December 06, 2025

Parle แบรนด์ขนมขบเคี้ยวชั้นนำจากประเทศอินเดีย ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 90 ปี ได้เดินหน้าขยายตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมขยายฐานการผลิตและเปิดตัวผลิตภัณฑ์หลากหลายที่ได้รับความนิยมระดับโลก เพื่อส่งมอบความอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการให้กับผู้บริโภคชาวไทย

มร.ฮาร์โมฮินเดอร์ ซิงห์ ซารีน (Mr. Harmohinder Singh Sareen) รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ บริษัท พาร์เล่ โปรดักส์ จำกัด (PARLE PRODUCTS PVT.LTD) ผู้ผลิตขนมแบรนด์พาร์เล่ (Parle) แบรนด์ขนมขบเคี้ยวของอินเดีย กล่าวว่า “จุดเริ่มต้นของ Parle มาจากร้านค้าเล็ก ๆ ที่ผลิตขนมหวานสู่การเป็นผู้ผลิตอาหารและขนมขบเคี้ยวชั้นนำของอินเดียที่มีประวัติยาวนานกว่า 90 ปี ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะบิสกิต ‘Parle-G’ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิสกิตที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ความสำเร็จของ Parle ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอินเดียแต่ยังขยายไปยังตลาดโลก ด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทำให้ Parle กลายเป็นสัญลักษณ์ของผลิตภัณฑ์คุณภาพ ให้คุณค่าทางโภชนาการและรสชาติที่เหนือกว่า ปัจจุบัน Parle ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเป็นเวลา 3 ปี และได้สร้างโรงงานผลิตที่ทันสมัยในประเทศไทย เพื่อการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คุณภาพสู่ผู้บริโภคชาวไทยและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงยังให้ความสำคัญกับการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและการทำการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้นอีกด้วย”

 

ปัจจุบัน Parle มีผลิตภัณฑ์ประเภทบิสกิต 3 หมวดหมู่ รวม 8 แบรนด์เด่น ๆ ได้แก่ พาร์เล่-จี ออริจินัล กลูโค บิสกิต (Parle-G), ไฮด์ แอนด์ ซีค แฟ็บ ช็อกโกแลต (Hide & Seek Fab), ไฮด์ แอนด์ ซีค คุกกี้ช็อกโกแลตชิพ (Hide & Seek chocolate chip), ทเวนตี้-ทเวนตี้ แคสชิว คุกกี้ (20-20 Cashew cookies) และทเวนตี้-ทเวนตี้ บัตเตอร์ คุกกี้ (20-20 Butter cookies) มีวางจำหน่ายแล้วในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ เช่น 7-Eleven, Big C, CJ More, Lawson, Max Valu, Gourmet Market, Jiffy และ Foodland เป็นต้น และในปี 2025 Parle เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อีกจำนวนมาก เช่น แฮปปี้ แฮปปี้ ช็อกโกแลตชิพคุกกี้ (Happy Happy chocolate chip), ไฮด์ แอนด์ ซีค บูร์บอง (Hide & Seek Bourbon) และ แฟ็บ ดาร์ก ช็อกโกแลต ครีม แซนวิช คุกกี้ (Fab Dark chocolate cream sandwich cookies)

“ความสำเร็จของ Parle ในประเทศไทยมาจากการไม่หยุดพัฒนาและมุ่งมั่นที่จะรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดทำผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ Parle ได้รับการยอมรับในฐานะแบรนด์ที่นำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ ทั้งยังให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ ปี Parle พร้อมแล้วที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพ ให้คุณค่าทางโภชนาการ และรสชาติที่เหนือกว่าสู่ผู้บริโภคชาวไทย และสร้างความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย” มร.ซารีน กล่าวทิ้งท้าย

เอปสัน ประเทศไทย เดินหน้าตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ และความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า คว้า 2 รางวัลใหญ่ระดับประเทศในปี 2025 ได้แก่ “Thailand Top Company Awards 2025” ประเภท “Best Customer Experience Award” และ “2025 Thailand’s Most Admired Brand” ในกลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์

บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับรางวัล “Thailand Top Company Awards 2025” ประเภท “Best Customer Experience Award” จัดโดยนิตยสาร Business+ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อยกย่ององค์กรที่มีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม และโดดเด่นด้านการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม โดยเอปสันได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการว่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่สามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายในทุกมิติ

โดยนางสาวสุวัฒนา เหลียงกอบกิจ หัวหน้าฝ่ายบริการองค์กร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล จากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี

 

ขณะเดียวกัน เอปสันยังคว้ารางวัล “2025 Thailand’s Most Admired Brand” จัดโดย นิตยสาร BrandAge ซึ่งเป็นผลจากการสำรวจผู้บริโภคทั่วประเทศในหลากหลายภูมิภาค โดยร่วมกับคณาจารย์จากสถาบันการศึกษาชั้นนำเพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่แม่นยำ สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อแบรนด์ที่โดดเด่นในแต่ละหมวดสินค้า ในปีนี้ เอปสันได้รับเลือกให้เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในหมวดผลิตภัณฑ์ไอทีและดิจิทัล กลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ โดยนางสาววิสาข์ ธนวิภาคย์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายแบรนด์และสื่อสารองค์กร เป็นผู้รับมอบรางวัล

 

การที่เอปสันสามารถคว้าสองรางวัลใหญ่นี้ สะท้อนให้เห็นว่าเอปสันยังคงตอกย้ำพันธกิจหลักในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และความพึงพอใจของลูกค้า โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับผู้คนและโลกใบนี้

พรูเด็นเชียล ประเทศไทย จับมือ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย มอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้า PRULegacy ที่จะได้สัมผัสถึงความพิเศษของอาหารอย่างมีระดับ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวผ่านการรังสรรค์อาหารจากเชฟ 2 ดาวมิชลินที่โด่งดังในเมืองไทย คือ เชฟตาม-ชุดารี เทพาคำ เจ้าของร้านอาหารไทยบ้านเทพา และเชฟการิมา อะโรรา เจ้าของร้านอาหารอินเดีย Gaa ภายใต้แนวคิด “A Mark of Legacy, Inspired by You” ให้ทุกก้าวความสำเร็จในแบบคุณ พร้อมส่งต่อสิ่งที่ดีที่สุดให้คนที่คุณรัก โดยเป็นเอกสิทธิ์ที่มอบให้แก่ลูกค้ากลุ่ม Privilege Banking - UOB Beyond Legacy Founding Member โดยเฉพาะ

 

นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการพาณิชย์ บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดเผยว่า “กิจกรรมที่จัดขึ้นครั้งนี้ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ได้ร่วมกับ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย และมิชลิน ถือเป็นกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่เรามอบให้กลุ่มลูกค้า ‘PRULegacy’ ซึ่ง ‘PRULegacy’ คือเอกสิทธิ์ที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้ากลุ่ม High Net Worth ในการวางแผนการเงินอย่างมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งต่อความมั่งคั่งและมั่นคงสู่รุ่นต่อไป การดูแลและวางแผนความมั่งคั่งให้เติบโต รวมไปถึงประสบการณ์เหนือระดับและการดูแลสุขภาพ พร้อมด้วยสิทธิประโยชน์มากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรอบด้าน”

 

นายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดเผยความร่วมมือในการจัดงานครั้งนี้ว่า “ยูโอบี มีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรธุรกิจด้านแบงก์แอสชัวรันส์ระดับภูมิภาคอาเซียน ในการพาลูกค้ากลุ่ม Privilege Banking ของธนาคาร ร่วมกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมนำเสนอโซลูชันทางการเงินและการประกันชีวิตที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้า เพื่อส่งต่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของยูโอบียืนหยัดเคียงข้างให้คำปรึกษาและสนับสนุนลูกค้าในทุกช่วงชีวิต เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงและเติมเต็มไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมของลูกค้าได้”

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการเปิดตัว ยูโอบี บียอนด์ เลกาซี 3/99 ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่คัดสรรมาเพื่อปกป้องและเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินส่งต่อมรดก สร้างอนาคตมั่นคงเพื่อลูกหลานที่รักอย่างมั่นใจ โดยจ่ายเบี้ยประกันภัยเพียง 3 ปี รับความคุ้มครองจนถึงอายุครบ 99 ปี ไม่ต้องตรวจสุขภาพ* พร้อมมอบความคุ้มครองคงที่ตลอดสัญญา ช่วยให้การวางแผนมรดกเป็นเรื่องง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีมรดก (*สําหรับผู้ขอเอาประกันภัยที่มีอายุ 18-56 ปี, ทุนประกันภัยแบบไม่ต้องตรวจสุขภาพ แต่ต้องแถลงข้อมูลสุขภาพตามแบบฟอร์มใบคําขอเอาประกันภัย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัย และ บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิในการเรียกตรวจสุขภาพ ตามเงื่อนไขการพิจารณารับประกันภัยของบริษัทฯ หากผู้ขอเอาประกันภัยมีประวัติสุขภาพ) ดูรายละเอียดได้ที่ 

ตัวอย่างเอกสิทธิ์สำหรับสมาชิก PRULegacy อาทิ บัตร E-Voucher สำหรับรับประทานอาหาร​ที่ร้านอาหารมิชลินที่ร่วมรายการ อาทิ Chef’s Table, Mezzaluna และ Nawa Thai Cuisine มูลค่า 2,000 บาท​, แพ็กเกจตรวจสุขภาพฟรี ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ 21สาขาทั่วประเทศ​, ส่วนลด 15% และการอัปเกรดห้องพัก พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ Chiva-Som Hua-Hin, ส่วนลดสำหรับบัตรโดยสาร Bangkok Airways ​เส้นทางภายในประเทศและต่างประเทศ, บริการลีมูซีนรับ – ส่ง สนามบินใน 9 จังหวัด ​(กรุงเทพฯ กระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ภูเก็ต สงขลา สุราษฏร์ธานี อุดรธานี และอุบลราชธานี), บริการนวดตัวด้วยน้ำมันหอมระเหย (Aromatherapy Oil Massage) ที่ Let’s Relax Spa เป็นต้น มากไปกว่าเอกสิทธิ์ที่จะได้รับ ยังโฟกัสไปที่การส่งต่อความมั่งคั่งด้วยผลิตภัณฑ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมบริการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนและการวางแผนทางการเงิน โดยผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.prudential.co.th/corp/prudential-th/th/privilege-programmes/prulegacy/ 

 

ด้วยรถหนึ่งคันอาจพาเราไปได้หลายที่ แต่ถ้ามีโอกาส…ซึ่งอาจพาเราไปถึง “ฝัน” การมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ในยุคที่ทุกคนกำลังมองหาทางรอดและ “รายได้เสริม” หรืออาชีพที่สอง ที่มั่นคงมากกว่าการพึ่งแค่เงินเดือน การเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ กลายเป็นความฝันของใครหลายคน แต่คำถามก็คือ… “จะเริ่มยังไงหากไม่มีเงินทุน?”

“เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” และแฟรนไชส์ชื่อดัง “ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด” จึงจับมือกันปูทางสำหรับคนอยากเริ่มต้นเป็นเจ้าของธุรกิจ เพื่อสร้าง “ทางลัดที่มั่นคง” ให้กับคนธรรมดาที่อยากลุกขึ้นมาทำธุรกิจของตัวเอง ด้วยโมเดลที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง มีรถ = มีทุน = เริ่มธุรกิจได้ทันที

เมื่อรถกลายเป็นกุญแจดอกแรกสู่โลกของผู้ประกอบการ

สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” นำเสนอทางเลือกให้กับคนไม่ท้อ เปลี่ยนรถที่มีอยู่ ให้กลายเป็นเงินทุนสูงสุด 1 ล้านบาท ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน แถมขับรถใช้งานได้ตามปกติ ที่สำคัญคือ อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง และโอนเงินทันที หากใครมีรถ แล้วอยากเริ่มธุรกิจ แต่ติดที่เงินก้อนแรก สิ่งนี้อาจเป็นทางออกที่ไม่ต้องพึ่งดวง

ยังไม่มีไอเดียทำธุรกิจ ลองมองมาที่ ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด

ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด ไม่ใช่แค่แบรนด์อาหารทั่วไป แต่คือ แฟรนไชส์ที่มีระบบพร้อมสำหรับมือใหม่ เริ่มต้นลงทุนไม่สูง คืนทุนไว กำไรเฉลี่ย 60-65% ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีหรือรายเดือน ที่สำคัญคือ มีทีมซัพพอร์ตครบ ตั้งแต่การอบรม เทคนิคขาย การตลาด ไปจนถึงการบริหารร้าน เรียกได้ว่า ถ้าคุณมีใจและเงินเริ่มต้น ที่เหลือเขาช่วยดูแลให้หมด

 

เรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อรถยนต์ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราตั้งใจให้สินเชื่อนี้เป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีฝัน อยากมีอาชีพ อยากมีธุรกิจของตัวเอง แต่ติดที่ต้นทุน อยากให้รู้ว่า เคทีซี พี่เบิ้ม พร้อมอยู่ข้างคุณ ไม่ใช่แค่ให้เงิน แต่ให้โอกาส”

 

ขณะที่ สารัช วัฒนกูล ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อร่อยระเบิด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด เสริมว่า “เราออกแบบระบบแฟรนไชส์มาให้คนธรรมดาเริ่มได้จริง ไม่จำเป็นต้องเคยทำธุรกิจ ขอแค่มีใจ อยากลงมือทำ และสำหรับผู้ที่ต้องการเงินทุนเริ่มต้น สามารถสมัคร สินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เราพร้อมสนับสนุนทุกขั้นตอน สนใจสมัครแฟรนไชส์ติดต่อฝ่ายบริการขาย โทร. 085-253-5588, 092-720-6999 หรือเว็บไซต์ www.giantfishbomb.com

อยากเริ่ม...ต้องเริ่มเลย สนใจสมัครสมาชิกสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์และบิ๊กไบค์ สามารถสมัครได้หลายช่องทางทั้งผ่านเว็บไซต์ www.ktc.co.th/loan/ktc-p-berm หรือติดต่อโทร. 02 123 5300  ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือผู้แนะนำผลิตภัณฑ์เคทีซีทั่วประเทศ นอกจากนี้ ผู้ขอสินเชื่อยังสามารถเลือกได้ว่าจะมาขอคำปรึกษากับเคทีซี พี่เบิ้ม ที่จุดบริการ “เคทีซี ทัช” ทุกสาขา หรือใช้บริการพี่เบิ้ม เดลิเวอรี่ (P BERM Delivery) เพื่อให้ทีมงานเดินทางไปรับสมัครถึงที่บ้าน อนุมัติไวใน 1 ชม. รับเงินก้อน ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน ผ่อนได้นานสูงสุด 84 เดือน และยังสามารถเลือกรับบัตรกดเงินสด เคทีซี พี่เบิ้ม ไว้ใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินได้อีกด้วย

หมายเหตุ กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 21% - 24% ต่อปี

บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด เตรียมจัดงาน "Pet Expo Thailand 2025" ระหว่างวันที่ 1–4 พฤษภาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5–8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ รับกระแสตลาดสัตว์เลี้ยงโตต่อเนื่อง มูลค่ารวมกว่า 258,703 ล้านบาท พร้อมยกขบวนสินค้า นวัตกรรมล้ำสมัยจากทั้งในและต่างประเทศจัดแสดง กว่า 850 บูธ คาดตลอด 4 วันผู้เข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 200,000 คน

นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการบริหาร บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า การจัดงาน Pet Expo Thailand 2025 งานสัตว์เลี้ยงที่ดีที่สุดเพื่อเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “มิตรภาพเพื่อนรัก ไร้พรมแดน – Friendship Beyond Frontier” ซึ่งสะท้อนความรัก ความผูกพัน และความหลากหลายของชุมชนคนเลี้ยงสัตว์ในยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นการขยายพื้นที่และตอบโจทย์ความต้องการคนรักสัตว์ให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อรองรับทั้งจำนวนผู้ร่วมแสดงสินค้าและผู้เข้าชมงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้แสดงสินค้ากว่า 300 บริษัท  850 บูธ ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ เข้าร่วมจัดแสดงสินค้า บริการ และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงอย่างครบวงจร คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 200,000 คนตลอดระยะเวลา 4 วัน

จากกระแสความนิยมในการเลี้ยงสัตว์ของคนไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ระบุว่าในปี 2566 ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีมูลค่าผลประกอบการรวมกว่า 258,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% จากปีก่อนหน้า โดยมีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้มากกว่า 5,000 รายทั่วประเทศ และมีกำไรสุทธิรวมกว่า 14,990 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจสัตว์เลี้ยงในไทยมีรากฐานที่มั่นคง เพราะคนไทยจำนวนมากพร้อมลงทุนเพื่อดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างจริงจัง โดยกว่า 94.6% ของเงินลงทุนในธุรกิจนี้เป็นของผู้ประกอบการไทย ซึ่งแสดงถึงศักยภาพของไทยในการพัฒนาและขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งในด้านการผลิตอาหารสัตว์ บริการด้านสุขภาพ และนวัตกรรมสำหรับสัตว์เลี้ยง

 

แนวโน้มธุรกิจสัตว์เลี้ยงปี 2568 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การดูแลสัตว์เลี้ยงในฐานะสมาชิกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นอาหารพรีเมียม วิตามิน ของใช้เฉพาะทาง ไปจนถึงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เทคโนโลยี และการส่งเสริมพฤติกรรมสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของเทรนด์สำคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก ได้แก่ การเลี้ยงสัตว์เสมือนลูก (Pet Parent or Pet Humanization), การเลือกสินค้าคุณภาพสูง (Premiumization) และการใช้นวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อการดูแลสัตว์ (Smartization) โดยคนรุ่นใหม่ในกลุ่ม SINK & DINK ซึ่งไม่มีบุตร หันมาเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนคลายเหงาและเติมเต็มความผูกพัน ขณะที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงทั่วไปก็ยินดีใช้จ่ายเฉลี่ยกว่า 20,000–40,000 บาทต่อปี เพื่อสัตว์เลี้ยงที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัว

 

ในปีนี้ Pet Expo Thailand 2025 จึงเตรียมเนรมิตพื้นที่จัดแสดงให้เป็นจุดศูนย์กลางของชุมชนคนรักสัตว์เลี้ยง ที่เปิดโอกาสให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงได้มาพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้ และร่วมสัมผัสนวัตกรรมใหม่ๆ ไปพร้อมกัน โดยรวบรวมเทคโนโลยีล้ำสมัยไว้มากมาย อาทิ ปลอกคอ GPS, กล้องติดตามสัตว์เลี้ยง, เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ, อุปกรณ์ IoT ตลอดจนแอปพลิเคชันที่สามารถบันทึกข้อมูลสุขภาพสัตว์เลี้ยงอย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีโซนสัตว์เลี้ยง Exotic, โซนสัตว์ฟันแทะ, โซนเวทีกิจกรรมที่จะได้พบกิจกรรมแฟชั่นโชว์สัตว์เลี้ยง การแข่งขันสนุกๆ และพื้นที่กิจกรรมครอบครัว พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสสินค้าใหม่ๆ ก่อนใครในราคาพิเศษ รวมถึงกิจกรรมการแข่งขันและการประกวดชิงรางวัลสนุกๆ ของเพื่อนสัตว์เลี้ยงตัวน้อย พร้อมของรางวัลแบบจัดเต็มตลอดระยะเวลา 4 วัน

สำหรับโซนกระต่าย และสัตว์ฟันแทะ กับมากับความน่ารักแบบจัดเต็ม! โดยปีนี้ ขนขบวนความคิวต์ของแก๊งขนปุยมาให้คุณใจละลาย ทั้งกระต่ายหลากหลายสายพันธุ์, หนูเควี่สีสันสุดแปลกตา, แฮมสเตอร์ขนหยิกน่ากอด, และชินชิล่าตัวกลมฟู ไฮไลท์พิเศษ! กระต่าย French Lop หูตกยักษ์ฉลาดที่สุดในโลกสี Blue Point เป็นสีหายากหนึ่งเดียวในเอเชีย! นอกจากนี้สาวกสัตว์ฟันแทะห้ามพลาด พบกับฟาร์มกระต่าย, หนูเควี่, และแฮมสเตอร์ ชั้นนำ ยกทัพมาแชร์เคล็ดลับการเลี้ยงและเพาะพันธุ์แบบมืออาชีพ ส่วนสายประกวดต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะเสาร์ที่ 3 และอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2568 จะมีการประกวดกระต่ายระดับโลก ARBA, การประชันความน่ารักของหนูเควี่และแฮมสเตอร์

 

โซนสัตว์ Exotic Pet หรือโซนสัตว์พิเศษได้รวบรวมสัตว์ต่างๆ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบสัตว์พิเศษที่หาดูได้ยาก เช่น เต่ายักษ์อัลดาบร้า เป็นเต่าบกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เต่าซูคาต้า หนูจิงโจ้ สกั๊งค์ กบต้นไม้ งูหลามบอล แมงมุมทารันทูล่า และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย พร้อมชมการประกวดเหมียวเพื่อนซี้ ในวันศุกร์ที่ 2 และการประกวดงูใหญ่ ในวันอาทิตย์ที่ 4 และกิจกรรมอีกมากมาย

โซน Pet Village ท่านจะได้พบกับนกแก้วซันคอนัว นกเค้าแมวยักษ์ นกเค้าหน้าขาว นกเค้าแมวอินทรีไซบีเรีย นกแก้วแอฟริกันเกรย์ นกแก้วเอคเล็คตัส บ๊อบบี้ คาพิบาราและเพื่อน และอีกมากมาย

 

“Pet Expo Thailand 2025 ไม่ใช่เพียงงานแฟร์สินค้า แต่คือพื้นที่แห่งมิตรภาพและแรงบันดาลใจระหว่างคนกับสัตว์เลี้ยง เราอยากให้ที่นี่เป็นเวทีให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงทุกคนได้พบประสบการณ์ใหม่ๆ แลกเปลี่ยนความรู้ และเติมเต็มความสุขร่วมกับเพื่อนรักสี่ขาอย่างอบอุ่นและสร้างสรรค์” นายศักดิ์ชัยกล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1–4 พฤษภาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5–8 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 10.00–20.00 น. (วันเสาร์–อาทิตย์เริ่มเวลา 09.30 น.) ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.petexpothailand.net หรือ เฟซบุ๊ก Petexpoclub หรือช่องทางทวิตเตอร์ @PetexpoclubTH1

แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (แอลจี) เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาใหม่ล่าสุดภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีที่เข้าใจคุณมากขึ้น” (Less Artificial, More Human) เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์ที่เติมเต็มด้วยช่วงเวลาที่มีความหมายผ่าน ‘ความอัจฉริยะที่มีเสน่ห์ (Affectionate Intelligence) ของแอลจี โดยภาพยนตร์โฆษณานี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญระดับโลกอย่าง ‘Life’s Good’ ที่เปิดตัวครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2566 เพื่อส่งต่อพลังแห่งความหวังและมุมมองที่ดีไปทั่วโลก

ทั้งนี้ แอลจียังคงมุ่งมั่นที่จะกำหนดนิยามใหม่ของประสบการณ์ลูกค้า โดยทำให้มั่นใจว่าแก่นแท้ของพันธสัญญา ‘Life’s Good’ จะสะท้อนให้เห็นในทุกแง่มุมของผลิตภัณฑ์ บริการ และการสื่อสาร ในยุค AI ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ นอกจากนั้น แอลจีจะยังคงมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่แท้จริงยิ่งขึ้น โดยให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นหัวใจสำคัญของนวัตกรรม AI

แคมเปญในปีนี้จึงมุ่งเน้นช่วงเวลา ‘Life’s Good” ในชีวิตประจำวัน ด้วย ‘ความอัจฉริยะที่มีเสน่ห์’ (Affectionate Intelligence) ของแอลจี ที่มีความเข้าใจและเข้าถึงความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามแนวทาง AI ที่เน้นเทคโนโลยีเป็นศูนย์กลาง สู่การผสมผสานปรัชญาที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งตลอดจนปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมายมากยิ่งขึ้นระหว่างผลิตภัณฑ์และผู้ใช้งาน

ภาพยนตร์โฆษณานี้ถูกถ่ายทอดอย่างอบอุ่นถึงวิธีการที่แอลจีผสานรวม AI เข้ากับกิจวัตรประจำวันของผู้คนอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกช่วงเวลา ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน และระหว่างการเดินทาง

เรื่องราวในภาพยนตร์โฆษณาถูกเล่าผ่านครอบครัวหนึ่งที่กำลังเพลิดเพลินกับช่วงเวลาธรรมดาๆ ที่แสนพิเศษด้วยกันที่บ้าน โดยสมาชิกต่างเป็นอิสระจากภารกิจยุ่งยากประจำวันด้วยโซลูชัน LG AI Home ที่ปรับตัวเข้ากับความต้องการส่วนบุคคลของพวกเขาอย่างเงียบๆ ไม่ว่าจะเป็นการเตือนเบาๆ ให้นำร่มไปด้วย หรือการปิดไฟโดยอัตโนมัติเมื่อทุกคนออกจากบ้านไปแล้ว บ้านอัจฉริยะนี้ช่วยลดความซับซ้อนของกิจวัตรประจำวัน เพื่อให้สมาชิกแต่ละคนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสบายใจ เมื่อภาพยนตร์ดำเนินต่อไป ผู้ชมจะได้เห็นสถานที่ทำงานซึ่งเปลี่ยนไปสู่สภาพแวดล้อมที่สมดุลด้วยคุณภาพอากาศและการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม นอกจากนี้ ในระหว่างการเดินทาง ยังมีระบบที่เข้าใจสภาวะทางร่างกายและอารมณ์ของผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างเป็นธรรมชาติ โดยให้คำแนะนำส่วนบุคคลที่ทำให้ทุกการเดินทางผ่อนคลายและมั่นใจยิ่งขึ้น

“ความมุ่งหมายของแอลจีไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี AI เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยยกระดับชีวิตของผู้บริโภคได้อย่างไรในรูปแบบที่มีความหมาย” คิม ฮโยอึน รองประธานและหัวหน้าฝ่ายบริหารแบรนด์ของแอลจี กล่าว “แคมเปญนี้มีเป้าหมายที่จะแสดงให้เห็นว่า ‘ความอัจฉริยะที่มีเสน่ห์’ (Affectionate Intelligence) ของแอลจีสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของเราในเชิงบวกได้อย่างไร โดยผสานรวมเข้ากับช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น เพื่อมอบความสะดวกสบาย ความง่ายดาย และการเชื่อมต่อ”

แคมเปญระดับโลกนี้ได้ถูกเปิดตัวในประเทศต่างๆ รวมถึงสหราชอาณาจักร เยอรมนี บราซิล เม็กซิโก และออสเตรเลีย ตลอดเดือนมีนาคม สามารถรับชมภาพยนตร์โฆษณาได้บนช่อง YouTube ของแอลจี (www.youtube.com/GlobalLG) และดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญได้ที่ www.lg.com/global/lifes-good-in-action  

ดีป้า เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิจิทัล ไตรมาส 1/2568 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลง และการแข่งขันด้าน AI ระดับโลก ขณะเดียวกัน การประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มาตรการกีดกันทางการค้าต่างประเทศ และการที่ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับเทคโนโลยีเกิดใหม่ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระดับความเชื่อมั่น เผยผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยคาดหวังให้ภาครัฐเร่งพัฒนากำลังคนดิจิทัลเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital Industry Sentiment Index) ไตรมาส 1 ประจำปี 2568 และไตรมาส 4 ประจำปี 2567 ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อย ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ (Hardware and Smart Device) กลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ (Software) กลุ่มอุตสาหกรรมบริการด้านดิจิทัล (Digital Service) กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content) และกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (Telecommunication) โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ ไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ระดับ 50.1 ปรับตัวดีขึ้นจาก 48.8 ของไตรมาสก่อนหน้า (ไตรมาส 4/2567) โดยเป็นผลมาจากปัจจัย ด้านผลประกอบการ ด้านปริมาณการผลิตฯ ด้านการจ้างงาน และด้านการลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกัน ปัจจัยด้านคำสั่งซื้อฯ และด้านต้นทุนประกอบการปรับลดลง

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท และ Easy E-Receipt 2.0 ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลง การย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติ และการแข่งขันด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระดับโลก ล้วนส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิจิทัลไตรมาสแรกปีนี้กลับสู่ระดับ ‘เชื่อมั่น’ อีกครั้ง หลังตกลงไปสู่ระดับไม่เชื่อมั่นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 แต่อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดิจิทัลยังมีความกังวล ต่อการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าต่างประเทศ และการที่ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับเทคโนโลยีเกิดใหม่
ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อระดับความเชื่อมั่น

 

หากแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า ไตรมาส 1/2568 มี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีดัชนีความเชื่อมั่นฯ สูงกว่าระดับ 50 ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ มีดัชนีความเชื่อมั่นฯ อยู่ที่ระดับ 51.5 กลุ่มอุตสาหกรรมบริการด้านดิจิทัล อยู่ที่ระดับ 53.5 และกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม อยู่ที่ระดับ 52.0 ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ มีดัชนีความเชื่อมั่นฯ ต่ำกว่าระดับ 50 โดยอยู่ที่ระดับ 45.8 และ 46.4 ตามลำดับ ขณะที่ไตรมาส 4/2567 มี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีดัชนีความเชื่อมั่นฯ สูงกว่าระดับ 50 ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ อยู่ที่ระดับ 50.3 กลุ่มอุตสาหกรรมบริการด้านดิจิทัล อยู่ที่ระดับ 53.3 และกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม อยู่ที่ระดับ 50.2 ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ มีดัชนีความเชื่อมั่นฯ อยู่ที่ระดับ 44.2 และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ อยู่ที่ระดับ 43.7

ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยคาดหวังให้ภาครัฐเร่งพัฒนากำลังคนดิจิทัลภายในประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม พร้อมส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และเปิดโอกาสต่อยอดนวัตกรรมเทคโนโลยีเกิดใหม่ สนับสนุนการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม จัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

 

จากนั้น ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ถึงทิศทางการส่งเสริมดิจิทัลสตาร์ทอัพ ซึ่งอาจมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยกล่าวว่า ปัจจุบัน ดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงแหล่งทุน การขาดที่ปรึกษาเชิงลึก เครือข่ายระดับนานาชาติที่จำกัด และกลไกภาครัฐที่ยังไม่ยืดหยุ่นเพียงพอ นอกจากนี้ ภาคธุรกิจดั้งเดิมยังไม่สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ส่งผลให้ดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยขาดโอกาสในการเติบโตและทดลองจริงในประเทศ การพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นโอกาสของไทยคือ การพัฒนาโปรแกรมรูปแบบใหม่ เช่น Venture Building ที่เชื่อมโยงผู้มีไอเดียธุรกิจกับผู้มีทักษะเทคโนโลยี การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับดิจิทัลสตาร์ทอัพที่เข้มแข็งจากความพร้อมด้านทรัพยากรบุคคล เทคโนโลยี และความร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง หากทุกภาคส่วนทำงานส่งเสริมกันอย่างเป็นระบบ สตาร์ทอัพไทยจะไม่เพียงช่วยยกระดับเศรษฐกิจ แต่จะสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีให้กับประเทศในระยะยาว และอาจมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดิจิทัลได้

 

สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิจิทัล ไตรมาส 1 ประจำปี 2568 และไตรมาส 4 ประจำปี 2567 ผ่านช่องทางการสื่อสารของ ดีป้า ไม่ว่าจะเป็น www.depa.or.th/th/depakm/digital-indicators, LINE OA: depaThailand และเพจเฟซบุ๊ก depa Thailand

จัดใหญ่จัดเต็ม บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสยอดนิยม ภายใต้แบรนด์ "ตราเด็กสมบูรณ์" นำโดยนายวสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายในประเทศ จัดงานใหญ่เฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปีแห่งความสำเร็จของเด็กสมบูรณ์ ตอกย้ำเบอร์หนึ่งตลาดเครื่องปรุงรสในประเทศไทย พร้อมเดินหน้าสู่การพลิกโฉมครั้งสำคัญ เพื่อส่งมอบความสุขให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ และสินค้าคอลเลคชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ สร้างมิติใหม่วงการอาหาร พร้อมชวนพรีเซนเตอร์สุดแกลม “พี พี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” ร่วมสร้างสีสัน ส่งมอบความฟิน ในงาน "DEK SOM BOON 80th PROSPERITY CELEBRATION" กิจกรรมที่ร่วมบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จตลอดระยะเวลา 80 ปี พร้อมสนุกไปกับกิจกรรมสุดจึ้งเต็มอารมณ์ และฟินเวอร์ไปกับสเปเชียลโชว์แบบทำถึง ที่ TRUE ICON HALL, ICONSIAM เมื่อวันก่อน

การจัดงาน DEK SOM BOON 80th PROSPERITY CELEBRATION ในครั้งนี้ นับเป็นการพลิกโฉมครั้งสำคัญของแบรนด์ "เด็กสมบูรณ์" จากการเป็นเครื่องปรุงรสที่อยู่คู่ครัวไทยมานานกว่า 80 ปี สู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่เข้าถึงผู้บริโภคทุกช่วงวัย ภายในงานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุขจากกิจกรรมมากมายที่เด็กสมบูรณ์ขนขบวนมาให้ FRIENDS & FAMILY OF DEK SOM BOON และชาวด้อม “เลิฟลี่” ได้ร่วมสนุกกันแบบจัดเต็ม เริ่มต้นงานกันด้วยโชว์จากเจ้าพ่อแรปเปอร์เมืองไทย F.HERO (ฟักกลิ้ง ฮีโร่) ที่มาร่วมเป็นแขกรับเชิญระเบิดความร้อนแรง และเสิร์ฟความมันส์เรียกน้ำย่อยให้แก่ผู้ร่วมงาน ต่อจากนั้นมาร่วมรับฟังผู้บริหารรุ่นที่ 3 ที่มาบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จตลอดระยะเวลา 80 ปีของเด็กสมบูรณ์ที่ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน และมาถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยกับการเปิดตัวพรีเซนเตอร์สุดฮอต พีพี - กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” ซึ่งออกมาในลุคสวยติดแกลม งานนี้เด็กสมบูรณ์จัดเซอร์ไพรส์เสิร์ฟให้กับผู้ร่วมงานโดยการเปิดวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาเด็กสมบูรณ์xPPKrit ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ทำเอาแฟนๆ ส่งเสียงกรี้ดกันดังสนั่นฮอลล์  ปิดท้ายความสนุกกับสเปเชียลโชว์ที่ พีพี – กฤษฏ์ ขนเพลงฮิตอย่าง ‘ขอโทษละกัน’ และ ‘FIRE BOY’ เสิร์ฟความแซ่บให้แก่แฟนๆ ที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้เท่านั้น งานนี้เล่นเอาแฟนคลับ แฟนด้อมใจฟู และมีความสุขกันถ้วนหน้า

นอกจากความสนุกความมันส์ที่จัดให้อย่างเต็มอิ่มแล้ว เด็กสมบูรณ์ยังคงมุ่งมั่นที่จะต่อยอดความสำเร็จด้วยการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์และธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน พร้อมสร้างปรากฏการณ์ในวงการอาหารและไลฟ์สไตล์ กับ 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เปิดตัวในงานนี้ ได้แก่ 1.) ซีอิ๊วเห็ดทรัฟเฟิล – "เพชรแห่งห้องครัว" (Diamond of the Kitchen) เครื่องปรุงรสระดับพรีเมียมที่ผสานความหอมกลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ของเห็ดทรัฟเฟิล ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเห็ดที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ซีอิ๊วเห็ดทรัฟเฟิลนี้ไม่เพียงเพิ่มรสชาติให้อาหาร แต่ยังอุดมด้วยคุณประโยชน์ทางโภชนาการ ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี วิตามินเค และไขมันดี ปราศจากไขมันทรานส์ ช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่รักสุขภาพและต้องการสัมผัสรสชาติอาหารระดับพรีเมียม 2.) มิติใหม่ของวงการเบเกอรี่ – การร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง CP Axtra x Deksomboon สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการเบเกอรี่ด้วยการนำซอสปรุงรสของเด็กสมบูรณ์มาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เบเกอรีกว่า 9 รายการ โดดเด่นด้วย Salted Caramel Croissant ที่นำซีอิ๊วดำของเด็กสมบูรณ์มาเป็นส่วนประกอบในไส้ ซึ่งมีความหอม หวาน คาราเมล ที่ใครได้ชิมก็ติดใจ และประทับใจแน่นอน 3.) คอลเลคชั่น Dek Som Boon x Fat & Furious – หลังจากประสบความสำเร็จในการร่วมมือกับ youtuber ชื่อดังอย่าง Ohana ในแคมเปญ "ผักบุ้งเล่นไฟ" และการร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่นญี่ปุ่น niko and ที่มีสาขากว่า 170 แห่งทั่วโลก เด็กสมบูรณ์ก้าวต่อไปสู่วงการแฟชั่นพลัสไซซ์ ด้วยผลิตภัณฑ์คอลเลคชั่นใหม่ "Dek Som Boon x Fat & Furious" ที่นำโดยวสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ และกอล์ฟ ฟัคกิ้งฮีโร่ มอบความเท่แบบไร้ขีดจำกัดด้วย 3 ดีไซน์ 9 ไซส์ สะท้อนความเก๋าจากรุ่นสู่รุ่นของเด็กสมบูรณ์

เด็กสมบูรณ์ยังคงส่งมอบความสุขผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และกิจกรรมทางการตลาดให้ผู้บริโภคได้ร่วมสนุกอย่างต่อเนื่อง เราหวังว่าผลิตภัณฑ์ของเด็กสมบูรณ์จะครองใจทุกบ้าน ถูกใจทุกครัว และอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกเพศทุกวัย เราจะยังคงยึดมั่นในปณิธานที่ว่า 'เราจะยึดมั่นคุณภาพและบริการที่ดีตลอดไป'

องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection Thailand) ประกาศความก้าวหน้าของโครงการ “ฟาร์มแชมเปี้ยน” ปีที่ 2 ซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านจากการทดลองนำร่องในปี 2567 สู่การขยายผลในระดับชุมชนอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงจากระบบฟาร์มปิดแบบดั้งเดิมสู่ฟาร์มในปี 2568 นี้ หลังความสำเร็จจากฟาร์มรุ่นแรกได้พิสูจน์แล้วว่าโมเดลการเลี้ยงไก่แบบที่ใส่ใจสวัสดิภาพสัตว์สามารถทำได้จริงในบริบทไทย เพื่อปฏิวัติระบบการเลี้ยงไก่ของไทยด้วยโมเดลที่นอกจากจะให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์ ยังตอบโจทย์ทั้งในด้านความเท่าเทียม ความเป็นธรรมและยั่งยืน ตั้งแต่เกษตรกรผู้เลี้ยง และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โครงการฟาร์มแชมเปี้ยนในปีแรกไม่ได้เป็นเพียงการทดลองเชิงนโยบาย แต่คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเกษตรกรไทย ผลจากการเลี้ยงแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจน — ไก่มีสุขภาพแข็งแรงจากการไม่ต้องอยู่แบบแออัด ได้รับแสงแดดและอากาศบริสุทธิ์ ตลอดจนได้แสดงออกพฤติกรรมตามธรรมชาติ ทำให้อัตราการรอดชีวิตของไก่เพิ่มจากเฉลี่ย 95% เป็น 99% นอกจากนี้ ฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการสามารถหยุดการใช้ยาปฏิชีวนะได้แบบ 100% และมีการเพิ่มอาหารเสริมให้ไก่ด้วยแหล่งโปรตีนที่มาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น หนอนแมลงวันลาย แหนแดง ไข่ผำ หรือสมุนไพรต่าง ๆ  ทำให้เกษตรกรที่เข้าร่วมสามารถลดต้นทุนจากการใช้ยาและสารเคมีได้หลักหลายพันบาทต่อการเลี้ยงไก่หนึ่งรุ่น  ขณะเดียวกัน เกษตรกรยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายไก่สวัสดิภาพสูงได้อีกด้วย  ผลลัพธ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่คือหลักฐานว่าระบบฟาร์มสวัสดิภาพสูง สามารถสร้างความยั่งยืนได้ต่อทั้งคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม

ความสำเร็จจากโครงการในปีแรก ส่งแรงผลักดันให้โครงการ “ฟาร์มแชมเปี้ยน” ปีที่ 2 เดินหน้าต่ออย่างเข้มแข็ง โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการเปลี่ยนผ่านเกษตรกรในจังหวัดสุรินทร์จากระบบฟาร์มปิดสู่ฟาร์มแบบปล่อยอิสระหรือฟาร์มสวัสดิภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อปฏิวัติการเลี้ยงไก่ทั้งระบบด้วยสายพันธุ์โคราช ซึ่งแตกต่างจากในระบบอุตสาหกรรม ที่เป็นสายพันธุ์โตเร็วและเสียงต่อสวัสดิภาพหลายประการ ขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างคัดเลือกเกษตรกรที่มีจำนวนไก่เลี้ยงระหว่าง 500–1,200 ตัว เพื่อเข้าร่วมโครงการในปีที่ 2 ที่จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายน 2568 ควบคู่ไปกับการยกระดับเกษตรกรรุ่นแรกให้ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงให้กับผู้เข้าร่วมรุ่นใหม่ เสริมสร้าง “เครือข่ายเกษตรกรชุมชนต้นแบบ” ให้แข็งแรงจากภายใน และผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่องโดยคนในพื้นที่เอง

แผ้ว ภิรมย์ ผู้จัดการแคมเปญระบบอาหาร องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า "จุดเปลี่ยนสำคัญในปีที่ 2 คือการสร้างระบบอาหารที่เป็นธรรมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งเกษตรกร ไก่ และผู้บริโภค โดยมีชุมชนเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก การเลี้ยงไก่แบบสวัสดิภาพสูงไม่ใช่เพียงทฤษฎี แต่เป็นหลักปฏิบัติที่พิสูจน์แล้วว่าคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม เมื่อมีเครือข่ายและพี่เลี้ยงที่เข้าใจบริบทท้องถิ่น"

ธวัชชัย พวงจันทร์ เจ้าของพลูโตฟาร์ม หนึ่งในฟาร์มต้นแบบที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงว่า "ก่อนเข้าร่วมโครงการเราเลี้ยงไก่แบบฟาร์มระบบปิด เราใช้ยาปฏิชีวนะเวลาไก่ป่วยเพื่อแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ หลังจากเปลี่ยนมาเลี้ยงไก่ตามแนวทางสวัสดิภาพสูงในปีแรกของโครงการ เราเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในตัวไก่ที่สุขภาพแข็งแรงขึ้นจนไม่ต้องใช้ยา จุดนี้มาสัมพันธ์กับรายได้ด้วย เพราะเราลดต้นทุนยาได้ ขณะเดียวกันการขายไก่สวัสดิภาพสูงก็ขายได้ราคาดีกว่าเดิม เราเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ และเราหันมาใส่ใจกับสวัสดิภาพสัตว์มากขึ้น ปีนี้เรายินดีที่ได้เป็นพี่เลี้ยง ถ่ายทอดประสบการณ์ให้รุ่นใหม่ เพราะเราอยากเห็นทั้งจังหวัดได้เดินไปพร้อมกันในทิศทางที่่ดีกว่าเดิม"

สมจิตร นามสว่าง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิทและเจ้าของสว่างรุ่งเรืองฟาร์ม กล่าวเสริมว่า "การได้เป็นพี่เลี้ยงไม่ใช่แค่ช่วยสอนเรื่องเทคนิกการเลี้ยง แต่ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรรุ่นใหม่เชื่อว่า ฟาร์มเลี้ยงไก่สวัสดิภาพสูงอยู่ได้จริง และอยู่ได้อย่างภาคภูมิใจ ที่สำคัญคือเราได้ร่วมกันสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งในชุมชนของเราเอง"

แรงสนับสนุนจากผู้บริโภค: ปัจจัยเร่งสู่ความสำเร็จ

แรงสนับสนุนจากผู้บริโภคคืออีกแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของโครงการ จากการพูดคุยกับผู้บริโภคกลุ่มใส่ใจสุขภาพในจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียง แสดงความต้องการเลือกซื้อเนื้อสัตว์จากฟาร์มที่มีสวัสดิภาพสัตว์สูง เพราะส่งผลดีทั้งกับตัวสัตว์ สุขภาพคนและสิ่งแวดล้อมด้วย

โครงการฟาร์มแชมเปี้ยนกำลังปฏิวัติระบบการเลี้ยงไก่ของไทยด้วยโมเดลที่เป็นธรรมและยั่งยืน โดยมุ่งสร้างความเท่าเทียม (Equitable) ผ่านการลดการพึ่งพาบริษัทขนาดใหญ่ เพิ่มอำนาจต่อรองให้เกษตรกรรายย่อย และกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างเป็นธรรม ควบคู่กับการคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม (Humane) ในการเลี้ยงสัตว์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมธรรมชาติของไก่ ลดความเครียด และยกระดับมาตรฐานสวัสดิภาพ ซึ่งนำไปสู่การลดการใช้ยาปฏิชีวนะที่ส่งผลต่อสุขภาพมนุษย์ในระยะยาว ขณะเดียวกัน โมเดลนี้ยังตอบโจทย์ความยั่งยืน (Sustainable) ด้วยการพึ่งพาธรรมชาติมากขึ้น ลดการเบียดเบียนสิ่งแวดล้อมลงเมื่อเทียบกับฟาร์มอุตสาหกรรม สะท้อนวิสัยทัศน์ของการเกษตรแห่งอนาคตที่มุ่งใช้ไก่สายพันธุ์พื้นเมืองลูกผสมสายพันธุ์โตช้าอย่างไก่โคราชแทนไก่สายพันธุ์เร่งโตในระบบอุตสาหกรรม เป็นการผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับนวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่ เพื่อสร้างระบบอาหารที่สมดุลทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

บำรุงราษฎร์ สานต่อโครงการ “ตำรวจ (ปอด) ปลอดภัย” ประจำปี 2568 ส่งต่อความห่วงใยสุขภาพให้แก่ตำรวจจราจร สน.ลุมพินี เพื่อบรรเทาผลกระทบทางสุขภาพจากสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน

X

Right Click

No right click