December 06, 2025

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยนายสรชัช ศรีลมูล (ขวา) ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดย นางสาวกนกกาญจน์ ฉันทวิทย์ (กลาง) ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จับมือ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด และเมซง วาเลนติโน่ (Maison Valentino) มอบประสบการณ์ “ปิดช็อปช้อปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ” กับคอลเลคชันใหม่ล่าสุด Pavillon des Folies คอลเลกชันสปริง-ซัมเมอร์ 2025  เอาใจสมาชิกสายแฟชั่นผู้หลงใหลในผลิตภัณฑ์แบรนด์วาเลนติโน โดยมีนายกิติพัฒน์ เกษกรณ์ (ซ้าย) V AMBASSADOR (THAILAND) ให้คำแนะนำสินค้าแบบเป็นส่วนตัว พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี - กรุงไทย ไพรเวท แบงก์กิ้ง (KTC-KRUNGTHAI PRIVATE BANKING) และบัตรเครดิตเคทีซี-กรุงไทย พรีเชียส+ (KTC-KRUNGTHAI PRECIOUS+) โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นที่ร้านวาเลนติโน LUXE HALL ศูนย์การค้าสยามพารากอน ชั้น M เมื่อเร็วๆ นี้

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่KTC PHONE021235000หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.cards/apply-pop-jcb หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

SAMA เครือข่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเอเจนซีด้านการตลาดและนวัตกรรมชั้นนำทั่วเอเชีย เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ณ SCBX Next Tech ศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา โดยมีผู้นำในอุตสาหกรรมร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับทิศทางที่เปลี่ยนแปลงไปของวงการการตลาดและการสื่อสารทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค

SAMA หรือ Strategic Asia Marketing Alliance มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงวงการการตลาดโดยการรวมตัวของเอเจนซีอิสระชั้นนำจากทั่วเอเชีย การร่วมมือกันของ SAMA ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ขยายการเข้าถึงตลาด และกำหนดมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม หลังจากที่เปิดตัวในมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย SAMA เปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังตั้งเป้าขยายตัวไปยังเวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และประเทศอื่นๆ เพื่อสร้างความเป็นพันธมิตรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ภายในงานครั้งนี้ มีการจัดเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญในวงการการตลาดของไทย และ SAMA ยังได้เปิดตัวโลโก้ เว็บไซต์ และช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายและส่งเสริมนวัตกรรมในอุตสาหกรรม งานนี้ยังเปิดโอกาสในการสร้างเครือข่ายให้ผู้เข้าร่วมได้พบปะกับทีมผู้บริหารของ SAMA และหารือถึงแนวทางความร่วมมือในอนาคตอีกด้วย

คว้าตัวพรีเซ็นเตอร์สุดฮอต “พลอยชมพู” เอาใจคนยุคใหม่ พร้อมยกทัพ เบนซ์ ข้าวขวัญ สร้างสีสันในงาน

  • ในวันที่ 2 เม.. 2568 สหรัฐฯ ประกาศปรับเพิ่มภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกชาติ ซึ่งมองว่าเป็นเกมการเรียกเจรจาของสหรัฐฯ กับนานาประเทศเพื่อนำมาสู่ข้อตกลงใหม่ของสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยหลังจากนี้ ต้องติดตามผลการเจรจาที่ออกมา ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการค้าของแต่ละประเทศในระยะข้างหน้า
  • ไทยโดนภาษีในอัตรา 37% (ขยับจากเดิม 36%) ในขณะที่คู่ค้าอื่นๆ ถูกปรับขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ในอัตราที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เม.. 2568 (รูปที่ 1) นอกจากนี้ สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% สำหรับคู่ค้าอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. 2568 ขณะที่ สินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม รถยนต์และชิ้นส่วน ที่อยู่ใน Section 232 ซึ่งถูกจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าที่ 25% นั้น จะถูกยกเว้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ ส่วนยา เซมิคอนดักเตอร์ ผลิตภัณฑ์ไม้ ทองแดง ก็ถูกยกเว้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ แต่จะถูกจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าภายใต้ Section 232 หรือไม่นั้น ต้องรอติดตามความชัดเจนต่อไป

  • ผลกระทบต่อการค้าของไทย (ยังไม่ได้รวมผลจากการเจรจา): ส่งออกไทยปี 2568 มีแนวโน้มหดตัวลงมาอยู่ที่ -0.5% จากประมาณการเดิมที่ 2.5% จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ กับสินค้าไทยที่อัตรา 37% มากกว่าที่คาดไว้ที่อัตรา 10% อย่างมีนัยสำคัญ
    • ผลกระทบทางตรง: การส่งออกไทยไปยังสหรัฐฯ คาดว่าจะหดตัวที่ -10% ในปี 2568 จากความต้องการสินค้าไทยของสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มาก และ/หรือกลุ่มที่อัตราภาษีนำเข้าที่ไทยถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงกว่าคู่แข่ง ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ อาหาร (ข้าว ปลา กุ้ง อาหารสัตว์เลี้ยง) และเครื่องประดับ เป็นต้น ซึ่งในภาวะที่การแข่งขันในตลาดโลกอยู่ในระดับสูงและอัตรากำไรมีจำกัด ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยอาจไม่สามารถปรับลดราคาสินค้าเพื่อรักษาอุปสงค์ได้มากเท่าใดนัก
    • ผลกระทบทางอ้อม: การส่งออกไทยไปยังตลาดอื่นๆ คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากขึ้นจาก
      • การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่อุปทานของคู่ค้าต่างๆ ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกสินค้าไปยังจีน อาเซียน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ โพลิเมอร์ เคมีภัณฑ์ เป็นต้น
      • การส่งออกไทยไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีแนวโน้มเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าจีน อาทิ รถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ของเล่น พลาสติกและโพลิเมอร์ เป็นต้น
      • การส่งออกในภาพรวมได้รับผลกระทบจากอุปสงค์โลกที่ชะลอลง โดยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ กับคู่ค้าทั่วโลกในระดับสูงคาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกระทบสินค้าอื่นๆ เช่น เกษตรและอาหาร รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูปด้วย
    • อย่างไรก็ดี ประมาณการการส่งออกนี้ได้คำนึงแรงหนุนบางส่วนจากมูลค่าการส่งออกทองคำที่ปรับสูงขึ้นตามปัจจัยด้านราคาและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเข้าไปแล้ว โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกทองคำจะมีสัดส่วนต่อการส่งออกโดยรวมเพิ่มจาก 9% ในปี 2567 มาอยู่ที่ 3.4% ในปี 2568
  • ในด้านการนำเข้าปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 1.0% จากประมาณการเดิมที่ 4% จากการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางของไทยที่คาดว่าจะปรับลดลงสอดคล้องกับการส่งออก ประกอบกับทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลง นอกจากนี้ ได้คำนึงถึงแรงหนุนบางส่วนจากมูลค่าการนำเข้าทองคำที่คาดว่าจะขยายตัวตามราคาที่ปรับสูงขึ้นแล้ว อย่างไรก็ดี เนื่องจากฐานมูลค่าการนำเข้าทองคำอยู่ในระดับสูงในปีก่อนหน้า จึงคาดว่ามูลค่าการนำเข้าทองคำจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่ามูลค่าการส่งออกทองคำในปีนี้
  • ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย: การลงทุนเอกชนจะมีความล่าช้าออกไป และการบริโภคครัวเรือนได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เช่นเดียวกับภาคการท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงมากขึ้น อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากการสงครามการค้ายังมีความไม่แน่นอน โดยยังขึ้นอยู่กับการเจรจาของแต่ละประเทศกับสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บมีการเปลี่ยนแปลงได้ในระยะข้างหน้า ในขณะที่ยังต้องติดตามมาตรการเยียวยาผลกระทบดังกล่าวจากภาครัฐ
  • เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่คาดว่าจะเข้ามาจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปีก่อนหน้าอาจล่าช้าออกไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลก ประกอบกับได้คำนึงถึงผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันที่ 28 มี.ค. ที่คาดว่าจะส่งผลให้การก่อสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์อาจล่าช้าออกไปเล็กน้อย จากก่อนหน้านี้ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองการลงทุนภาคเอกชนในภาคก่อสร้างหดตัวต่อเนื่องในปีนี้อยู่แล้ว ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองการลงทุนภาคเอกชนปี 2568 จะลดลงมาอยู่ที่ 1.4% จากประมาณการเดิมที่ 5%
  • การบริโภคภาคเอกชนได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหววันที่ 28 มี.ค. ในขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลกระทบผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ภาคการผลิตของไทยที่อาจจะหดตัวลึกขึ้น ส่งผลต่อการจ้างงานที่ชะลอลง ในภาวะที่หนี้ครัวเรือนยังสูง ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนลงมาอยู่ที่ 2.0% จากประมาณการเดิมที่ 4%
  • ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซ้ำเติมจำนวนนักท่องเที่ยวสำคัญที่เดิมก็มีสัญญาณปรับลดลงอยู่แล้วตั้งแต่กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เช่น จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ เป็นต้น ภายใต้การแข่งขันในการดึงนักท่องเที่ยวของประเทศต่างๆ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในช่วงข้างหน้า ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปีนี้มาอยู่ที่ 9 ล้านคน จากประมาณการเดิมที่ 37.5 ล้านคน
  • ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบในเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย และคาดว่าขนาดผลกระทบดังกล่าวอยู่ที่ 0% ของ GDP ส่งผลให้ GDP ปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวลดลงจาก 2.4% มาอยู่ที่ 1.4% (รูปที่ 2) โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

  • นโยบายการเงินการคลังอาจจะต้องผ่อนคลายมากกว่าที่ประเมิน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ดอกเบี้ยนโยบายอาจจะปรับลดเร็วขึ้นในเดือนเม.ย. และปรับลดเพิ่มเติมอีกอย่างน้อยอีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 รวมถึงมาตรการการคลังที่จะออกมาเพื่อรองรับผลกระทบดังกล่าว ท่ามกลางข้อจำกัดพื้นที่การคลังที่มากขึ้น
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ภาครัฐควรเร่งสร้างความชัดเจนทั้งข้อเสนอการเจรจาผ่อนปรนเงื่อนไขทางการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ตลอดจนการประเมินผลกระทบและแนวทางเยียวยาภายใต้กรณีต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนและความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและครัวเรือน

รายงานวิจัยนี้จัดทำโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch)

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ภูเก็ต บริจาคเงินจำนวน 100,000 บาท เพื่อสนับสนุนการจัดหาอุปกรณ์แผ่นนำไฟฟ้ากระตุกหัวใจ (AED PAD) เป็นจำนวน 40 แผ่น สำหรับใช้งานกับเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน โดยมอบให้กับทีมบริการการแพทย์ฉุกเฉินสาธารณะทั่วทั้งจังหวัดภูเก็ต ที่เป็นกำลังสำคัญในการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน การบริจาคในครั้งนี้ ได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยไปแล้วเป็นจำนวน 4 ราย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในการสนับสนุนการเข้าถึงการบริบาลทางการแพทย์และการเตรียมความพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินในประเทศอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน ทีมบริการการแพทย์ฉุกเฉินสาธารณะของภูเก็ตมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยชีวิตทั้งชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยวกว่า 8 ล้านคนต่อปี ทั้งนี้ ทีมต้องเผชิญกับความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพภูมิประเทศที่ยากลำบาก โดยพื้นที่ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นภูเขาสลับซับซ้อน ปัญหาการจราจรติดขัดในหลายพื้นที่ รวมถึงการขาดแคลนทรัพยากรและอุปกรณ์ โครงการนี้ จึงเกิดขึ้นจากการริเริ่มของสโมสรโรตารีป่าตองบีช ที่ตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์และความเร่งด่วนในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน และได้หารือกับทางโรงพยาบาลฯ ซึ่งทางสโมสรฯ ได้บริจาคเงินสมทบทุนอีก 100,000 บาท เพื่อช่วยสนับสนุนให้ทีมบริการการแพทย์ฉุกเฉินสาธารณะ สามารถนำอุปกรณ์ไปใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

“ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ภูเก็ต เราเชื่อว่าทุกคนควรได้รับการรักษาในกรณีฉุกเฉินอย่างทันท่วงทีและเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวภูเก็ตหรือนักท่องเที่ยวก็ตาม การดูแลผู้ป่วยคือหัวใจสำคัญของเรา” นายเดวิด โธมัส บูเช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ภูเก็ต กล่าวว่า “เราภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมโครงการช่วยเหลือผู้คนร่วมกับสโมสรโรตารีและชุมชน”

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ภูเก็ต มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือสำหรับภูมิภาค โดยส่งมอบการรักษาตามมาตรฐานระดับสากล เสริมสร้างการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน และส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาวให้กับประชาชนในจังหวัดภูเก็ตและพื้นที่ใกล้เคียง

วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทย ผลิตภัณฑ์กันแดด Dermaction Plus by Watsons ฉลองครบรอบ 12 ปี ส่งมอบความหมายของความเท่าเทียมผ่านคอลเลคชันพิเศษ Dermaction Plus Solar Barrier The Art Collection ชวนน้อง ๆ ในโครงการ Artstory by Autistic Thai ของมูลนิธิออทิสติกไทย สร้างสรรค์ผลงานในธีม “พักร้อน” จนกลายมาเป็นผลงานศิลปะ 12 ชิ้นที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์รับซัมเมอร์นี้ได้อย่างสวยงาม

 

เพราะทุกคนควรมีพื้นที่แสดงศักยภาพ

อิศราวดี มีป้อม Customer Controller วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “คอลเลคชันนี้ไม่เพียงฉลองครบรอบ 12 ปีของผลิตภัณฑ์ Dermaction Plus Solar Barrier แต่ยังสะท้อนตัวตนของแบรนด์ที่อยากปกป้อง สนับสนุน และสร้างแรงบันดาลใจในทุกความหลากหลายด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความพิเศษของคอลเลคชันนี้คือ ‘กล่องสุ่ม 12 ลาย จากศิลปินออทิสติก 12 คน’ ผลงานศิลปะลายเส้นสีสันสดใสบนบรรจุภัณฑ์ และเป็น ‘ครั้งแรกของกันแดดลายสุ่ม’ เพื่อสร้างการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย สะท้อนความงดงามจากมุมมองอันบริสุทธิ์ของเด็ก ๆ ผ่านศิลปะ เราภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างผลงานคอลเลคชันพิเศษ ผ่านกลยุทธ์ Collaboration Marketing ร่วมกับ Artstory by Autistic Thai วัตสันเชื่อว่า ‘ความหลากหลายคือพลังในการสร้างสรรค์สังคมที่ยั่งยืน’ การสนับสนุนผลงานศิลปะครั้งนี้สะท้อนแนวคิด ‘มากกว่าความสนุก คือความเท่าเทียม’ ที่ต้องการเปิดพื้นที่และโอกาสให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ ตอกย้ำความสำคัญของพันธกิจความยั่งยืน 3 ด้าน ได้แก่ People Planet และ Product ซึ่งเรามุ่งหวังให้ทุกคนได้เติบโตไปด้วยกัน ส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสแสดงศักยภาพอย่างเท่าเทียม และสร้างรอยยิ้มให้กับสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง”

ให้ผลิตภัณฑ์เป็นพื้นที่ในการแสดงผลงานอย่างเท่าเทียม

บริษัท อุตสาหกรรมมิตรมงคล จำกัด พันธมิตรด้านการผลิตสินค้าของวัตสัน ประเทศไทย ร่วมส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานด้านการผลิต ผ่านการจัดสรรจำนวนของผลงานศิลปะทั้ง 12 ชิ้นในผลิตภัณฑ์ Dermaction Plus Solar Barrier ทั้ง 5 เนื้อสัมผัส ได้แก่ Face&Body, Face Fluid, Cream Gel, CC Nude Cream และ Invisible Balm เพื่อให้ศิลปินมีพื้นที่ในการผลงานได้อย่างเท่าเทียม ในจำนวนที่เท่ากัน

 

เมื่อศิลปะกลายเป็นพื้นที่บำบัดใจ "พักร้อน" ครั้งนี้จึงพิเศษกว่าเดิม

กิจกรรมเวิร์คชอปครั้งนี้ Dermaction Plus by Watsons และ Artstory by Autistic Thai ชวนอินฟลูเอนเซอร์และน้อง ๆ ศิลปินออทิสติก 12 คน ร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในธีม "พักร้อน" ซึ่งเต็มไปด้วยพลังบวก ความสนุกสนาน ผ่อนคลาย กิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นการวาดภาพ แต่ยังเป็นการส่งต่อกำลังใจ สนับสนุนศักยภาพ และสร้างพื้นที่แห่งความเข้าใจให้กับสังคม ทุกคนที่ร่วมงานต่างเห็นตรงกันว่า กิจกรรมในวันนี้สนุกและช่วยฮีลใจได้อย่างน่าประทับใจ

วรัท จันทยานนท์  CEO Artstory by Autistic Thai กล่าวว่า “ศิลปะเป็นภาษาสากลที่ไร้พรมแดน โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ๆ ที่มีความพิเศษทางออทิสติก เรายินดีมากที่ได้ร่วมมือกับวัตสันในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนได้ปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ผ่านการภาพวาดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงช่วยสร้างสมาธิ ความมั่นคงทางจิตใจ และความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนเป็นช่วงเวลาสงบของการพักร้อนทั้งผู้สร้างและผู้เสพงานศิลป์”

ครั้งแรกกับกันแดดที่เป็นมากกว่าผลิตภัณฑ์ ลายสุ่ม 12 แบบ

ผลิตภัณฑ์ Dermaction Plus by Watsons Advanced Sun Solar Barrier SPF 50+ PA++++ กันแดดเวชสำอางสูตรกันน้ำ เนื้อบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารอันตรายต่อปะการัง ในบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมนวัตกรรม Double IRtech, DermisGuard และ CollaBoost ปกป้องผิวจาก UVA, UVB, Blue Light และ IR ลดอุณหภูมิผิว -0.34°C ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ริ้วรอย และช่วยให้ผิวกระจ่างใส ผ่าน Dermatologically Tested อ่อนโยน ใช้ได้ทุกสภาพผิว

Dermaction Plus Solar Barrier The Art Collection พร้อมให้สะสมครบทั้ง 12 ลายแล้ววันนี้ที่ร้านวัตสัน และช่องทางวัตสันออนไลน์ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย หรือ Line Official @WatsonsTH, เว็บไซต์ Watsons.co.th หรือผ่านแอป WatsonsTH ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store และ App Store           

บริษัท วิตาซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรูปแบบเม็ดฟู่นำเข้าจากเยอรมนี คว้ารางวัล “สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2568” หรือ “PRODUCT INNOVATION AWARDS 2025” ประเภทสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพและความงาม ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร Business+ ในเครือบริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) และวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเชิดชูองค์กรที่มีความคิดสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างโดดเด่น โดยมี สุภาพร แฮฟเนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิตาซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เข้ารับรางวัลจาก ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต องคมนตรี ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ

สุภาพร แฮฟเนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิตาซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ “นวัตกรรมเม็ดฟู่ Made In Germany” ของเราได้รับรางวัล PRODUCT INNOVATION AWARDS ในครั้งนี้ นับเป็นผลงานเชิงประจักษ์ในเวทีระดับประเทศ ซึ่งจะเป็นพลังผลักดันให้กับบริษัท วิตาซี ได้พัฒนาและเชื่อมโยงนวัตกรรมเสริมอาหารระดับ World Class จากฝั่งประเทศในโซนยุโรป มาตอบโจทย์เจ้าของธุรกิจชาวไทย และร่วมขับเคลื่อนให้ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเติบโตมากยิ่งขึ้นในยุคที่เทรนด์ดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเป็นที่นิยมในปัจจุบัน

โดยบริษัท วิตาซี อินเตอร์เนชั่นแนล มีโรงงานฐานการผลิตตั้งอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งขึ้นชื่อและโดดเด่นในเรื่องของ “เม็ดฟู่” ที่เราพัฒนาให้เป็นได้มากกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วไป แต่เป็น “นวัตกรรมที่จะมาช่วยให้การดูแลสุขภาพง่ายขึ้น” ด้วยคุณสมบัติยืนหนึ่งเรื่องของการดูดซึม ละลายเร็ว อร่อย รับประทานง่ายกว่าในรูปแบบเม็ดและรูปแบบแคปซูล ผสานการคิดค้นและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีงาน วิจัยรองรับ ซึ่งทำควบคู่ตั้งแต่ต้นทาง ถือเป็น “ผลลัพธ์ที่ไม่ต้องลุ้น” ทำให้หลายๆ แบรนด์ชั้นนำที่ผลิตจากโรงงานของเราเติบโตอย่างมั่นคงและส่งผลดีไปสู่ผู้บริโภคได้เกิดความมั่นใจว่า พวกเค้ากำลังดูแลสุขภาพด้วยนวัตกรรมอย่างแท้จริง

สำหรับรางวัล "BUSINESS+ PRODUCT INNOVATION AWARDS" จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 เพื่อสนับสนุนองค์กรที่มีความคิดสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมผ่านสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างโดดเด่น โดยทำการรวบรวมรายชื่อสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรมทางด้านสินค้า บริการ หรือกระบวนการทางธุรกิจ เพื่อนำไปสู่การคัดเลือกจากผู้ใช้ เพื่อมอบรางวัลให้แก่สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี

จากการรับรางวัลในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของบริษัท วิตาซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเม็ดฟู่จากเยอรมนี ที่ช่วยตอบโจทย์ในด้านการดูแลสุขภาพได้แบบง่ายๆ สำหรับคนไทยอย่างแท้จริง

บริษัท สเปซ วอเตอร์ จำกัด นำโดยนายกฤตภาส ก้องอัครสิน กรรมการบริหารฯ ชวนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในอีเวนท์สุดยิ่งใหญ่ ในงาน TASTE YOUR BLESS by “Dhevamon111 (เดวามน111)” เปิดตัวผลิตภัณฑ์สุดพิเศษ ที่จะมาเติมเต็มชีวิตประจำวันของคุณด้วยความสิริมงคล Dhevamon111 (เดวามน111)” ผลิตภัณฑ์น้ำดื่มผสมน้ำมนต์ ที่นำน้ำมนต์จาก 111 วัดทั่วประเทศผ่านพิธีพุทธาภิเษกอันยิ่งใหญ่ที่วัดสระเกศเมื่อเดือนที่ผ่านมา ในการนำมาเป็นต้นน้ำหลักในการผลิตน้ำดื่ม และสเปรย์น้ำแร่ ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกในไทยกับการทำน้ำดื่มผสมน้ำมนต์ โดยผ่านกระบวนการ Reverse Osmosis (R.O.) ฆ่าเชื้อด้วยระบบ Ultra Violet (UV) ซึ่งได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และโรงงานได้การรับรอง GHPs. , HACCP มาตรฐานระดับสากลโดย SGS ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานความศรัทธาและความทันสมัยได้อย่างลงตัว

ภายในงานพบกับเหล่าคนดังที่มาร่วมสร้างสีสันและแบ่งปันประสบการณ์สุดพิเศษ อาทิ ฟ้าใส  ปวีณสุดา ดรูอิ้น, ฐิสา วริฏฐิสา ลิ้มธรรมมหิศร, แมน การิน, เอ พศิน เรืองวุฒิ, บ๊วย เชษฐวุฒิ วัชรคุณ, ดีเจมะตูม เตชินท์ พลอยเพชร, เฟร้นช์ฟราย รินทร์ณฐา อัจฉริยวัฒนกุล, อ.ชัญญ่า กฤติญา วิทยาอนุมาส, ซีแนม สุนทร, หญิงแย้ ดร.นนทพร ธีระวัฒนสุข พร้อมด้วยเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอีกมากมายที่จะมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การลิ้มรสความศรัทธาและดื่มด่ำความสุขไปพร้อมกัน

ร่วมสัมผัสประสบการณ์ไม่เหมือนใคร ลิ้มรสสัมผัส ดื่มด่ำความสุข และรับพลังแห่งความสิริมงคลไปกับ Dhevamon111 (เดวามน111) ในวันอังคารที่ 8 เมษายน 2568 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ที่ Infinicity Hall ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ ทาง Facebook: Dhevamon เดวามน111 หรือLine: @Dhevamon111

เปิดแล้วอย่างยิ่งใหญ่ งานแสดงสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง 2568 หรือ TAPA 2025 จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสมาคมในอุตสาหกรรมชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ เพื่อเป็นเวทีเจรจาการค้า ต่อยอดความสำเร็จทางธุรกิจ เรียนรู้และอัปเดตเทรนด์ใหม่ ๆ สำหรับนักธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ พร้อมกิจกรรมมากมาย ทั้งการสัมมนาและเสวนาแบบเจาะลึกและโซนจัดแสดงสินค้าไฮไลต์ ระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน 2568 ณ Hall EH101-104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์ มีบทบาทสำคัญในการผลักดันและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์ที่สำคัญในอาเซียน และติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก โดยในปี 2567 การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์ มีมูลค่าประมาณ 15,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 545,000 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.15 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งประเทศ มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น มาเลเซีย แอฟริกาใต้ และอินโดนีเซีย รวมถึงตลาดภูมิภาคตะวันออกกลางและลาตินอเมริกาที่เป็นตลาดศักยภาพและมีโอกาสทางการค้าสูง

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มีนโยบายสนับสนุนด้านการตลาดต่างประเทศสำหรับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านหลากหลายกิจกรรม อาทิ 1) การนำคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเจรจาการค้าในต่างประเทศ (2) การสนับสนุนผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศที่สำคัญระดับโลก และ (3) การจัดงานแสดงสินค้า TAPA

งานแสดงสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง หรืองาน TAPA จัดขึ้นต่อเนื่องมากว่า 2 ทศวรรษ เพื่อเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการแสดงศักยภาพความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง ต่อผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ผู้ค้าปลีก รวมถึงนักธุรกิจจากทั่วโลก เพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรและต่อยอดธุรกิจในระดับสากล รวมทั้งเป็นเวทีเจรจาการค้าและเปิดตัวสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยภายในงานได้รวบรวมสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง จากผู้ประกอบการไทยและต่างชาติมาร่วมจัดแสดงอย่างครบวงจร จนได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก หรือ World Auto Parts Sourcing Hub

งานแสดงสินค้า TAPA 2025 ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Sustainable for the Future” เพื่อแสดงเจตนารมณ์และทิศทางการพัฒนาของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ของไทย ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลระหว่าง การพัฒนาเทคโนโลยี วัสดุที่นำมาใช้ การจัดการพลังงานที่ใช้ในการผลิต และความรับผิดชอบต่อสังคม

ความสำเร็จของการจัดงานในครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2566 ทำให้การจัดงานในปีนี้ ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม มีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมจัดแสดงสินค้ากว่า 600 ราย จาก 11 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจทั่วโลก เช่น ไทย จีน  ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย เป็นต้น โดยนำสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง มาจัดแสดงอย่างครบวงจร บนพื้นที่จัดงานกว่า 20,000 ตารางเมตร แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่งของภูมิภาค

 

TAPA 2025 นอกจากจะเต็มไปด้วยสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง อย่างครบวงจรแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรม Highlight ประกอบด้วย กิจกรรมสัมมนาและเสวนา ที่รวมผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับแนวหน้ามาให้ความรู้แบบเจาะลึก พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ถาม-ตอบ และแลกเปลี่ยนมุมมองกับวิทยากรโดยตรง โดยการสัมมนาในหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่ “เจาะลึกโอกาสทางธุรกิจยานยนต์ญี่ปุ่น: กลยุทธ์สู่ความสำเร็จของผู้ประกอบการไทย” “ชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ส่งออกไปทั่วโลก: ภาคอัพเดทตลาดและนโยบายต่างประเทศ” และ “ขาดทุนกลายเป็นกำไร! ปรับเกมส์ธุรกิจเพิ่มความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทย”  

 

พบกับเหล่ากูรูตัวจริงของวงการยานยนต์ ที่จะมาร่วมเสวนาสร้างสีสัน ทั้ง คุณพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ (@Pattanadesh) จากช่องพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ และเจ้าของเพจนายหนวดแดง คุณโอ จากเพจสมาคมรถแต่ง ชุมชนออนไลน์แถวหน้าของไทยที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับรถซิ่งและบิ๊กไบค์ คุณเอ็ม จากเพจรถซิ่งไทยแลนด์ แหล่งข้อมูลที่สำคัญ สำหรับผู้ที่รักและสนใจในวงการรถแต่งในประเทศไทย คุณอั๋น จากเพจ Drag Diesel Thailand ที่รวบรวมทุกรายละเอียดเกี่ยวกับวงการแข่งรถแดร็กดีเซลในประเทศไทยมาให้หมดแล้ว ทั้งการจูนเครื่อง เทคนิคแต่งรถ และคุณโอ๋ จากเพจ MO-eMAG เพจที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับยานยนต์ครบจบในเพจเดียว

ภายในงานยังมีโซนจัดแสดงสินค้าไฮไลต์ พบกับสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่งคุณภาพสูงจากผู้ผลิตชั้นนำ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่อนาคต ไม่ว่าคุณจะเป็นนักธุรกิจ นักลงทุน หรือผู้ที่สนใจอุตสาหกรรมนี้ โซนนี้จะทำให้คุณได้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ในการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก

 

พบกันในงาน TAPA 2025 ระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน 2568 โดยวันที่ 5 เมษายนจะเป็นวันจำหน่ายปลีก ณ Hall EH101-104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาคลิก www.thailandautopartsfair.com

สืบเนื่องเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างในพื้นที่เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เกิดการถล่มซึ่งทุกฝ่ายกำลังระดมความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนนั้น บริษัท ซีพีแรม จำกัด (CPRAM) จึงเร่งนำผลิตภัณฑ์ขนมปังเลอแปงส่งมอบให้แก่กองทัพภาคที่ 1 และมูลนิธิองค์กรทำดี โดย ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนทีมกู้ภัยและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ให้สามารถปฏิบัติภารกิจครั้งสำคัญนี้ได้อย่างเต็มกำลัง และผ่านพ้นเหตุการณ์สำคัญครั้งนี้ไปได้อย่างราบรื่น

 

ซีพีแรม ขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบกำลังใจ และสนับสนุนด้านอาหารพร้อมรับประทาน แก่ทีมกู้ภัย เจ้าหน้าที่ ทีมงาน ผู้ประสบภัย และญาติผู้ได้รับผลกระทบที่มาเฝ้ารอ ได้รับประทานอาหารคุณภาพ ปลอดภัย และสะดวกเหมาะกับสถานการณ์ #เคียงข้างคนไทยห่วงใยไม่ห่าง

 

X

Right Click

No right click