December 06, 2025

กองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) ร่วมกับกองทุนประกันชีวิต (กปช.) เดินหน้าส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในส่วนภูมิภาค จัดโครงการบูรณาการเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการชำระบัญชี การพิจารณาคำทวงหนี้ และการจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ของกองทุนประกันวินาศภัย พร้อมทั้งเผยแพร่บทบาท หน้าที่ และภารกิจ ของกองทุนประกันชีวิตในการดูแลผู้เอาประกันชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มเจ้าของเงินกรมธรรม์ที่ล่วงพ้นอายุความ

ณ โรงแรมวิศมา จังหวัดราชบุรี การจัดโครงการครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการส่งเสริมความรู้และความเข้าใจของประชาชนต่อระบบประกันภัย รวมทั้งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบทบาทของหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับ ดูแล และคุ้มครองสิทธิ ของผู้เอาประกันภัยในภาคธุรกิจประกันภัยอย่างรอบด้าน ในส่วนของ กองทุนประกันวินาศภัย นำทีมโดย

นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย เป็นผู้บรรยายซึ่งมุ่งเน้นการให้ความรู้ในหัวข้อ “กระบวนการชำระบัญชีของบริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต” โดยครอบคลุมประเด็นสำคัญต่าง ๆ อาทิ ขั้นตอนการยื่นคำขอรับชำระหนี้ การพิจารณาคำขอชำระหนี้ และกระบวนการจ่ายเงินให้กับเจ้าหนี้ ตามสัญญาประกันภัย เพื่อให้เจ้าหนี้สามารถเข้าใจสิทธิของตนเองและดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้อย่างถูกต้องและทันเวลา การให้ข้อมูลเชิงลึกในประเด็นดังกล่าวถือเป็นการตอบโจทย์ความจำเป็นของประชาชนในยุคที่ระบบประกันภัยมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่มีบริษัทประกันวินาศภัยบางแห่งไม่สามารถดำเนินธุรกิจ ได้ต่อไป จนต้องเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชี ซึ่งในกรณีเช่นนี้ กองทุนประกันวินาศภัยจะมีบทบาทเข้ามาดำเนินการเพื่อปกป้องสิทธิของเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย ตามที่กฎหมายกำหนด ขณะเดียวกัน กองทุนประกันชีวิต ในฐานะอีกกองทุนหลักในการดูแลสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันชีวิต ได้จัดกิจกรรมภายใต้โครงการเผยแพร่ความรู้ด้านบทบาท ภารกิจ และหน้าที่ของกองทุนประกันชีวิต ซึ่งบรรยายโดย นายกรัณย์ทัศ รักษ์ธรรมกิจ รักษาการหัวหน้าส่วนกลยุทธ์และส่งเสริมประชาสัมพันธ์

โดยเน้นในกลุ่มเป้าหมายเจ้าของเงินกรมธรรม์ที่ล่วงพ้นอายุความ ทั้งนี้ยังได้รับเกียรติจากสำนักงาน คปภ. ภาค 7 (นครปฐม) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดราชบุรี เข้าร่วมบรรยายในหัวข้อภารกิจและบทบาทของ คปภ.

ในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านการประกันภัย ซึ่งครอบคลุมทั้งการให้คำปรึกษา การดำเนินการเรื่องร้องเรียน ข้อพิพาท รวมถึงการกำกับดูแลบริษัทประกันภัยให้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง การจัดโครงการครั้งนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการขับเคลื่อนภารกิจของทั้งสองกองทุน พร้อมส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชนเกี่ยวกับบทบาทของกองทุนที่ไม่เพียงทำหน้าที่ชดใช้ความเสียหาย แต่ยังเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบประกันภัย

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ร่วมกับกลุ่มแอกซ่า จัดทำผลวิจัย AXA Mind Health 2025 เพื่อสำรวจสุขภาพจิตของคนไทย และคนทั่วโลกเพื่อวิเคราะห์ว่ากลุ่มวัยใดที่กำลังเผชิญกับปัญหาทางใจมากที่สุด พร้อมวัดระดับสุขภาพใจด้วยตัวเอง

โดยประเด็นสุขภาพจิตยังคงเป็นปัญหาระดับโลกและเป็นประเด็นที่กลุ่มแอกซ่าให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยทุกๆ ปี กลุ่มแอกซ่าจะร่วมมือกับบริษัทวิจัยมาตรฐานโลก Ipsos ในการติดตามระดับสุขภาพจิตของคนทั่วโลก โดยล่าสุดมีการสำรวจประชากรกว่า 17,000 คน จาก 16 ประเทศ โดยใช้ AXA Mind Health Index เป็นตัววัดระดับสุขภาพจิต และแบ่งสถานะทางจิตใจของผู้ตอบแบบสอบถามออกเป็น 4 สถานะ ได้แก่ “Flourishing” (เบิกบานใจ) “Getting by” (เรื่อยๆ) “Languishing” (เหนื่อยหน่าย) และ “Struggling” (กำลังมีปัญหา)

โดยผลสำรวจล่าสุดของประเทศไทยและทั่วโลก พบว่า

1.ผู้คนทั่วโลกถึง 43% กำลังเผชิญสภาวะ “Languishing” (เหนื่อยหน่าย) และ “Struggling” (กำลังมีปัญหา) และมีเพียง 25% ที่อยู่ในระดับ “Flourishing” (เบิกบานใจ) และกว่า 32% กำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตอย่างน้อยหนึ่งอาการ

2.ผู้หญิงเผชิญปัญหาสุขภาพใจมากกว่าผู้ชาย และเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะวัยรุ่นและวัยเริ่มทำงาน (อายุ 18-24 ปี) เผชิญปัญหามากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ  (57% ของวัยรุ่นกำลังเผชิญปัญหา เมื่อเทียบกับ 29% ในกลุ่มอายุ 55 ปี)

3.แม้ว่า Gen Z จะได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจิตมากกว่า กลุ่มวัยอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกัน Gen Z เป็นกลุ่มวัยกล้าที่จะพูดถึงปัญหานี้และขอความช่วยเหลือจากคนอื่นมากกว่ากลุ่มวัยอื่นๆ

4.งานเป็นทั้งแหล่งที่มาของความสนับสนุนและความเครียด โดยพบว่าพนักงานทั่วโลกถึง 53% มีระดับความเครียดสูงกว่าค่าเฉลี่ย และจากตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าองค์กรจำเป็นต้องมีนโยบายด้านสุขภาพจิตสำหรับพนักงาน เพื่อป้องกันการ Burn out และอาการทางสุขภาพจิตอื่นๆ ของพนักงาน

5. Top 5 เรื่องที่คนทั่วโลกกังวลมากที่สุด:

5.1 ความไม่มั่นคงทางการเงินและความไม่แน่นอนในหน้าที่การงาน (53%)

5.2 ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (53%)

5.3 การได้รับข่าวสารเชิงลบจากสื่ออย่างต่อเนื่อง (45%)

5.4 ความไม่สงบทางสังคมและการเมือง (42%)

5.5 ความเหงาและการแยกตัวจากสังคม (42%)

5 เรื่องสุขภาพใจของคนไทยจาก AXA Mind Health Report 2025

  1. สำหรับประเทศไทย แม้ผลสำรวจจะบอกว่าเรามีความสุขมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก (33% ของคนไทยอยู่ในระดับ “เบิกบาน” เทียบกับ 25% ทั่วโลก) และมีสุขภาพจิตดีเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศจีน (37%) แต่ 31% กำลังประสบปัญหาสุขภาพจิต
  2. มีเพียง 27% ของคนไทยที่มีปัญหาสุขภาพจิตที่ขอรับความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยารวมถึงผู้เชี่ยวชาญ ขณะที่อีก 62% ของผู้ที่กำลังประสบปัญหากลับเลือกที่จะดูแลสภาพใจด้วยตัวเอง ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก (42%) ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าสุขภาพใจไม่ควรเป็นเรื่องที่ใครต้องเผชิญอย่างโดดเดี่ยว และการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ
  3. 42% ของ GEN Z ช่วงวัย 18-24 ปี กำลังเผชิญความเครียด วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้ามากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่สังคมต้องเปิดกว้างให้เกิดการพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตอย่างเข้าใจและสร้างพื้นที่ปลอดภัยมากขึ้น
  4. 46% ของพนักงานในประเทศไทยระบุว่ามีระดับความเครียดสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดย Top 3 เรื่องที่กังวล ได้แก่ ความไม่มั่นคงทางการเงินและการงาน (60%) รายได้และเงินเดือน (60%) และภาวะเศรษฐกิจ (59%) ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงบทบาทขององค์กรที่จำเป็นต้องให้ความสนับสนุนสุขภาพกายและใจ รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ด้านการเงินให้กับพนักงาน
  5. ผลสำรวจเผยว่าความเครียดจากการทำงานส่งผลต่อปัญหาชีวิตประจำวันในด้านอื่น ๆ ด้วย โดยกระทบการนอนหลับ (45%) อาการทางกาย เช่น ปวดหัวหรือปวดกล้ามเนื้อ (41%) หงุดหงิดหรืออารมณ์แปรปรวน (39%)

ทั้งนี้จากผลวิจัยดังกล่าว ทางกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ได้มุ่งมั่นสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่อบอุ่น เข้าใจ และพร้อมเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคน โดยบริษัทฯ มีการสนับสนุนหลากหลายรูปแบบผ่านโปรแกรม We Care ที่มอบการดูแลสุขภาพจิตแบบครอบคลุมในทุกช่วงชีวิต รวมถึงการลาหยุดเพื่อรับการรักษาภาวะมีบุตรยาก การแท้งบุตร การคลอดบุตร และการเผชิญความรุนแรงในครอบครัวหรือทางเพศ นอกจากนี้ยังมีนโยบายชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น บริการให้คำปรึกษา และสิทธิ์ในการใช้สวัสดิการสุขภาพจิตภายใต้ประกันสุขภาพกลุ่ม

นอกจากนี้สำหรับลูกค้าโครงการ กรุงไทย-แอกซ่า Privilege PLUS+ สามารถตรวจเช็คสุขภาพจิตใจผ่านทางออนไลน์ โดยปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตหรือนักจิตวิทยาผ่านช่องทางโทรศัพท์ผ่าน iStrong ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตและครอบครัวที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเป็นผู้ให้คำปรึกษาภายใต้บริการ KTAXA Mind Health Consultation

สำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจอยากเข้าวัดระดับสุขภาพใจของตัวเอง สามารถคลิกเข้าไปทำแบบทดสอบได้ด้วยตนเองผ่านบริการ https://mindhealthselfcheck.axa.com/ เครื่องมือที่เปิดให้ทุกคนสามารถเข้าไปประเมินสุขภาพใจเบื้องต้นของตนเอง และค้นหาวิธีดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น และสามารถเข้าไปดูผลสำรวจฉบับเต็มเพิ่มเติมได้ที่ https://www.axa.com/en/about-us/mind-health-report#index 

สำหรับผู้ที่สนใจ หรือต้องการสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต หรือสุขภาพ สามารถสอบถามได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร.1159 อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือตัวแทน และสำนักงานตัวแทนของบริษัทฯ ทั่วประเทศ

“นภินทร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในงาน “10 ปี MOC Biz Club รวมพลังเครือข่ายผู้นำขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” โดยมีผู้นำเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club จากทั่วประเทศเข้าร่วม ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ ในวันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน 2568 

        

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการ MSME มากถึง 99.5% ซึ่งผู้ประกอบการ MSME จะประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ต้องมีปัจจัยหลายประการ ทั้งการวางแผนกลยุทธ์ ทุน และองค์ความรู้อื่นๆ กระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว และต้องการช่วยให้ MSME สามารถประกอบธุรกิจและเติบโตได้ทันสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงได้ริเริ่มผลักดันสร้างเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club มาตั้งแต่ปี 2554 จนขยายพื้นที่ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศในปี 2559 เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการในพื้นที่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ ให้คำปรึกษา แก้ไขปัญหา และพัฒนาธุรกิจ โดยมีกลไกความร่วมมือระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานพาณิชย์จังหวัด คณะกรรมการ Biz Club Thailand และประธานเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ทั้ง 77 จังหวัด ซึ่งเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club เป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งแต่ระดับชุมชน จังหวัด ภูมิภาค ไปจนถึงระดับประเทศ

ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ในด้านต่างๆ จนเกิดความสำเร็จจากการรวมกลุ่มเครือข่ายธุรกิจเกิดขึ้นหลายประการ ได้แก่ (1) การสร้างเครือข่ายธุรกิจ ในปัจจุบันเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club มีจำนวน 14,870 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568) ครอบคลุมผู้ประกอบการทุกขนาด ตั้งแต่รายย่อยไปจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 60,000 ล้านบาท (2) การพัฒนาศักยภาพเครือข่ายธุรกิจ สำหรับประธานเครือข่ายและสมาชิก MOC Biz Club อาทิ การอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจในด้านต่างๆ รวมถึงการใช้เทคโนโลยี การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถ่ายทอดประสบการณ์ และการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งรูปแบบการเรียนออนไลน์ผ่านหลักสูตร e-learning ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (3) การเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจและพันธมิตรทางการค้า ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้วกว่า 1,200 ล้านบาท ผ่านการจัดกิจกรรมการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าและการเจรจาจับคู่ธุรกิจ การจัดตั้ง “Biz Shop / Biz Corner” ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 13 แห่งใน 12 จังหวัด จำหน่ายสินค้ารวมกว่า 200 ราย สามารถสร้างมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท

ในปี 2569 กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยและขนาดย่อม (Micro & Small Enterprises) จำนวนไม่น้อยกว่า 400 ราย สร้างมูลค่ากว่า 130 ล้านบาท ผ่าน 3 แนวทาง ดังนี้ (1) ยกระดับการเชื่อมโยงเครือข่ายสมาชิก MOC Biz Club โดยขยายจำนวนเครือข่ายสมาชิก MOC Biz Club ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น มีการบริหารจัดการองค์กรที่มีศักยภาพ สามารถบริหารจัดการองค์กรในลักษณะยืนด้วยตนเองได้ ซึ่งอาจจัดตั้งเป็นสมาคมหรือนิติบุคคลในรูปแบบเดียวกับสมาพันธ์หรือสมาคมการค้าต่างๆ โดยมีกระทรวงพาณิชย์และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าร่วมเป็นพันธมิตร รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์และขยายเครือข่ายกับหน่วยงานพันธมิตรอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจในด้านต่างๆ เช่น แหล่งเงินทุน การวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นต้น (2) การเสริมสร้างองค์ความรู้และพัฒนาทักษะผู้ประกอบการ โดยจัดหลักสูตร การพัฒนาศักยภาพประธานเครือข่ายและสมาชิก MOC Biz Club อย่างต่อเนื่อง การให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านการทำตลาดออนไลน์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้าน e-commerce รวมทั้งการสัมมนาเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆ เกี่ยวกับการขายออนไลน์ และมีอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมาร่วมแชร์ประสบการณ์ ตลอดจนการจัดทำ “แพลตฟอร์ม DBD SMEs 360” (https://dbdsmes360.dbd.go.th) ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่เป็นศูนย์กลางรวบรวมบริการด้านเทคโนโลยีเครื่องมือการทำธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไว้ ณ จุดเดียว ซึ่งสมาชิกเครือข่าย MOC Biz Club รวมถึง SME สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ รวมถึงส่งเสริมเรื่องการออกแบบเครื่องหมายการค้า และ Packaging เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ (3) การขยายโอกาสทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ในปี 2568 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จัดงาน “MOC Biz Club Fair 2025 by DBD จำนวน 3 ครั้ง พร้อมตั้งเป้าขยาย Biz Shop 10 สาขา ในปี 2568 และ 20 สาขา ปี 2569 ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถจัดตั้ง Biz Shop ให้ครอบคลุม 77 จังหวัด ภายในปี 2570 รวมทั้งกิจกรรมการเจรจาจับคู่ธุรกิจ “BizclubX Business Matching 2025” ในวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี นอกจากนี้ จะมีการต่อยอดพัฒนาผู้ประกอบการ MOC Biz Club ที่มีศักยภาพความพร้อมในการขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าประสานการทำงานร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด และกรมต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการเชื่อมโยงทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านและต่างประเทศ

การส่งเสริมให้เครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club มีความเข้มแข็ง มีระบบการบริหารจัดการองค์กรที่มีศักยภาพ มีมาตรฐานตามหลักธรรมาภิบาล เติบโตทันกระแสเศรษฐกิจโลก และเป็นที่ยอมรับในทุกระดับ เป็นรากฐานสำคัญขององค์กรที่จะทำให้เครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club พัฒนาไปสู่การจัดตั้งในรูปสมาคมการค้า หรือนิติบุคคลในรูปแบบสมาพันธ์ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมีทิศทางและมีเสถียรภาพ โดยกระทรวงพาณิชย์ยังคงให้การสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับเครือข่ายฯ อย่างใกล้ชิดและแนบแน่นเช่นเดิม เพื่อร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจประเทศอย่างต่อเนื่อง    

การจัดงาน “10 ปี MOC Biz Club รวมพลังเครือข่ายผู้นำ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ในวันนี้เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นตั้งใจของกระทรวงพาณิชย์เพื่อแสดงถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อขับเคลื่อนเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ไปสู่เป้าหมายความสำเร็จที่ตั้งไว้ในอนาคต และเป็นเวทีสำหรับให้ผู้นำเครือข่ายจากทั่วประเทศได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองความเห็นในการพัฒนายกระดับธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการใช้ตลาดและความต้องการของผู้ประกอบการเป็นตัวนำกำหนดทิศทางและนโยบายในการสนับสนุนให้ตรงตามความต้องการของภาคธุรกิจ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจแบบเกื้อกูลซึ่งกันและกัน นำไปสู่การสร้างต้นแบบการทำงานร่วมกันในระดับพื้นที่ จนสามารถขยายขอบเขตไปสู่ระดับประเทศและระดับสากลในอนาคต และเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป

เดินหน้าเข้าสู่สัปดาห์ที่ 9 แล้วสำหรับโครงการ “ตลาดนัดใบไม้แลกไข่” ที่อำเภอสันกำแพง กับ CPF ร่วมมือกันจัดขึ้น เพื่อเชิญชวนประชาชนชาวอำเภอสันกำแพง รวบรวมเศษใบไม้แห้งจากบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา นำมาแลกกับไข่ไก่ CP สอดรับกับนโยบายของ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เพื่อให้ชาวเชียงใหม่มีอากาศสะอาดและปราศจากมลพิษ โดยเฉพาะการหยุดเผาทุกชนิดในที่โล่ง

โครงการ “ตลาดนัดใบไม้แลกไข่” เป็นการรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนชาว อ.สันกำแพง งดการเผาเศษใบไม้แห้ง ที่แต่ละบ้านมีอยู่ เพื่อช่วยลดปัญหาหมอกควัน แถมยังได้ไข่ไก่กลับบ้าน ช่วยให้อิ่มท้อง ลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน บ้านเรือนและชุมชนสะอาดขึ้น ถือว่าได้ประโยชน์รอบด้าน ภายใต้สโลแกน “สันกําแพงเราไม่เผา เอาเศษใบไม้มาแลกไข่ หมอกควัน ไฟป่าห่างไกล หายใจ โล่งกันทุกคน”

โดยเปิดที่ว่าการอำเภอสันกำแพง ให้ชาวสันกำแพง นำใบไม้แห้งมาแลกไข่ได้ทุกวันพฤหัสบดี เศษใบไม้แห้ง 1 กก. แลกไข่ไก่ได้ 1 ฟอง ไก่ สูงสุดแลกได้ถึง 30 กิโลกรัม หรือได้ไข่ไก่คนละ 1 แผง (30 ฟอง) โครงการนี้ดำเนินการทุกสัปดาห์ไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จังหวัดเชียงใหม่ประกาศห้ามเผาในที่โล่งแจ้ง รวมเป็นเวลา 15 สัปดาห์

ตลอด 9 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประชาชนนำใบไม้แห้ง 13,000 กก. มาแลกไข่แล้ว 13,000 กก. คาดว่าเมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมจะรวบรวมใบไม้ได้ถึง 20,000 กิโลกรัม โดยเทศบาลตำบลต่างๆ มารับใบไม้นำไปผลิตปุ๋ยหมักให้เกษตรกรใช้แทนปุ๋ยเคมี ช่วยลดต้นทุน และบำรุงดินได้เป็นอย่างดี

 

สุนีย์ ศรีอร นำใบไม้ 10 กิโลกรัม มาแลกไข่ไก่ไปรับประทานได้ 10 ฟอง บอกว่า ก่อนหน้านี้เก็บใบไม้กองไว้ที่บ้านและที่สวน บางทีก็ทำเป็นปุ๋ยหมักเล็กๆน้อยๆ แต่พอมีโครงการนี้ก็เข้าร่วมในทันที เพราะเห็นประโยชน์ทั้งเรื่องการจัดการกับเศษใบไม้โดยไม่ต้องเผา และยังได้ไข่ไก่ไปบริโภค

ส่วน อุดม คีรีอร นำใบไม้มาแลก 13 กิโลกรัม ได้ไข่ไก่ 13 ฟอง เสริมว่า นำไข่ไก่ที่ได้ไปทำอาหารทานได้ตลอด ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้ดี พอไม่ได้ซื้อไข่ก็ทำให้ครอบครัวประหยัดขึ้น โครงการนี้ช่วยชาวบ้านได้ดีมากๆ

 

ปัญหาฝุ่น PM2.5 ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไข เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม และส่งเสริมสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งเริ่มต้นได้ที่ตัวเอง ครอบครัว หรือในชุมชนของเรา "ตลาดนัดใบไม้แลกไข่" ของชาวสันกำแพง จึงถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับชุมชนอื่นๆ ให้หันมาร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน ไม่ทิ้งใบไม้แห้ง ไม่เผา แต่นำมาสร้างประโยชน์จากเศษวัสดุแทน

 

หนุนโดยการบริหารจัดการด้านต้นทุน ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย หนี้เสียอยู่ในระดับต่ำที่ 2.75% เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ การบริหารหนี้เสียเชิงรุก รวมถึงการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดและสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืนผ่านโครงการคุณสู้ เราช่วย

เคทีซีนำกลุ่มบริษัทฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ เผยไตรมาส 1/2568 ทำกำไรสุทธิ 1,861 ล้านบาท พอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัวอยู่ที่ 107,093 ล้านบาท ควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี ส่วนแบ่งตลาดสองเดือนแรกของปี 2568 สูงกว่าอุตสาหกรรมในทุกมิติ ทั้งลูกหนี้บัตรเครดิต ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร และลูกหนี้สินเชื่อบุคคล เดินกลยุทธ์สู่เป้าหมายธุรกิจ มุ่งขยายพอร์ตสินเชื่อรวมควบคู่การคุมคุณภาพสินทรัพย์ ภายใต้กรอบการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม

นางพิทยา  วรปัญญาสกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อุตสาหกรรมสินเชื่ออุปโภคบริโภคมีอัตราการขยายตัวลดลง โดยปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากรายได้ของครัวเรือนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และมีภาระหนี้สูง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 เคทีซีสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในทุกมิติสูงกว่าอุตสาหกรรมจากช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยสัดส่วนลูกหนี้บัตรเครดิตเพิ่มเป็น 15.3% จาก 14.6% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มเป็น 13.5% จาก 12.4% และสัดส่วนลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล (ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน) เพิ่มเป็น 6.7% จาก 6.1%”

“แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจไทยมีความอ่อนตัวลงมากกว่าที่คาด เคทีซียังเชื่อว่ากลยุทธ์ของเคทีซีในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล จะช่วยให้กลุ่มบริษัทมีความยืดหยุ่นสามารถรองรับและปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่ผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในเชิงการตลาดเคทีซียังเชื่อว่าด้วยกลยุทธ์ที่เน้นสร้างฐานสมาชิกบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล รวมถึงการคัดกรองคุณภาพพอร์ต จะทำให้เคทีซีสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อสิ้นสุดปี 2568 ทั้งมูลค่ากำไรที่สูงขึ้นต่อเนื่อง พอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัวประมาณ 4%-5% การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโตในอัตรา 10% พอร์ตลูกหนี้บัตรกด   เงินสด “เคทีซี พราว” ขยายตัวที่ 3% ยอดลูกหนี้ใหม่ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ที่ 3,000 ล้านบาท และ NPL รวม (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) ไม่เกิน 2%”   

ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 กลุ่มบริษัทเคทีซีมีกำไรสุทธิ 1,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% ฐานสมาชิกรวม 3,486,729 บัญชี พอร์ตสินเชื่อรวมมีมูลค่า 107,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% NPL Ratio ของกลุ่มบริษัทอยู่ที่ 1.97% พอร์ตสมาชิกบัตรเครดิตเท่ากับ 2,796,551 บัตร เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 70,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.5% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเท่ากับ 74,053 ล้านบาท ขยายตัว 6.7% NPL Ratio บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.21% ขณะที่พอร์ตสมาชิกสินเชื่อบุคคลรวม 690,178 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคล และดอกเบี้ยค้างรับรวม 34,857 ล้านบาท เติบโตที่ 5.2% NPL Ratio สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.35% สำหรับสินเชื่อลูกหนี้ตามสัญญาเช่ามีมูลค่า 1,953 ล้านบาท โดยเคทีซีได้หยุดการปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 ปัจจุบันมุ่งเน้นการติดตามหนี้และบริหารจัดการคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่มีอยู่

สำหรับรายได้รวมของกลุ่มบริษัทเคทีซีในช่วงไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 6,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% (YoY) จากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ รายได้ค่าธรรมเนียมด้านร้านค้า รายได้จากการเบิกถอนเงินสดและรายได้ค่าธรรมเนียม Interchange ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยและหนี้สูญได้รับคืนลดลงเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายรวม 4,433 ล้านบาทลดลง 1.6% (YoY) จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารรวมสูงขึ้นหลักๆ จากค่าธรรมเนียมจ่ายเพิ่มขึ้นตามปริมาณธุรกรรม และค่าใช้จ่ายด้านการตลาด โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมอยู่ที่ 35.1% ขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเท่ากับ 1,594 ล้านบาท ลดลง 5.3% (YoY) จากการตัดหนี้สูญที่ลดลง และต้นทุนทางการเงิน 439 ล้านบาท ลดลง 2.6% (YoY) จากการที่บริษัทมีเงินกู้ยืมลดลง

กลุ่มบริษัทเคทีซียังมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพรองรับการเติบโตในอนาคต ด้วยอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ในระดับสูงที่ 18.3% และอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 1.58 เท่า ลดลงเมื่อเทียบกับสิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 1.83 เท่า และอยู่ระดับต่ำกว่าภาระผูกพัน (Debt Covenants) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 10 เท่า และด้วยความสามารถในการรักษาเสถียรภาพในทุกช่วงวงจรธุรกิจ ซึ่งสะท้อนจากความสามารถในการสร้างผลกำไร การมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและการรักษาตำแหน่งทางการตลาด บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงได้เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบัน เป็น “AA” จาก “AA-” ในวันที่ 9 เมษายน 2568 ทั้งนี้ เคทีซีมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นคงเหลือ 23,495 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงไทยคงเหลืออีกจำนวน 2,000 ล้านบาท โดยกลุ่มบริษัทมีหุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปี 2568 จำนวนทั้งสิ้น 11,000 ล้านบาท

 

นางพิทยากล่าวเพิ่มเติมว่า “เคทีซียังคงมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ระยะยาว ตามประกาศของ ธปท. ที่ 3/2568 เรื่อง การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending: RL) ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 โดยบริษัทได้มีการพิจารณาให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ และไม่ทำให้ลูกหนี้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากภาระหนี้เดิมเกินสมควร ได้แก่ การเปลี่ยนประเภทหนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้เงินกู้สินเชื่อบุคคลระยะยาว การขยายระยะเวลาชำระหนี้ การปรับลดค่างวด เป็นต้น รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://www.ktc.co.th/about/news/measure

“เนื่องจากเคทีซีเป็นสถาบันการเงินในกลุ่มธุรกิจของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จึงเป็นหนึ่งในบริษัทที่ให้ความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ภายใต้ชื่อโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” โดยสมาชิกสามารถลงทะเบียนผ่าน https://www.ktc.co.th/khunsoo  ระหว่างวันที่ 12 ธันวาคม 2567 -  30 เมษายน  2568 นอกจากนี้ เคทีซียังได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยและเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่าน https://www.ktc.co.th/en/about/news/earthquake-aid-measures  เคทีซีคาดว่ามูลค่าการช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการต่างๆ ข้างต้นจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินการของกลุ่มบริษัทในภาพรวม”

เอไอเอ ประเทศไทย โดย นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก เป็นตัวแทนรับโล่ประกาศเกียรติคุณจาก พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และนายกมูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ในโอกาสที่เอไอเอ ประเทศไทย สนับสนุนกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ ให้แก่เยาวชน 440 กรมธรรม์ และครูพี่เลี้ยงจำนวน 30 กรมธรรม์ รวมทั้งสิ้น 470 กรมธรรม์ที่ร่วมโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 44 ซึ่งเยาวชนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา ให้เยาวชนได้เดินทางมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในกรุงเทพมหานคร และ 9 จังหวัดภาคกลางสำหรับนักเรียนจำนวน 320 คน และพื้นที่จังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน จำนวน 120 คน ตลอดจนเพิ่มทักษะประสบการณ์ในการเรียนรู้ความเป็นผู้นำและผู้ตาม ในการอยู่ร่วมกันบนความหลากหลายของเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรมที่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยกรมธรรม์มีระยะเวลาคุ้มครองนาน 30 วัน ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตสูงถึง 100,000 บาทต่อกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมรับผลประโยชน์ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน กรณีได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ

โดยในครั้งนี้เอไอเอได้มอบต่อเนื่องมาเป็นรุ่นที่ 4 เพื่อช่วยให้เยาวชน และครอบครัวของเยาวชนคลายความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในขณะที่เดินทางมาทำกิจกรรมและใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในพื้นที่ต่างภูมิลำเนา ซึ่งการมอบความคุ้มครองดังกล่าวยังตอกย้ำนโยบายด้านความยั่งยืน (ESG) ของเอไอเอ ที่เรามุ่งมั่นในการสนับสนุนให้คนไทยและผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณดังกล่าว จัดขึ้น ณ สโมสรทหารบก (ส่วนกลาง) วิภาวดี

บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ให้บริการผู้โดยสารอิ่มฟินในช่วงหน้าร้อนนี้ กับเมนูขนมไทยสุดพิเศษ ข้าวเหนียวมูนกะทิหน้าต่าง ๆ อาทิ หน้ากุ้ง หน้าปลาแห้ง และหน้าสังขยา สูตรลับคุณยายฟู ต้นตำรับข้าวต้มมัดบางกอกแอร์เวย์ส ที่คัดสรรวัตถุดิบท้องถิ่นที่มีคุณภาพ ผ่านกรรมวิธีการทำอันประณีต พิถีพิถัน และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมเสิร์ฟแล้วตลอดเดือนเมษายนนี้ ณ ห้องรับรองผู้โดยสาร Blue Ribbon Club Lounge และ Boutique Lounge ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  

สัมผัสประสบการณ์ระดับพรีเมียม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการครบครัน แวะพักผ่อนเติมพลังก่อนออกเดินทางไปกับบางกอกแอร์เวย์ส สนใจสำรองที่นั่งติดต่อที่ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า Call Center 1771 หรือ 02-270-6699 ตั้งแต่เวลา 08.00 น.-20.00 น. PGLiveChat:  https://bit.ly/PGLiveChatTH เว็บไซต์ www.bangkokair.com และติดตามข่าวสารพร้อมอัปเดตโปรโมชันได้ทางเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/FlyBangkokAir หรือ Line Official Account : @flybangkokair เพียงคลิกที่ https://bit.ly/addfriend_pgline 

ดีป้า เผยผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม ประจำปี 2567 ระบุอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 2.0 พบส่วนใหญ่เริ่มนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แพลตฟอร์มดิจิทัล และโซลูชันมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อีกทั้งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรม แนะภาคอุตสาหกรรมไทยเร่งปรับตัวเพื่อรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันภายในระยะเวลา 5 ปีจากนี้

การสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรมเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2562 เพื่อจัดทำเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศ โดยดำเนินการสำรวจใน 9 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมสิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ อุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์ อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ซึ่งดำเนินการสำรวจตามกรอบแนวทางดังกล่าวในปี 2563, 2564 และล่าสุดในปี 2567

 

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า เปิดเผยว่า ผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม ประจำปี 2567 พบว่า 70% ของกลุ่มตัวอย่างมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 2.0: Solution (การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แบบฟอร์มออนไลน์ หรือระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวกในการทำงาน) จากระดับ 1.0: Manual (การทำงานแบบดั้งเดิมที่ใช้เครื่องมือ Analog และกระบวนการแบบ Manual เช่น โทรศัพท์ แฟกซ์ และการส่งเอกสารผ่านอีเมล) ในปี 2564 โดยส่วนใหญ่เริ่มนำเครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แพลตฟอร์มดิจิทัล และโซลูชันมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อีกทั้งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมการผลิตแบ่งออกเป็น 5 ประเภทตามกระบวนการทำงาน ประกอบด้วย

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ โดยผลสำรวจชี้ให้เห็นว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 2.0 ซึ่ง 57% ของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้คำสั่งซื้อออนไลน์ โดยการเปิดเว็บไซต์เพื่อรับคำสั่งซื้อและการชำระเงิน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (ออกแบบผลิตภัณฑ์) ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 90.67% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้โปรแกรมช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ เช่น Computer-Aided Design (CAD) หรือการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยวาดภาพ 2D/3D และสร้างชิ้นส่วน เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการจัดการกระบวนการผลิต ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 87.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้เครื่องจักรระบบอัตโนมัติที่เรียบง่าย เช่น การใช้ Computer Numerical Control (CNC) หรือเครื่องจักรกลแบบอัตโนมัติที่มีการทำงานด้วยระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ รวมทั้งระบบอัตโนมัติทั้งหมดหรือบางส่วน เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 70% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้อีเมลเพื่อติดต่อลูกค้า และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการธุรกิจ ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 69.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้ระบบสารสนเทศแบบแยกส่วนในบางแผนก/ฝ่าย

อย่างไรก็ตาม แม้ภาคอุตสาหกรรมเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัล และให้ความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระดับ 4.0: Automation โดยมีแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่สูงขึ้น มีการใช้ระบบอัตโนมัติ/ระบบสารสนเทศในการบริหารจัดการและวางแผนมากขึ้น มีการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อใช้บริหารจัดการธุรกิจเพิ่มขึ้น และแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขยับตัวไปที่ระดับ 3.0: Platform มากขึ้น แต่ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างยังชี้ให้เห็นว่า การขาดความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การขาดแคลนพนักงาน/แรงงานที่มีทักษะดิจิทัล การขาดแคลนเงินทุน และการที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดเล็กยังไม่เหมาะที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งหมดถือเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับที่สูงขึ้น

ด้วยแรงกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรมไทยจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขัน แม้ดัชนีความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมที่จัดโดย UNIDO แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยยังครองอันดับที่สาม รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย แต่หากไม่เร่งยกระดับภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมภายในระยะเวลา 5 ปีจากนี้ ทั้งการพัฒนาทักษะบุคลากร และการส่งเสริมการทำ Digital Transformation โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs เพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ประเทศไทยอาจต้องเผชิญความเสี่ยงในการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจจากผลิตภาพการผลิตสูงถึงกว่า 1.8 ล้านล้านบาทต่อปี หรือ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

 

นอกจากนี้ ภายในงานแถลงผลสำรวจฯ ดีป้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประกาศความร่วมมือการจัดทำข้อมูลเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของไทยอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมจัดการเสวนาในหัวข้อ Data-driven Industry: ผนึกกำลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย โดยมี นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ รักษาการ ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายธีรทัศน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นางอภิรดี ขาวเธียร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นายอมฤต ฟรานเซน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร.อุมา วิรัตน์สกุลชัย ผู้แทนสำนักงานภูมิภาค UNIDO และผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดด้านการส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายผลทางธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน

สำหรับผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดเอกสารประกอบการแถลงผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรม ปี 2567 รวมถึงผลสำรวจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมดิจิทัลในมิติต่าง ๆ ที่ ดีป้า ดำเนินการได้ทาง www.depa.or.th/th/depakm/digital-indicators, LINE OA: depaThailand และ Facebook Page: depa Thailand

เคทีซีเผยหมวดประกันมีการใช้จ่ายสูงสุดในพอร์ตตลาดบัตรเครดิตอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์บริษัทประกันชั้นนำ เปิดตัวแคมเปญที่หลากหลายสิทธิประโยชน์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกบัตรเคทีซีทุกเจนเนอเรชัน ไม่ว่าจะเป็นการชำระเบี้ยประกันปีแรกหรือปีต่ออายุ

นายสุวัฒน์ เทพปรีชาสกุล  ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี”หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดประกันในปี 2567 เติบโตขึ้น มากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งในปี 2568 นี้ เคทีซีจะนำเสนอสิทธิประโยชน์ให้แก่สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ทุกความต้องการในหลากหลายรูปแบบทั้งประกันชีวิต  ประกันสุขภาพ รวมถึงประกันภัย กว่า 50 บริษัท เมื่อซื้อพร้อมชำระเบี้ยประกันปีแรกและปีต่ออายุ ทั้งชำระเต็มจำนวนและผ่อนชำระ”

ซึ่งในหมวดประกันชีวิตและประกันสุขภาพ การชำระเต็มจำนวนเบี้ยประกันปีแรก และปีต่ออายุกับ พันธมิตรบริษัทประกันชั้นนำที่ร่วมรายการ ได้แก่    กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เอไอเอ เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต และกรุงเทพประกันชีวิต ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 - 30 มิถุนายน 2568 สมาชิกเคทีซีเลือกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 1% ของค่าเบี้ยประกันโดยไม่ต้องแลกคะแนน หรือเลือกรับคะแนน KTC FOREVER พิเศษสูงสุด 25% ของคะแนนปกติ

สำหรับการชำระเต็มจำนวนเบี้ยประกันปีแรกและปีต่ออายุกับบริษัทประกันที่ร่วมรายการ เช่น เมืองไทย ประกันชีวิต อาคเนย์ประกันชีวิต เจนเนอราลี่ พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต โตเกียวมารีนประกันชีวิต ซัมซุง ประกันชีวิต ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 - 30 มิถุนายน 2568 สมาชิกเคทีซีสามารถรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 13% โดยรับ เครดิตเงินคืนสูงสุด 1% โดยไม่ต้องแลกคะแนน และรับสิทธิ์แลกคะแนน KTC FOREVER ทุก 1,000 คะแนน รับเครดิตเงินคืน 12%

นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษผ่อนชำระเบี้ยประกันปีแรก 0% นานสูงสุด 6 เดือน กับกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เอไอเอ และกรุงเทพประกันชีวิต ตลอดจนถึงครอบคลุมไปถึงการผ่อนชำระเบี้ยประกันปีต่ออายุด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.60% และ 0.69% ต่อเดือน นานสูงสุด 10 เดือน ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด กับกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เอไอเอ เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต และกรุงเทพประกันชีวิต โดยสมาชิกที่มียอดชำระเบี้ยประกันภัยแบบเต็มจำนวน สามารถโทรเข้า โทร. 02 123 5650 หรือ Direct Line ที่อาจกำหนดพิเศษเพิ่มเติม เพื่อแจ้งความประสงค์เปลี่ยนยอดเต็มจำนวนมาเป็นยอดผ่อนชำระ

 

และยังขยายความคุ้มค่าไปถึงกลุ่มประกันวินาศภัยโดยสามารถชำระค่าเบี้ยประกันภัยกับพันธมิตร ประกันภัยที่ร่วมรายการ เช่น วิริยะประกันภัย ทิพยประกันภัย เมืองไทยประกันภัย กรุงเทพประกันภัย กรุงไทยพานิชประกันภัย ทีคิวเอ็ม เจนเนอราลี่ ธนชาตประกันภัย เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย และประกันภัยไทยวิวัฒน์ สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 -  31 ธันวาคม 2568

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/insurance-privilege หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ KTC 02 123 5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี  

X

Right Click

No right click