

ดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด ประเทศไทย (แอสคอทท์) ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการได้รับการรับรองจาก Global Sustainable Tourism Council (GSTC) ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทในการดำเนินธุรกิจโรงแรมอย่างยั่งยืน และส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบในระดับสากล
แอสคอทท์ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานที่ยั่งยืน โดยผสานแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ากับการบริการระดับโลก ภายใต้โครงการ "Ascott CARES" ที่มุ่งเน้น 5 หัวใจสำคัญ ได้แก่ ชุมชน (Community), พันธมิตร (Alliance), การให้เกียรติ (Respect), สิ่งแวดล้อม (Environment) และห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain)
แอสคอทท์ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ผ่านโครงการ Ascott CARES โดยนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินงานทุกด้าน ตั้งแต่การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การอนุรักษ์น้ำ การลดของเสีย ไปจนถึงการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยโครงการเหล่านี้ได้สร้างประโยชน์โดยตรงแก่ชุมชนในพื้นที่ที่แอสคอทท์ดำเนินธุรกิจ และยังสนับสนุนเป้าหมายความยั่งยืนระดับโลกของบริษัทอีกด้วย
การรับรอง GSTC ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยประเมินธุรกิจตามหลักเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการจัดการ ซึ่งการรับรองในครั้งนี้ ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของแอสคอทท์ และความสำเร็จในการปฏิบัติตามมาตรฐานที่เข้มงวด เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นและการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ การรับรองจาก GSTC ครอบคลุมที่พักในเครือแอสคอทท์ 20 แห่งในประเทศไทยและลาว ซึ่งรวมถึงเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ โรงแรม และที่พักรูปแบบโค-ลิฟวิ่ง ภายใต้แบรนด์ Ascott, Citadines, lyf, Oakwood และ Somerset ในเมืองสำคัญอย่าง กรุงเทพฯ ชลบุรี และเวียงจันทน์

คุณคณิต แสงมุกดา ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทยและลาว บริษัท ดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า “ความยั่งยืนคือหัวใจหลักในการดำเนินงานของเรา และเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการรับรองจาก GSTC ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้ถือเครื่องยืนยันถึงความพยายามของเราในการนำความยั่งยืนมาสู่ทุกมิติของธุรกิจ ตั้งแต่การดำเนินงานที่ประหยัดพลังงาน การจัดหาทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ ตลอดจนการมีส่วนร่วมกับชุมชน เราจะยังคงมุ่งมั่นสร้างผลกระทบเชิงบวก ไม่เพียงแต่สำหรับแขกผู้เข้าพัก แต่ยังรวมถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่เราให้บริการด้วย”
ด้วยการรับรองนี้ แอสคอทท์ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมการบริการ พร้อมเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์การเข้าพักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับความสะดวกสบาย และคุณภาพในการให้บริการที่เป็นเลิศ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอสคอทท์ ประเทศไทย หรือสำรองห้องพัก กรุณาติดต่อ 02 204 4400 / 1800 888 272 (โทรฟรีในประเทศไทย) อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.discoverasr.com
ฯพณฯ นายฌ็อง-โกลด ปวงเบิฟ (Jean-Claude Poimboeuf) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน “French Fair 2025” เทศกาลสินค้าและอาหารระดับพรีเมียมจากประเทศฝรั่งเศส โดยมี นายอัศวิน - นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และรองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี ให้การต้อนรับ ณ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาพระราม 4 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568

ภายในงานนำเสนอสินค้าคุณภาพเยี่ยมจากประเทศฝรั่งเศสกว่า 200 รายการ ที่ได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน พร้อมกิจกรรมบูทชิมสินค้า และโปรโมชันพิเศษ ลดราคาสูงสุด 30% ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 9 เมษายน 2568 ณ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 10 สาขาที่ร่วมรายการ รวมถึงช่องทางออนไลน์

บิ๊กซี ได้ร่วมมือกับ สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ในการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบคุณภาพระดับพรีเมียม เพื่อมอบประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าที่พิเศษให้แก่ผู้บริโภค โดยมีสินค้ากว่า 200 รายการ ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ อาทิ:
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีบูทชิมสินค้าพิเศษ และโปรโมชันลดราคาสูงสุด 30% เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสรสชาติและเลือกซื้อสินค้าคุณภาพระดับโลกในราคาคุ้มค่า
ขอเชิญชวนลูกค้าทุกท่านมาร่วมช้อปปิ้งในงาน “French Fair 2025” ได้ตั้งแต่วันนี้ – 9 เมษายน 2568 ณ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 10 สาขาที่ร่วมรายการ ได้แก่ สาขาพระราม 4, สาขาสะพานควาย, สาขาลาดพร้าว 2, สาขาเมกา บางนา, สาขาพัทยา 2, สาขาพัทยา 3, สาขาสมุย, สาขาภูเก็ต 1, สาขาภูเก็ต 2 และสาขาเชียงใหม่ 2 รวมถึงช่องทางออนไลน์

พิเศษ! สำหรับสมาชิก บิ๊กพอยต์ สามารถร่วมแคมเปญ “สุขไปกันใหญ่ บิ๊กพอยต์ แต้มความสุขแลกง่ายได้ทุกวัน” โดยทุกการใช้จ่าย 25 บาท = 1 คะแนน สามารถใช้คะแนนสะสมเพื่อแลกรับส่วนลดทันที ติดตามโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ บิ๊กซี
หมายเหตุ: เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
เอไอเอ ประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ เดินหน้ามอบความคุ้มครองเชิงรุกผ่านแคมเปญล่าสุด “Fight Dengue” ภายใต้โครงการ “Healthier You เริ่มต้นที่การฉีดวัคซีน” มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าเอไอเอให้สามารถเข้าถึงการฉีดวัคซีนได้ตลอดทั้งปี เพื่อป้องกันความรุนแรงจากการติดเชื้อโรคที่พบบ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออกที่ปัจจุบันถือเป็นภัยเงียบสำหรับทุกเพศทุกวัย อีกทั้งยังคงเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ และมีอัตราการระบาดได้ทุกฤดูตลอดทั้งปี ซึ่งวิธีป้องกันโรคที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ดังนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของแคมเปญ “Fight Dengue” ที่เอไอเอมุ่งเสริมเกราะป้องกันโรคไข้เลือดออกให้กับคนไทย เพื่อลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยรุนแรงและภาระค่ารักษาพยาบาล พร้อมส่งเสริมให้คนไทยทั่วประเทศมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยในงานยังได้ คุณชาย ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ และคุณวิกกี้ สุนิสา เจทท์ มาร่วมพูดคุยเรื่องการดูแลสุขภาพและการป้องกันให้ห่างไกลจากโรคไข้เลือดออก เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองและคนในครอบครัว

คุณเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ เชื่อว่าการมีชีวิตที่ดีไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การวางแผนทางการเงินที่รอบคอบ แต่ยังรวมไปถึงการวางแผนเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงควบคู่กันไปด้วย ปีนี้เราจึงได้ริเริ่มโครงการ ‘Healthier You เริ่มต้นที่การฉีดวัคซีน’ ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าได้เข้าถึงการบริการและนวัตกรรมการป้องกันโรคต่าง ๆ ที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ซึ่งการฉีดวัคซีนเป็นหนึ่งในทางเลือกของการป้องกันโรค โดยเฉพาะโรคที่พบบ่อยและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้มีการป้องกันและรักษาที่ถูกต้อง อย่างเช่นโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคที่ส่งผลกระทบต่อคนไทยมาโดยตลอด นอกจากตัวผู้ป่วยเองจะต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคแล้ว ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่อาจส่งผลแก่ชีวิตหากมีโรคประจำตัวหรือภาวะแทรกซ้อน ซึ่งจากสถิติในปีที่ผ่านมาเราพบว่าในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อมากถึงหลักแสนราย และมีลูกค้าเอไอเอจำนวนมากที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคไข้เลือดออก อีกทั้งยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกเป็นจำนวนไม่น้อย และการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแต่ละครั้งยังต้องใช้ระยะเวลาเฉลี่ยถึง 4 – 5 วัน ดังนั้น ผู้ป่วยอาจต้องหยุดงาน หยุดเรียน ขาดรายได้ รวมถึงขาดโอกาสอื่น ๆ ในชีวิตช่วงที่รักษาตัว ขณะที่คนในครอบครัวย่อมได้รับผลกระทบตามมาเช่นเดียวกัน แคมเปญ ‘Fight Dengue’ จึงเป็นอีกทางเลือกให้กับลูกค้าเอไอเอได้เข้าถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ส่งผลถึงค่ารักษาพยาบาลที่ย่อมลดน้อยลง ตลอดจนยังทำให้ลูกค้าของเรามีสุขภาพที่ดีขึ้น ตามพันธกิจสำคัญของเอไอเอที่ต้องการส่งเสริมผู้คนกว่าพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ”
นพ. วีรวัฒน์ มโนสุทธิ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ และ นายแพทย์ระดับทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “ไข้เลือดออกเป็นโรคที่พบได้ทุกช่วงวัย โดยอาการอาจมีตั้งแต่ไม่รุนแรงไปจนถึงอาการรุนแรงสู่ภาวะช็อก หัวใจหยุดเต้น และอาจเสียชีวิตได้ในระยะเวลาไม่กี่วัน ผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วสามารถติดเชื้อซ้ำได้ เพราะไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ และครั้งที่สองมักมีอาการรุนแรงยิ่งขึ้น ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานหรือผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงก็สามารถติดเชื้อและอาการอาจจะรุนแรงได้เช่นกัน จากสถิติในปี 2567 พบว่าผู้ป่วยไข้เลือดออกสะสมในไทยตลอดปีมีมากถึง 105,250 ราย และเสียชีวิตถึง 112 ราย กระจายทั่วประเทศ โดยกลุ่มอายุที่มีอัตราเสียชีวิตมากที่สุดอยู่ในช่วงกลุ่ม 35-44 ปี ตามมาด้วยกลุ่ม 35-44 ปี และกลุ่ม 65 ปีขึ้นไป1 โดยโรคนี้สามารถระบาดได้ตลอดปี จึงควรป้องกันอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การป้องกันยุงกัด การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้าน และที่สำคัญคือเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80-90%* การป้องกันจึงเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพของทุกคนในครอบครัว”

คุณชาย-ชาตโยดม หิรัญยัษฐิติ นักแสดงและคุณพ่อลูก 2 กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ไม่คิดว่าไข้เลือดออกเป็นเรื่องใกล้ตัว เพราะเป็นคนดูแลสุขภาพและไม่ค่อยป่วยหนัก คิดว่าตัวเองแข็งแรงมาตลอด แต่จริง ๆ แล้วเพราะคนที่แข็งแรงก็สามารถป่วยจากโรคนี้ได้ และผมได้เห็นเพื่อนและคนรอบตัวต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากอาการที่รุนแรง เราจึงเริ่มเข้าใจว่าโรคนี้ไม่ใช่แค่โรคทั่วไป อีกอย่างเราเป็นหัวหน้าครอบครัวเรายิ่งต้องป้องกันตัวเองจากการเจ็บป่วย นอกจาการเตรียมพร้อมในการมีประกันสุขภาพเมื่อยามเจ็บป่วยแล้ว การที่ประกันสุขภาพสามารถเพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงการฉีดวัคซีนเพื่อเสริมเกราะป้องกันและลดอาการรุนแรงของโรคไข้เลือดออกเป็นการตอบโจทย์ความต้องการทางสุขภาพของลูกค้า เพราะเราไม่อยากพลาดโอกาสหลายอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเรียน หรือแม้แต่ช่วงเวลาดี ๆ ที่ควรได้ใช้ร่วมกับครอบครัวและคนสำคัญ”
“นอกจากจะต้องห่วงลูกๆ จากโรคยอดฮิตแล้วไข้เลือดออกก็เป็นอีกโรคที่สำหรับคนเป็นแม่ละเลยไม่ได้เลย เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่ายุงจะมากัดลูกหรือเราเมื่อไหร่ อีกอย่างไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มียุงหมด สิ่งที่วิกกี้บอกกับครอบครัวเสมอคือเราต้องใส่ใจกับการป้องกัน เพราะไข้เลือดออกมันระบาดได้ทั้งปี ไม่ใช่แค่ในช่วงหน้าฝน เราจึงไม่ควรมองข้ามเพราะไข้เลือดออกใกล้ตัวและอันตรายกว่าที่คิด วิธีป้องกันที่เริ่มจากตัวเราเองได้เช่นการเก็บบ้านไม่ให้รก เปลี่ยนน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้มีบริเวณน้ำขัง เก็บขยะไปทิ้งทุกวัน อย่างกับลูกวิกกี้จะทากันยุงเมื่อต้องไปในที่ที่เสี่ยงโดนยุงกัด และอีกหนึ่งทางเลือกคือการฉีดวัคซีนที่สามารถทำควบคู่กันไปกับการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกัน เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเราจะเป็นไข้เลือดอกเมื่อไหร่ ฉะนั้นยิ่งถ้าไม่รู้ เรายิ่งต้องป้องกันค่ะ” คุณวิกกี้-สุนิสา เจทท์ นักแสดงและคุณแม่มากความสามารถ กล่าวทิ้ง

ท้ายสำหรับแคมเปญ “Fight Dengue” เอไอเอ จะมอบสิทธิพิเศษในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกสำหรับลูกค้าทั่วไป และสมาชิก AIA Prestige Club โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ลูกค้าเอไอเอสามารถเข้ารับบริการผ่านโรงพยาบาลในโครงการ AIA Smart Network ทั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ผ่านทางสื่อออนไลน์ของเอไอเอ ประเทศไทย ทั้ง AIA Official Facebook Page และ Line Official Account
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 13.25 น. ประเทศไทยรับรู้แรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งสามารถรู้สึกได้ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง ภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที พฤติกรรมการสื่อสารของผู้ใช้งานบนเครือข่ายทรูและดีแทคเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน โดยปริมาณการโทรออก (Voice Call) พุ่งสูงเฉลี่ยกว่า 5 เท่า ขณะเดียวกัน การใช้งานดาต้า (Data) ก็เปลี่ยนทิศทางอย่างเห็นได้ชัด
การโทรกลายเป็นช่องทางเร่งด่วนในการติดต่อระหว่างบุคคล ส่วนดาต้าถูกใช้เพื่อการสื่อสารอย่างมีเป้าหมาย ผ่านแอปอย่าง LINE Messenger และ X เพื่อติดต่อ ตอบกลับข้อความ และเช็กข้อมูลข่าวสาร สะท้อนพฤติกรรมของผู้ใช้งานในภาวะฉุกเฉินที่ต้องการติดต่อสื่อสารอย่างทันท่วงที
พฤติกรรมการใช้งานเครือข่ายในช่วงฉุกเฉิน
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ข้อมูลการใช้งานบนเครือข่ายทรูและดีแทคสะท้อนภาพชัดเจนถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งานในช่วงเวลาฉุกเฉิน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
การใช้งานเสียง (Voice Usage)
เครือข่ายทรู
เครือข่ายดีแทค
ปริมาณการโทรออกเทียบเป็นรายภาค ในช่วงการโทรสูงสุด
เครือข่ายทรู จุดที่มีการโทรออกสูงที่สุดคือเวลา 13:33 น. โดยเรียงลำดับจากภาคที่มีการเพิ่มขึ้นมากที่สุด ดังนี้
เครือข่ายดีแทค จุดที่มีการโทรออกสูงที่สุดคือเวลา 13:32 น. โดยเรียงลำดับจากภาคที่มีการเพิ่มขึ้นมากที่สุด ดังนี้
จากข้อมูลข้างต้น อาจสรุปได้ว่าในภาวะฉุกเฉิน ผู้ใช้งานมีแนวโน้มเลือกใช้ “การโทร” (Voice Call) เป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสาร โดยปริมาณการโทรออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงบทบาทของการสื่อสารด้วยเสียงในภาวะฉุกเฉิน เพื่อยืนยันความปลอดภัยระหว่างบุคคลอย่างทันท่วงที
การใช้งานดาต้า (Data Usage)
พฤติกรรมการใช้งาน 7 แอปพลิเคชันยอดนิยมในช่วงเหตุการณ์แผ่นดินไหว
เมื่อพิจารณาการใช้งานของ 7 แอปยอดนิยม (Facebook, Messenger, Instagram, TikTok, YouTube, LINE, X) ในช่วงเวลา 13:15–14:15 น. พบว่าทั้ง ทรู และ ดีแทค มีแนวโน้มคล้ายกัน คือ:
สะท้อนว่าในภาวะฉุกเฉิน ผู้ใช้งานมุ่งไปที่การสื่อสารแบบทันที และการตรวจสอบสถานการณ์
เครือข่าย True
เครือข่ายดีแทค
จากข้อมูลข้างต้น อาจสรุปได้ว่าในภาวะฉุกเฉิน ผู้ใช้งานมีแนวโน้มปรับพฤติกรรมไปใช้แอปที่เน้นการสื่อสาร มากกว่าการเปิดดูคอนเทนต์วิดีโอ เป็นการใช้ดาต้าโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อยืนยันความปลอดภัย รับรู้ข่าวสาร และติดต่อผู้คนในช่วงเวลาสำคัญ
เบื้องหลังคือการยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน
หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทีมงานเน็ตเวิร์กของทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินทันที ด้วยการตั้ง "วอร์รูม” ที่ BNIC ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ โดยใช้ AI ดูแลและบริหารเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการระดมกำลังทีมงาน เพื่อเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ประชาชนผู้ใช้งานเครือข่ายทุกคนจะใช้การสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปันน้ำใจ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว และเจ้าหน้าที่ที่คอยช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ โดยบริษัทฯ ได้มอบน้ำดื่ม จำนวน 1,000 ขวด ให้แก่เทศกิจ เขตจตุจักร เพื่อกระจายไปยังประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตแผ่นดินไหว ทั้งนี้บริษัทฯ ขอแสดงความห่วงใย และส่งกำลังใจให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ พนักงานทุกภาคส่วน และขอให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
โดยการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในครั้งนี้ สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯที่ พร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นำโดยนายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร เข้าพบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมถึง ศาสตราจารย์นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. และนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อหารือเรื่องการเร่งดำเนินการเกี่ยวกับกระบวนการส่งข้อมูลการแจ้งเตือนสถานการณ์ฉุกเฉิน และการใช้ระบบ Cell Broadcast ในประเทศไทยอย่างเร่งด่วน

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังร่วมการประชุมติดตามและแก้ไขปัญหาการเตือนภัยที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า " “ทรู คอร์ปอเรชั่น ยืนยันความพร้อมในการใช้งานระบบ Cell Broadcast Service ได้ทันทีในวันนี้ โดยจะทำเป็นระบบ Virtual Cell Broadcast กล่าวคือ หากเกิดภัยพิบัติหรือมีความจำเป็นที่ภาครัฐต้องการส่งการแจ้งเตือนภัย ลูกค้าทรูและดีแทคสามารถได้รับการแจ้งเตือนผ่านระบบนี้ได้โดยทันที โดยไม่ต้องรอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบให้พร้อมครบถ้วน เพราะเราตระหนักถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ และได้ติดตั้งระบบนี้เรียบร้อยแล้วในทุกสถานีฐานทั่วประเทศ ถือเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่มีความพร้อมให้บริการระบบนี้อย่างเต็มรูปแบบ”
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันระบบ Cell Broadcast Service ยังรองรับเฉพาะโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ Android เท่านั้น ยังไม่สามารถแจ้งเตือนภัยไปยังผู้ใช้งาน iOS ได้โดยตรง ดังนั้นการแจ้งเตือนภัยสำหรับผู้ใช้มือถือ iOS ยังคงใช้วิธีส่งข้อความ SMS แทน ทั้งนี้ สำนักงาน กสทช. กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัท Apple เพื่อให้ระบบ Cell Broadcast สามารถรองรับบนอุปกรณ์ iOS ได้ในอนาคต
ทั้งนี้ ระบบ Virtual Cell Broadcast Service ที่ทรูได้พัฒนาขึ้นนี้ ช่วยให้สามารถแจ้งเตือนฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว โดยจะมีทั้งเสียงและข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ทันที แม้อยู่ในโหมด sleep หรือ standby รองรับการแสดงผลได้ 5 ภาษา ได้แก่ ไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติม

การเข้าพบครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างทรู คอร์ปอเรชั่น ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาระบบเตือนภัยพิบัติ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนได้รับข้อมูลการแจ้งเตือนที่รวดเร็วและแม่นยำ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน
ก่อนหน้านี้ ทรูได้ทดสอบและเร่งติดตั้งระบบเตือนภัย Cell Broadcast ให้ครบทุกสถานีฐานทั่วประเทศเรียบร้อยแล้วเป็นรายแรกในไทย โดยเร่งดำเนินการให้เร็วกว่าแผนเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2568 เนื่องจากความห่วงใยต่อประชาชนคนไทย และสถานการณ์ภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เป็นประธานในพิธีเปิดสำนักงานแห่งใหม่ เลขที่ 1/736 หมู่ที่ 17 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 12130 โดยมี นายบรรยง วิเศษมงคลชัย รองประธานกรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายสมพร มูลศรีแก้ว ผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจ พร้อมคณะผู้บริหาร BAM แขกผู้มีเกียรติ ร่วมงานพิธีเปิดสำนักงานการ์เด้นโฮมอย่างเป็นทางการ
นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ BAM กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาของการดำเนินงาน BAM มีการบริหารงานให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการวางกลยุทธ์จัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และทรัพย์สินรอการขายให้กลับมาเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพกลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาระบบงานต่างๆ และเทคโนโลยีให้ทันสมัย ขณะเดียวกัน BAM มีอีกหนึ่งแผนงานพัฒนาธุรกิจที่สำคัญก็คือ การขยายเครือข่ายสำนักงานเพื่อให้บริการลูกค้าครอบคลุมในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่และสำนักงานสาขารวมทั้งสิ้น 26 แห่ง โดยสำนักงานการ์เด้นโฮมตั้งอยู่เลขที่ 1/736 หมู่ที่ 17 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 12130 จะดูแลพื้นที่จังหวัดปทุมธานีและพื้นที่กรุงเทพฯ ทางตอนเหนือ ได้แก่ เขตคลองสามวา เขตดอนเมือง เขตบางเขน เขตสายไหม เขตหนองจอก และเขตหลักสี่ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการทั้งด้านปรับปรุงโครงสร้างหนี้และลูกค้าที่สนใจซื้อทรัพย์สินรอการขายของ BAM ในเขตพื้นที่ดังกล่าว

สำหรับการออกแบบอาคารสำนักงานการ์เด้นโฮมคำนึงถึงการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าหมายการประเมินตามมาตรฐาน LEED v4 BD+C ประเภท CORE & SHELL จาก Green Business Certification Institute (GBCI) ของ U.S. Green Building Council (USGBC) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ BAM ในการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน

นางทองอุไร กล่าวอีกว่า สำนักงานหรือสาขาถือได้ว่าเป็นเครือข่ายที่ส่งเสริมธุรกิจของ BAM อย่างเข้มแข็ง เนื่องจากสามารถเข้าถึงลูกค้า และมีความคุ้นเคยกับชุมชนในท้องถิ่น ทำให้เข้าใจสภาพตลาดได้เป็นอย่างดี สำนักงานจะมีการวางแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการออกบูธ นับเป็นช่องทางในการสร้างฐานลูกค้า และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี BAM มีอสังหาฯ ทุกประเภท ตั้งอยู่บนทำเลดี ราคาเหมาะสม ที่จะเป็นทางเลือกสร้างโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ประกอบธุรกิจเป็นของตนเอง รวมทั้งนักลงทุนที่ซื้อทรัพย์ BAM ไปปรับปรุงขาย นอกจากนั้นลูกหนี้ก็สามารถปรับโครงสร้างหนี้ โดย BAM จะช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยมาตรการที่ผ่อนปรนและยืดหยุ่นทำให้ลูกหนี้ได้มีโอกาสพลิกฟื้นคืนเครดิต และนำทรัพย์หลักประกันกลับไปใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง พร้อมกันนี้ ในโอกาสเปิดสำนักงานแห่งใหม่ BAM ได้มอบเงินสนับสนุนให้กับมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก มูลนิธิกระจกเงา และสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล (สพค.) อีกด้วย
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ กรุงเทพประกันชีวิต ขอแสดงความห่วงใยพี่น้องประชาชนต่อกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทยเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพและความเป็นอยู่ทั้งของลูกค้าและประชาชน จึงขอส่งกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตนี้ในเร็ววัน และด้วยตระหนักถึงความเดือดร้อนและความเสียหายของผู้ประสบภัย จึงขอสนับสนุนและช่วยเหลือลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ที่ประสบเหตุแผ่นดินไหวโดยมีมาตรการช่วยเหลือด้วย การขยายระยะเวลาผ่อนผันการชำระเบี้ยประกัน สำหรับผู้ถือกรมธรรม์ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว และมีกำหนดชำระเบี้ยตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 – 30 เมษายน 2568 โดยให้สามารถขยายระยะเวลาผ่อนผันการชำระเบี้ยประกันจาก 60 วัน เป็น 90 วัน โดยผู้ถือกรมธรรม์สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-777-8888 ด้วยความใส่ใจ ห่วงใย จากกรุงเทพประกันชีวิต
บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) พร้อมเคียงข้างลูกบ้านเดินหน้ามาตรการเชิงรุก หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบอาคาร นำโดยทีมผู้บริหารพฤกษาฯ และทีมวิศวกร ยืนยันความปลอดภัยพร้อมผนึกพันธมิตร ดูแลอำนวยความสะดวกทุกขั้นตอน โดยล่าสุดได้มีการเริ่มเข้าซ่อมแซมแก้ไขให้สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ รักษามาตรการความปลอดภัยสูงสุด พร้อมมุ่งมั่นใส่ใจดูแลลูกบ้านและผู้อยู่อาศัย ทั้งโครงการแนวสูงและแนวราบ ด้วยความใส่ใจ เพื่อชีวิตที่ อยู่ดี มีสุข ของลูกบ้านพฤกษาฯ
นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดผลกระทบและความเสียหายเป็นวงกว้าง พฤกษาฯ ใช้ความเชี่ยวชาญด้านการอยู่อาศัยและความแข็งแกร่งในการผนึกพันธมิตร ทั้งด้านทีมวิศวกร ผู้รับเหมา บริษัทประกันภัย กลุ่มวัสดุก่อสร้าง สถาบันทางการเงิน และ บริการด้านสุขภาพ ร่วมมือผ่านมาตรการเชิงรุกเพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านพฤกษาฯ ทั้งในกลุ่มโครงการแนวสูงและแนวราบ โดยให้ความสำคัญกับมาตรฐานคุณภาพความปลอดภัยในการดำเนินงานทุกขั้นตอน ให้ความมั่นใจกับลูกบ้านและผู้อยู่อาศัยครบทุกมิติ พร้อมอยู่เคียงข้างและยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพชีวิต ความปลอดภัยสูงสุด และความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว” นายธีระ กล่าว
นายภัคริน ทัตติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ได้มีการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจ ประกอบด้วยทีมผู้บริหารพฤกษาฯ ทีมวิศวกรและนิติบุคคลประจำโครงการ ลงพื้นที่อย่างเร่งด่วน เพื่อทำการตรวจสอบโครงการอย่างละเอียด ทั้งโครงสร้างอาคารและระบบสาธารณูปโภค จนขณะนี้เร่งตรวจสอบแล้วกว่า 44 โครงการ เบื้องต้นไม่พบความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคาร

พฤกษาฯ คำนึงถึงการดูแลลูกบ้านที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับการซ่อมแซมเพื่อกลับไปอยู่อาศัยได้อย่างปกติโดยเร็ว ได้มีมาตรการร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตร ผู้รับเหมา และทีมช่างมืออาชีพ โดยความร่วมมือประสานงานจากนิติบุคคลประจำโครงการและบริษัทประกันภัย ซึ่งปัจจุบันได้มีการร่วมกับกลุ่มพันธมิตรเริ่มเข้าซ่อมแซมโครงการที่มีการตรวจสอบความเสียหายอย่างละเอียดให้กับลูกบ้านที่ได้รับผลกระทบแล้ว โดยมุ่งเน้นให้การซ่อมแซมเป็นไปตามมาตรฐานที่ปลอดภัย เพื่อให้ทุกท่านสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว” นายภัคริน กล่าว
ทั้งนี้ พฤกษา ให้ความใส่ใจลูกบ้านทั้งในกลุ่มโครงการทั้งแนวสูงและแนวราบที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ในการให้คำแนะนำและประสานงานทีมวิศวกรตรวจสอบโครงสร้าง, ให้คำแนะนำวิธีดำเนินการเคลมประกันและเร่งรัดกระบวนการดูแล ในกลุ่มบริษัทประกันที่เป็นกลุ่มพันธมิตร, ให้คำแนะนำและประสานงานผู้รับเหมาในกลุ่มพันธมิตรพร้อมช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดคิวเข้าซ่อมแซม, ให้คำแนะนำด้านสินเชื่อช่วยเหลือ โดยประสานงานกับธนาคารที่เป็นกลุ่มพันธมิตร สำหรับลูกบ้านที่ได้รับผลกระทบและต้องการขอพักชำระหนี้ หรือขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับค่าซ่อมแซมบ้าน

พร้อมดูแลจิตใจด้วยความห่วงใยโดยร่วมมือกับ โรงพยาบาลวิมุต ในเครือพฤกษา โฮลดิ้งฯ ขออยู่เคียงข้างคุณในทุกช่วงเวลาที่ยากลำบาก ให้บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ (Telemedicine) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยทีมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสุขภาพใจ ทุกวันเวลา 8.00 - 20.00 น. ผ่าน Line Official ViMUT Telemedicine : @vimuttelemd คลิก https://lin.ee/nps0jRa
พฤกษาฯ ขอยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดูแลลูกบ้านทุกท่าน และจะดำเนินมาตรการต่าง ๆ ภายใต้การคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ด้วยความใส่ใจเพื่อชีวิตที่ อยู่ดี มีสุข และ ความมั่นใจของลูกบ้านพฤกษา ทางบริษัทขอขอบคุณลูกบ้านทุกท่านที่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หากต้องการความช่วยเหลือและได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ท่านสามารถติดต่อนิติบุคคลประจำโครงการและทาง Pruksa Contact Center โทร 1739 แจ้งผ่านช่องทาง Facebook Fanpage Pruksa Family Club หรือแจ้งผ่านช่องทาง Line Official Pruksa : @pruksa คลิก https://line.me/R/ti/p/@gpb1728q