน โดยเริ่มวางแผนอย่างชัดเจนจนบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ครอบคลุมแนวคิดเรื่องจิตวิทยาการเงิน การหารายได้ การเก็บออม การลงทุน การบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ไปจนถึงการตั้งเป้าหมายทางการเงิน
โดยโครงการสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคารยูโอบีในการสนับสนุนนักเรียนที่ขาดโอกาส 20,000 คนทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สามารถเข้าถึงเครื่องมือและทักษะการเรียนรู้ดิจิทัลภายในปีนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองครบรอบ 90 ปีของธนาคารยูโอบี ที่มุ่งสนับสนุนเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ สำหรับโครงการด้านการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กที่ขาดโอกาสกว่า 120,000 คนทั่วภูมิภาค
โครงการ UOB Money 101: Teen Edition วัยรุ่นเก่งการเงิน ประจำปี 2568 เปิดให้ลงทะเบียนแล้ว สำหรับคุณครูและโรงเรียนที่สนใจพัฒนาความรู้ สร้างทักษะและภูมิคุ้มกันด้านการเงินให้กับนักเรียน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/ThailandCollaborationForEducation.
ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และ INNOPOWER เดินหน้าส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เปิดตัว GreenPass แพลตฟอร์มขึ้นทะเบียนและขายใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) สำหรับธุรกิจ SME และลูกค้ารายย่อย เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจ SME และลูกค้ารายย่อยที่ใช้พลังงานสะอาดจากโซลาร์รูฟท็อป สามารถสร้างรายได้เพิ่มจากการขาย REC ได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งการเปิดตัว GreenPass เป็นการสนับสนุนให้ธุรกิจ SME และลูกค้ารายย่อยได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปนอกเหนือจากการลดค่าไฟ และขายไฟคืน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนความยั่งยืนทางพลังงานในระดับประเทศอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ Net Zero ได้ชัดเจนมากขึ้น
นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดพลังงานสะอาดในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งคาดว่ามูลค่าตลาดจะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 26% ในช่วงปี 2567-2576 และภายในปี 2571 จะมีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปอีกกว่า 200,000 ราย แต่ในปัจจุบันมีลูกค้ารายย่อยที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปกว่า 30,000 ราย ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนรับสิทธิ์ REC เพราะการขึ้นทะเบียน REC สำหรับรายย่อยยังมีกระบวนการที่ดูซับซ้อนและยากต่อการทำความเข้าใจสำหรับลูกค้ารายย่อย ธนาคารกสิกรไทยมีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Net Zero จึงได้พัฒนา GreenPass ขึ้นมา ร่วมกับพันธมิตรอย่าง EGAT และ INNOPOWER
แพลตฟอร์ม GreenPass จะช่วยให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยสามารถขึ้นทะเบียนและซื้อขาย REC ได้ง่ายและสะดวก โดยการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปขนาด 5 กิโลวัตต์ สามารถสร้างรายได้จาก REC เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 1,000-1,500 บาทต่อสัญญาการขึ้นทะเบียน นับเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยลดระยะเวลาคืนทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า EGAT ในฐานะที่เป็นหน่วยงานผู้รับรอง REC ของประเทศไทย ตามมาตรฐาน I-TRACK หรือ I-REC(E) ของ The International Tracking Standard Foundation (Founder of I-REC) เห็นว่า REC สามารถนำมาสร้างเป็นรายได้หรือสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมนอกจากการลดต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าจากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้ และเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดการผลิตและการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาเราจะเห็นว่ามีโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่มาขึ้นทะเบียนเป็นจำนวนมาก แต่ในปัจจุบันเริ่มมีโครงการขนาดเล็กซึ่งรวมถึงโครงการโซลาร์รูฟท็อปให้ความสนใจที่จะขึ้นทะเบียน REC กันมากขึ้น EGAT จึงเล็งเห็นโอกาสในการสนับสนุนให้รายย่อยมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์จาก REC นี้ด้วยเช่นกัน จึงเกิดความร่วมมือในครั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้ผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปรายย่อยสามารถเข้าถึงการขึ้นทะเบียน REC ได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ EGAT ยังได้พัฒนา REC Issuer Platform ขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการรับรอง REC เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ได้อย่างทันการณ์ เพื่อช่วยให้ภาคเอกชนมีทางเลือกในการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ถือเป็นการสนับสนุนการพัฒนาตลาด REC ในประเทศไทยและส่งเสริมให้เกิดการผลิตและการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ กฟผ. ในการให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อมุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ

นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด กล่าวว่า GreenPass เป็นช่องทางที่อำนวยความสะดวกให้รายย่อยสมัครเข้าร่วมโครงการได้อย่างง่ายดายและเข้าถึงได้มากขึ้น โดย INNOPOWER ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการซื้อขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) ในประเทศไทย และยังเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม REC Aggregator ซึ่งช่วยรวบรวมกำลังการผลิตไฟฟ้าระดับรายบุคคลและองค์กรรายย่อยที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในภาคครัวเรือน เพื่อให้สามารถเข้าถึงตลาดซื้อขาย REC ได้อย่างเป็นระบบ
ที่ผ่านมา ความท้าทายเรื่องค่าใช้จ่ายและเอกสารที่เกี่ยวข้องทำให้ของผู้ผลิตไฟฟ้าระดับรายบุคคลและองค์กรรายย่อยไม่สามารถเข้าถึงได้โดยตรง การร่วมมือครั้งนี้ระหว่างธนาคารกสิกรไทย EGAT และ INNOPOWER ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเปิดตลาด REC ให้ผู้ผลิตรายย่อยเข้ามามีส่วนร่วมได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังผลิตต่ำกว่า 500 กิโลวัตต์ ซึ่งมีจำนวนมากและเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงจากความนิยมติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี
ทั้งนี้ การขึ้นทะเบียน REC ผ่านแพลตฟอร์ม REC Aggregator จะช่วยให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยสามารถยื่นขอใบรับรองได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลแบบอัตโนมัติที่ยกระดับประสิทธิภาพการตรวจสอบและรับรองเอกสารตามมาตรฐานสากล พร้อมต่อยอดสู่การเป็นแพลตฟอร์มทวนสอบ (Verification Label) ตามมาตรฐาน I-TRACK รายแรกของประเทศไทย
นายพิพิธ เอนกนิธิ กล่าวทิ้งท้ายว่า ธนาคารกสิกรไทยมุ่งมั่นสู่การเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน พร้อมผลักดันและสนับสนุนลูกค้าและคู่ค้าให้ปรับตัวสู่ความยั่งยืนไปด้วยกัน ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินสีเขียว เช่น Green Loan, Green Bond การให้ความรู้ในการปรับตัวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น งานฟอรัมแห่งปี EARTH JUMP, คอร์ส NET ZERO CEO, งานสัมมนา Decarbonize Now รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยในการปรับตัว โดยล่าสุด คือ การเปิดตัวแพลตฟอร์ม GreenPass ในครั้งนี้
สำหรับผู้ที่สนใจขึ้นทะเบียนขาย REC ในช่วงแรกของการเปิดตัว จะต้องเป็นผู้ที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปโดยใช้ Invertor ของ HUAWEI ทั้งนี้ ลูกค้าธุรกิจ SME และลูกค้ารายย่อย สามารถขึ้นทะเบียนและขาย REC โดยลงทะเบียนได้ที่ LINE: @GreenPass เพื่อเริ่มต้นสร้างรายได้จากพลังงานสะอาดได้ทันที โดยไม่มีค่าใช้จ่าย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.kasikornbank.com/greenpass หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ K Contact Center 02-8888888
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าผู้ถือบัตร Krungsri Boarding Card จองเที่ยวบินทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ https://th.trip.com/w/ksboardingcard และชำระเงินด้วยบัตร Krungsri Boarding Card รับส่วนลด 20% สูงสุด 3,000 บาท ต่อการจอง ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 – 31 ธันวาคม 2568
ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/cards/travel/boarding-card-discount-trip
*ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ ของธนาคาร
| สหรัฐ |
ความเสี่ยงภาวะถดถอยในสหรัฐฯ สูงขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าที่รุนแรงกว่าคาด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าแบบครอบคลุมโดยจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% สำหรับสินค้าทุกประเภทตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไป นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน จะมีการเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูงขึ้นสำหรับเกือบ 60 ประเทศ ซึ่งมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ด้านประธานเฟดเผยว่านโยบายภาษีดังกล่าวอาจทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นและชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า พร้อมยืนยันว่าจะยังไม่เร่งรีบในการปรับลดดอกเบี้ยจนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบในท้ายที่สุด สำหรับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดที่ 228,000 ตำแหน่ง ในเดือนมีนาคม แต่อัตราการว่างงานขยับขึ้นสู่ 4.2%
สงครามการค้าที่ถูกยกระดับความรุนแรงขึ้นจากนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) เพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งตอกย้ำภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผลการศึกษาของวิจัยกรุงศรีพบว่าหากสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีนำเข้าตามที่ประกาศไว้ การเติบโตทางเศรษฐกิจและการส่งออกของสหรัฐฯ ในระยะกลาง-ยาว อาจลดลง -0.66% และ -30.3% ตามลำดับ ซึ่งมากกว่าผลต่อ GDP และการส่งออกโลกที่คาดว่าจะลดลง -0.16% และ -4.5% ตามลำดับ

| ญี่ปุ่น |
โมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นอ่อนแรงลงจากเงินเฟ้อที่สูง ภายใต้ความเสี่ยงของสงครามการค้าที่เร่งตัวขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ ยอดค้าปลีกชะลอตัวจาก 4.4% ในเดือนมกราคม สู่ระดับ 1.4% YoY ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ (Tankan) ปรับตัวลงสู่ระดับ 12 ในไตรมาส 1 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มบริษัทนอกภาคการผลิตซึ่งรวมถึงภาคบริการ ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสองไตรมาสสู่ระดับ 35
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นเผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องและกระทบกับกำลังซื้อภายในประเทศ ด้านภาคการผลิตและส่งออกมีแนวโน้มซบเซาภายใต้ความเสี่ยงสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นหลังสหรัฐฯประกาศขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ต่อคู่ค้าหลายประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นที่ถูกเรียกเก็บสูงถึง 24% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 9 เมษายน ซึ่งจากผลการศึกษาของเราพบว่าหากสหรัฐฯ จัดเก็บนำเข้าในอัตราดังกล่าว การส่งออกของญี่ปุ่นอาจลดลง -3.7% ในระยะกลาง-ยาว

| จีน |
เศรษฐกิจจีนปรับตัวดีขึ้นบ้าง แต่เผชิญกับความเสี่ยงจากการขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ คาดการส่งออกจะอ่อนแรงลง ทางการจีน (NBS) รายงาน PMI ภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตสูงขึ้นในเดือนมีนาคม (ดังรูป) ด้านสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีนทุกรายการเพิ่มถึง 34% (มีผลบังคับใช้วันที่ 9 เมษายน) ทำให้อัตราภาษีปีนี้เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 54% ขณะที่จีนประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 34% โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 10 เมษายน
วิจัยกรุงศรีประเมินว่าการขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐฯ กับหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงจีน จะทำให้ GDP และการส่งออกของจีนในระยะกลางถึงยาวลดลง -0.04% และ -2.7% ตามลำดับ โดยจีนจะเผชิญกับผลกระทบทั้งทางตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และทางอ้อมผ่านประเทศที่เป็นฐานการผลิตให้กับจีน โดยเฉพาะอาเซียนซึ่งสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ในอัตราตั้งแต่ 10-49% ขณะเดียวกันสงครามการค้าอาจยิ่งไปซ้ำเติมภาวะอุปทานส่วนเกินของจีน รวมถึงลดทอนประสิทธิผลของมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่จีนประกาศกรอบในภาพใหญ่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในระยะอันใกล้ คาดว่า จีนจะเร่งประกาศรายละเอียดมาตรการผ่อนคลายทางการคลังและการเงินเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น

สินค้าส่งออกของไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงเกินคาดที่ 36% อาจส่งผลให้การส่งออกไทยปีนี้ไม่เติบโต ประเทศไทยนับเป็น 1 ในเกือบ 60 ประเทศที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) โดยสินค้าของไทยจะถูกเก็บในอัตราที่ 36% สูงสุดเป็นอันดับ 5 ในอาเซียน รองจากกัมพูชา (49%) ลาว (48%) เวียดนาม (46%) และเมียนมาร์ (44%) โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายนนี้
วิจัยกรุงศรีประเมินว่าในระยะสั้น มาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ อาจทำให้การส่งออกของไทยชะลอตัวลงอย่างมาก และเฉลี่ยทั้งปี 2568 อาจเติบโตใกล้ศูนย์หากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาลดภาษี สำหรับอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมดังกล่าวข้างต้นโดยเฉพาะอาหารทะเลแปรรูป และยางรถยนต์อาจส่งผลต่อเนื่องผ่านห่วงโซ่อุปทานการผลิต ซึ่งจะกระทบไปยังการผลิตสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ ส่งผลลบต่อการจ้างงาน รวมถึงกำลังซื้อโดยรวมของประเทศ

ความตึงเครียดทางการค้าโลกทวีแรงขึ้นและยังมีความไม่แน่นอนสูง กดดันเศรษฐกิจไทยอ่อนแอลง อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยสูงเกินคาดที่ 36% ขณะที่ทางการไทยเคยประเมินไว้ว่าอาจถูกเก็บภาษีที่ 11% (ช่วง 10-15%) โดยก่อนหน้านี้ส่วนต่างภาษีนำเข้าโดยเฉลี่ยของไทยกับสหรัฐฯอยู่ที่ราว 6% หากบวกกับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% อัตราภาษีนำเข้าที่เคยคาดการณ์จะอยู่ที่ราว 13% สำหรับผลกระทบในระยะปานกลางถึงระยะยาวอาจจะรุนแรงน้อยกว่าในระยะสั้น เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่สหรัฐฯ กำหนดกับไทยยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญ อาทิ จีน (54% คำนวณจากอัตราภาษีตอบโต้ 34% บวกกับอัตราภาษีที่สหรัฐฯจัดเก็บ 20% เมื่อต้นปี) และเวียดนาม (46%) ส่งผลให้การย้ายฐานการลงทุนและผลของการทดแทนการส่งออกสินค้าอาจส่งผลบวกในเชิงเปรียบเทียบต่อการส่งออกและการผลิตบางรายการของไทย การประเมินผลกระทบโดยอาศัยแบบจำลอง Global Trade Analysis Project (GTAP) วิจัยกรุงศรีพบว่าจากการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ นี้ จะทำให้การส่งออกและ GDP ของไทยในระยะกลางถึงยาวลดลง
-2.6% และ -0.11% ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนพบว่า GDP ของเวียดนามและกัมพูชาจะลดลงมากกว่าไทย เนื่องจากถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่าและมีการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯมากกว่า ขณะที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จะได้รับผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าไทย
ในระยะข้างหน้าความตึงเครียดทางการค้าโลกอาจมีพัฒนาการในหลายทิศทาง ได้แก่ (i) การเจรจาที่นำไปสู่ข้อตกลงทวิภาคีกับสหรัฐฯ (ii) มาตรการตอบโต้ที่ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางการค้าที่ยืดเยื้อ หรือ (iii) ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นซึ่งกดดันภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวม ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นในตลาดลดลง ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ประสิทธิภาพการผลิตของหลายประเทศลดลง และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย ซึ่งเศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัวแบบรูปตัว K (โดยภาคการผลิตหลายสาขายังคงฟื้นตัวได้ช้าหรือการเติบโตที่อ่อนแอกว่าภาคบริการอยู่มาก) ผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯอาจยิ่งซ้ำเติมภาคการผลิตสำคัญของไทย และกดดันแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นถึงปานกลางให้ยิ่งอ่อนแอลง
บริษัท สเปซ วอเตอร์ จำกัด สตาร์ทอัพผู้ให้บริการด้านการผลิตน้ำดื่มและน้ำแร่บรรจุขวดมาตรฐานระดับสากล นำโดย นายกฤตภาส ก้องอัครสิน กรรมการบริหารฯ จัดงาน TASTE YOUR BLESS by “Dhevamon เดวามน111” เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด “Dhevamon เดวามน111” น้ำดื่มและสเปรย์น้ำแร่เจ้าแรกในประเทศไทย ที่รวบรวมน้ำมนต์จาก 111 วัดดังจากทั่วประเทศ มาผ่านพิธีพุทธาภิเษกอันยิ่งใหญ่ เพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำดื่มและสเปรย์น้ำแร่บำรุงผิวหน้า พลิกโฉมสร้างปรากฎการณ์ใหม่ในวงการน้ำดื่มที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน โดยภายในงานพบกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงโชว์สุดตระการตาให้แก่ผู้อยู่โดยรอบบริเวณงาน ที่ สยามพารากอน เมื่อวันก่อน

สำหรับงานในครั้งนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ TASTE YOU BLESS BY DHEVAMON เดวามน111 “ เติมความสุขสดชื่น เพิ่มความสิริมงคลในชีวิตประจำวัน” เริ่มด้วยการก้าวเข้าสู่บรรยากาศ งานระดับพรีเมียมเต็มรูปแบบ เนรมิตกิจกรรมพิเศษให้แขกผู้มีเกียรติได้ดื่มด่ำอย่างเพลิดเพลิน พร้อมการปรากฏตัวของสองสาวสวย “ฟ้าใส- ปวีณสุดา ดรูอิ้น” Top 5 Miss Univese 2019 และนางเอกสาว “ฐิสา – วริฏฐิสา ลิ้มธรรมมหิศร” ด้วยโชว์สุดพิเศษเทวีแห่งสายน้ำ เปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำดื่ม และสเปรย์น้ำแร่แบรนด์ Dhevamon เดวามน111 อย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ยังมีเหล่าคนดังผู้คร่ำหวอดในวงการความเชื่อ อาทิ แมน - การิน นักออกแบบตัวเลขอันดับ 1 ของไทย, เอ-พศิน เรืองวุฒิ ดาราพิธีกรตามรอยนาคราช, บ๊วย- เชษฐวุฒิ วัชรคุณ ดาราพิธีกร หมอดูอาจารย์บ๊วย, อ.ชัญญ่า ราชินีไพ่จิตสัมผัส, ซีแนม สุนทร หรือซีแนม AF1, บีม ศรัณยู ประชากริช และหญิงแย้ - ดร.นนทพร ธีระวัฒนสุข อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การลิ้มรสความศรัทธาและดื่มด่ำความสุขให้แก่ผู้ร่วมงาน

นายกฤตภาส ก้องอัครสิน กรรมการบริหาร บริษัท สเปซ วอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “เพราะคนไทยผูกพันกับความศรัทธา จนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยเฉพาะในยุคนี้ที่คนเปิดใจและอยากมีความสิริมงคลให้เกิดแก่ตนในทุกรูปแบบ น้ำมนต์ก็เป็นอย่างหนึ่งที่ผมเชื่อว่า ทุกครั้งที่ได้ดื่มน้ำมนต์ จะรู้สึกสดชื่น เพิ่มความสบายใจ เสริมสิริมงคล เพิ่มพลังบวกและสิ่งดีดีเข้ามาในชีวิต และด้วยความเชี่ยวชาญของสเปซ วอเตอร์ ในการเป็นผู้ผลิตน้ำดื่มที่มีโรงงานที่ได้รับรองมาตรฐานในระดับสากล ผมจึงมีความคิดที่จะต่อยอดทำให้น้ำมนต์มาเป็นน้ำดื่มที่ทุกคนสามารถดื่มได้แบบถูกหลักอนามัย จึงเป็นสาเหตุให้ผมผลิตน้ำดื่มและสเปรย์น้ำแร่ ภายใต้แบรนด์ Dhevamon เดวามน111 ให้กับทุกคน เป็นตัวแทนการส่งมอบความสุข และความสดชื่นให้กับคุณในชีวิตประจำวัน โดยไม่ยึดติดกับศาสนาใด ไม่ว่าใครก็ดื่มและใช้น้ำแร่บำรุงผิวได้ครับ”

สำหรับ Dhevamon เดวามน111 ถือเป็นครั้งแรกในไทย ในการก้าวออกจากกรอบเดิมๆ ด้วยการผลิตน้ำดื่ม โดยรวบรวมน้ำมนต์จากวัดดังทั่วประเทศจำนวน 111 วัด ผ่านพิธีพุทธาภิเษกเสริมความสิริมงคล ก่อนนำมาน้ำมาสู่กระบวนผลิต ทั้งในรูปแบบน้ำดื่มบรรจุขวด ผ่านกระบวนการ Reverse Osmosis (R.O.) ฆ่าเชื้อด้วยระบบ Ultra Violet (UV) เติมความสุขทุกครั้งที่ดื่ม และสเปรย์น้ำแร่บำรุงผิวหน้า เติมความชุ่มชื่นบำรุงผิวนุ่มฉ่ำวาวด้วยสารสกัด 11 ชนิด อุดมไปด้วยกรดอะมิโนและแร่ธาตุผสมน้ำแร่จากน้ำพุร้อน พร้อมสารสกัดจากดอกกุหลาบช่วยให้ผิวนุ่มกระจ่างใส ซึ่งได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และโรงงานผลิตได้การรับรอง GHPs., HACCP มาตรฐานระดับสากลโดย SGS ซึ่งมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ Dhevamon เดวามน111 สะอาด ปลอดภัย เพิ่มความสิริมงคลได้อย่างครบถ้วน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสนใจสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อได้ที่ โทรศัพท์ 02-026-3142 และสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ https://linktr.ee/Dhevamon111
MCS พร้อมเดินหน้าเจรจาหาโครงการใหม่เพิ่ม ล่าสุดตุนงานในมือยาวถึงปี 2575 ด้านผู้บริหาร ‘ดร.ไนยวน ชิ’ มองโอกาสการได้โปรเจกต์ใหม่หนุนพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพด้านการผลิต ส่วนประเด็นอาคารถล่มในไทยไม่ชี้ขาดเนื่องจากอยู่ระหว่างตรวจสอบโดยส่วนงานที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว ระบุสาเหตุที่มีความเป็นไปได้ที่อาคารถล่ม เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก 1.การก่อสร้างไม่ดี 2.วัสดุก่อสร้างไม่ถูกต้องไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด 3.ออกแบบไม่ตรงตามมาตรฐาน แนะเหล็กโครงสร้างทางเลือกใหม่ก่อสร้างอาคารสูง

ดร.ไนยวน ชิ ประธานกรรมการและที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) (MCS) เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการเจรจาและเซ็นสัญญารับจ้างผลิตโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีงานรองรับการผลิตล่วงหน้า โดยเป็นงานในมือจนถึงปี พ.ศ. 2575 โดยการรับงานอย่างต่อเนื่องของบริษัทช่วยพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพในการผลิต ส่งผลดีต่อโครงการใหม่ๆที่ต้องการความน่าเชื่อถือและความเชี่ยวชาญ จนทำให้ MCS ได้รับงานอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ในการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา บริษัทเลือกคู่ค้าหลักอยู่ในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการกำหนดมาตรฐานเหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่ที่มีความเข้มงวดสูง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีแผ่นดินไหว โดย MCS เป็น บริษัทเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในต่างประเทศที่ได้มาตรฐานในการรองรับการผลิตโครงสร้างงานขนาดใหญ่ (S Grade) ซึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีบริษัทที่ได้รับมาตรฐานนี้ประมาณ 10 ราย จึงทำให้ได้เปรียบในการทำธุรกิจ อีกทั้งอัตราการแข่งขันของคู่แข่งอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากมีคู่แข่งจำนวนน้อยรายที่สามารถทำได้เมื่อเทียบกับการทำการค้าเหล็กแบบทั่วไป จึงช่วยลดปัญหาการแข่งขันด้านราคาที่บริษัทต้องเผชิญและทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจในระยะยาวอย่างยั่งยืน

สำหรับปัจจัยแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย บริษัทไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากคู่ค้าหลักอยู่ในประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทส่งออกไปญี่ปุ่นประมาณ 90% ของงานทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาคารสูงในโตเกียว โดยบริษัทไม่ได้ทำธุรกิจผลิตเหล็กเส้นหรือเหล็กรีดร้อน แต่เป็นผู้นำเข้าเหล็กรีดร้อนมาตรฐานสูงจากประเทศญี่ปุ่นนำมาประกอบตามการออกแบบของลูกค้าและนำส่งกลับติดตั้ง ซึ่งคุณภาพตรงกับการรับรองมาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้การก่อสร้างในประเทศไทยที่ผ่านมานิยมก่อสร้างด้วยคอนกรีตเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่เคยเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว บริษัทจึงเล็งเห็นว่าการนำเทคโนโลยีเหล็กโครงสร้างมาใช้ในไทยเพื่อรองรับแผ่นดินไหวหลังจากที่เกิดเหตุแล้วจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการทางเลือกมากขึ้น โดยใช้เหล็กโครงสร้างที่สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดในประเทศไทย

“หากผมออกความคิดเห็นประเด็นเกี่ยวกับตึกถล่มน่าจะไม่เหมาะสม เพราะอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องชี้แจง ส่วนตึกที่มีการก่อสร้างบนโลกใบนี้ทั้งหมด มีเพียง 3 สาเหตุที่จะถล่มได้คือ ก่อสร้างไม่ดี วัสดุการก่อสร้างไม่ถูกต้อง และการออกแบบไม่ตรงตามแบบหรือมาตรฐานเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าการตั้งมาตรฐานในแต่ละประเทศต้องอ้างอิงจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น เช่น ในประเทศไทย เคยเกิดแผ่นดินไหวที่ระดับใด ควรอ้างอิงมาตรฐานการก่อสร้างในระดับที่เคยเกิด หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่นเคยเกิดแผ่นดินไหวในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีความรุนแรงในระดับสูงที่ระดับ 6.7-6.8 ก็จะมีการตั้งมาตรฐานในการสร้างอาคารสูงต้องรองรับแผ่นดินไหวขั้นต่ำตามระดับที่เคยเกิด บวกกับ Safety Factor ของผู้ออกแบบแต่ละราย ซึ่งการประเมินระดับการรองรับแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น จะมีการประเมินปรับมาตรฐานเมื่อเกิดเหตุเท่านั้น ไม่ได้มีการปรับขึ้นในทุกๆปี” ดร.ไนยวน ชิ กล่าว

ขณะที่ผลกระทบด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้บริหารระบุว่า ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยข้างต้น เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจในการนำเข้าเหล็กมาตรฐานสูงจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อนำมาประกอบเป็นเหล็กโครงสร้างในประเทศไทย และดำเนินการส่งกลับประเทศญี่ปุ่นเพื่อก่อสร้างตามแบบของลูกค้า ซึ่งคู่ค้าสำคัญของบริษัทกว่า 90% อยู่ในประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทไม่ได้มีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเนื่องจากมีระยะทางที่ไกล ไม่คุ้มค่าต่อการขนส่ง จึงไม่ได้รับผลกระทบต่อนโยบายดังกล่าวที่เกิดขึ้น
“พฤกษา โฮลดิ้ง” ประกาศเปิดตัว "Plantnery by IHC" แบรนด์รับสร้างบ้าน ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด (IHC) ในเครือพฤกษา โดยนำความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาฯ กว่า 30 ปี มาต่อยอด บุกตลาดรับสร้างบ้านที่มุ่งเน้นสร้างบ้านคุณภาพ ด้วยนวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัย ให้บริการครบวงจร ด้วยจุดแข็งสร้างเร็ว เข้าอยู่ได้ไว งบไม่บานปลาย เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีที่ดินเป็นของตัวเอง พร้อมตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคใหม่ ด้วยนวัตกรรม Inno-Tech และ Inno-Solution เพื่อการอยู่อาศัย และการสร้างบ้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด ในเครือพฤกษา โฮลดิ้ง เปิดเผยว่า Plantnery by IHC (แพลนท์เนอรี่ บาย ไอเอชซี) นับเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มพฤกษาในการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านครบวงจร ซึ่งจะตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ ภายใต้แนวคิด "Building Homes, Crafting Dreams, Made Possible. สร้างบ้าน สร้างฝัน สร้างได้” ที่มุ่งเน้นการสร้างบ้านที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ลูกค้าจะได้อยู่อาศัยตลอดไป

จุดแข็งของ Plantnery by IHC คือการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพฤกษาที่มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 30 ปี มีทีมงานที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการสร้างบ้านมาแล้วกว่า 2000,000 หลัง และยังมีธุรกิจในเครือที่เป็น Ecosystem พร้อมรองรับความต้องการทั้งด้านแรงงาน วัสดุก่อสร้าง นวัตกรรมการก่อสร้าง ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่า Plantnery by IHC สามารถส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพได้รวดเร็ว และตรงเวลา อีกทั้งยังมีการบริหารจัดการด้านต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ได้เปรียบจากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ซึ่งจะช่วยให้ควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยให้ลูกค้าสามารถควบคุมงบประมาณได้ ไม่บานปลายด้วย
"ปัจจุบันตลาดรับสร้างบ้านมีช่องว่างที่สำคัญในเรื่องยังขาดผู้ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ที่สามารถควบคุมคุณภาพบ้าน และก่อสร้างในระยะเวลาที่รวดเร็ว พร้อมรองรับความต้องการด้านนวัตกรรมที่อยู่อาศัย ซึ่ง Plantnery by IHC จะเข้ามาเติมเต็มในเรื่องนี้ ด้วยการเป็น One Stop Solution ที่ให้บริการสร้างบ้านที่มีคุณภาพอย่างครบวงจร โดยใช้นวัตกรรมการก่อสร้าง "Inno-Tech" ที่ใช้เทคโนโลยี Inno-Precast คอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูปคุณภาพสูง เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมันและอิตาลี ที่สั่งสมประสบการณ์และพัฒนามากกว่า 20 ปี แข็งแรงทนทาน รับน้ำหนักได้ดี ต้านแรงกระแทกและแรงสั่นสะเทือนได้มากกว่าผนังก่ออิฐทั่วไป ควบคุมการก่อสร้างโดยทีมช่างมากประสบการณ์ การันตีงานก่อสร้างและวัสดุคุณภาพ โดยมีบ้านให้เลือกมากกว่า 100 แบบ และยังสามารถสร้างตามแบบของลูกค้า รวมทั้งปรับแต่งตามความต้องการได้” นายปิยะ กล่าว

นอกจากคุณภาพงานก่อสร้างและบริการที่ครบถ้วนแล้ว Plantnery by IHC ยังให้ความสำคัญกับ เทรนด์การอยู่อาศัยยุคใหม่ จึงได้นำเสนอฟังก์ชันที่ช่วยประหยัดพลังงานและใส่ใจสิ่งแวดล้อมให้กับลูกค้า ด้วยนวัตกรรม "Inno-Solutions" เพื่อบ้านอยู่สบายและปลอดภัย เช่น นวัตกรรมบ้านเย็น การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการติดตั้ง Solar Cell รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดี ด้วยนวัตกรรมบ้านอากาศบริสุทธิ์ ป้องกัน PM2.5 นวัตกรรมบ้านลดภูมิแพ้ นวัตกรรมบ้านปลอดภัยเพื่อเด็กและผู้สูงอายุ และนวัตกรรมบ้านอัจฉริยะด้วย
Plantnery by IHC อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งก่อตั้งจากวิสัยทัศน์ของพฤกษา โฮลดิ้ง ที่เล็งเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจรับก่อสร้างที่มีมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนกว่า 200,000 ล้านบาท จึงนำความแข็งแกร่งและประสบการณ์ที่สั่งสมมาพัฒนาต่อยอดเป็นบริการใหม่ โดยเน้นลูกค้า 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ลูกค้ารายย่อย ดำเนินการภายใต้แบรนด์ Plantnery by IHC สำหรับผู้ต้องการสร้างที่อยู่อาศัยหรืออาคาร ในงบประมาณ 10 - 30 ล้านบาท และ ลูกค้าองค์กร ดำเนินการภายใต้แบรนด์ IHC สำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเอกชน หน่วยงานรัฐ พันธมิตรธุรกิจ ที่ต้องการผู้รับเหมาก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey Project) ที่มีความน่าเชื่อถือ มีมาตรฐานสากล สามารถควบคุมต้นทุนเพื่อสร้างผลกำไรที่คุ้มค่า เพื่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย สำนักงาน รวมถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ด้วย

“Plantnery by IHC พร้อมยกระดับมาตรฐานการสร้างบ้าน ด้วยความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการบริการที่ครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านยุคใหม่ เราเชื่อว่าจุดแข็งของเราจะทำให้เราเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาบริษัทรับสร้างบ้านในยุคนี้” นายปิยะ กล่าว
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนรับแบบบ้านและปรึกษาฟรี และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Plantnery by IHC ได้ที่ https://register.ihc-th.com หรือ www.facebook.com/profile.php?id=61573520163394 หรือโทร. 02 438 9955
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดโครงการ “กิจกรรมรณรงค์ความปลอดภัยการเดินทางและการส่งเสริมการประกันภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2568” เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ภาคอุตสาหกรรมประกันภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เล็งเห็นความสำคัญของการเดินทางในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว และยังคงเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่อง จึงได้พัฒนารูปแบบกิจกรรมเพื่อมุ่งเน้นให้การประกันภัยสามารถเข้าถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ควบคู่กับการส่งเสริมการประกันภัยรถยนต์ และการประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทาง โดยในปีนี้ดำเนินการภายใต้แนวคิด “สงกรานต์ สร้างสุข ส่งต่อความห่วงใย ส่งเสริมวัฒนธรรมประกันภัย” ซึ่งคำว่า “สร้างสุข” ในที่นี้ คือ การเสริมสร้างสุขภาวะ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการเชิงป้องกัน (หรือ Preventive Measures) ที่สำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและความสูญเสียต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าว ได้เลือกพื้นที่ย่านเมืองเก่าของกรุงเทพมหานคร บริเวณปากคลองตลาด ซึ่งเป็นย่านการค้า ที่มีชื่อเสียง และเป็นตลาดขายส่งสินค้าประเภทดอกไม้ที่เก่าแก่ที่สุดและมีพื้นที่มากที่สุด ที่เป็นจุดเชื่อมต่อของการคมนาคมทั้งรถประจำทาง รถไฟฟ้าใต้ดิน และเรือโดยสาร และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งเป็นชุมชนที่มีกิจกรรมรองรับสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มคนในทุกช่วงวัย ซึ่งตรงกับวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันครอบครัว (วันที่ 13 และ 14 เมษายน) ที่สำนักงาน คปภ. เล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมการประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและผู้สูงอายุ ได้แก่ การประกันชีวิตและการประกันสุขภาพ เนื่องจากประเทศไทย ได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ซึ่งมีจำนวนผู้สูงอายุจำนวนมากกว่า 13.6 ล้านราย หรือคิดเป็นร้อยละ 20.94 ของประชากรทั้งประเทศ ดังนั้น การเตรียมความพร้อมสู่สังคมผู้สูงอายุไม่ได้จำกัดเพียงการเตรียมการสำหรับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่เป็นการเตรียมการสำหรับสมาชิกในครอบครัว รวมถึงประชาชนวัยทำงานที่ในอนาคตข้างหน้าจะเปลี่ยนสถานะเป็นผู้สูงอายุเช่นกัน
สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 3 กิจกรรมหลัก คือ
1) กิจกรรมการเสริมสร้างสุขภาวะด้านร่างกายและจิตใจ ผ่านการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ โดยได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ต่อพล วัฒนา ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา และรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช บรรยายในหัวข้อ “Good Health towards Wellbeing สุขภาพดี จุดเริ่มต้นสู่การเสริมสร้างสุขภาวะ”
2) กิจกรรมการเสริมสร้างสุขภาวะด้านการเงินและการประกันภัย โดยบริการให้คำปรึกษาการวางแผนทางการเงินและการประกันภัย จากสมาคมและภาคอุตสาหกรรมประกันภัยรวมมากกว่า 20 แห่ง รวมทั้งบริการตรวจข้อมูลเครดิตแห่งชาติโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร
3) กิจกรรมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้า คปภ. ทั้งส่วนกลางและสำนักงานในภูมิภาคในช่วง 7 วันอันตราย (11 - 17 เมษายน 2568) ในฐานะเป็นหนึ่งในภาคีเครือข่ายศูนย์ความปลอดภัยทางถนน กระทรวงมหาดไทย และในการส่งเสริมวัฒนธรรมประกันภัย
“สำนักงาน คปภ. ยังคงร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย และเครือข่ายพันธมิตร ภาคธุรกิจอื่น ๆ พัฒนารูปแบบและความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยให้ตอบโจทย์ประชาชน เพื่อส่งมอบเป็นของขวัญวันปีใหม่ไทย จำนวน 2 กรมธรรม์ ได้แก่ กรมธรรม์ประกันภัยสุขใจสงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) ซึ่งให้ความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิตสูงสุดถึง 100,000 บาท และกรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์สุขใจบ้านปลอดภัย (ไมโครอินชัวรันส์) ซึ่งให้ความคุ้มครองสูงสุดถึง 30,000 บาท ในอัตราเบี้ยประกันภัยที่เข้าถึงได้ง่ายเพียง 10 บาท ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถซื้อประกันภัยได้ที่บริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ หรือเลือกรับสิทธิ์ดังกล่าวผ่านพันธมิตรธุรกิจชั้นนำหลาย ๆ แห่ง เช่น ธนาคาร ผู้ให้บริการค้าปลีก ผู้ให้บริการระบบโทรคมนาคม และสถานีบริการน้ำมัน เป็นต้น” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย