

โก โฮลเซลล์ (GO WHOLSALE) ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร ที่มีความสดใหม่ตลอดเวลาเพื่อผู้ประกอบการ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เร่งค้นหาโอกาสที่สดใหม่ ด้านการเฟ้นหาทรัพยากรบุคคล ลุยชี้แนะนักศึกษาถึงรั้วมหาวิทยาลัย เน้นทำงานตรงสายเสริมแกร่งผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจ นำร่องที่แรก ‘มหาวิทยาลัยมหาสารคาม’!

นางสาวยิ่งลักษณ์ นิพนธ์ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด กล่าวว่า โก โฮลเซลล์ มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอทางเลือกที่สดใหม่ในทุกมิติ รวมถึงในมิติของการเฟ้นหาบุคลากรที่ธุรกิจค้าส่งวัตถุดิบอาหารมีความต้องการสูง โดยเฉพาะผู้จบการศึกษาในสาขาเฉพาะทางที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจที่กำลังอยู่ในช่วงขยายงาน ล่าสุดได้เปิดตัวกิจกรรม University Road Show ครั้งที่ 1/2568 เพื่อจับคู่ตำแหน่งงานที่ตรงกับสาขาการเรียนของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย โดยเริ่มที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นแห่งแรก ซึ่งในธุรกิจค้าส่งอาหาร มีความต้องการบุคลากรที่มีความชำนาญเฉพาะทางเป็นจำนวนมาก อาทิ แผนกอาหารสด แผนกเบเกอรี่ แผนกบริหารงานขายและพัฒนาลูกค้า แผนกโลจิสติกส์ ฯลฯ

กิจกรรม University Road Show ครั้งที่ 1/2568 ของ โก โฮลเซลล์ ได้แนะนำตำแหน่งงานผ่านโครงการปัจฉิมสหกิจศึกษาและการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงานรุ่นที่ 52 ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งมีนักศึกษาลงทะเบียนร่วมงานกว่า 400 คนจากหลายคณะ รวมถึง คณะเทคโนโลยี ที่มีสาขาวิชาที่ตรงกับตำแหน่งงานในห่วงโซ่ธุรกิจของโก โฮลเซลล์ อาทิ ประมง/ พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร/ สัตวศาสตร์/ เกษตรศาสตร์ พืชสวน/ เกษตรศาสตร์ พืชไร่/ เทคโนโลยีการอาหารและโภชนาการ
“น้องๆ หลายคนยังไม่ทราบว่า สาขาที่เรียน สามารถทำงานในธุรกิจค้าส่งอาหารได้หลายตำแหน่ง และยังมีโอกาสเติบโตในสายงานบริหารต่อไปในอนาคต อาทิ ผู้ที่เรียนจบประมง สามารถทำงานในสายงานบริหารงานขายและพัฒนาลูกค้า หรือแผนกอาหารสดประจำสาขา สัตวศาสตร์ ก็ตอบโจทย์สินค้ากลุ่มเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อวัว ที่มีกระแสนิยมชิ้นส่วนต่างๆ ส่วน พืชสวนพืชไร่ จะได้เปรียบและเข้าใจเชิงลึกถึงมาตรฐานการเพาะปลูก ซึ่งกิจกรรม University Road Show นี้จะช่วยค้นหาโอกาสของตลาดแรงงานใหม่ๆ และทำให้น้องๆ นักศึกษา ได้มองเห็นโอกาสการเติบโตในสายงานอาชีพที่เรียนมา ที่สำคัญ กิจกรรมนี้เปิดรับสมัครงานให้กับน้องๆ ที่สนใจด้วย และบางคนได้ร่วมงานกับเรา ที่สาขาขอนแก่น อุดรธานี” นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าว

ทั้งนี้ การปรับกระบวนการสรรหาบุคลากรให้ตอบโจทย์ธุรกิจ ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสู่ความสำเร็จหรือคีย์ซัคเซสที่สำคัญ ในการพัฒนาแนวทางการดำเนินงานของธุรกิจค้าส่งอาหารในโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องไปกับคุณค่าหลักของแบรนด์ (Brand Core Value) ขององค์กร ที่ประกอบไปด้วย F-Forward Focused มองไปข้างหน้า R-Reliable วางใจได้ E-Energetic เต็มไปด้วยพลัง S-Strategic ใส่ใจคัดสรร และ H-Helpful พร้อมช่วยเหลือ
ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก ประกาศความพร้อมเต็มร้อยในการนำทัพยนตรกรรมชั้นนำมาสู่ตลาดประเทศไทย ด้วยวิสัยทัศน์จากผู้บริหารระดับแนวหน้า นำโดย นายฉี เจี๋ย ประธานบริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมเปิดตัวทีมผู้บริหารใหม่อย่างเป็นทางการ เตรียมผลักดันแบรนด์ OMODA & JAECOO และ Chery สู่การแข่งขันอย่างเต็มตัว
หลังจากที่ได้ประกาศความพร้อมในการขยายเข้าสู่ตลาดรถยนต์ประเทศไทย ในงาน Bangkok International Motor Show 2025 ที่ผ่านมา ล่าสุด OMODA & JAECOO และ Chery ได้ผนึกกำลังโดยทีมผู้บริหารระดับแนวหน้า ร่วมขับเคลื่อนแบรนด์สู่การแข่งขันอย่างเต็มศักยภาพ นำทัพโดย ฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและประสบการณ์มากมายในการขยายตลาดยานยนต์ไปยังประเทศในภูมิภาคต่างๆ พร้อมด้วย พิชญุตม์ วงศ์พัฒนาสิน รองประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด ขุนพลคู่ใจที่จะเข้ามาร่วมวางกลยุทธ์การตลาดและกำหนดทิศทางของแบรนด์ เสริมกำลังด้วย บิล จาง ผู้อำนวยการแบรนด์ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ผู้นำที่ได้สั่งสมประสบการณ์ในวงการยานยนต์ในประเทศจีนมาอย่างยาวนาน และจิม ลี ผู้อำนวยการ แบรนด์ เชอรี ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ผู้เพียบพร้อมด้วยประสบการณ์การทำงานกับ Chery Internationalมาอย่างยาวนาน
Chery Automobile คือตัวอย่างที่แท้จริงของการพัฒนานวัตกรรมยนตกรรมอย่างไร้ขีดจำกัด จากการก่อตั้งในปีค.ศ. 1997 จนกลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก บริษัทฯไม่เพียงแต่ผลิตรถยนต์ หากแต่สร้างสรรค์อนาคตด้วยปรัชญาที่มุ่งเน้นนวัตกรรม ความยั่งยืน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยพนักงานกว่า 25,000 คน กับการดำเนินงานใน 110 ประเทศ และผู้ใช้มากกว่า 15 ล้านคน Chery ได้พิสูจน์แล้วว่า รถยนต์สัญชาติจีนสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดและสร้างอิทธิพลในระดับสากลได้อย่างแท้จริง การันตีด้วยความสำเร็จจากการส่งมอบรถยนต์ 2.6 ล้านคันทั่วโลกในปีพ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา โดยสำหรับประเทศไทย Chery Automobile ได้ส่งมอบนวัตกรรมผ่านแบรนด์ลูกอย่าง OMODA และ JAECOO เพื่อบุกเบิกตลาดเป็นการนำร่อง โดยเฉพาะการเปิดตัว OMODA C5 EV, JAECOO 6 EV (หรือ iCAR 03 ในประเทศจีน) ที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างเกินความคาดหมาย ตลอดจน JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) ที่เปิดตัวล่าสุดในงาน Motor Show 2025 นับเป็นยนตรกรรมที่จะมาพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งภูมิภาค ซึ่งในช่วงระหว่างงาน Bangkok Motor Show 2025 ที่ผ่านมา OMODA & JAECOO ได้รับการสนับสนุนและไว้วางใจ ด้วยยอดจองถึง 2,568 คัน ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวความสำเร็จ ตามที่แบรนด์ได้รับยกย่องว่า OMODA & JAECOO เป็นแบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก การเสริมทีมผู้บริหารระดับแนวหน้าในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า การก้าวเข้าสู่ประเทศไทยของ OMODA & JAECOO ไม่เพียงแต่เป็นการขยายตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นการกรุยทางให้ Chery กลับมาทำตลาดในไทยอีกครั้ง ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นสร้างอนาคตแห่งการขับเคลื่อนอย่างล้ำสมัยและยั่งยืน
"วันนี้ เราไม่เพียงแค่รวมตัวกัน แต่เรากำลังปฏิวัติอนาคตแห่งยานยนต์ OMODA, JAECOO และ Chery เชื่อในพลังของการทำงานร่วมกัน จึงได้รวบรวมนักคิด นวัตกร และผู้เชี่ยวชาญหลากหลายแขนงจากทั่วโลกมาร่วมบุกเบิกอนาคต หลอมรวมความคิด พลังสร้างสรรค์ และวิสัยทัศน์ เราเชื่อในพลังของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการท้าทายขีดจำกัดเดิมๆ เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เราพร้อมที่จะสร้างประสบการณ์การเคลื่อนที่แห่งอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด ด้วยความมุ่งมั่น นวัตกรรม และความกล้าที่จะคิดนอกกรอบ เราพร้อมพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า OMODA, JAECOO และ Chery ไม่ใช่แค่แบรนด์ แต่เป็นขุมพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง" ฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) กล่าว
การผนึกกำลังครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของ OMODA & JAECOO และ Chery ในการขยายตลาดสู่ประเทศไทย พร้อมนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลก ด้วยความสำเร็จที่ผ่านมา บริษัทมุ่งหวังที่จะสร้างความประทับใจและมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ไทยอย่างแท้จริง
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยภายหลังประชุมหารือแนวทางการดำเนินการของไทยต่อกรณีนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและภาคเอกชน ณ กระทรวงการคลัง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า EXIM BANK พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ที่มีต่อผู้ประกอบการไทย ภายใต้ 5 แนวทางหลัก ดังนี้
ทั้งนี้ ในปี 2567 ไทยมีมูลค่าส่งออกรวมอยู่ที่ 300,530 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 18% ของมูลค่าส่งออกรวมเป็นการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ หรือคิดเป็นมูลค่า 54,956 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยจำนวน 3,700 รายจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าส่งออกราว 7,634 ล้านดอลลาร์สหรัฐ EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง พร้อมเร่งช่วยเหลือและเยียวยาลูกค้า ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด ท่ามกลางมรสุมทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
กลุ่มอลิอันซ์ เปิดเผยบทวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกหลังนโยบายทรัมป์ ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เข้มข้นขึ้น หลังจากสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวาระที่สอง ประกาศใช้มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) โดยตั้งเป้าเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงสุดถึง 130% ซึ่งถือเป็นระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1890 ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนการค้าระหว่างประเทศพุ่งสูงขึ้นทันที โดยเฉพาะในภาคยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิต และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการภาษีกับประเทศอื่นเพิ่มเติม เช่น กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เม็กซิโก และยุโรปตะวันออก นำไปสู่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่แผ่ขยายไปทั่วโลก ส่งผลให้ธนาคารกลางและนักลงทุนต่างเริ่มประเมินความเสี่ยงใหม่อีกครั้ง


กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด โดยศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรไทร์พลัส ต่อยอดความร่วมมือพัฒนาช่างศูนย์บริการรถยนต์ไทร์พลัส แบบครบวงจร ตรวจสอบบำรุงรักษารถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า บริการประทับใจทุกระดับ โดยมีนายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และนางสาวมนฑรัตน์ ลิมปิยากร ผู้อำนวยการธุรกิจไทร์พลัสแฟรนไชส์ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งได้ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการตอบโจทย์การผลิตแรงงานฝีมือสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะศูนย์บริการรถยนต์ไทร์พลัส ที่กลายเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญในการให้บริการการตรวจสอบระบบความปลอดภัย การบริการรถยนต์ไฟฟ้า การติดตั้งอุปกรณ์เสริม หรือบริการหลังการขายที่ช่วยให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายและมั่นใจ ซึ่งระหว่างปี 2558-2567ทั้ง 2 องค์กรได้ร่วมกันการขับเคลื่อนผลิตแรงงานฝีมือ จัดฝึกอบรมหลักสูตรด้านยานยนต์สมัยใหม่ ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ และสาขาการซ่อมรถยนต์ มีผู้ผ่านฝึกอบรมและทดสอบฯ รวมทั้งสิ้น 3,453 คน สำหรับในปี 2568 เป็นการต่อยอดความร่วมมือโดยร่วมกันพัฒนาหลักสูตรด้านยานยนต์ มีแผนจัดฝึกอบรมหลักสูตรการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า (ระยะเวลาการฝึกอบรม 30 ชม.) และหลักสูตรมาตรฐานการปฏิบัติงานในศูนย์บริการบำรุงรักษารถยนต์(ระยะเวลาการฝึกอบรม 6 ชม.) ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น สุพรรณบุรี เชียงใหม่ และตรัง และจัดทดสอบฯ สาขาช่างซ่อมรถยนต์ ระดับ 1 ให้แก่ช่างฝีมือ ช่างทั่วไป และพนักงานศูนย์บริการรถยนต์ไทร์พลัส ให้มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะสำหรับการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพให้ได้มาตรฐานฝีมือแรงงาน สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ ตั้งเป้ามีผู้เข้ารับการฝึกอบรบไม่น้อยกว่า 200 คน
“ขอขอบคุณทางบริษัท สยามมิชลิน จำกัด ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ สร้างความเชื่อมั่นและประทับใจให้แก่ประชาชนในการรับบริการต่างๆ ในศูนย์บริการรถยนต์ พร้อมมีการจ้างงานมากขึ้นในตำแหน่งช่างฝีมืออีกด้วย”

นางสาวมนฑรัตน์ ลิมปิยากร ผู้อำนวยการธุรกิจไทร์พลัสแฟรนไชส์ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด กล่าวว่า “ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรไทร์พลัสพร้อมผลักดันความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อเป้าหมายสำคัญ ในการมุ่งพัฒนายกระดับศักยภาพบุคลากรและศูนย์บริการไทรพลัส ให้มีความเชี่ยวชาญทางด้านการบำรุงรักษารถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า ตามมาตรฐานการรับรองจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและมาตรฐานสากล ITSO เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าใช้บริการที่จะได้รับประสบการณ์ที่ดี จากบริการในระดับมาตรฐานสากล ส่งมอบความปลอดภัย และความอุ่นใจด้วยความโปร่งใส จริงใจในทุกการให้บริการ พร้อมดูแลคุณและคนที่คุณรักด้วยบริการครบวงจรของไทร์พลัส ที่มีอยู่กว่า 170 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศไทย
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA จับมือพาร์ทเนอร์ เตรียมจัด ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID รอบชิงชนะเลิศ ชูแนวคิด “จุดประกายความคิด ปลดล็อคอนาคต Digital ID” เร่งเฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรมยกระดับบริการ Digital ID สำหรับการทำธุรกรรมของนิติบุคคลและคนต่างด้าว ชวนลุ้น! จากโจทย์ที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “e-Juristic Person Transaction” ทีมใดจะคว้าชัยในสนามนวัตกรรม สู่สุดยอดโซลูชัน Digital ID พลิกโฉมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของนิติบุคคล รู้พร้อมกัน 26 เมษายนนี้
ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA กล่าวว่า การเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบโซลูชัน จะช่วยเร่งให้เกิดนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง และสอดคล้องกับบริบทของประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ Digital ID ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือ ‘หัวใจ’ ของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ลดความซับซ้อน และสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมออนไลน์ทั้งของบุคคลและนิติบุคคล ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายด้าน ดังนั้น ETDA จึงไม่ได้หยุดแค่การออกแบบนโยบายเพื่อการกำกับดูแล แต่ยังมุ่งสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม ผ่านกิจกรรมการแข่งขัน ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ปลดล็อคอนาคต Digital ID” ที่ไม่เพียงเป็นเวทีการแข่งขันเพื่อเฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรมยกระดับบริการ Digital ID สำหรับการทำธุรกรรมของนิติบุคคลและคนต่างด้าวเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งการมีส่วนร่วม ที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมออกแบบอนาคตของ Digital ID ที่เข้าถึงได้ เชื่อถือได้ และใช้งานได้จริงในทุกมิติของสังคมดิจิทัลไทย ผ่านโจทย์การแข่งขันสุดท้าทาย 2 เวที กับ 2 โจทย์ใหญ่ ได้แก่ โจทย์ที่ 1 “e-Juristic Person Transaction” การทำธุรกรรมของนิติบุคคลแบบอิเล็กทรอนิกส์ และโจทย์ที่ 2 “Digital ID for Foreigners” มุ่งพัฒนาแนวทางการพิสูจน์ตัวตนสำหรับคนต่างด้าวในไทย

สำหรับเวทีการแข่งขันเวทีแรก กับ โจทย์ที่ 1 “e-Juristic Person Transaction” ที่มุ่งเฟ้นหาโซลูชัน Digital ID ที่เข้ามายกระดับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับกลุ่มนิติบุคคล ตั้งแต่เปิดรับสมัครในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และปิดรับสมัครไปเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา พบว่า ได้รับการตอบรับจากทีมผู้เข้าแข่งขันที่ร่วมสมัครภายใต้โจทย์นี้จำนวนมาก รวมกว่า 34 ทีม ซึ่งก่อนหน้านี้ได้จัด Workshop เพื่อปูพื้นฐานให้กับผู้เข้าแข่งขัน พร้อมจัด Pre-Hack Workshop ถึง 2 ครั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมและให้ข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นแก่ผู้เข้าแข่งขันก่อนลงสนามจริง ที่เน้นเนื้อหาครอบคลุมหัวข้อสำคัญ เช่น วิธีการเชื่อมต่อ API ระบบ BDEX ทั้งยังมีการแบ่งปัน Use Cases ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการประยุกต์ใช้ e-Stamp Duty และ e-Signature ในการธุรกรรมออนไลน์จริง ก่อนที่เหล่าคณะกรรมการจะทำการคัดเลือก ให้เหลือ 10 ทีมสุดท้าย ที่ไปต่อในกิจกรรม Orientation Day เตรียมพร้อมทุกทีมก่อนเข้าสู่สนามแข่งจริงในรอบชิงชนะเลิศ
โดย 10 ทีมที่ผ่านรอบสุดท้าย ได้แก่ 1.ทีม ATTRA CARD 2.ทีม BCI: IdentityX 3.ทีม BOL 4.ทีม DeepPocket 5.ทีม Creden 6.ทีม EazyLaw 7.ทีม Finema Co. Ltd. 8.ทีม ID Pivot 9.ทีม InDistinct และ 10.ทีม TDID ซึ่งแต่ละทีมได้นำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ Digital ID ที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับกลุ่มนิติบุคคลที่สะดวก ปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ตัวอย่าง เทคโนโลยีที่ทีมเลือกมาประยุกต์ใช้กับโซลูชัน เช่น e-Signature, eKYC, Smart Contract, Public Key Infrastructure ส่วนการทำธุรกรรมที่ผู้เข้าแข่งขันเห็นความสำคัญและร่วมหยิบยกมาใช้เป็น Use Case ที่มีมุมมองแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น การทำสัญญา การลงนามในเอกสาร การลดความเสี่ยงจากการปลอมแปลงเอกสาร การยื่นภาษี การใช้งานเอกสารในชั้นศาล การตรวจสอบความถูกต้องข้อมูลนิติบุคคล เป็นต้น
โดยกิจกรรม ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID ภายใต้โจทย์ที่ 1 “e-Juristic Person Transaction” รอบชิงชนะเลิศ เตรียมจัดขึ้นในวันที่ 26 เมษายน 2568 ณ House Samyan โรงหนังที่ 4 สามย่านมิตรทาวน์ ชั้น 5 โดยความร่วมมือระหว่าง ETDA และพาร์ทเนอร์สำคัญ ได้แก่ กรมการปกครอง, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD), กรมสรรพากร, กรมศุลกากร, สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.), สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.), สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA),สํานักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา, สำนักสุขภาพดิจิทัล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์และ บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด โดยเวทีนี้ ถือเป็นการแข่งขันรอบตัดเชือกครั้งสุดท้าย ที่ทั้ง 10 ทีมที่ผ่านเข้ารอบ จะต้องแข่งขันกันในรูปแบบ Pitching ด้วยการนำเสนอไอเดีย นวัตกรรมที่สอดคล้องกับโจทย์การแข่งขัน เป็นเวลาทีมละ 5 นาที และถามตอบอีก 10 นาที ต่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จากหลากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA คุณจิตสถา ศรีประเสริฐสุข รองผู้อำนวยการ ETDA คุณจันทร์เจริญ แบร์โรวส์ ผู้อำนวยการกองบริหารการเสียภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง Techsauce ผู้บริหาร จากสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และคุณกิตติ ขุนสนิท ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมแพลตฟอร์มและบริการดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)
โดยทีมที่คว้ารางวัลชนะเลิศ อันดับ 1 จะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท และ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 รับเงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ ประกาศนียบัตร (e-Certificate) จาก ETDA พร้อมโอกาสในการต่อยอดนวัตกรรมสู่การใช้งานจริงไปพร้อมกับพาร์ทเนอร์ภาครัฐและเอกชนพร้อมโอกาสนำเสนอผลงานบนเวที Tech Showcase Stage ในงาน Techsauce Global Summit 2025
ผู้สนใจสามารถรับชม Live ถ่ายทอดสดการแข่งขันและร่วมลุ้นไปพร้อมกันทาง เฟซบุ๊ก ETDA Thailand (https://www.facebook.com/ETDA.Thailand) ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.etda.or.th/th/digital-id-hackathon
เซเว่น อีเลฟเว่น เสิร์ฟกิจกรรมสุดสร้างสรรค์รับปิดเทอมซัมเมอร์ จัดงาน 7 KIDS CLUB CAMP 2025: พลังคิดส์ ตะลุยภารกิจ 2 ลด 4 สร้าง 1 DNA 3 วันจัดเต็ม กิจกรรมฐานการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ เป็น “พลังคิดส์” ที่มีหัวใจแห่งความยั่งยืนและความดี พร้อมเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ

ภายในงาน นายวรเดช เลิศโรจน์ปัญญา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักบริหาร Store Business Partner บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ขนทัพผู้บริหาร พนักงานซีพี ออลล์ เซเว่น อีเลฟเว่น ต้อนรับน้องๆ พร้อมจัดเต็มกิจกรรมตลอด 3 วัน

กิจกรรมแบ่งออกเป็น 7 ฐานการเรียนรู้ ได้แก่

สำหรับโครงการ “7 KIDS CLUB พื้นที่สร้างความสุข สนุกให้น้อง” เป็นหนึ่งในนโยบายสร้างชุมชนอุ่นใจ 7-Eleven เคียงคู่ชุมชน โดยกิจกรรมจัดขึ้นทุกๆ เดือน ตลอดทั้งปี และกิจกรรม 7 Kids Club Camp จัดขึ้นในช่วงปิดเทอม เพื่อให้เด็กๆ ระดับอนุบาลถึงประถมต้น ที่สนใจได้มาทำกิจกรรม เสริมความสุข สนุก และสร้างแรงบันดาลใจ ไปกับพี่ๆ ผู้บริหาร พนักงาน ซีพี ออลล์ และเซเว่นฯ ที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาดูแลน้องๆ ทุกคน อย่างอบอุ่น
นายสุรินทร์ ตนะศุภผล ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกลยุทธ์องค์กร และนายคณานุสรณ์ เที่ยงตระกูล ผู้ช่วยเลขาธิการ สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้เดินทางไปยังสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจำประเทศไทยเข้าพบ Mr.Yan Naung Deputy Director Labour Attache Office เพื่อหารือแนวทางการใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลสัญชาติเมียนมาที่เสียชีวิตจากเหตุอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม อันเนื่องมาจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568
ในการนี้ สำนักงาน คปภ. ดำเนินการจัดส่งรายชื่อผู้เสียชีวิตที่มีสัญชาติเมียนมาให้แก่สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐ แห่งสหภาพเมียนมาฯ เพื่อทำการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับ “ทายาทโดยธรรม” หรือ “บุคคลที่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย” ซึ่งจะเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยที่เกี่ยวข้อง โดยความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาในการระบุตัวบุคคลที่มีสิทธิรับค่าสินไหมทดแทน และช่วยให้การจ่ายเงินค่าสินไหมเกิดขึ้นอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม
โดยหลังจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบและยืนยันเกี่ยวกับทายาทโดยธรรมหรือบุคคลที่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายเรียบร้อยแล้ว สำนักงาน คปภ. จะเร่งประสานงานกับบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้มีสิทธิโดยเร็วที่สุด อันเป็นการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างก้าวข้ามข้อจำกัดจากอุปสรรคในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
สำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของผู้เอาประกันภัยและผู้มีสิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นประชาชนชาวไทย หรือประชาชนของชาติใดก็ตาม พร้อมทั้งจะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประสบภัยหรือทายาทจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่พึงมีพึงได้โดยเร็วที่สุด
บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ในฐานะผู้ขายส่งบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับ บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (บริษัท เคโฟร์) ขอแจ้งให้ทราบว่า เนื่องด้วยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ สำนักงาน กสทช. มีมติให้การอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง เพื่อให้บริการขายต่อบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน (บริการ MVNO ) ของ บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการ MVNO ในนามซิมการ์ด “K4” สิ้นสุดลงตั้งแต่ วันที่ 26 มีนาคม 2568 เป็นต้นไปนั้น
บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ขอแจ้งว่าผู้ใช้บริการของ บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ยังคงสามารถใช้งาน ได้อย่างต่อเนื่องและสามารถดำเนินการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (MNP) มายัง my by nt หรือไปยังผู้ให้บริการรายอื่นได้ ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2568
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ NT Contact Center 1888
กลับมาอีกครั้ง กับภาพยนตร์สารคดีซีรีส์ที่ครองใจผู้ชมทั่วโลก "Hidden Gem ซีซั่น 2" จากทรูซีเจ ครีเอชั่นส์ ที่จะพาผู้ชมไปสัมผัสเรื่องราวสุดพิเศษที่เปรียบเหมือน “อัญมณีล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ในรสชาติ” จากเจ้าของร้านสตรีทฟู้ดทั่วทุกมุมของประเทศไทย เปิดประสบการณ์การค้นพบที่จะพาคุณตื่นตาตื่นใจไปกับวัฒนธรรมอันหลากหลายและขนบธรรมเนียมอันงดงามของแต่ละท้องถิ่น ออกอากาศตอนแรกในวันที่ 24 เมษายน 2568 เวลา 20.00 น. ทาง Asian Food Network ทรูวิชั่นส์ ช่อง 356, True Visions NOW, TrueID, และรับชมย้อนหลังได้ทาง MAX สำหรับทาง Netflix เริ่มรับชมได้ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
หลังจาก Hidden Gem ซีซั่น 1 ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม ผ่านการออกอากาศทั่วโลกกวาดสายตากว่า 550 ล้านอายบอลส์ (eyeballs) จากช่อง Asian Food Network, SBS, Thema SAS ในเครือ Canal+, njam!, Inflight Entertainment ของสายการบินไทย รวมถึงการรับชมย้อนหลังได้ทาง Netflix และ MAX ส่งผลให้สตรีทฟู้ดไทยเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ในปีนี้ ทรูซีเจ ครีเอชั่นส์ ด้วยการสนับสนุนจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และได้ผู้ผลิตจากซีซั่นแรกอย่าง บริษัท อาร์วายโอไอไอ ฟิล์ม จำกัด จึงได้ร่วมกันยกระดับการนำเสนอภาพยนตร์สารคดีซีรีส์ปีนี้ ด้วยการเจาะลึกถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นคู่ครัวไทย เรื่องราวอันน่าประทับใจของผู้คน และสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมที่ไม่เคยถูกเปิดเผยที่ใดมาก่อน โดยถ่ายทอดเรื่องราวเบื้องหลังรสชาติที่ถูกซุกซ่อนในหลายจังหวัดของไทย เพื่อส่งต่อคุณค่าของอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกต่อไป

"Hidden Gem ซีซั่น 2" ประกอบด้วย 6 ตอน ความยาวตอนละ 45 นาที โดยแต่ละตอนจะพาผู้ชมไปพบกับเรื่องราวของร้านอาหารชื่อดังทั่วประเทศ ได้แก่ ‘จ๊ะไหนซีฟู้ด’ เกาะลิบง จ.ตรัง, ‘บ้านสวนสุขใจ’ จ.เชียงใหม่, ‘ข้าวต้มบวร’ กรุงเทพมหานคร, ‘ห้องอาหารอินโดจีน’ จ.อุบลราชธานี, ‘บ้านใหญ่ผัดไทยเตาถ่าน’ กรุงเทพมหานคร และ ‘ครัวเนื้อหอม’ จ.ลำปาง
ผู้ชมสามารถรับชมเรื่องราวที่เปรียบเหมือน “อัญมณีที่ซ่อนอยู่ในรสชาติ” จากตำนานร้านสตรีทฟู้ดไทยกับภาพยนตร์สารคดีซีรีส์ชุด "Hidden Gem ซีซั่น 2" ทาง Asian Food Network ออกอากาศครอบคลุมมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก โดยในประเทศไทยสามารถรับชมได้ทาง ทรูวิชั่นส์ช่อง 356, ทรูวิชั่นส์ นาว แพ็คเก็จ แม็กซ์ โดยออกอากาศสัปดาห์ละ 1 ตอน เริ่มตอนแรก วันที่ 24 เมษายน 2568 เวลา 20.00 น. (เวลาประเทศไทย) และรับชมย้อนหลังทาง MAX สำหรับช่องทาง Netflix เริ่มรับชมได้ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/HiddenGemFestTH/