

กลางผืนป่าเขาหินปูนที่เงียบสงบในอำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ภายใต้ม่านแห่งความลี้ลับของธรรมชาติ กลุ่มนักวิจัยนำโดย ผศ.ดร.วรวิทู มีสุข คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช (ไสใหญ่) ร่วมด้วย นายมนตรี สุมณฑา นักวิชาการประมงชำนาญการ กรมประมง, ดร.ณัฐสุดา ดรบัณฑิต นักวิจัยอิสระ และนักสำรวจไทยในพื้นที่ ออกเดินทางสำรวจพื้นที่ห่างไกล ด้วยเป้าหมายที่ดูเหมือนเรียบง่าย แต่กลับมีความหมายยิ่งใหญ่ การศึกษาและทำความเข้าใจสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในถิ่นที่แทบไม่มีใครเข้าถึง แต่ใครจะคาดคิดว่า ในการเดินทางครั้งนี้ พวกเขาจะได้พบกับสิ่งที่ไม่เคยถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ธรรมชาติของโลกมาก่อน

การค้นพบที่เปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์
ทีมสำรวจพบสัตว์เลื้อยคลานตัวจิ๋วที่เคลื่อนไหวว่องไวบนพื้นผิวขรุขระของถ้ำ พวกมันมีลวดลายและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากชนิดใดที่เคยถูกบันทึก ทีมวิจัยจึงเก็บข้อมูลอย่างละเอียด และหลังจากการศึกษาเชิงลึก พร้อมการตรวจสอบร่วมกับนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็น ชนิดใหม่ของโลก “จิ้งจกหินศิวะ” (Gehyra shiva) และ “ตุ๊กแกศิวะ” (Gekko shiva) ได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการในวารสาร Zootaxa เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568
รู้จักกับผู้มาใหม่แห่งโลกธรรมชาติ

ชื่อที่มีความหมายมากกว่าการตั้งชื่อ
ทีมวิจัยเลือกชื่อ "ศิวะ" ให้แก่สัตว์ทั้งสองชนิด เพื่อเป็นเกียรติแก่ "ถ้ำน้ำเขาศิวะ" ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางธรรมชาติ และเป็นศูนย์รวมความเชื่อของชาวบ้านในพื้นที่ นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามแล้ว ยังซ่อนเร้นความลับของวิวัฒนาการที่รอการค้นพบ

มากกว่าการค้นพบ - เสียงสะท้อนจากธรรมชาติ
การค้นพบสัตว์เลื้อยคลานใหม่เหล่านี้ ไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่า พื้นที่หินปูนแห่งนี้คือขุมทรัพย์ของความหลากหลายทางชีวภาพ ในช่วงเวลาเดียวกัน ทีมวิจัยยังค้นพบ ตุ๊กกายคลองหาด (????????????? ?ℎ????ℎ???????) และ งูเขียวหางไหม้ลายหยัก (???????????? ????ℎ???ℎ?????) ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดใหม่เช่นกัน
ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ยังคงซ่อนเร้นอยู่ ทำให้เกิดคำถามสำคัญ—เราจะปกป้องและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเหล่านี้ได้อย่างไร?
ก้าวต่อไปเพื่อการอนุรักษ์
การค้นพบนี้เป็นการตอกย้ำว่า ระบบนิเวศเขาหินปูน เป็นพื้นที่ที่ควรได้รับการอนุรักษ์อย่างจริงจัง ด้วยการวางแผนที่รอบคอบเพื่อให้ธรรมชาติเหล่านี้ยังคงอยู่ ไม่เพียงแต่เพื่อการวิจัย แต่ยังเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และเพื่อให้ธรรมชาติได้ทำหน้าที่ของมันต่อไป

เสียงจากประเทศไทยสู่เวทีโลก
การค้นพบครั้งนี้สะท้อนถึง ความสามารถของนักวิจัยไทย ที่สามารถผลักดันวงการวิทยาศาสตร์ไปสู่ระดับนานาชาติ ไม่เพียงแต่ในแง่ของการค้นพบใหม่ แต่ยังรวมถึงการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ
"แม้โลกจะถูกสำรวจไปมากมาย แต่ยังมีเรื่องราวที่รอให้เราค้นพบเสมอ" และเรื่องราวของ จิ้งจกหินศิวะและตุ๊กแกศิวะ ก็เป็นอีกบทหนึ่งที่ธรรมชาติเขียนขึ้น รอให้เราหยิบยกขึ้นมาเล่าต่อไป
ว่าที่ ร.ต.ภูวไนย จารุพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาสินทรัพย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นางนันท์นิชา กิจจะวัฒนะ ผู้จัดการสำนักงานอุบลราชธานี นางประยงค์ มุสิกสาร ผู้จัดการสำนักงานขอนแก่น พร้อมทั้งผู้บริหารและพนักงาน บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ร่วมกับ นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นางธนวัน อุ่นเพชรวรากร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ส่งมอบบ้าน BAM โครงการ Home & Hope “ การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ด้อยโอกาสในสังคม เฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา” ให้กับ นายว่องไว วงษ์ล่าม อายุ 62 ปี อาศัยอยู่ ณ ตำบลท่าอุเทน อำเภอ ท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

โครงการ Home & Hope เป็นโครงการที่ BAM ได้จัดทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยร่วมมือกับสำนักบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย และเหล่ากาชาดจังหวัด เพื่อสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำรงชีวิต มุ่งเน้นการช่วยเหลือให้ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาสกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงวัย ผู้พิการ เป็นต้น เพื่อให้ได้มี “บ้าน” ที่มั่นคงแข็งแรง ปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า การประกาศเพิ่มภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงเกินคาดเป็นการเดินเกมเพื่อเจรจา ซึ่งกำหนดการขึ้นภาษีที่จะมีผลในวันที่ 9 เม.ย. ค่อนข้างกระชั้น และไทยคงต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การส่งออกปี 2568 จะหดตัว -0.5% จากเดิมที่มองไว้ 2.5% ส่วนจีดีพีไทย ได้รับผลกระทบราว 1% ทำให้ประมาณการใหม่อยู่ที่ 1.4% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 2.4% ซึ่งการประเมินดังกล่าวยังไม่ได้รวมผลของการเจรจากับสหรัฐฯ

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า จาก Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯเก็บไทย 37% เบื้องต้นคาดว่าจะกระทบมูลค่าการส่งออกของไทยประมาณ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 4 แสนล้านบาทในปี 2568 ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าว อาจจะปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาของภาครัฐหลังจากนี้ โดยอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า รถยนต์และชิ้นส่วน เกษตร และอาหาร เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม เมื่อประกอบภาพกับกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอลงเพิ่มเติมหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือ (MPI) เสี่ยงจะหดตัวลงกว่าเดิม หรือติดลบ 3.4% ในปี 2568 (เดิมคาดที่ติดลบ 1.0%) ขณะเดียวกัน แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวก็ลดน้อยลง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้เราปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2568 ลงมาที่ 35.9 ล้านคน (เดิมคาด 37.5 ล้านคน)
สมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการพัฒนาการเรียนการสอนการทดลองวิทยาศาสตร์ด้วยหลักการของปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา” พร้อมร่วมมือกันขยายผลการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แนวใหม่ที่ “ย่อส่วน” การทดลอง เพื่อ “ขยายโอกาส” ทางการศึกษา ให้นักเรียนได้ประสบการณ์การลงมือทำด้วยอุปกรณ์การทดลองขนาดเล็กที่ประหยัด ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนรัฐบาลสังกัด สพฐ. และ โรงเรียนเอกชนสังกัด สช. ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
โครงการนี้เป็นการขยายความร่วมมือในการต่อยอดความสำเร็จโครงการ “ห้องเรียนเคมีดาว” ซึ่ง Dow และ สมาคมเคมีฯ ได้ร่วมดำเนินงานมาครบ 10 ปี ในปีที่ผ่านมา โดยจะเพิ่มโอกาสให้ครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาในสังกัด สพฐ. และ สช. ได้เข้าอบรมและสามารถนำเทคนิคไปถ่ายทอดและประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนมากขึ้น เพื่อให้กับนักเรียนได้ใช้ปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนในการทำการทดลองด้วยตนเอง ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีใจรักในการศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ที่เป็นสาขาอาชีพที่ยังต้องการมากของประเทศในขณะนี้ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้มีความสามารถสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต โดยโครงการฯ ในส่วนขยายความร่วมมือนี้ตั้งเป้าจะจัดอบรมให้ครูในโรงเรียนสังกัดมากกว่า 1,000 คน

นายวิชาญ ตั้งเคียงศิริสิน ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “Dow ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการศึกษาด้านสะเต็ม หรือ STEM Education ที่ประกอบด้วยสาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ในประเทศไทย เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่จะคิดค้นนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยในอนาคต การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แนวใหม่นี้ จะช่วยให้โรงเรียนจำนวนมากสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่ใช้งบประมาณต่ำ มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูงได้อย่างรวดเร็ว เราจึงมีความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ สพฐ. และ สช. เล็งเห็นความสำคัญของการทดลองแบบ “ย่อส่วน” เพื่อ “ขยายโอกาส” ทางการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยทั้งสองหน่วยงานจะเป็นกำลังสำคัญในการขยายผลซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับการพัฒนาบุคคลกรด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยในอนาคต”
ศาสตราจารย์ ดร.วุฒิชัย พาราสุข นายกสมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า “สมาคมฯ เป็นผู้ริเริ่มในการนำเทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนมาเผยแพร่ในโรงเรียนมัธยมศึกษาในประเทศไทย โดยได้ออกแบบหลักสูตรการฝึกอบรมและกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับ Dow ในการนำความรู้ความเข้าใจด้านความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี หลักการเคมีกรีน และการประยุกต์ใช้การทดลองเคมีแบบย่อส่วน มาเสริมการเรียนการสอนในโรงเรียน ทำให้นักเรียนได้ทำการทดลองจริงด้วยตนเองอย่างปลอดภัย และได้สร้างเครือข่ายครูต้นแบบเคมีแบบย่อส่วน เพื่อทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนและต่อยอดองค์ความรู้ได้มากขึ้น ครูต้นแบบจะทำหน้าที่เผยแพร่เทคนิคปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนแก่เพื่อนครูที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมดังกล่าวได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ในความร่วมมือครั้งนี้ สมาคมฯ จะทำหน้าที่บริหารงานด้านวิชาการ จัดหาบุคลากรผู้ชำนาญที่เหมาะสมกับหลักสูตรฝึกอบรม และเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในการประเมินผลการเรียนการสอนตามแนวทางการสอนแบบใหม่ของโครงการฯ”

ว่าที่ร้อยตรี ดร.ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า “สพฐ. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ วิชาการ และเอกชน ขับเคลื่อนโครงการ ‘ปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา’ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการทดลองที่ปลอดภัย ประหยัด และมีประสิทธิภาพ โครงการนี้มุ่งพัฒนาทักษะผู้เรียนให้คิด วิเคราะห์ และลงมือปฏิบัติจริง พร้อมยกระดับคุณภาพครูและสถานศึกษาให้สามารถจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สพฐ. จะสนับสนุนการนิเทศ ติดตาม และประชาสัมพันธ์โครงการอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมให้เกิดต้นแบบโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ เราต้องการจุดประกายให้นักเรียนรักวิทยาศาสตร์ และสร้างพื้นฐานที่มั่นคงให้การศึกษาไทยก้าวทันโลกอย่างยั่งยืน”

นายมณฑล ภาคสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กล่าวว่า “การเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้โรงเรียนเอกชนสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงได้มากขึ้น สช. มีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ และพร้อมที่จะสนับสนุนการพัฒนาครูและนักเรียนในโรงเรียนเอกชนให้มีความรู้และทักษะทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง”
ศาสตราจารย์ ดร.ประณัฐ โพธิยะราช คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ภาควิชาเคมีได้ริเริ่มนำแนวคิดของการทดลองเคมีแบบย่อส่วนมาใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ 2543 ภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วนของภาควิชาเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบัน มีการทดลองเคมีแบบย่อส่วนหลายเรื่อง ที่ได้นำมาใช้สอนในวิชาบริการสำหรับนิสิตสายวิทยาศาสตร์ชั้นปีที่ 1 จึงเป็นที่น่ายินดี ที่ได้เห็นการนำมาประยุกต์ใช้สอนในโรงเรียนมัธยมศึกษาอย่างทั่วถึง จะทำให้ลดความเหลื่อมล้ำด้านการสอนการทดลองวิทยาศาสตร์แก่นักเรียนในโรงเรียนเล็กและห่างไกล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล็งเห็นความสำคัญของโครงการนี้ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับการพัฒนาเยาวชนให้มีประสบการณ์ที่ดีในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อต่อยอดการเรียนในระดับที่สูงขึ้นไป ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่เราได้ร่วมลงนามความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้เราเข้ามาเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการเพื่อร่วมผลักดันโครงการดี ๆ ให้ไปถึงเด็กไทยทั่วประเทศต่อไป”

จากการดำเนินงานกว่า 10 ปี ของโครงการห้องเรียนเคมีดาว มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,200 แห่ง อบรมคุณครูไปแล้วกว่า 2,100 คน มีนักเรียนที่ได้รับประโยชน์โดยตรงทั้งสิ้นกว่า 470,000 คน และในปีนี้ จะยังคงมีการจัดประกวดโครงงาน “ปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วน” DOW-CST Award เพื่อเป็นเวทีให้คุณครูและนักเรียนได้นำแนวคิดไปประยุกต์สร้างเป็นการทดลองใหม่ ๆ ด้วยวัสดุและทรัพยากรในท้องถิ่นของตนเอง
สำหรับคุณครูและนักเรียนที่สนใจแนวทางการเรียนวิทยาศาสตร์ด้วย “ปฏิบัติการเคมีแบบย่อส่วน” สามารถเข้าชมข้อมูลได้ฟรีที่เว็บไซต์ http://www.DowChemistryClassroom.com
มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ภายใต้การดูแลของเครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นำโดย วลัยทิพย์ ซื่อตรงมั่นคง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร เครือเฮอริเทจ พร้อมด้วยพนักงานในเครือฯ จัดกิจกรรมโครงการ “แบ่งปัน สานฝันการศึกษา” ครั้งที่ 8 เพื่อส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล โดยในครั้งนี้ ได้ดำเนินการสร้างห้องน้ำอนุบาล ซ่อมแซมปรับปรุงสนามเด็กเล่น สนามกีฬา เพื่อให้เด็กๆ มีพื้นที่สำหรับการเล่นและเรียนรู้ที่เหมาะสม พร้อมมอบผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในเครือเฮอริเทจ อุปกรณ์ทำความสะอาดสำหรับห้องน้ำอนุบาล สื่อการเรียนห้องเรียนมอนเตสซอรี อุปกรณ์กีฬา และเสื้อผ้าจากพนักงานในเครือฯ เมื่อวันที่ 27 -28 มีนาคม 2568 ณ โรงเรียนบ้านกองม่องทะ สาขาบ้านสาละวะ ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โดยมี ชัยศักดิ์ ภูมูล ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านกองม่องทะ เป็นผู้รับมอบ
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ส่งทีมวิศวกรโครงข่ายเร่งตรวจสอบเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือทั่วประเทศไทย ทั้งเสาสัญญาณที่ติดตั้งบนอาคาร และติดตั้งพื้นดิน หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่มีศูนย์กลางในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดการสั่นไหวรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เบื้องต้นไม่พบความเสียหายพร้อมเดินหน้าลงพื้นที่ตรวจสอบเพิ่มความมั่นใจ โดยมี 2 มาตรการทั้งรับเรื่องตรวจสอบจากเจ้าของอาคารที่ติดตั้งเสาทรู คอร์ปอเรชั่นที่แจ้งให้เข้าเช็กเสา และทีมรุกตรวจสอบตามจุดเสี่ยงที่มีอาคารได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) ไม่พบความเสียหายต่อเสาสัญญาณทั่วประเทศ และเครือข่ายยังให้บริการได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อประเทศไทย บริษัทฯ จึงได้จัดทีมเทคนิคและวิศวกรลงพื้นที่ตรวจสอบเสาสัญญาณโดยละเอียด โดยเฉพาะเสาที่ติดตั้งบนอาคารในเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก เช่น กรุงเทพมหานครชั้นใน รอบนอก และเชียงใหม่”
ทรู คอร์ปอเรชั่นดำเนินการตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัย (Health and Safety) อย่างเคร่งครัด โดยเริ่มต้นเข้าตรวจสอบเฉพาะในอาคารที่ได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากฝ่ายอาคารและได้รับอนุญาตให้เข้าปฏิบัติภารกิจแล้วเท่านั้น โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องของบริการและความปลอดภัยของลูกค้าและทีมงานเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นได้จัดลำดับความสำคัญในการตรวจสอบ โดยวิเคราะห์พื้นที่เสาสัญญาณที่ติดตั้งอยู่ในอาคารที่มีรายงานความเสียหายหรือไม่ แล้วจึงเข้าดำเนินการตรวจสอบเสาสัญญาณตามลำดับความเร่งด่วน

รู้จักเสามือถือของทรู คอร์ปอเรชั่น
เสาสัญญาณมือถือของทรู คอร์ปอเรชั่น มี 2 ประเภทหลัก ได้แก่
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ มีรายงานข่าวเรื่องตึกสูงหลายแห่งเกิดรอยร้าว แตก และมีโครงสร้างที่ได้รับผลกระทบ ทรู คอร์ปอเรชั่นจึงได้เร่งตรวจสอบเสาที่ติดตั้งบนอาคารสูงในลำดับแรกอย่างเร่งด่วน โดยการตรวจสอบเสาบนอาคารได้ตรวจสอบรอยแตกร้าวของอาคารที่อาจกระทบเสา การรั่วซึม ความแข็งแรงของฐานเสา ความตึงของสลิงยึด และสภาพโดยรวมของอุปกรณ์ สำหรับเสาบนพื้นดินจะเน้นที่การทรุดตัวของฐานเสา ความแข็งแรงของโครงเหล็ก ความแน่นของน็อตและสกรู ความตรงของเสา สภาพของสลิงยึดโยงต่างๆ และสภาพของคอนกรีตบริเวณที่ฐานเสา

นายประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เสาสัญญาณของทรู คอร์ปอเรชั่นถูกออกแบบตามมาตรฐานวิศวกรรมด้วยหลักการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ โครงสร้างที่มั่นคงมีเสถียรภาพสูง ความแข็งแรงของโครงสร้างจากการใช้โครงเหล็กที่มีความยืดหยุ่นสูง และการออกแบบที่รองรับแรงปะทะลมและการสั่นสะเทือนตามมาตรฐาน”
ทรู คอร์ปอเรชั่นให้ความสำคัญกับการออกแบบเสาสัญญาณโดยคำนึงถึงมาตรการความปลอดภัยในทุกพื้นที่ทั่วไทย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเป็นพื้นที่ดินอ่อน ซึ่งการออกแบบที่แข็งแรงนี้ส่งผลให้ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ เสาสัญญาณยังคงให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ลูกค้าทรูและดีแทคสามารถมั่นใจได้ทั้งในด้านคุณภาพการให้บริการและความปลอดภัยของพื้นที่ติดตั้งเสาสัญญาณ
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แสดงจุดยืนในการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะครั้งที่ 2 ต่อร่างประกาศเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล สนับสนุน กสทช. นำคลื่นตามแผน IMT Spectrum Roadmap มาจัดประมูลตามกำหนดเดิม
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะด้านโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เราต้องรักษาความได้เปรียบนี้ด้วยการมองไปข้างหน้าและเร่งสร้างโอกาสใหม่ๆ การประมูลครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจะเป็นประเทศชั้นนำด้านดิจิทัลหรือจะล้าหลัง การประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้มีส่วนสำคัญในการผลักดันโครงสร้างดิจิทัลของประเทศ ดังนั้น กสทช. จึงควรเร่งให้เกิดการประมูลคลื่นความถี่ตามแผนเดิม"

โดย ทรู คอร์ปอเรชั่น สนับสนุนให้ กสทช. จัดการประมูลตามแผนการจัดสรรคลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลของประเทศไทย ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571) หรือแผน IMT Spectrum Roadmap ที่ กสทช. เห็นชอบ และเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปตั้งแต่ปี 2567 อันประกอบด้วยคลื่นที่กำลังจะหมดอายุทั้งในปีนี้และอีก 2 ปีข้างหน้า รวมถึงคลื่นความถี่ที่ว่าง เพื่อให้เกิดการนำคลื่นไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเห็นว่า กสทช. ควรเร่งให้เกิดการประมูลคลื่นตามแผน IMT Spectrum Roadmap เพื่อลดผลกระทบอันเกิดจากการจัดสรรคลื่นไม่ทันท่วงที นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังสนับสนุนการประมูลคลื่นในรูปแบบที่นำคลื่นมาประมูลพร้อมกัน ซึ่งเป็นวิธีการที่เป็นที่ยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแนวโน้มในการจัดสรรคลื่นทั่วโลก นอกจากนี้ในประเด็นการกำหนดราคาขั้นต่ำ ทรู เห็นด้วยกับวิธีการกำหนดราคาที่อ้างอิงหลักการสากล ไม่ใช่การนำราคาตามข้อตกลงระหว่างเอกชนในอดีตที่ไม่ได้สะท้อนมูลค่าคลื่นความถี่เพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคลื่น 3500 MHz แม้จะเป็นอีกหนึ่งคลื่นที่มีความสำคัญ แต่ขณะนี้ทรู คอร์ปอเรชั่นยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ อีกทั้ง หากนำมาร่วมประมูล กสทช. ควรพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และผู้รับชมโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมระบบ C band ก่อนดำเนินการประมูล

ทรู คอร์ปอเรชั่นเน้นย้ำว่า คลื่นความถี่คือทรัพยากรสำคัญของประเทศที่เปรียบเสมือนรากฐานในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การจัดสรรคลื่นอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก และสนับสนุนการเติบโตของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้ง 5G ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) บริษัทฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า กสทช. จะดำเนินการประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้ด้วยความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว
แอกซ่าประกันภัย เปิดตัวประกันภัยการเดินทางใหม่ล่าสุด AXA Smart Traveller’s Choice (แอกซ่า สมาร์ท ทราเวลเลอร์ส ชอยส์) พร้อมรุกตลาดประกันภัยไทยผ่านนวัตกรรมของแผนประกันภัยการเดินทางที่พัฒนาจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก จากทั้งความคิดเห็นของลูกค้าจากประสบการณ์การจริงในการเดินทาง โดยแผนประกันล่าสุดนี้ผสานความเชี่ยวชาญในตลาดของแอกซ่าเข้ากับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักเดินทางในปัจจุบันอย่างแท้จริง ผ่านแผนการคุ้มครองที่ครอบคลุมเพื่อจัดการกับทุกความเสี่ยงที่เป็นไปได้ ซึ่ง AXA Smart Traveller’s Choice พร้อมสร้างนิยามใหม่ของการเดินทางในทุกรูปแบบผ่านความยืดหยุ่นด้านการคุ้มครองที่ครอบคลุมรอบด้าน ช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ลูกค้าทุกคนเดินทางได้อย่างมั่นใจ พร้อมการดูแลในทุกจุดหมายปลายทาง

งานแถลงข่าวเปิดตัว AXA Smart Traveller’s Choice รอบสื่อมวลชนนั้นจัดขึ้นที่ห้อง Plaza Room ชั้น 11 ณ อาคารสยามปทุมวันเฮ้าส์ โดยมีคุณปีติภัทร คูตระกูล เป็นพิธีกรภายในงาน พร้อมแขกรับเชิญพิเศษ คุณคริส หอวัง ที่ให้เกียรติเข้าร่วมงานเพื่อแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยว พร้อมกับตอกย้ำถึงความสำคัญของการมีประกันภัยการเดินทางที่ตอบโจทย์และมีการคุ้มครองที่เป็นเลิศขณะเดินทาง ทั้งนี้ยังมีทางผู้บริหารของ แอกซ่าประกันภัย นำโดย มร.กิลโยม มิราโบว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) นางสาวปวีณา เขมะรังสรรค์ ผู้อำนวยการสายงานบริหารลูกค้า และ นางหทัยนันท์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสายงานบริหารช่องทางการขาย ที่ให้เกียรติเข้าร่วมเพื่อให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น เทรนด์ของตลาดและทิศทางล่าสุดของอุตสาหกรรมประกันภัยการเดินทางพร้อมทั้งตอกย้ำถึงการที่ AXA Smart Traveller’s Choice จะเข้ามายกระดับผลิตภัณฑ์ประกันภัยการเดินทางได้อย่างไร

นางสาว ปวีณา เขมะรังสรรค์ ผู้อำนวยการสายงานบริหารลูกค้า บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “AXA Smart Traveller’s Choice เป็นแผนประกันภัยการเดินทางที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยออกแบบให้มีความคุ้มครองหลัก (Core protection) ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ถึง 3 ระดับ ได้แก่ แผนเบสิค แผนแอดวานซ์ และแผนแมกซ์ โดยความคุ้มครองหลักนี้ครอบคลุมความคุ้มครองสำคัญ เช่น การเสียชีวิตและทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศ การรักษาต่อเนื่องในประเทศไทย การเคลื่อนย้ายเพื่อการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน หรือการเคลื่อนย้ายกลับประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจว่านักเดินทางทุกคนจะได้รับการคุ้มครองอย่างครอบคลุมทุกการเดินทาง และสำหรับผู้ที่ต้องการแผนประกันภัยเพื่อใช้ในการยื่นขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) โดยเฉพาะ ก็สามารถทำได้เพียงเลือก ‘ความคุ้มครองหลัก (Core Protection)’ แผนเบสิค ซึ่งมีเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 119 บาท” ทั้งนี้ลูกค้าสามารถเลือก Choice ตัวเลือกความคุ้มครองเพิ่มเติม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละการเดินทาง เช่น สำหรับนักเดินทางที่เดินทางไปหลายประเทศและมีการต่อเที่ยวบิน หรือขนส่งประจำทางอื่น ๆ หลายครั้งนั้น แนะนำให้นักเดินทางเลือก ‘ความคุ้มครองการเดินทาง (Trip Protection)’ ซึ่งเป็นความคุ้มครองเพิ่มเติมที่จะคุ้มครองกรณีการเดินทางล่าช้าและพลาดการต่อเที่ยวบิน แต่สำหรับนักเดินทางที่วางแผนเดินป่า หรือทำกิจกรรมในพื้นที่ห่างไกล หรือเช่ารถขับเอง แนะนำให้นักเดินทางเลือก ‘ความคุ้มครองพิเศษ (Extra Protection)’ ซึ่งเป็นความคุ้มครองเพิ่มเติมที่จะคุ้มครองค่าใช้จ่ายของการค้นหาและกู้ภัย และชดเชยความเสียหายส่วนแรกสำหรับรถยนต์เช่า
สำหรับนักเดินทางที่ชื่นชอบการช้อปปิ้ง เลือก ‘ความคุ้มครองทรัพย์สิน (Property Protection)’ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งตัวเลือกนี้จะคุ้มครองทรัพย์สินของนักเดินทางจากการลักทรัพย์การวิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือการถูกลักทรัพย์จากการทุบกระจกรถ และยังครอบคลุมทรัพย์สินส่วนตัวที่บ้านในประเทศไทยขณะเดินทางไปต่างประเทศ” นางสาว ปวีณา กล่าวปิดท้าย

นาง หทัยนันท์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสายงานบริหารช่องทางการขาย บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ประกันภัยการเดินทาง AXA Smart Traveller’s Choice พร้อมให้ลูกค้าเลือกซื้อประกันออนไลน์อย่างสะดวกสบายเพียงแค่ปลายนิ้วแล้วผ่านช่องทางเว็บไซต์หลักของ แอกซ่า ประกันภัย ที่ https://www.axa.co.th/en/axa-smarttraveller พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินระหว่างการเดินทาง ที่สามารถติดต่อได้ในหลากหลายช่องทาง รวมถึงโรงพยาบาลในเครือข่ายทั่วโลก และอุ่นใจได้เสมอกับ AXA Hotline 24 ชั่วโมง หรือช่องทาง LINE Official ของเรา ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือทุกขั้นตอนในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขณะเดินทาง”
‘AXA Smart Traveller’s Choice’ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของแอกซ่าประกันภัยในการส่งมอบแผนประกันการเดินทางที่ดีที่สุด เพื่อให้ทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะเพื่อธุรกิจหรือพักผ่อน ได้รับความคุ้มครองจากทุกเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
โปรโมชั่นพิเศษ! ตั้งแต่วันนี้ถึง 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เมื่อซื้อแผนประกันภัยการเดินทาง AXA Smart Traveller’s Choice และกรอก Promotion code “AXACHOICE” รับ Starbucks e-Coupons มูลค่าสูงสุด 900 บาท เมื่อชำระค่าเบี้ยประกันภัยรวมตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป พร้อมส่วนลดพิเศษ 22% สำหรับแผน Advance หรือ แผน Max
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัยการเดินทางของ แอกซ่าประกันภัย หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ https://u.axa.co.th/PubPC25
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เดินหน้าส่งเสริมการเลี้ยงชันโรงให้เป็นธุรกิจเพื่อสังคม สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชนไทย ผ่านโครงการ "Big Brothers" ระยะที่ 2 ภายใต้แนวคิด “Big Brothers นำชุมชนสู่วิสาหกิจเพื่อสังคม น้ำผึ้งชันโรง” มุ่งยกระดับการเลี้ยงชันโรงจากอาชีพเสริมสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้มั่นคง ด้วยพลังของงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก พร้อมขยายเครือข่ายสู่จังหวัดสระบุรี โดยร่วมกับภาคเอกชนที่เข้ามาเป็น "พี่เลี้ยง" ถ่ายทอดความรู้ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด และการบริหารธุรกิจ เพื่อให้เกษตรกรสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน
ชันโรงเป็นผึ้งพื้นถิ่นที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศ ช่วยเพิ่มอัตราการผสมเกสรให้พืชผลทางการเกษตรโดยเฉพาะไม้ผล เช่น มะม่วง ลำไย และกาแฟ อีกทั้งยังเป็นแมลงเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูง สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชน ด้วยคุณสมบัติที่เลี้ยงง่าย ลงทุนน้อย แต่ให้ผลตอบแทนสูง น้ำผึ้งชันโรงเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีมูลค่าสูง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและบำรุงสุขภาพ และได้รับความนิยมในตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพ โครงการนี้จะช่วยให้เกษตรกรมีความรู้ในการเลี้ยงชันโรงอย่างเป็นระบบ เพิ่มผลผลิตโดยการใช้อาหารเสริมที่พัฒนามาจากงานวิจัยและเพิ่มมูลค่าของน้ำผึ้งชันโรง รวมถึงการพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนโดยใช้น้ำผึ้งชันโรงเป็นส่วนผสม เช่น แยมไซรัปเลมอนผสมน้ำผึ้งชันโรง น้ำเลมอนผสมน้ำผึ้งชันโรง การนำเอากากของชันที่ไม่ได้ใช้แล้ว นำไปผลิตเป็นสบู่นมแพะผสมน้ำผึ้งชันโรง เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน
เมื่อปี 2566 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือ “Big Brothers นำชุมชนสู่วิสาหกิจเพื่อสังคม น้ำผึ้งชันโรง” ในระยะที่ 1 ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง และเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชน ประกอบด้วย กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) เป็นการนำเอางานวิจัยมาพัฒนาให้เกิดขึ้นจริงโดยการผลิตอาหารเสริมเพื่อเลี้ยงชันโรงเป็นการเพิ่มผลผลิตของน้ำผึ้งชันโรง เกิดการส่งเสริมการเลี้ยงชันโรงในจังหวัดระยอง ขอนแก่น และสมุทรปราการ เกิดเครือข่ายผู้เลี้ยงชันโรง ขยายตลาด และเกิดการผลิตอาหารเสริมเพื่อเลี้ยงชันโรงขึ้น
การขับเคลื่อนโครงการ "Big Brothers" ในระยะที่ 2 จะขยายสู่จังหวัดสระบุรี โดยเน้นการสร้างต้นแบบการเลี้ยงชันโรงที่เหมาะสมกับพื้นที่ พัฒนาเทคนิคการเก็บเกี่ยว และยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์เพื่อเข้าสู่ตลาดสุขภาพระดับพรีเมียม ซึ่งจะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ความร่วมมือนี้เป็นอีกก้าวสำคัญของการใช้พลังของงานวิจัยและภาคธุรกิจในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ให้กับเศรษฐกิจฐานรากของไทย

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ซึ่งได้ให้เกียรติร่วมพิธีประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือกับผู้บริหารหน่วยงานพันธมิตรในระยะที่ 2 ณ โรงแรม เอส 31 สุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร กล่าวถึงความสำคัญของความร่วมมือนี้ว่า “น้ำผึ้งชันโรงไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่เป็นโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย โครงการ Big Brothers แสดงให้เห็นว่างานวิจัยที่ดีสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้จริง เรากำลังช่วยให้เกษตรกรมีทางเลือกใหม่ที่มั่นคง เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ด้วยการนำองค์ความรู้ทางวิจัยมาผสานกับศักยภาพของชุมชน จะช่วยสร้างธุรกิจที่เติบโตได้จริงและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง”
บทบาทสำคัญของ วช. ในโครงการนี้คือการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของน้ำผึ้งชันโรง รวมถึงการผลักดันให้กลุ่มเกษตรกรสามารถต่อยอดเป็นธุรกิจที่มีมาตรฐาน ขณะที่ภาคเอกชนในฐานะ "Big Brothers" เข้ามาช่วยเติมเต็มในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ การวางกลยุทธ์ทางการตลาด และการขยายช่องทางการจำหน่าย ทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ

พิธีประกาศเจตนารมณ์ครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญของเครือข่าย Big Brothers ในการแสดงพลังของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อเปลี่ยน “น้ำผึ้งชันโรง” ให้เป็นมากกว่าสินค้า แต่เป็นต้นแบบธุรกิจเพื่อสังคมที่สร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนไทย