December 06, 2025

เคทีซีเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดตอบโจทย์สมาชิกนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางเป็นกลุ่มโดยเฉพาะการเดินทางร่วมกับครอบครัว สานต่อแคมเปญ Happy Family Fun 2025 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ขยายจำนวนพันธมิตรโรงแรมและรีสอร์ตเข้าร่วมรายการมากถึงกว่า 60 แห่งทั่วประเทศ มอบส่วนลดสูงสุด 45% เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาดกลุ่มดังกล่าว ทั้งยังช่วยรักษาฐานสมาชิกเดิมและกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในหมวดท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง  

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถิติช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวและช่วงปิดภาคเรียนที่ผ่านมา เคทีซีพบว่าอัตราการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดโรงแรมและที่พักมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการด้านการเดินทางที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางพร้อมครอบครัว ในจุดหมายปลายทางยอดนิยม อาทิ พัทยา หัวหิน และเขาใหญ่ ด้วยเหตุนี้ เคทีซีจึงเดินหน้าสานต่อแคมเปญ “Happy Family Fun 2025” ด้วยเครือข่ายโรงแรมและรีสอร์ตที่ได้รับความนิยม พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษ เพื่อช่วยให้สมาชิกสามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างคุ้มค่าและสะดวกสบายยิ่งขึ้น สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท รับส่วนลดห้องพักสูงสุด 45% ณ โรงแรมและรีสอร์ตกว่า 60 แห่งทั่วประเทศที่ร่วมรายการ อาทิ ฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน / เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา / เซ็นเตอร์พอยท์ ไพรม์ โฮเทล พัทยา / โนโวเทล มารินา ศรีราชา แอนด์ เกาะสีชัง และ เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน นอกจากนี้ เมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด รับเพิ่ม e-Coupon ส่วนลดน้ำมันบางจาก สูงสุด 400 บาทต่อรายการ ทั้งนี้ สมาชิกสามารถตรวจสอบรายละเอียดโรงแรมที่เข้าร่วมรายการและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.ktc.co.th/promotion/hotel-resort/domestic-hotel/hotel-family ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2568 – 31 พฤษภาคม 2568

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 021235000หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่  https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

เคทีซีประกาศความร่วมมือกับแฟรนไชส์ “ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด” ชูจุดยืนมอบโอกาสให้ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สะดวก รวดเร็ว ผ่านสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ด้วยวงเงินใหญ่สูงสุด 1 ล้านบาท โดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันทีโดย “ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด” ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์แฟรนไชส์ยอดนิยม ที่มีระบบสนับสนุนครบวงจรสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างอาชีพ และในส่วนของ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” นำเสนอทางเลือกสินเชื่อที่เข้าถึงง่าย เพื่อช่วยให้การเริ่มต้นธุรกิจเป็นไปได้อย่างราบรื่น

 

นางสาวเรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อรถยนต์ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “จากจุดเริ่มต้นของเจตนารมณ์ที่ทั้งสองธุรกิจมีเหมือนกันเรื่องของการสร้างโอกาสให้คนตัวเล็กที่มีความฝันในการมีอาชีพทำกิน เคทีซีมองเห็นว่าธุรกิจแฟรนไชส์เป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง แต่ยังติดปัญหาด้านเงินทุน และการจับมือกับ “ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด” เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้คนที่มีรถสามารถใช้สินทรัพย์ของตัวเองเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อและเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายขึ้น “เคทีซี พี่เบิ้ม” พร้อมจะเป็นหนึ่งทางเลือกของคนไม่ท้อ และยินดีจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ผู้กำลังมองหาอาชีพเสริม หรืออยากมีธุรกิจเป็นของตนเองได้สานฝันตนเองให้เป็นจริง โดยผู้ที่ขอสินเชื่อยังสามารถนำรถที่เป็นหลักประกันไปใช้ขับได้ตามปกติ

 

นายสารัช วัฒนกูล ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อร่อยระเบิด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ ไจแอ้นลูกชิ้นระเบิด กล่าวว่า “ธุรกิจแฟรนไชส์ไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด ออกแบบมาให้เป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินลงทุนไม่สูง คืนทุนไว และสามารถต่อยอดขยายกิจการได้ การร่วมมือกับเคทีซี พี่เบิ้ม ช่วยให้สามารถสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ที่สนใจแต่ยังไม่มีเงินลงทุน ด้วยสินเชื่อรถแลกเงินที่เข้าถึงง่าย ทำให้พวกเขาสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ทันที ซึ่งไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด ยังมีระบบสนับสนุนแฟรนไชส์ซีแบบครบวงจร ทั้งการอบรมก่อนเปิดร้าน การให้คำแนะนำด้านการตลาด และการบริหารจัดการ เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันไจแอ้น ลูกชิ้นระเบิด มีแฟรนไชส์ทั่วประเทศมากกว่า 2,000 สาขา และมีอัตราการคืนทุนเร็วในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ด้วยอัตรากำไรที่สูงถึง 60-65% ไม่มีการเก็บค่ารายปีหรือรายเดือน สมัครแฟรนไชส์ติดต่อฝ่ายบริการขาย โทร. 085-253-5588, 092-720-6999 หรือเว็บไซต์ www.giantfishbomb.com และสำหรับผู้ที่ต้องการเงินทุนเริ่มต้นสามารถสมัคร สินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” พร้อมรับการสนับสนุนจากทีมงานแฟรนไชส์ในการตั้งร้านและบริหารธุรกิจ”

 

ผู้ประสงค์จะสมัครสมาชิกสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์และบิ๊กไบค์ สามารถสมัครได้หลายช่องทางทั้งผ่านเว็บไซต์ www.ktc.co.th/loan/ktc-p-berm หรือติดต่อโทร. 02 123 5300  ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือผู้แนะนำผลิตภัณฑ์เคทีซีทั่วประเทศ นอกจากนี้ ผู้ขอสินเชื่อยังสามารถเลือกได้ว่าจะมาขอคำปรึกษากับเคทีซี พี่เบิ้ม ที่จุดบริการ “เคทีซี ทัช” ทุกสาขา หรือใช้บริการพี่เบิ้ม เดลิเวอรี่ (P BERM Delivery) เพื่อให้ทีมงานเดินทางไปรับสมัครถึงที่บ้าน อนุมัติไวใน 1 ชม. รับเงินก้อน ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน ผ่อนได้นานสูงสุด 84 เดือน และยังสามารถเลือกรับบัตรกดเงินสด เคทีซี พี่เบิ้ม ไว้ใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินได้อีกด้วย

หมายเหตุ กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 21% - 24% ต่อปี

ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ร่วมมือกับ บริษัท ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด สานต่อโครงการ “HIT PROGRAM ปี 2” สอนนิสิตคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2567 ภายใต้ธีม ‘HIT REAL CHALLENGE’ ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม - 25 เมษายน พ.ศ. 2568

รศ. ดร.ธารทัศน์ โมกขมรรคกุล คณบดี Chulalongkorn Business School กล่าวว่า ‘สำหรับความร่วมมือกับฮาคูโฮโดในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราได้สานต่อความสัมพันธ์กับองค์กรระดับนานาชาติ อีกทั้งโครงการนี้ยังตอกย้ำความสำเร็จในการร่วมกันส่งเสริมให้นิสิตเป็นผู้ที่จะเป็นผู้นำแห่งอนาคตในด้านการตลาดและแบรนด์  โดย CBS โดยเฉพาะ ภาควิชาการตลาด  ให้ความสำคัญกับการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ เพื่อช่วยให้นิสิตของเราได้เติบโตได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งไปกว่านั้นการร่วมมือกับฮาคูโฮโดครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการร่วมมือกันอย่างยั่งยืนและจะสานต่อความร่วมมือครั้งนี้เพื่อประโยชน์ของนิสิตต่อไป’

การจัดทำโครงการ HIT PROGRAM ปี 2 ในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก คุณเทรุฮิซะ อิโตะ ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ได้มองเห็นผลสัมฤทธิ์ที่สำคัญจากโครงการแรกที่ริเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2567 ว่า ในขณะนั้นนิสิตได้ให้ความสนใจและพร้อมที่จะเรียนรู้ โดย ฮาคูโฮโด ได้สอดแทรกแนวความคิด Sei-katsu-sha (เซ-คัทสึ-ฉะ) เป็นคำภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า ความมุ่งมั่นที่จะเข้าใจ “ความเป็นอยู่ของผู้คน” มากกว่าจะมองเป็นเพียง “ผู้บริโภค” นี้เข้าไว้กับวางแผนทำคลาสต่าง ๆ เพื่อให้นิสิตได้เกิดความอยากรู้และสนุกไปพร้อมกับการเรียนรู้ ฮาคูโฮโด มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะสร้างประโยชน์ต่อสังคมไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้เกิดการรับรู้ในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น

โดยในปีนี้โครงการ HIT PROGRAM ปี 2 จัดขึ้นภายใต้ธีม ‘HIT REAL CHALLENGE’ คุณชุติมา วิริยะมหากุล กรรมการบริหาร บริษัท ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) กล่าวว่า  ‘การออกแบบคอร์สในครั้งนี้ เราต้องการเชื่อมโยงองค์ความรู้ไปพร้อมกับการปฏิบัติจริงเพื่อให้นิสิตทุกคนได้ลองเรียนรู้กับประสบการณ์จริงเหนือระดับไปอีกขั้น ภายใต้หัวใจหลักคือ ‘Real Knowledge, Ready to Work’ พร้อมทั้งมอบโอกาสให้ทำโครงการจำลอง เพื่อเรียนรู้ในการแก้ไขปัญหาจริงและเพื่อเตรียมความพร้อมให้นิสิตได้จบไปเป็นนักการตลาดตัวจริงในอนาคต’

Chulalongkorn Business School ได้มอบโอกาสสำคัญในการส่งเสริมให้นิสิตได้นำองค์ความรู้ที่จะได้รับผ่านโครงการ HIT PROGRAM ปี 2 นี้ นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานในอนาคต โดย ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด Chulalongkorn Business School เป็นผู้ผลักดันคนสำคัญที่มองเห็นโอกาสอันดีผ่านการร่วมมือในครั้งนี้ และจะได้นำคณาจารย์จากภาควิชาการตลาด และผู้รู้ในแวดวงการตลาดไทยมาร่วมสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ  แก่นิสิตในโครงการนี้อีกด้วย

ตลอดระยะเวลาของการเรียนรู้ในโปรแกรมนี้ นิสิตจะได้รับองค์ความรู้ด้านแบรนด์และการตลาด แนวคิดและวิธีการต่าง ๆ ในการทำงานและแก้ไขปัญหาเพื่อให้พร้อมนำไปใช้ได้จริง ซึ่งในคลาสสุดท้ายของโปรแกรม จะเป็นการแข่งขันระหว่างนิสิตในคลาสเพื่อค้นหาผู้ชนะและมอบรางวัลเพื่อเป็นกำลังใจให้นิสิตได้นำไปต่อยอดในอนาคต Chulalongkorn Business School และ ฮาคูโฮโด ประเทศไทย จะยังคงมุ่งมั่นสานต่อโครงการนี้ต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมย์ของบริษัทที่ต้องการร่วมสร้างและผลักดันคนรุ่นใหม่ให้เป็นแรงขับเคลื่อนสังคมไทยในอนาคตต่อไป

นายสรชัช ศรีลมูล ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ในปี 2567 การใช้จ่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต นับเป็นหนึ่งในหมวดการใช้จ่ายหลักของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี โดยมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นเกือบ 10% และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องถึงปี 2568 อันเป็นผลจากเทศกาลสำคัญต่างๆ ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐภายใต้โครงการ “Easy E-Receipt 2.0” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2568 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 รวมถึงเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึงในเดือนเมษายน ล้วนส่งผลเชิงบวกต่อแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภค”

 

เพื่อรองรับการเติบโตของยอดใช้จ่ายในหมวดซูเปอร์มาร์เก็ต และตอบสนองความต้องการของสมาชิก เคทีซีได้ร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ที่ครอบคลุมทั้งการใช้จ่ายผ่านช่องทางหน้าร้านค้าและช่องทางออนไลน์ อย่างเช่นแคมเปญ “ช้อปซูเปอร์ คุ้มเวอร์ยกบ้าน” เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี และลงทะเบียนใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER เท่ากับยอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิปตามกำหนดทุกครั้ง แลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อช้อปที่บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ / ดองกิ / ฟู้ดแลนด์ / เฟรชเก็ต / โกลเด้น เพลซ / แม็คโคร โปร / แม็กซ์แวลู / ริมปิง ซูเปอร์มาร์เก็ต / ท็อปส์ /  กูร์เมต์ มาร์เก็ต / ยูเอฟเอ็ม ฟูจิ ซูเปอร์ และ วิลล่า มาร์เก็ท  โดยไม่มีการจำกัดยอดแลกคะแนนตลอดระยะเวลาแคมเปญ ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ถึง 31 กรกฎาคม 2568 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.ktc.co.th  หรือ KTC PHONE 02 123 5000 หรือ สมัครบัตรเครดิต เคทีซีคลิก https://ktc.today/apply-card หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี                         

องค์กรการกุศลด้านฟาร์มเลี้ยงสัตว์ Compassion in World Farming (CIWF) ได้เผยแพร่รายงาน ChickenTrack ล่าสุด ซึ่งติดตามความคืบหน้าของบริษัทต่าง ๆ ในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่สูงขึ้นตามพันธสัญญา Better Chicken Commitment (BCC)1 โดยรายงาน ChickenTrack จะติดตามการปฏิบัติตามเกณฑ์ที่อิงตามหลักวิทยาศาสตร์ของ BCC ซึ่งหากปฏิบัติตามครบถ้วนจะสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของไก่เนื้อหลายล้านตัว สำหรับผู้ผลิตไก่เนื้อในประเทศไทย การปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานเหล่านี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือในฐานะผู้จัดหาผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้ในตลาดสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร

ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 19702 อุตสาหกรรมไก่ไทยได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการปรับตัวที่โด่นเด่น จากการเลี้ยงในฟาร์มหลังบ้านสู่การเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมการผลิตไก่เนื้อที่ทันสมัยที่สุดของโลก โดยอุตสาหกรรมนี้ได้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลมาเป็นอย่างดีตลอดมา ตั้งแต่ความปลอดภัยของอาหารตลอดจนการตรวจสอบย้อนกลับไปจนถึงต้นทาง นอกจากนี้ยังมีความพร้อมในการตอบโจทย์ความคาดหวังด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้อีกด้วย

Chicken Track และพันธสัญญา Better Chicken Commitment (BCC)

ChickenTrack EU ของสหภาพยุโรปดำเนินการติดตามและรายงานความคืบหน้าของธุรกิจต่าง ๆ ในการเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตไก่เนื้อที่มีสวัสดิภาพสูงขึ้น โดยข้อมูลทั้งหมดจะเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส บริษัทที่ได้รับรับเลือกจะอิงจากความเกี่ยวข้องทางภูมิศาสตร์ ขนาด และการมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมไก่ตั้งแต่ในอดีต ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวจะช่วยในการขยายภาพรวมของการเคลื่อนไหวทางอุตสาหกรรมเพื่อการปฏิบัติตามพันธสัญญา Better Chicken Commitment ในห่วงโซ่อุปทานไก่เนื้อ

ChickenTrack EU 2024 ได้ทำการประเมินธุรกิจอาหาร 93 แห่งทั่วยุโรปที่ได้ปฏิบัติตามพันธสัญญาในการเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตไก่เนื้อที่มีสวัสดิภาพสูงขึ้น โดยจะติดตามความคืบหน้าในการปฏิบัติตามเกณฑ์หลักของ BCC ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนี้

  • ใช้สายพันธุ์ไก่ที่โตช้าลงและมีสุขภาพแข็งแรงกว่า
  • จัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยที่กว้างขึ้น
  • มีการเสริมสภาพแวดล้อมที่ดี เช่น แสงธรรมชาติ คอนสำหรับเกาะ และวัสดุให้จิกเล่น เช่น เมล็ดธัญพืชและฟาง เพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหว
  • ใช้วิธีการเชือดที่มีมนุษยธรรมมากขึ้น
  • ปฏิบัติตามการตรวจสอบสวัสดิภาพสัตว์โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรายงานผลต่อสาธารณะทุกปี

ผลิตภัณฑ์ไก่เนื้อของไทยมีความสำคัญอย่างมากต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก และมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่ออุตสาหกรรมสัตว์ปีกระหว่างประเทศ แม้ว่าบริษัท 93 แห่งที่เข้าร่วมการประเมินจาก ChickenTrack EU จะดำเนินธุรกิจในระดับโลก อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ที่สูงขึ้นของบริษัทอาจยังไม่ครอบคลุมทั่วทุกส่วนของห่วงโซ่อุปทาน ช่องว่างนี้ถือเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้บริโภคชาวไทยที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์อย่างมาก

 

ผลการค้นพบที่สำคัญจาก Chicken Track 2024

จากการติดตาม 93 บริษัท พบว่า 64 บริษัทได้รายงานถึงความคืบหน้า ในขณะที่อีก 29 บริษัทยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมใด ๆ ในปีนี้ มี 11 บริษัทได้รายงานความคืบหน้าสำหรับการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก ได้แก่ บริษัท Eataly ในอิตาลี ซึ่งมีพัฒนาการที่โดดเด่น โดยบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านได้ถึง 90% ในการจัดเก็บความหนาแน่นในการเลี้ยง (stocking density), 80% ในการเปลี่ยนแปลงพันธุ์ไก่ และ 70% ในการใช้วิธีเก็บรักษาแบบควบคุมบรรยากาศ (CAS) นอกจากนี้ 4 บริษัทจาก 11 บริษัทนี้ยังเป็นบริษัทใหม่ที่เข้าร่วมกับ ChickenTrack ในปี 2024 ได้แก่ บริษัท Big Mamma Group, Les 3 Brasseurs, Taiko Foods และ Yo! Sushi

การเปลี่ยนสายพันธุ์ไก่และการลดความหนาแน่นในการเลี้ยงยังคงเป็นเกณฑ์การผลิตของ BCC ที่ดำเนินการยากที่สุดและมีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่ต่ำที่สุด ในกลุ่มบริษัทที่รายงานความคืบหน้าตามเกณฑ์ มีเพียงสองบริษัทเท่านั้น ได้แก่ บริษัท Schiever Distribution3 และ Waitrose ที่รายงานการปฏิบัติตามเกณฑ์ด้านความหนาแน่นในการเลี้ยงได้ครบถ้วน 100% โดยมีอีก 6 บริษัทที่ทำการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 50%4 สำหรับ Schiever Distribution เป็นบริษัทเดียวที่รายงานการปฏิบัติตาม 100% ในเรื่องพันธุ์ไก่ ในขณะที่บริษัท Eataly และ Monoprix ก็ได้แสดงความก้าวหน้าในด้านนี้เช่นกัน โดยได้รายงานการปฏิบัติตามเกณฑ์มากกว่า 50% นอกจากนี้ ยังมี 6 บริษัทที่บรรลุการปฏิบัติตามเกณฑ์มากกว่า 30% ในเรื่องพันธุ์ไก่5

โอกาสเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ส่งออกไก่เนื้อไทย

การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศ วิสัยทัศน์ด้านเกษตรกรรมและอาหาร (กุมภาพันธ์ 2025)6 ซึ่งระบุว่ากฎหมายใหม่ในอนาคตจะกำหนดให้มีมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับสินค้าทุกชนิดที่วางจำหน่ายในสหภาพยุโรป รวมถึงสินค้านำเข้าต่าง ๆ นโยบายนี้จะช่วยปิดช่องโหว่ที่เคยเปิดโอกาสให้สินค้าจากภูมิภาคที่มีมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ต่ำกว่าเกณฑ์เข้ามาจำหน่ายในตลาดยุโรป เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและช่วยยกระดับมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ในระดับโลก

ในปี 2024 ประเทศไทยส่งออกไก่เนื้อไปยังสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรรวมมูลค่ากว่า 1.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ7 นับเป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดของภูมิภาค สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของไทยในการสนับสนุนการดำเนินมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ที่สูงขึ้นในยุโรปนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อแนวโน้มของผู้บริโภคและข้อบังคับในยุโรปมุ่งสู่มาตรฐานที่สูงขึ้น การปรับตัวให้สอดคล้องกับพันธสัญญา BCC (Better Chicken Commitment) จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาสิทธิ์ในการเข้าถึงตลาด และเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในฐานะผู้นำการค้าไก่เนื้อระดับโลก

การสนับสนุนบริษัทในการเปลี่ยนผ่านสู่มาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ที่สูงขึ้น

องค์กร CIWF ให้การสนับสนุนที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้บริษัทต่าง ๆ พัฒนาแผนงานและสร้างแนวทางที่เป็นระบบโดยเฉพาะ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านประสบสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นอกจากนี้ ทุกบริษัทยังได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วม Better Chicken Business Network ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ CIWF เปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา ในฐานะศูนย์กลางสำหรับติดตามข่าวสารล่าสุด กิจกรรม และเนื้อหาพิเศษที่เกี่ยวข้องกับ BCC เครือข่ายนี้มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในห่วงโซ่อุปทานไก่เนื้อ โดยช่วยเชื่อมโยงบริษัทที่กำลังเผชิญปัญหาในการหาผู้จัดหาผลิตภัณฑ์หรือผู้ซื้อที่สอดคล้องตามพันธสัญญา BCC ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่อนาคตที่ไก่เนื้อตามพันธสัญญา BCC กลายเป็นมาตรฐานหลักของอุตสาหกรรม

ดร. เทรซี่ โจนส์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจอาหารระดับโลกขององค์กรการกุศลด้านฟาร์มเลี้ยงสัตว์หรือ Compassion in World Farming กล่าวว่า "ไก่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกและสมควรได้รับคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงมีโอกาสแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติของพวกเขา พันธสัญญา Better Chicken Commitment (BCC) ได้กำหนด 5 ขั้นตอนที่ชัดเจนในการยกระดับสวัสดิภาพของไก่ และ ChickenTrack มีบทบาทสำคัญในการติดตามความก้าวหน้าของบริษัทต่าง ๆ

เพื่อให้ไก่ที่มีสวัสดิภาพสูงกลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม เราขอเรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ นำมาตรฐาน BCC มาใช้ และลงทุนในการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายผ่านแผนปฏิบัติการที่แข็งแกร่งและรายงานความคืบหน้าอย่างโปร่งใส เพราะการสร้างผลกระทบต่อสวัสดิภาพของไก่โดยสมบูรณ์จะเกิดขึ้นได้จริง ก็ต่อเมื่อบริษัทสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานได้ครบ 100%

ไก่ที่มีสวัสดิภาพสูงเป็นโอกาสทางการตลาดเชิงกลยุทธ์สำหรับธุรกิจไก่เนื้อไทย เมื่อผู้ซื้อจากสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรยังคงยกระดับความคาดหวังในเรื่องสวัสดิภาพสัตว์ ผู้ผลิตในไทยที่ขยายความสามารถในการจัดหาไก่ที่มีสวัสดิภาพสูงจะสามารถเสริมสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้จัดหาที่เชื่อถือได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จระยะยาวในตลาดส่งออกที่มีมูลค่าสูงเหล่านี้ โดยการปรับตัวให้สอดคล้องกับพันธสัญญา Better Chicken Commitment (BCC) อย่างเต็มที่ ผู้ผลิตสามารถก้าวนำหน้าความต้องการด้านกฎระเบียบและความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะยังคงเป็นผู้จัดหาที่ได้รับความนิยมในตลาดการค้าโลกอยู่เสมอ


อ้างอิง

[1] https://welfarecommitments.com/europeletter/

2 https://www.fao.org/4/AC797E/ac797e06.htm#TopOfPage

3ไก่แบรนด์ Schiever 100% ได้รับการรับรอง Label Rouge (เลี้ยงในที่โล่ง) Schiever ไม่จำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปแบรนด์ของตนเอง

4 Eataly Italy, Papa Johns UK, Greggs, Danone Group, Subway EMEA, Alcampo 

5 Carrefour Poland, Carrefour France, Casino France, Auchan France, Auchan Poland, Marks & Spencer

6 https://agriculture.ec.europa.eu/vision-agriculture-food_en

7จำนวนรวมจาก UN Comtrade รวมถึงข้อมูลจากรหัส HS 0207 (เนื้อไก่แช่แข็ง), 0210 (เนื้อไก่เกลือแห้งหรือรมควัน), และ 160232 (เนื้อไก่แปรรูปหรือปรุงแต่ง, รวมถึงไก่ปรุงสุก) เว็บไซต์: https://comtradeplus.un.org/ และ https://www.trade.gov/harmonized-system-hs-codes

 

2C2P จัดหนัก! ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากกิจกรรมสุดพิเศษ "ฟิน 2 ต่อ" พร้อมแจกทองคำแผ่นขนาด 1 กรัม จำนวน 60 รางวัล ให้กับผู้ใช้บริการ easyBills+ ที่ชำระบิลรายเดือนผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ด ณ บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ชั้น 51

นายคณิต เสนีบุรพทิศ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แคมเปญ "ฟิน 2 ต่อ" ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยก่อนหน้านี้มีผู้ใช้บริการ easyBills+ ที่ลงทะเบียนตัดบิลรายเดือนผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ด และมียอดตัดเงินสำเร็จอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เป็นระยะเวลา 3 เดือน (สิงหาคม 2567 - มกราคม 2568) กว่า 500 ท่านได้รับ Grab e-Voucher Promo Code มูลค่า 200 บาทไปแล้ว

และในวันนี้ ผู้ที่ชำระบิลผ่าน easyBills+ ด้วยบัตรมาสเตอร์การ์ดยังได้ลุ้นรับรางวัลใหญ่ "ฟินทองหล่นทับ" ทองคำแผ่นขนาด 1 กรัม มูลค่ารางวัลละ 3,274.32 บาท (ราคาทองคำ ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2567) จำนวน 60 รางวัล เพื่อแทนคำขอบคุณจาก 2C2P และ easyBills+

เช็กเลย! ประกาศรายชื่อผู้โชคดี โดยสามารถติดตามการประกาศรายชื่อผู้โชคดีได้ที่ เฟสบุ๊ค www.facebook.com/easyBills.TH ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป สำหรับผู้โชคดีต้องยืนยันสิทธิ์ภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2568

รายละเอียดการรับรางวัล

  • ผู้โชคดีสามารถเข้ารับรางวัลได้ระหว่างวันที่ 7-31 กรกฎาคม 2568
  • สถานที่: บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ชั้น 51
  • เวลาทำการ: วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 00 – 17.00 น. (เว้นวันหยุดราชการ)

ติดตามกิจกรรมดี ๆ จาก easyBills+ และ มาสเตอร์การ์ด ได้ทาง www.facebook.com/easyBills.TH แล้วอย่าลืม! ใครที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ รีบสมัครใช้ easyBills+ และชำระบิลผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ดกันเลย!

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับรางวัล Thailand Top Company Awards 2025 ประเภทอุตสาหกรรมบริการสุขภาพ ตอกย้ำความสำเร็จที่โดดเด่นในการเป็นผู้นำด้านสุขภาพในระดับประเทศ โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล และได้รับเกียรติจาก ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ

 

รางวัลดังกล่าว จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างนิตยสาร Business+ โดย บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมอบให้กับองค์กรที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมและโดดเด่นในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อเชิดชูเกียรติและเป็นกำลังใจให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนในการยกระดับศักยภาพการบริหารจัดการธุรกิจ เพื่อสร้างความยั่งยืนและเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอนาคต ซึ่งงานนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 13 ภายใต้แนวคิด “Beating the Unpredictable: เอาชนะทุกความท้าทายที่ไม่อาจคาดเดาได้”

 

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “การได้รับรางวัลในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จและความภาคภูมิใจของเรา ที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย รวมถึงผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในด้านการบริบาลทางการแพทย์ในระดับประเทศ โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มุ่งมั่นพัฒนาการรักษาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วิสัยทัศน์ในการเป็นจุดหมายแห่งการดูแลสุขภาพและสุขภาวะที่น่าเชื่อถือที่สุด ผ่านการส่งมอบประสบการณ์การรักษาพยาบาลชั้นเลิศให้กับผู้ป่วย ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงที่ทันสมัย เพื่อสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งด้านสาธารณสุขสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน”

บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รักคือพลังของชีวิต โดย คุณนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ (CEO) เผยว่า ปัจจุบันกลุ่ม Gen Y กำลังเติบโตและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยกระจายตัวอยู่ในองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงเป็นเจ้าของธุรกิจ และเสาหลักของครอบครัว ดังนั้น OCEAN LIFE ไทยสมุทร จึงมุ่งใช้ศักยภาพด้านประกันชีวิตสนับสนุนให้กลุ่ม Gen Y ดำเนินชีวิตด้วยความมั่นคง มั่นใจ สอดคล้องกับพันธกิจและวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งทำให้ประกันชีวิตเป็นเรื่องง่ายเพื่อให้คนไทยเข้าถึงประโยชน์ของการประกันชีวิตได้มากที่สุด

 

ดังนั้น ในปี 2568 บริษัทจึงตั้งเป้าหมายมุ่งเน้นทำตลาดกับกลุ่ม Gen Y ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและบริการที่ตรงใจ การสรรหาที่ปรึกษาประกันชีวิตที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นนี้ รวมถึงการจัดโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการ และเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหาให้กลุ่มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี 4 สิ่งใหม่ ที่พร้อมให้ทุกคนมาค้นหาในงาน OCEAN LIFE HEALTHIVERSE SOLUTION : LOVE STARTS WITH YOU เพื่อสนับสนุนการใช้ชีวิตของกลุ่ม Gen Y ประกอบด้วย NEW! Target จับกลุ่ม Gen Y ด้วยความเข้าใจแท้จริง NEW! Campaign สร้างความตระหนักให้ทุกคนรักตัวเอง รักสุขภาพ และปิดความเสี่ยงด้วย HEALTHIVERSE SOLUTION เพื่อจะได้ทำสิ่งที่รักไปนานๆ  NEW!  Brand Ambassador เปิดตัว "นนท์ ธนนท์" ขวัญใจคน Gen Y เตรียมสัมผัสประสบการณ์ดี ๆ ที่ OCEAN LIFE ไทยสมุทร และ นนท์ ธนนท์ จะร่วมกันส่งต่อพลังความรักให้ทุกคนตลอดปีนี้ และ NEW! Song เพลง "รักคือพลังของชีวิต" โดยนนท์ ธนนท์ ที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง กินใจ ส่งมอบให้คนที่รักได้ในทุกรูปแบบ

NEW! Campaign : LOVE STARTS WITH YOU - รักตัวเอง รักสุขภาพ จะได้ทำสิ่งที่รักไปนานๆ

 

จากงานวิจัยพบกลุ่มคน Gen Y หลายคนมีความเครียด กังวลแอบแฝง เพราะเป็นเหมือน “เดอะแบก” ที่ต้องแบกรับความคาดหวังของตนเองและคนรอบข้าง อีกทั้ง Gen Y ยังถูกเรียกว่า Sandwich Generation ต้องดูแลคนข้างบนและข้างล่างไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่ทำงาน ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยให้ Gen Y ผ่อนคลายได้ คือการได้ใช้ชีวิตตาม Passion และไลฟ์สไตล์ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเป็นการให้รางวัลกับชีวิต ทั้งการท่องเที่ยว ลิ้มรสอาหารอร่อย ตระเวนคาเฟ่ หรือไปคอนเสิร์ตของศิลปินที่รัก สำหรับ Gen Y ที่มีครอบครัว พวกเขายิ่งต้องการมีสุขภาพที่ดีเพื่ออยู่ดูแลคนที่รักไปนาน ๆ

OCEAN LIFE ไทยสมุทร เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการของคน Gen Y และพร้อมเป็นตัวช่วยปิดความเสี่ยงที่คน Gen Y อาจมองข้ามไป โดยเฉพาะด้านสุขภาพซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงในการทำในสิ่งที่รักไปนาน ๆ  เพราะหากสุขภาพไม่ดีอาจทำให้ทุกความฝันหยุดลงกลางทางได้ โดยได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเหตุผลที่ทำให้  Gen Y หันมารักตัวเอง รักสุขภาพ ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีๆ เพื่อมีชีวิตที่แข็งแรงอยู่ไปนาน ๆ โดยปิดความเสี่ยงด้วย “HEALTHIVERSE SOLUTION” แผนประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง จาก OCEAN LIFE ไทยสมุทร ที่มาพร้อมบริการดูแลสุขภาพครบวงจร ช่วยให้คน GenY พร้อมทำสิ่งที่รักให้เป็นไปได้อย่างมั่นใจประกอบด้วย

  1. “โอเชี่ยนไลฟ์ เอ็นจอย เฮลท์ เอ็กซ์ตร้า” ประกันสุขภาพเหมาจ่าย ที่ตอบโจทย์คน GenY ด้วยการเหมาจ่ายค่าห้อง ค่ารักษา ตามจริง และคุ้มครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาทต่อครั้งใดครั้งหนึ่ง คุ้มครองค่าห้องพักเดี่ยวมาตรฐาน ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) ต่อเนื่องหลังการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน (IPD) พร้อมทั้งค่าล้างไต รังษีรักษา เคมีบำบัด รวมถึง Targeted Therapy หมดกังวลค่ารักษาที่เพิ่มขึ้น รองรับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ
  2. “โอเชี่ยนไลฟ์ ซูเปอร์ ซีไอ 120 (CI120)” ประกันคุ้มครองโรคร้ายแรงที่ดีที่สุดจาก OCEAN LIFE ไทยสมุทร ที่คุ้มครองโรคร้ายแรงสูงสุดถึง 120 โรคใน 6 กลุ่มโรคร้ายแรง และกลุ่มความคุ้มครองพิเศษของโรคมะเร็งระยะลุกลาม ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย
  3. นวัตกรรมดูแลสุขภาพและบริการครบวงจร อาทิ Digital Healthcare Services โดยจับมือกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพชั้นนำ ในการดูแลตั้งแต่ก่อนป่วย เมื่อป่วย และพักฟื้น Easy Claim ให้การเคลมเป็นเรื่องง่ายด้วยบริการเคลม Hotline 24 ชั่วโมง OCEAN Club Application แอปเดียวที่ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายผนวกกับ Royalty Program ให้ทำกิจกรรมสุขภาพสะสม OCHI COIN แลกรับของรางวัลมากมาย OCEAN Connect เชื่อมต่อทุกบริการอย่างสะดวกง่ายด้วยตัวเองผ่านมือถือ ผ่านไลน์ แอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ ให้คุณเลือกใช้บริการได้ตามต้องการ

NEW! Brand Ambassador “นนท์ ธนนท์” ขวัญใจคน Gen Y ที่เต็มไปด้วยพลังความรัก

 

OCEAN LIFE ไทยสมุทร เปิดตัว “นนท์ ธนนท์” นักร้องขวัญใจ Gen Y เป็น New Brand Ambassador คนล่าสุด ด้วยภาพลักษณ์ที่อบอุ่น สดใส และเข้าถึงง่าย สะท้อนตัวตนของคนรุ่นใหม่ที่ใช้พลังความรักในการดำเนินชีวิตได้อย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ที่ต้องการสนับสนุนให้ Gen Y หันมา รักตัวเอง ดูแลสุขภาพ และปิดความเสี่ยง ผ่าน “HEALTHIVERSE SOLUTION” โซลูชันด้านสุขภาพครบวงจร ที่ช่วยให้ทุกคนมีสุขภาพดี มั่นใจ พร้อมทำสิ่งที่รัก และดูแลคนที่รักไปนานๆ โดย “นนท์ ธนนท์” จะร่วมเป็นตัวแทนถ่ายทอดแนวคิด “รักตัวเอง รักสุขภาพ จะได้ทำสิ่งที่รักไปนานๆ” สร้างการรับรู้สู่กลุ่มคน Gen Y ผ่านช่องทางออนไลน์ในรูปแบบ Long-Form VDO ในชื่อ “เหตุผล” โดยสามารถรับชมได้ที่ https://www.ocean.co.th/healthiversesolution และช่องทุกทางโซเชียลของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ได้ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

 

“นนท์ เผยว่าการตัดสินใจเป็น Brand Ambassador ให้กับ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ในครั้งนี้ ตนเองก็ได้พิจารณาอย่างดีแล้วว่าเป็นแบรนด์ที่ขับเคลื่อนโดยคุณค่าและมีเป้าหมายทำธุรกิจที่มุ่งใช้ความรักสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ มอบให้กับประชาชน คล้ายๆ กับที่ตนเองก็ใช้ความรักตั้งใจทำงาน รวมทั้งคอยดูแลแฟนคลับให้เติบโตไปด้วยกันเช่นกัน”

NEW! Song เปิดตัวเพลง “รักคือพลังของชีวิต” ถ่ายทอดพลังความรักผ่านเสียงร้องของ “นนท์ ธนนท์”

 

ครั้งแรกของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ที่จะถ่ายทอดความหมายและคุณค่าของ Tagline “รักคือพลังของชีวิต - Love Empowers Your Life”  ผ่านเสียงร้องของ “นนท์ ธนนท์” และทีมสร้างสรรค์เพลงรักจากค่าย LOVE IS นำโดย คุณดาโน่ ดนัย ธงสินธุศักดิ์ รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ โดยบทเพลงนี้ใช้ชื่อว่า “รักคือพลังของชีวิต” สื่อสารเรื่องราวความรักที่สร้างแรงบันดาลใจให้คน ๆ หนึ่งอยากเป็นคนที่ดีขึ้น เพื่อดูแลและอยู่เคียงข้างคนที่รักไปนาน ๆ ตรงกับแนวคิดของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ที่ไม่หยุดพัฒนาทุกด้านเพื่อลูกค้าด้วยพลังความรักตลอดมา และด้วยความหมายเดียวกันนี้ก็ยังสามารถนำบทเพลงนี้ไปใช้ส่งมอบความรักให้กับคนที่รักได้ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คู่รัก หรือแม้แต่ความรักระหว่างศิลปินและแฟนคลับ ก็ให้ความหมายที่ลึกซึ้งกินใจได้เช่นกัน

 

โดยแคมเปญทั้งหมดจะสื่อสารผ่านช่องทางที่หลากหลาย พร้อมกิจกรรมตลอดทั้งปีแบบ 360 องศา ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ …สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของ NEW! Campaign NEW! Brand Ambassador และ NEW! Song ในทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ OCEAN LIFE ไทยสมุทรประกันชีวิต และช่องทางพันธมิตรต่างๆ ได้ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

นางสาวจิตราวิณี วรรณกร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้แทนธนาคาร รับมอบ 3 รางวัลสูงสุดซึ่งยกย่องบริษัทและแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภค ได้แก่ รางวัล 2025 White Brand ที่มอบให้องค์กรที่มีธรรมาภิบาล จริยธรรมโดยรวมในการดำเนินธุรกิจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม  รางวัลธนาคารที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุดด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการบริการน่าเชื่อถือสูงสุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และ K PLUS ได้รับรางวัลโมบายแบงกิ้งที่น่าเชื่อถือและลูกค้าไว้วางใจใช้บริการอันดับ 1 จากผู้บริโภคในหมวดธนาคารและบริการทางการเงิน กลุ่มโมบายแบงกิ้ง จากผลสำรวจความคิดเห็น Thailand’s Most Admired Company และ Thailand’s Most Admired Brand ประจำปี 2024-2025 จัดโดยนิตยสาร BrandAge และ BrandAge Online ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ ถนนรางน้ำ เมื่อเร็ว ๆ นี้

ตอกย้ำสถาปัตยกรรมมีความสำคัญในทุกเรื่องราวจากอดีตจนถึงปัจจุบันและนำไปสู่อนาคต สมาคมสถาปนิกสยามฯ ร่วมกับ ทีทีเอฟ แถลงข่าวความพร้อมจัดงานสถาปนิก’68 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ภายใต้แนวคิด “ทบทวน ทิศทาง: Past Present Perfect” ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมพิเศษมากมาย รวมถึงจัดแสดงสินค้านวัตกรรมเพื่อการออกแบบ-ก่อสร้างครบวงจร จากผู้ประกอบการแบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศกว่า 1,000 ราย คาดมีผู้ร่วมชมงานจากทั่วโลกกว่า 325,000 คน ตลอด 6 วันของการจัดงาน ระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

 

นายอเส สุขยางค์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงความพร้อมของการจัดงานสถาปนิก’68 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปีที่มีความยิ่งใหญ่ต่อยอดการนำเสนอนิทรรศการเนื่องในโอกาสครบรอบ 90 ปี สมาคมฯ ซึ่งปีนี้ได้กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “ทบทวน ทิศทาง: Past Present Perfect” นับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ระลึกถึงการเดินทางของสถาปัตยกรรมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่ามีการเดินทางผ่านเรื่องราวและส่งต่อมายังปัจจุบันได้อย่างไร และที่ผ่านมาสถาปนิกได้ร่วมงานกับหลากหลายวิชาชีพ จากทั่วทุกภูมิภาค ได้สำรวจและทบทวนถึงทิศทางที่สถาปัตยกรรมไทยได้ก้าวเดินผ่านมาหลายยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นการผสมผสานเทคนิคและวัฒนธรรมจากอดีต การปรับตัวตามสภาพแวดล้อมและความต้องการของสังคมในแต่ละยุค รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เคยเป็นและสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่าเรามีเส้นทางและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้คนและตัวตนของสถาปนิกอย่างไรเพื่อมองอนาคตไปด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม การจัดงานสถาปนิก’68 นอกจากวัตถุประสงค์ของการเป็นพื้นที่เชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกในแวดวงสถาปัตยกรรม ผ่านงานแสดงนิทรรศการ การประชุมสัมมนา การเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ที่มีบทบาทส่งเสริมวิชาชีพสถาปัตยกรรม การพัฒนาองค์ความรู้ด้านสถาปัตยกรรม มีส่วนสำคัญต่อคุณภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคม รวมถึงยังสามารถสะท้อนศิลปวัฒนธรรม และมีส่วนผลักดันเศรษฐกิจของประเทศได้ ทั้งยังเป็นสื่อกลางในการจัดแสดงงานออกแบบ วัสดุก่อสร้าง การให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เทคโนโลยี นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับวงการสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติ รวบรวมผู้ประกอบการแบรนด์ชั้นนำของไทยและต่างประเทศ มาจัดแสดงบนพื้นที่เดียวกันที่ใหญ่มากถึง 75,000 ตร.ม.แล้ว คาดว่าจากความน่าสนใจของการจัดแสดงนิทรรศการ กิจกรรมเสวนาให้ความรู้ และสินค้าบริการที่ครบวงจร งานสถาปนิก’68 จะได้ผลตอบรับที่ดีมีผู้เข้าร่วมงานทั้งไทยและต่างประเทศรวม 6 วันของการจัดงานกว่า 325,000 คน

นายธันว์ ศรีจันทร์ ประธานจัดงานสถาปนิก’68 กล่าวถึงความพร้อมด้านกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นภายในงานสถาปนิก’68 ว่า ปีนี้ได้จัดแสดงนิทรรศการที่น่าสนใจไว้มากมาย อาทิ นิทรรศการ “ทบทวน ทิศทาง” การนำเสนอแนวคิดการทบทวนคุณค่าของงานสถาปัตยกรรมในอดีต หาข้อมูล วิเคราะห์ และนำมาออกแบบใหม่อีกครั้ง โดยผ่านการตีความของสถาปนิก อาจารย์ นักศึกษาจากโรงเรียนออกแบบรุ่นใหม่ เพื่อเป็นการเชื่อมช่วงเวลาจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นตัวอย่างการตีความจากอดีตสู่อนาคต ต่อด้วย "ชิ้นแรก ชิ้นล่า : From the First Piece to the Latest" พื้นที่นำเสนอผลงาน 2 ชิ้นประกอบไปด้วย ผลงานการออกแบบชิ้นแรก ที่นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง และผลงานการออกแบบชิ้นล่าสุดที่แสดงถึงการพัฒนาและความก้าวหน้าของผลงานในปัจจุบัน ​อีกทั้ง เรื่องเล่า 3 รุ่น เป็นความสัมพันธ์ของคน 3 วัย ที่จะมาสะท้อนแนวทาง ต่อยอด ส่งต่อ ผ่านการทำงานร่วมกัน “บทสนทนา พร้อมภาพประกอบของคน 3 วัย หลากหลายสายงาน” ถัดมาคือ นิทรรศการสมาคมมัณฑนากร แห่งประเทศไทย : TIDA และ นิทรรศการและพื้นที่สัมมนาวิชาการ “TALA : ไทยไท” ปิดท้ายกับ นิทรรศการ สมาคมสถาปนิกผังเมืองไทย : TUDA ซึ่งในแต่ละโซนมีกิจกรรมที่น่าสนใจหลากหลาย อาทิ การเปิดให้คำแนะนำ คำปรึกษาด้านงานสถาปัตยกรรม การเปิดรับสมาชิก การให้ร่วมสนุกลุ้นรับรางวัล และจุดจำหน่ายสินค้าของสมาคมฯ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการจากทาง 4 องค์กรวิชาชีพสถาปนิก ได้แก่ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย, สมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย, สมาคมสถาปนิกผังเมืองไทย ยังมีนิทรรศการวิชาการ ซึ่งเป็นนิทรรศการประกวดแบบเชิงแนวความคิด (ASA Experimental Design Competition) การแสดงผลงานการประกวดแบบในระดับนานาชาติที่เปิดให้สมาชิกสมาคมฯ สถาปนิก นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมส่งผลงานแสดงแนวคิดในการออกแบบภายใต้ธีม “อนาคตนิยม Future Nostalgia In Architecture”

ส่วนของนิทรรศการวิชาชีพ ประกอบด้วย นิทรรศการอาษาอนุรักษ์ นำเสนอผลงานที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2568, ASA Vernadoc 2025 นำเสนอผลงานเก็บข้อมูลสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นด้วยวิธี Vernadoc, โครงการอนุรักษ์โบราณสถานเพื่อเป็นอนุสรสถานมหาเถระเจ้าอุทุมพร และนิทรรศการเครือข่ายอนุรักษ์ แสดงงานของเครือข่ายอนุรักษ์ที่เคยทำงานร่วมกับสมาคมสถาปนิกสยามฯ, นิทรรศการผลงานสถาบันการศึกษา, นิทรรศการงานประกวดแบบภาครัฐและองค์กรอื่นๆ นำเสนอผลงานออกแบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมและเมือง, นิทรรศการ ASA TOD การนำเสนอแนวทางเลือกในการพัฒนาที่ดินรอบสถานีขนส่งสาธารณะตามแนวทาง Transit Oriented Development (TOD) เพื่อส่งเสริมการใช้ที่ดินในรูปแบบที่อำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อการเดินทางของระบบขนส่งต่างๆ พร้อมนิทรรศการและงานเสวนา 'น้ำท่วม กับ หมวกยายเตียม' จากน้ำใจ สู่การออกแบบที่พักพิงฉุกเฉินสะเทินน้ำสะเทินบกเพื่อชุมชน เป็นต้น

ในส่วนงานพื้นที่กิจกรรมและบริการ จะประกอบด้วย ACT+ASA Shop พื้นที่จำหน่ายหนังสือและของที่ระลึกสมาคม, ACT+ASA Club พื้นที่พบปะ จุดพักผ่อนประจำของชาวอาษา, มุมสถาปนิกอาสา พื้นที่บริการให้คำปรึกษา เรื่องแบบบ้าน จากสถาปนิกอาสา, ASA Night ในรูปแบบใหม่ กิจกรรมสังสรรค์พบปะตามประเพณีของเหล่าสมาชิกอาษาทุกรุ่น ทุกสมัย ทุกสถาบัน และ ASA Day Hey งานคอนเสิร์ตที่จะเป็นจุดศูนย์รวมเพื่อให้สมาชิกคนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก๋าพบปะสังสรรค์ มอบความบันเทิงและได้ทำความรู้จักกับสมาชิกสมาคมกันมากขึ้น ซึ่งความพิเศษในปีนี้ มีการจัดประกวดดนตรีของ “เด็กถาปัด” ASA Day Hey Student Band Auditiion 2025 เพื่อเฟ้นหาวงเปิดสำหรับงาน ASA Day Hey อีกด้วย

สุดท้ายในส่วนของงานสัมมนา วิชาการ ประกอบด้วย ASA Forum & Professional Seminar ซึ่งในครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนความรู้จากรุ่นสู่รุ่น โดยแบ่งเป็นส่วน ASA International Forum 3 Gen ซึ่งจะเป็นงานบรรยายของสถาปนิกต่างชาติที่มีภูมิหลังและผลงานที่แสดงลักษณะของแต่ละยุคอย่างชัดเจน ขณะที่งานสัมมนา ASA Professional Seminar จะเป็นงานที่เชิญผู้เชี่ยวชาญในไทยของแต่ละสาขาวิชาที่มีประโยชน์แก่การประกอบวิชาชีพของสถาปนิกในปัจจุบัน โดยงานครั้งนี้จะมีความพิเศษ ASA Classroom สำหรับกิจกรรมสัมมนาที่มาในรูปแบบการทำ Workshop หรือสอนการใช้งานโปรแกรม Computer สำหรับงานออกแบบต่างๆ ทางด้านสถาปัตยกรรม โดยเน้นให้ผู้เข้าฟังได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมและสามารถนำไปใช้ได้จริงด้วย

ด้าน นายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า งานสถาปนิก’68 ในปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างไทยให้ก้าวสู่เวทีระดับนานาชาติ โดยเน้นการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัย ซึ่งตอบโจทย์ทุกความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยภาพรวมอุตสาหกรรมสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างของประเทศไทยในปัจจุบันถือว่ากำลังค่อยๆ ฟื้น จากปัจจัยด้านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐและเอกชน รวมถึงเทรนด์การออกแบบที่เน้นเรื่องความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มีการขยายตัวของตลาดวัสดุก่อสร้างและโซลูชันการออกแบบที่สอดรับกับวิถีชีวิตสมัยใหม่มากขึ้น

สำหรับการจัดงานในปีนี้ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยปัจจุบันมีพื้นที่จัดแสดงสินค้าถูกจองไปแล้วกว่า 85% มีผู้แสดงสินค้าเข้าร่วมงานจำนวน 842 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 14 มีนาคม 2568) เพิ่มขึ้น 5.65% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 รวมถึงผู้แสดงสินค้ารายใหม่จำนวน 191 ราย และผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศจำนวน 302 ราย หรือคิดเป็น 14.20% ของพื้นที่แสดงสินค้าทั้งหมด ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาดวัสดุก่อสร้างไทยและโอกาสทางธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับนานาชาติ

ปัจจุบันมีผู้สนใจลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าแล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับข้อมูลในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 50.91% โดยสัดส่วนของผู้เข้าชมส่วนใหญ่เป็นกลุ่มในวงการการก่อสร้าง อาทิ สถาปนิก วิศวกร นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมา สูงถึง 83.51% ซึ่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 49.33% จากปีก่อน สำหรับสัดส่วนผู้เข้าชมจากต่างประเทศอยู่ที่ 16.66% ของยอดลงทะเบียนทั้งหมด ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าตลอดระยะเวลา 6 วันของการจัดงาน จะมีผู้เข้าชมงานรวมทั้งสิ้นประมาณ 325,000 คน โดยมีสัดส่วนผู้เชี่ยวชาญในสาขาสถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง (Professional Visitors) เพิ่มขึ้นจากเดิม 55% เป็น 60% ในปีนี้

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของงานคือการจัดแสดงพื้นที่ในรูปแบบพิเศษ หรือ Thematic Pavilion โดยปีนี้มีการจับคู่ดีไซเนอร์และแบรนด์วัสดุก่อสร้างมากที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ถึง 6 พื้นที่ ได้แก่ 1. Looklen Architects x S-ONE GROUP, 2. pbm X NIPPON PAINT, 3. Flat12x X VANACHAI GROUP, 4. A&A x FAMELINE, 5. ativich x VG, 6. POAR x WOODDEN ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีสีเขียว วัสดุแห่งอนาคต การออกแบบเพื่อความยั่งยืน และเทคโนโลยีดิจิทัลในงานสถาปัตยกรรม เพื่อเป็นการนำเสนอทางเลือกใหม่ที่สามารถนำไปใช้ในการก่อสร้างจริงได้ เช่น สีนวัตกรรมของ NIPPON PAINT  ที่ผลิตด้วย “ยางพารา” รายแรกในเอเชีย นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมที่น่าสนใจจากผู้แสดงสินค้าที่นำมาเปิดตัวภายในงานเป็นครั้งแรกภายใต้กิจกรรม Best Innovation Award 2025 อาทิ

  • ประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม New Interior Series จากแบรนด์ TOSTEM ที่ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงสุนทรียภาพที่กลมกลืน ไร้รอยต่อ ลดทอนส่วนเกินที่ไม่จำเป็น เช่น ซ่อนสกรูและฮาร์ดแวร์ที่ไม่จำเป็น เพื่อไม่ให้มองเห็นจากภายนอก
  • จระเข้ คิ้ว GREEN จากแบรนด์ JORAKAY – GPVC นวัตกรรม PVC ไร้สารอันตราย เจ้าแรกในไทย ใช้สำหรับช่วยปกป้องขอบมุมกระเบื้อง ด้วยวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน ยืดหยุ่นสูง ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร โดยคำนึงถึงการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน
  • VENENO Collection UNITEC Technology จากแบรนด์ WDC – กระเบื้องพอร์ซเลน ใช้ปูพื้น ผนัง สำหรับงานออกแบบสถาปัตยกรรม โดยมีการผสมผสานนวัตกรรมทางผิวหน้าที่ล้ำสมัย ทำให้ขอบเขตการใช้งานได้ออกจากกรอบเดิมของวัสดุปิดผิว
  • Super Hooth ระบบบำบัดกลิ่นและควัน จากแบรนด์ HOOTH – นวัตกรรมใหม่สำหรับเครื่องดูดควันระบบที่ใช้สำหรับครัวบ้าน เพื่อตอบโจทย์ด้านคุณภาพในการดูดกลิ่น ควัน ละอองน้ำมัน รวมถึงรักษาสภาพแวดล้อมบริเวณรอบบ้านไม่ให้เกิดเขม่าและคราบน้ำมัน
  • Kanguru ตู้อเนกประสงค์แขวนรั้ว จากแบรนด์ DOS – คิดค้นขึ้นเพื่อตอบโจทย์การใช้งานสำหรับบ้านที่มีพื้นที่หน้าบ้านจำกัด เพื่อแก้ไขปัญหาและออกแบบการใช้งานอย่างลงตัว ด้วยการรวมเอา ป้ายบ้านเลขที่ กล่องพัสดุ ตู้จดหมาย และถังขยะ รวมเข้าด้วยกันในรูปแบบ 3 in 1

ที่สำคัญยังมีผู้ประกอบการด้านวัสดุก่อสร้างชั้นนำอย่าง SCG ที่เตรียมนำเทรนด์วัสดุก่อสร้างและโซลูชันตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด “SEAMLESS QUALITY LIVING เชื่อมต่อทุกมุมมองเพื่อการใช้ชีวิต” มาจัดแสดงภายในงาน พร้อมจัดเต็มสินค้านวัตกรรมงานออกแบบที่สวยงาม ปลอดภัย และอยู่สบายเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีในทุก ๆ วัน เข้ากับแนวคิดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม “Waste to Construction” ที่นำวัสดุเหลือใช้กลับมาเพิ่มมูลค่า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ตอกย้ำผู้นำ “Low Carbon Materials” พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ โซลูชันยกระดับการอยู่อาศัยใช้พลังงานสะอาดและเสริมสร้างคุณภาพอากาศที่ดี นอกจากนี้ยังมีโปรเจค Green Collaboration พิเศษที่เปิดตัวในงานนี้เป็นที่แรกอีกด้วย

และเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าชมงาน ทางผู้จัดได้เตรียมบริการรถตู้รับ-ส่งฟรีจากงานสู่ปลายทางสถานีรถไฟฟ้าหลัก (MRT สถานีสวนจตุจักร, MRT สถานีพระราม 9) ตั้งแต่เวลา 09.30 – 20.30 น. รวมทั้งยังมอบสิทธิพิเศษต่างๆ จากแบรนด์ชั้นนำกว่า 29 ราย ครอบคลุมทั้งหมวดอาหาร เครื่องดื่ม โรงแรม และการเดินทาง เช่น Bangkok Airways, Grab, Bolt, LINE MAN RIDE, โรงแรมทีเค พาเลซ, โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น พลัส แวนดา แกรนด์ม และร้านอาหารบริเวณโดยรอบอิมแพ็คอีกมากมาย เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงานครั้งนี้

นายศุภแมน กล่าวปิดท้ายว่า งานสถาปนิก’68 จะเป็นเวทีสำคัญที่ช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมสถาปัตยกรรมและก่อสร้างไทยก้าวหน้าและเติบโตได้อย่างมั่นคง โดยเน้นการแลกเปลี่ยนความรู้และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจอย่างจริงจัง อีกทั้งยังมุ่งหวังการสร้างประสบการณ์ที่โดดเด่น ซึ่งจะดึงดูดนักธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลกให้เข้ามาสัมผัสวงการสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจออกแบบ-ก่อสร้าง-อสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระดับนานาชาติ

สำหรับงานสถาปนิก’68 ภายใต้แนวคิด ทบทวน ทิศทาง : Past Present Perfect มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าได้แล้ววันนี้! พร้อมรับหนังสือ Architect’25 Hand Guide (สิทธิ์มีจำนวนจำกัด) และลุ้นรับของที่ระลึกหน้างาน มูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวและข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง www.ArchitectExpo.com และ Facebook Page : งานสถาปนิก : ASA EXPO

X

Right Click

No right click