December 06, 2025

ธนาคารกสิกรไทย จัดสัมมนาใหญ่แห่งปี K WEALTH Forum หัวข้อ Five for 2025: FIVE Themes That Will Shape Global Investment Strategies” เจาะลึก 5 ปัจจัยหลักที่กำลังจะเปลี่ยนฉากทัศน์สำคัญของโลกด้านการเงินและการลงทุน นำโดย K WEALTH ศูนย์รวมความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์บริหารความมั่งคั่งครบทุกมิติ ร่วมกับบริษัทด้านการลงทุนชั้นนำระดับโลก J.P. Morgan Asset Management และ Lombard Odier ชี้เศรษฐกิจโลกปีนี้ ยังไปต่อได้ เทคโนโลยี AI ยังมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง จับตานโยบาย America First โดยเฉพาะมาตรการทางการค้าที่ไม่เพียงจะส่งผลต่อประเทศคู่ค้าแต่อาจส่งผลกระทบกับ GDP ของสหรัฐฯ ด้วย พร้อมคาดการณ์ Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้อีก 1-2 ครั้ง เพื่อให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ในขณะที่ IMF ออกโรงเตือนหนี้สาธารณะท่วมโลก และทั่วโลกยังเผชิญความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ชี้โอกาสการลงทุนในต่างประเทศ แนะธีมลงทุน “GO GLOBAL” และ “Diversification” เพื่อกระจายความเสี่ยง พร้อมติดตามข้อมูลเจาะลึกโอกาสลงทุนในหลากหลายมิติที่เกิดขึ้นทั่วโลกกับ K WEALTH: GO GLOBAL The Series บนช่องทาง Youtube: K WEALTH ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ เป็นต้นไป

ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เริ่มต้นปี 2025 ตลาดผันผวนอย่างหนัก นำโดยหุ้นไทยและหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับหลายประเทศ ความกังวลกลับมาอีกครั้งว่าเศรษฐกิจอเมริกาที่ว่าจะดี อาจจะถอยเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ตลาดฝั่งขาขึ้นก็มี เช่น หุ้นจีนในตลาดฮ่องกงพุ่งขึ้นราว 20% จากการปลุกชีพเทคฯ จีนของ DeepSeek ในช่วงเวลาที่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมีความซับซ้อนและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความผันผวนนี้เป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาส ความเสี่ยงคือการลงทุนผิดที่ผิดเวลา ขณะที่โอกาสคือการทำความเข้าใจ วิเคราะห์สถานการณ์ และใช้ช่วงที่ราคาย่อลง ทยอยลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับแต่ละท่านตามแผนการลงทุนที่วางไว้ทั้งในระยะสั้น กลาง และระยะยาว  

“งานสัมมนา K WEALTH Forum ในวันนี้  จึงนำเสนอประเด็นหลักที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และกำลังเปลี่ยนฉากทัศน์สำคัญของโลก นำทีมโดย K WEALTH ซึ่งเป็นศูนย์รวมความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์บริหารความมั่งคั่งของธนาคารกสิกรไทย พร้อมด้วยความเชี่ยวชาญในระดับสากลจากบริษัทชั้นนำระดับโลกทั้ง J.P. Morgan Asset Management และ Lombard Odier เพื่อให้ทุกท่านจัดการเงินลงทุนอย่างมีความสมดุล เหมาะกับสถานการณ์ และที่สำคัญ ตอบโจทย์เป้าหมายในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน”

จับตา 5 ประเด็นหลัก เปลี่ยนเกมการลงทุนโลก

  • ประเด็นที่ 1 เทคโนโลยี AI อิทธิพลของ AI เห็นได้ชัดจากราคาหุ้น NVIDIA ที่พุ่งขึ้นมาเกือบ 6 เท่า นับจากการเปิดตัวของ ChatGPT ในปี 2022 ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 400 ล้านคนต่อสัปดาห์
  • ประเด็นที่ 2 America First Policy นโยบายที่ทั่วโลกกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือ การขึ้นภาษีนำเข้า แต่ Fed ได้ทำการศึกษาแล้วว่า ทุกๆ 1% ของภาษีที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ GDP ของอเมริกาลดลง 14% แปลว่า America First Policy ไม่ได้กระทบแต่ประเทศคู่ค้า อเมริกาก็ต้องระวังเศรษฐกิจตัวเองด้วย

ธุรกิจส่งออกไทยก็เตรียมทำงานหนักโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ของเราคาดว่าการส่งออกของไทยจะชะลอลงจาก 5.4% ในปีที่แล้วเหลือเพียง 2.5%

  • ประเด็นที่ 3 อัตราดอกเบี้ย ช่วงปี 2022-2023 Fed ขึ้นดอกเบี้ย จาก 25% เป็น 5.5% เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวจากโควิดเร็วจนเงินเฟ้อพุ่ง และเริ่มลดดอกเบี้ยรวม 1% ในปีที่แล้ว ซึ่งในการประชุมครั้งล่าสุด เมื่อ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา Fed ตัดสินใจคงดอกเบี้ยที่ 4.5% ช่วงที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย กนง. ของไทยก็ขึ้นดอกเบี้ยด้วย แต่ขึ้นน้อยกว่าคือจาก 0.5% เป็น 2.5% และล่าสุด กนง. ลดดอกเบี้ยลงมาที่ 2%
  • ประเด็นที่ 4 หนี้สาธารณะ IMF ออกมาเตือนเรื่องวิกฤติหนี้ที่ท่วมโลกหลายครั้ง เพราะหนี้สูงจะทำให้รัฐบาลไม่มีเงินมาใช้เวลาเศรษฐกิจมีปัญหา ล่าสุด หนี้สาธารณะไทยอยู่ที่ 64% ของ GDP และมีโอกาสจะชนเพดานที่ 70% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยสหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงกว่า 100%
  • ประเด็นที่ 5 ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น กรณีรัสเซีย – ยูเครน ที่ผ่านความยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปีแล้ว และยังไม่จบสิ้น รวมถึงยุโรป และความคุกรุ่นก็ยังคงอยู่ในตะวันออกกลางและช่องแคบไต้หวัน

ด้าน Mr. Michael Strobaek, Global Chief Investment Officer and Head of Investment Solutions of Bank Lombard Odier ให้ความเห็นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2025 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่านโยบาย ‘America First’ ของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เติบโตได้แข็งแกร่ง แต่นโยบายทางการค้าก็สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น อาจมีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ต้องดูให้ลึกในหลายๆ ด้าน ว่าแต่ละประเทศมีการบริหารจัดการอย่างไร ความแข็งแกร่งของพื้นฐานเศรษฐกิจ เป็นการกู้จากในหรือนอกประเทศ และกู้มาเพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาวหรือไม่ ซึ่งในระยะยาวแล้วอาจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจมากกว่าก็ได้           

ขณะเดียวกัน Mr. Tai Hui, Chief Market Strategist, Asia Pacific of J.P. Morgan Asset Management กล่าวถึงโอกาสในการลงทุนจากกระแส AI ว่าไม่ได้มีเพียงการลงทุนในบริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยี AI โดยตรงเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสในหลายๆ ธุรกิจที่นำ AI มาใช้เพิ่ม Productivity เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ผลิต Hardware ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระแส AI เติบโตได้อีกในอนาคต สำหรับเรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จะต้องพิจารณาผลกระทบต่อแต่ละธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป เช่น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลต่อธุรกิจพลังงานและอาหารในยุโรป แต่ความขัดแย้งในตะวันออกกลางกลับไม่ได้ส่งผลต่อการผลิตน้ำมันอย่างที่คาดการณ์

สำหรับปัจจัยอัตราดอกเบี้ย คุณศิริพร สุวรรณการ, CFA, CFP, Chief Investment Officer, K WEALTH ธนาคารกสิกรไทย มองว่าอยู่ในวัฎจักรขาลง ธนาคารแห่งประเทศไทยเซอร์ไพรส์ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2% ส่วน Fed มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25-4.50% ซึ่งสูงกว่าของไทยประมาณ 2% อาจมองเป็นโอกาสลงทุนใน Money Market ของสหรัฐฯ แต่ควรระวังความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน เพราะหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมา อาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาด

นอกจากนี้ คุณศิริพร แนะนำว่า ควรให้ความสำคัญคอนเซปต์ “GO GLOBAL” และ “Diversification” คือกระจายความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี ผ่านกลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบ ‘Core & Satellite’ โดย ‘Core’ เป็นส่วนที่มั่นคงและมีโอกาสให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว กระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก แนะนำลงทุนใน ‘Global Balanced Fund’ ส่วน ‘Satellite’ เป็นการเลือกลงทุนจากการประเมินสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นๆ โดยปัจจุบันให้น้ำหนักกับกองทุนตราสารหนี้ไทย เช่น กองทุน K-FIXEDPLUS และกองทุนหุ้นกลุ่ม Health Care ที่ยังราคาไม่แพงและมีโอกาสเติบโตสูง เช่น กองทุน K-GHEALTH

คุณวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, CFA, กรรมการผู้จัดการ บลจ. กสิกรไทย เสริมว่า ควรพิจารณาลงทุนในตลาดโลกสำหรับ Core Port เพราะมีโอกาสลงทุนที่กว้างกว่า และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากสินทรัพย์หลายประเภท มีธีมการลงทุนที่อาจไม่มีในประเทศไทย เช่น หุ้นเทคโนโลยี การแพทย์ พลังงานสะอาด นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารพอร์ตด้วยเครื่องมือการลงทุนหลากหลายที่มีในตลาดโลก เช่น หุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก ทำให้มีตัวเลือกหลากหลาย ช่วยบริหารพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

สำหรับโซลูชันด้านการบริหาร Core Port คุณปณตพล ตัณฑวิเชียร, CFA, Chief Investment Officer บลจ. กสิกรไทย แนะนำกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series และ K-ALLROAD Series ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้

K-WealthPLUS Series เป็นกลุ่มกองทุนผสมที่เกิดจากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partnership) กับบลจ. ชั้นนำระดับโลกอย่าง J.P. Morgan Asset Management ร่วมบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนอย่างใกล้ชิด ผ่านกลยุทธ์กระจายการลงทุน (Asset Allocation) ทั่วโลก ในหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก ซึ่งสามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าการลงทุนแบบกระจุกตัวในสินทรัพย์ประเภทเดียว โดยมีให้เลือก 3 กองทุน ได้แก่ K-WPBALANCED เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการเริ่มลงทุนในต่างประเทศโดยเน้นสัดส่วนของตราสารหนี้มากกว่าหุ้น K-WPSPEEDUP เหมาะกับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนของหุ้นได้ตั้งแต่ 50-80% และ K-WPULTIMATE เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการเพิ่มสัดส่วนของหุ้นได้ตั้งแต่ 80-100%

K-ALLROAD Seriesเป็นกลุ่มกองทุนที่ได้ร่วมมือกับทาง Lombard Odier โดยกลยุทธ์การลงทุนแบบ ALL ROADS ได้ผ่านการทดสอบในช่วงเวลาต่างๆ ของตลาดมาอย่างยาวนาน ตอบโจทย์การลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว โดดเด่นด้วยกลยุทธ์การบริหารพอร์ตแบบ Risk-Based Allocation หรือ การลงทุนโดยพิจารณาความเสี่ยงของสินทรัพย์เป็นหลัก นั่นคือ ให้น้ำหนักน้อยในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ขณะที่ให้น้ำหนักมากในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ พร้อมกลไกจัดการความเสี่ยงช่วงขาลง (Drawdown management) ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้โยกย้ายสินทรัพย์ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญสภาวะตลาดที่ผันผวน เพื่อลดผลกระทบที่รุนแรง ซึ่ง K-ALLROAD Series มีความเสี่ยงให้ลูกค้าเลือกได้ถึง 4 ระดับ ได้แก่ K-ALLBASIC, K-ALLRD-UI-A(A), K-ALLGR-UI-A(A) และ K-ALLEN-UI-A(A)

เตรียมพบกับซีรีส์พิเศษ K WEALTH GO GLOBAL The Series ในวันที่โลกเหวี่ยง ตลาดสะเทือน โอกาสลงทุนอยู่ตรงไหน เจาะลึกโอกาสลงทุนหลากหลายมิติที่เกิดขึ้นทั่วโลก ติดตามได้ผ่านช่องทาง Youtube: K WEALTH ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป

*ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า วันที่ 31 มีนาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) สภาวิศวกร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้จัดแถลงการณ์ร่วม ณ หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อนำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนและรอบด้านในทุกมิติ เกี่ยวกับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักลงทุน โดยเน้นย้ำว่าระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศยังคงมีเสถียรภาพ และไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว

เลขาธิการ คปภ. เปิดเผยว่า ในด้านประกันภัย สำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัยได้เตรียมความพร้อมในการดูแลผู้เอาประกันภัย เพื่อให้การดำเนินการเบิกจ่ายสินไหมให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม โดยได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านการประกันภัย พร้อมเปิดให้บริการสายด่วน คปภ. 1186 ตลอด 24 ชั่วโมง และบริการ Chatbot @oicconnect เพื่อให้คำปรึกษาและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย นอกจากนี้ ยังย้ำว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อเสถียรภาพของ ทั้ง 4 บริษัทที่ร่วมรับประกันภัย เนื่องจากมีการบริหารความเสี่ยงผ่านระบบการประกันภัยต่อ (Reinsurance) กับบริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศ ซึ่งทำให้บริษัทประกันภัยของไทยยังคงมีความมั่นคงในระดับสูง

NT เปิดตัว NT Metaverse ศูนย์บริการในโลกเสมือน พร้อมโชว์ผลงานสนับสนุนทุนวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ 5G รองรับงานวิจัยพัฒนาร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำ

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกภาคส่วนของสังคมอย่างรวดเร็ว วงการศึกษาคือหนึ่งในภาคส่วนที่ต้องพลิกเกมส์ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง การเตรียม “คน” ผ่านการศึกษาจึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย ที่ภาคการศึกษาต้องรับมือให้พร้อม

บมจ.ซีพี ออลล์ ร่วมกับ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ (PAT) และโรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จัดงาน “CP ALL EDUCATION FORUM 2025: สร้างคนเก่ง คนดี มีความสามารถ ผ่านการศึกษายุค AI”  ตอกย้ำความมุ่งมั่นของซีพี ออลล์ ในการส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน ก้าวสู่ 30 ปี ร่วมสร้าง “คน” ผ่านการศึกษา ให้เป็นคนเก่ง คนดี มีความสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงาน เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ พร้อมมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนไทย ผ่านเครือข่ายความร่วมมือกว่า 41,900 ทุน มูลค่ารวมกว่า 1,648 ล้านบาท ภายในงานขนทัพเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและเทคโนโลยี จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อ พร้อมตัวจริงจากหลากหลายวงการ อาทิ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง นวัตกรรุ่นใหม่ ที่มาร่วมถ่ายทอดมุมมอง แบ่งปันประสบการณ์ ชวนค้นหาคำตอบการศึกษาไทยในยุคที่ “AI”

 

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ร่วมเปิดมุมมอง CP ALL Education Way – การเรียนรู้ที่เติบโตไปพร้อมโลกอนาคต  ผ่าน 3 แนวทางสร้างคนผ่านการศึกษา “เก่ง ดี มีความสามารถ”  1. สร้างคน “เก่ง” เก่งคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) เก่งเทคโนโลยี (AI & Digital Skills) และเก่งเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) 2. สร้างคน “ดี” เก่งอย่างเดียวไม่พอ โลกอนาคตต้องการคน “ดี” ที่มาจาก DNA  ซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนรวมถึงครู อาจารย์ทุกท่านที่ต้องร่วมกันปลูกฝังจริยธรรม ความซื่อสัตย์  ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจผู้อื่น พลังแห่งความดีนี้จะทำให้เยาวชนเติบโตเป็นคนที่ “คิดดี พูดดี ทำดี กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง”  3. สร้างคน “มีความสามารถ” พร้อมปรับตัว พร้อมเชื่อมโลก ผ่านรูปแบบการเรียนรู้ Work-based Education ซึ่งผสานการเรียนรู้กับการทำงานจริง เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะและความพร้อมในการก้าวสู่การทำงานทันทีหลังสำเร็จการศึกษา (Ready to work)  

การเรียนรู้ในรูปแบบของซีพี ออลล์ คือเอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าตลอดเวลา  รู้จักใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้คนทำงานง่ายขึ้น เราจะไม่ล้ำสมัย แต่เราจะไม่ล้าสมัย เดินหน้าคิดค้นนวัตกรรม รู้จักเอ๊ะ! PDCA Plan-Do-Check-Act หรือวางแผน ปฏิบัติ ตรวจสอบ ปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา “From By Chance to By Design” จากกระบวนการทดลองบางสาขา สู่การออกแบบอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทุกสาขา ทุกเวลา ให้บริการเหมือนกัน ทำให้เป็น Knowledge Management หรือ KM เพื่อรวบรวมองค์ความรู้และให้ทุกคนสามารถเข้าถึง "องค์ความรู้" พร้อมสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ผ่านการพัฒนา "คน" ให้พร้อมอยู่ร่วมกับ AI ยกตัวอย่าง สมัยก่อนคนวิ่งแข่งกับม้า คนกลัวม้า ก็หาวิธีคุมม้า สมัยนี้คนกลัว AI ก็หาวิธีคุม AI               

“ปฏิเสธไม่ได้ว่า AI และเทคโนโลยี ได้เปลี่ยนแปลงโลกของเราไปอย่างสิ้นเชิง ในอดีตองค์กรต้องการคนเก่ง แต่วันนี้องค์กรต้องการ “คนที่เรียนรู้เร็ว ปรับตัวได้ไว และมีความรับผิดชอบต่อสังคม” เราเชื่อว่า AI  ไม่ได้มาแทนคน แต่คนใช้ AI เป็น จะมาแทนคนที่ใช้ AI ไม่เป็นและนั่นคือเหตุผลที่ซีพี ออลล์สร้างแนวทางการศึกษา  ที่ผสานการทำงานของคน+AI และเทคโนโลยี เกิดเป็นนวัตกรรม เพื่อเตรียมคนให้พร้อมรับมือกับโลกที่ไม่หยุดนิ่ง” นายยุทธศักดิ์กล่าว

 

ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ซีพี ออลล์ มุ่งมั่นสร้างคนผ่านการศึกษาตามแนวทาง นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อสร้างโอกาสและสร้างรากฐานทางการศึกษา ให้เยาวชนสามารถเข้าถึงการศึกษาทุกระดับผ่านการสร้างความมือร่วมกับเครือข่ายการศึกษา

  • ปี 2538 ร่วมมือกับสถานศึกษาอาชีวศึกษารัฐบาล ผลิตนักเรียน นักศึกษา ระดับ ปวช.และปวส.
  • ปี 2548  สร้างโรงเรียนปัญญาภิวัฒน์เทคโนธุรกิจเป็นแห่งแรก ต่อมายกระดับเป็นวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ (PAT)  ผลิตนักเรียน นักศึกษา ระดับ ปวช.และปวส.
  • ปี 2549 ขยายศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์กว่า 20 ศูนย์ทั่วประเทศ
  • ปี 2550 สร้างสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) ยกระดับการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา
  • ปี 2550-2559 ขยายความร่วมมือร่วมกับเครือข่ายการศึกษา ร่วมกับ สมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เครือข่ายอุดมศึกษา, โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาเพื่ออาชีพแก่เยาวชนในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ , สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กรมส่งเสริมการเรียนรู้ และมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (Connext ED)
  • ปี 2560 สร้างโรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หรือ (สาธิตพีไอเอ็ม) เปิดสอนระดับมัธยมศึกษา
  • ปี 2565 เปิดสถาบันการศึกษาวิทยาการหุ่นยนต์ ALL Robotics ซึ่งเป็นความร่วมมือพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้เทคโนโลยีหุ่นยนต์สำหรับภาคการศึกษาระหว่าง Robot LAB สหรัฐอเมริกา
  • ปี 2568 ขยายความร่วมมือร่วมกับมูลนิธิชาวปักษ์ใต้ และมูลนิธิรักเมืองไทย

 

ทั้งนี้ภายในงาน “CP ALL EDUCATION FORUM 2025”  ซีพี ออลล์ มอบทุนการศึกษาประจำปีการศึกษา 2568 ให้กับเยาวชนไทยผ่านเครือข่ายความร่วมมือกว่า 41,900 ทุน มูลค่ารวมกว่า 1,648 ล้านบาท สร้างโอกาสทางการศึกษาสู่เยาวชนไทยกว่า 56,883 คน  พร้อมขนทัพเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและเทคโนโลยีมาร่วมถ่ายทอดมุมมอง แบ่งปันประสบการณ์ ในช่วงเสวนาพิเศษ: “โอกาสและความท้าทายของการศึกษาไทยในยุค AI”  พบตัวจริงจากวงการศึกษา  ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa),  รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) และ ลาเต้-มนัส อ่อนสังข์  บรรณาธิการข่าวการศึกษาและแอดมิชชั่น เว็บไซต์ Dek-D  ชวนทุกคนสำรวจอนาคตของการศึกษาไทย ภายใต้บริบทโลกใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเสวนาพิเศษ: “The Changemakers: Social Effects in the AI Era”  พบกับ เขื่อน-ภัทรดนัย เสตสุวรรณ นักจิตบำบัดและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง, หมอฟรัง นรีกุล เกตุประภากร แพทย์ KOL เจ้าของธุรกิจ เจ้าของเพจ LaohaiFrung  และ ภูมิ-อภิภูมิ ชื่นชมภู นวัตกรวัยเยาว์ที่มีความมุ่งมั่นด้านการพัฒนาการศึกษาและนวัตกรรม ช่วงเสวนานี้จะเปิดพื้นที่ให้ผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Changemakers)  จากหลากหลายวงการได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมของ AI และแนวทางในการปรับตัวของมนุษย์ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ภายในงานมีเครือข่ายการศึกษา คณาจารย์ นักเรียนเข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน

BAM เร่งสำรวจลูกค้าและพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหว เพื่อรับทราบปัญหา พร้อมพิจารณาให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ด้วยมาตรการผ่อนปรนต่าง ๆ เป็นรายกรณี ขึ้นอยู่กับผลกระทบของลูกค้าและพนักงานแต่ละราย นายบรรยง วิเศษมงคลชัย รองประธานกรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า จากสถานการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา BAM มีความห่วงใยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ BAM สอบถามและสำรวจผลกระทบเพื่อรับทราบปัญหาทั้งในส่วนของลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ และลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ BAM แบบผ่อนชำระว่าได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบมากน้อยแค่ไหน และให้เร่งนำเสนอปัญหาของลูกหนี้และลูกค้า เพื่อประเมินสถานการณ์และออกมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้และลูกค้าของ BAM อย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ หากลูกหนี้และลูกค้ารายใดประสบปัญหาได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ ก็จะพิจารณาช่วยเหลือและผ่อนปรนการชำระหนี้ โดยพิจารณาเป็นรายกรณี เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ขณะเดียวกัน BAM พร้อมส่งทีมวิศวกรลงสำรวจทรัพย์สินรอการขาย โดยเฉพาะสิ่งปลูกสร้างในแนวสูง เช่น ห้องชุดต่าง ๆ ว่าได้รับความเสียหายหรือไม่ และจะเร่งดำเนินการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้ต่อไป นอกจากมาตรการต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือลูกหนี้และลูกค้าแล้ว BAM ยังได้เร่งสำรวจเพื่อให้ความช่วยเหลือพนักงาน BAM ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย โดยมีโครงการเงินกู้ฉุกเฉินเพื่อซ่อมแซมที่พักอาศัย เป็นต้น สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และลูกค้าได้ที่ Call Center 02-630-0700 สำนักงานใหญ่ และสำนักงานสาขาทั่วประเทศ หรือทางเว็บไซต์ www.bam.co.th, FB และ Line : Bam Thailand, FB : ศูนย์ประนอมหนี้ออนไลน์ by BAM

ตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันการชดเชยคาร์บอนในประเทศไทยยังอยู่ในระดับภาคสมัครใจ แต่ราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตกลับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18-31% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความต้องการที่สูงขึ้นและแนวโน้มของตลาดที่มีทิศทางขาขึ้น “บล็อกเอจ : Block Edge’s” จับมือผู้เชี่ยวชาญพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิตให้โปร่งใส ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งจะช่วยให้การชดเชยคาร์บอนทำได้ทันทีมีสภาวะเป็นกลางทางคาร์บอนแบบ Real-time ได้เป็นครั้งแรก

แรงกดดันจากภาษีคาร์บอนของยุโรปจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดไทย

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท บล็อกเอจ จำกัด กล่าวว่า  ตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยกำลังก้าวเข้าสู่มิติใหม่ด้วยนวัตกรรมจาก บริษัท บล็อกเอจ จำกัด ซึ่งบริษัทได้ประกาศความสำเร็จในการเป็นรายแรกของประเทศไทยที่ยื่นจดลิขสิทธิ์ Smart Contract เพื่อทำ Tokenization คาร์บอนเครดิต แม้ว่าปัจจุบันการชดเชยคาร์บอนในประเทศไทยยังอยู่ในระดับภาคสมัครใจ แต่ราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ย 18-31% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดคาร์บอนเครดิตไทยขยายตัวคือการที่สหภาพยุโรปเตรียมบังคับใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 มาตรการนี้จะสร้างแรงกดดันให้ผู้ส่งออกไทยต้องทำการชดเชยคาร์บอนมากขึ้น เพื่อลดภาระด้านภาษีเมื่อส่งสินค้าไปยังตลาดยุโรป

"บล็อกเอจและโทเคนคาร์บอนเครดิต จะเปลี่ยนแนวทางที่ธุรกิจไทยบริหารจัดการคาร์บอนทำให้การลดโลกร้อนเป็นทั้งความรับผิดชอบ และโอกาสทางธุรกิจ" นายภาวุธ กล่าว

 

โทเคนคาร์บอนเครดิตสร้างตลาดที่มีสภาพคล่อง

นายภาวุธ กล่าวว่า โทเคนคาร์บอนเครดิตของบล็อกเอจจะสามารถซื้อขายได้บนแพลตฟอร์มที่รองรับ และสามารถนำไปชดเชยคาร์บอนได้ตามมาตรฐานปกติ ทำให้การซื้อขายคาร์บอนเครดิตมีความคล่องตัวมากขึ้น อีกทั้งช่วยส่งเสริมให้ตลาดเติบโตได้อย่างมั่นคง อย่างไรก็ตามตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เทคโนโลยีสามารถเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ และขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยโซลูชันของ บล็อกเอจ คาดว่าผู้ประกอบการไทยจะสามารถเข้าถึงคาร์บอนเครดิตได้ง่ายขึ้น พร้อมรับมือกับมาตรการทางสิ่งแวดล้อมระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีบล็อกเชนจะช่วยให้การชดเชยคาร์บอนทำได้ทันที ธุรกิจต่าง ๆ จะมีสภาวะเป็นกลางทางคาร์บอนแบบ Real-time ได้เป็นครั้งแรก

นอกจากนี้โทเคนคาร์บอนเครดิตของ บล็อกเอจ ยังสามารถซื้อขายได้บนแพลตฟอร์มที่รองรับและนำไปชดเชยคาร์บอนได้ตามมาตรฐานปกติ ทำให้การซื้อขายคาร์บอนเครดิตมีความคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ตลาดเติบโตได้อย่างมั่นคงด้วยโซลูชันของ บล็อกเอจ คาดว่าผู้ประกอบการไทยจะสามารถเข้าถึงตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ง่ายขึ้นและมีความเป็นกลางมากยิ่งขึ้น.

 

“บล็อกเอจ” พลิกโฉมตลาดด้วย Tokenization

ด้านนายธนารัตน์ กัววัฒนาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท บล็อกเอจ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันการหาซื้อคาร์บอนเครดิตในไทยเป็นเรื่องยากลำบาก เนื่องจากไม่มีตลาดกลางที่เป็นทางการ ผู้ซื้อและผู้ขายต้องเจรจากันโดยตรงทำให้ราคาไม่แน่นอนและใช้เวลารวบรวมคาร์บอนเครดิตนานเกินไป ส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดต่ำและการชดเชยคาร์บอนทำได้ยาก ดังนั้น บล็อกเอจ จึงแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการพัฒนากระบวนการใช้คาร์บอนเครดิตเป็นสินทรัพย์อ้างอิงในการสร้างโทเคนประเภท ERC-721 และ ERC-20 สำหรับแต่ละโครงการ และนำไปเข้า Pool เพื่อสร้างโทเคนประเภท ERC-20 ต่ออีกทอด ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างใบรับรองคาร์บอนและโทเคนที่หมุนเวียนในตลาด นอกจากนี้เมื่อนำโทเคนมาใช้ชดเชยคาร์บอน ผู้ชดเชยจะได้รับ NFT Certificate เป็นหลักฐานการชดเชยอีกด้วย

มาตรฐาน Tokenization ที่ได้รับการยอมรับ

นายธนารัตน์ เน้นย้ำว่า บล็อกเอจ ถือว่าเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยที่ให้บริการแปลงคาร์บอนเครดิตไทยประเภท T-VER และ Premium T-VER เป็น Utility Token กลุ่มที่ 1 ตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยได้มีการหารือร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เพื่อกำหนดมาตรฐานการ Tokenize ซึ่งจะถูกแบ่งเป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของคาร์บอนเครดิตและระดับราคา

ที่ผ่านมาตามประกาศของ ก.ล.ต. ระบุว่า Carbon Credit Token ไม่ถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเช่น Bitkub ไม่สามารถให้บริการหรือลิสต์เหรียญคาร์บอนได้ อย่างไรก็ตามล่าสุดคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในการประชุมในเดือนมีนาคม มีมติเห็นชอบหลักการและพิจารณาปลดล็อคให้สามารถเทรดได้ โดยมติดังกล่าว ก.ล.ต. จะดำเนินกระบวนการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (public hearing) และคาดว่าจะสรุปผลให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือนต่อจากนี้

พันธมิตรด้านเทคโนโลยีร่วมผลักดันโซลูชัน

ด้านนางสาวเกศรา เทียนไชย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บล็อกเอจ จำกัด  กล่าวว่า เพื่อให้การซื้อขายคาร์บอนเครดิตด้วย Tokenization ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น บล็อกเอจ ได้ร่วมมือกับ บริษัท โดมคลาวด์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบบล็อกเชน และบริษัท โทเคไนน์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Web3 Transformation เพื่อพัฒนาโซลูชันการซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่านบล็อกเชนให้มีความโปร่งใสและมีสภาพคล่องสูงขึ้น 

"บล็อกเอจทำให้ตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยเป็นสากล เปิดกว้างสำหรับทุกภาคส่วน ไม่ว่าองค์กรขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ รวมถึงระดับบุคคล" นางสาวเกศรา กล่าวสรุป

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน โดยเฉพาะจุดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงอย่างมากในเขตจตุจักร กรุงเทพฯ ที่มีอาคารพังถล่มลงมา และอยู่ระหว่างระดมความช่วยเหลือจากหลายภาคส่วนอย่างเต็มกำลัง

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ บริษัทในเครือซีพี ที่อยู่เคียงข้างสังคมในทุกๆ วิกฤติ เสมอมา โดยครั้งนี้ได้ระดมความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง โดยสนับสนุนอุปกรณ์เต็นท์เพื่อภารกิจค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเหตุอาคารถล่ม ตลอดจนมอบอาหารและน้ำดื่ม CP ผ่านกองทัพบก โดยมี พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้รับมอบ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน และผู้อยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่โดยรอบ โดยประสานความช่วยเหลือร่วมกับกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์อย่างใกล้ชิด

 

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ระดมทีมงานให้การสนับสนุนในภารกิจกู้ภัยของเจ้าหน้าที่ ซึ่งรวมถึงการมอบ "อาหารจากใจ" สนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารและวัตถุดิบ ทั้งไข่ไก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู ไส้กรอก แก่โรงครัวต่างๆ อาทิ มูลนิธิเพชรเกษม และ มูลนิธิองค์กรทำดี เพื่อใช้ประกอบอาหารมอบให้แก่ เจ้าหน้าที่ทหาร ทหารช่าง ทีมแพทย์สนาม หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย อาสากู้ภัย อาสาสมัครจิตอาสา มูลนิธิต่างๆ และสื่อมวลชน ที่ดำเนินภารกิจตลอด 24 ชั่วโมง ณ กองอำนวยการร่วมบรรเทาสาธารณภัย เขตจตุจักร

 

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังได้ประสานการสนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารและขนมสำหรับสุนัขภายใต้แบรนด์ "เจอร์ไฮ" (Jerhigh) แก่ พลตรี สมพงษ์ สุขประดิษฐ เจ้ากรมการสัตว์ทหารบก ในวันพรุ่งนี้ ภายใต้ภารกิจนำกำลังพลจาก ศูนย์สุนัขทหาร กรมการสัตว์ทหารบก (ศสท.กส.ทบ.) พร้อมชุดปฏิบัติการสุนัขทหาร (K9) เข้าร่วมภารกิจค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเหตุอาคารถล่ม

 

ซีพีเอฟ ขอส่งกำลังใจและความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชน และพร้อมเคียงข้างสังคมในทุกวิกฤติ ด้วยการส่งมอบความห่วงใยผ่านอาหารและสิ่งของจำเป็น ขอให้ทุกคนก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกันอย่างเข้มแข็งและปลอดภัย.

ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอส่งความห่วงใยถึงลูกค้าทรูและดีแทคทุกท่านจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ โครงข่ายโทรคมนาคมของทรูยังคงให้บริการได้ตามปกติทุกระบบ ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เน็ตบ้าน เคเบิ้ลทีวี และบริการดิจิทัล  และเพื่อให้ลูกค้าทุกท่านสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างมั่นใจในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน ทรู ได้จัดตั้ง “วอร์รูมเฝ้าระวังภัยพิบัติ” โดยมีทีมวิศวกรและทีมดูแลโครงข่ายประจำการตลอด 24 ชั่วโมงที่ BNIC เพื่อติดตามและตรวจสอบสถานะของเครือข่ายในพื้นที่ต่างๆ อย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมความพร้อมรับมือกรณีหากมีเหตุการณ์ After shock หลังจากนี้  

อย่างไรก็ตาม ศูนย์บริการทรูและดีแทคช้อปจะงดให้บริการชั่วคราว เพื่อดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยของสถานที่อย่างละเอียด โดยทรูให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยของทั้งลูกค้าและพนักงาน โดยจะเปิดให้บริการอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ (29 มีนาคม 2568) สำหรับศูนย์บริการฯที่อยู่ภายในศูนย์การค้า จะเปิดให้บริการตามนโยบายการเปิดให้บริการของศูนย์การค้า ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถใช้บริการหลังการขายผ่านแอปพลิเคชันของทรู หรือคอลเซ็นเตอร์ ทรู 1242 และ ดีแทค 1678 ได้ตามปกติ

ทรูขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นเหตุการณ์นี้อย่างปลอดภัย และจะอยู่เคียงข้างเพื่อดูแลการสื่อสารของลูกค้าทุกคนอย่างเต็มที่ทุกสถานการณ์

แอสเซทไวส์ (AssetWise) ยืนยันความแข็งแรงปลอดภัยโครงสร้างอาคารในทุกโครงการ พร้อมแจ้ง “4 มาตรการเร่งด่วน” เพื่อดูแลความปลอดภัยของลูกบ้าน และแนวทางปฏิบัติสำหรับการแจ้งซ่อม รวมถึงสิทธิ์การรับประกัน เพื่อให้ทุกท่านได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สะดวก และรวดเร็ว ดังนี้

1. แอสเซทไวส์ได้จัดส่งทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้าตรวจสอบโครงการที่มีผู้พักอาศัยและโครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่อย่างเร่งด่วน โดยโครงสร้างอาคารทุกโครงการของแอสเซทไวส์มีความแข็งแรง ปลอดภัย 100% ตามมาตรฐานวิศวกรรม และตามข้อบังคับอาคาร กฎกระทรวง ปี 2550 และมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว กรมโยธาธิการและผังเมือง 1301/1302ขณะนี้ลูกบ้านสามารถเข้าพักอาศัยได้ตามปกติอย่างมั่นใจ และกำลังดำเนินการตรวจสอบวิเคราะห์สถาปัตยกรรมอาคารเชิงลึกในทุกโครงการอย่างต่อเนื่อง ให้แล้วเสร็จ 100% ภายในวันที่ 1 เมษายน 2568

2. หากพบร่องรอยความเสียหายภายในห้องพัก เช่น รอยร้าว ผนังหลุดร่อน สามารถแจ้งขอรับบริการตรวจสอบและซ่อมแซมได้ตามขั้นตอนดังนี้

  • แจ้งปัญหาผ่านนิติบุคคลอาคารชุด หรือโครงการที่พักอาศัย
  • เจ้าหน้าที่จะประสานงานกับทีมช่างเพื่อนัดหมายวันเข้าตรวจสอบ
  • ทีมวิศวกรและช่างจะเข้าตรวจสอบและประเมินแนวทางการซ่อมแซม
  • แจ้งผลการตรวจสอบ และเริ่มดำเนินการซ่อมแซมตามขอบเขตการรับประกัน

 

3. การใช้สิทธิ์การรับประกัน และเงื่อนไขการเคลมต่างๆ ลูกบ้านสามารถใช้สิทธิ์การรับประกันงานซ่อมแซมตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด โดยครอบคลุมถึง

  • โครงสร้างอาคาร – เสา คาน พื้น และองค์ประกอบสำคัญที่รองรับน้ำหนักของอาคาร
  • การป้องกันการรั่วซึม – ระบบหลังคา ผนัง และระเบียงของอาคาร
  • ระบบท่อน้ำและไฟฟ้า – ป้องกันการรั่วซึมของท่อประปาและการลัดวงจรของระบบไฟฟ้า
  • การใช้งานของประตูและหน้าต่าง – ระบบเปิด-ปิด กันฝน และรักษาความปลอดภัย

 

4. หากต้องการแจ้งปัญหา หรือต้องการสอบถามข้อมูล สามารถติดต่อได้ผ่านช่องทาง ดังต่อไปนี้

  • Line นิติบุคคล
  • Application Jenie
  • Line: AssetWiseClub
  • Contact Center 02-168-0000

แอสเซทไวส์ ขอยืนยันว่าเราจะมุ่งมั่นดูแลลูกบ้านทุกท่านอย่างเต็มความสามารถด้วยความรับผิดชอบสูงสุด เพราะความปลอดภัยจากการอยู่อาศัย และความสุขของลูกบ้าน คือสิ่งสำคัญที่สุดที่เรายึดมั่นเสมอมา

X

Right Click

No right click