

กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี โดย นายอัศวิน - นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส นำทีมผู้บริหาร พนักงาน และประชาชนจิตอาสา ร่วมเพ้นท์ถุงผ้าในโครงการ “ถุงผ้าใส่ยาให้ผู้ป่วยกลับบ้าน” เพื่อส่งมอบให้กับโรงพยาบาล นำไปบริจาคเป็นถุงผ้าเพื่อใส่ยาให้ผู้ป่วยนำกลับบ้านแทนการใช้ถุงพลาสติก ณ Co-Working Space ร้านหนังสือ เอเซียบุ๊คส์ สาขาอาคาร บีเจซี ๒

โครงการดังกล่าวถือเป็นโครงการด้านการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็น ๑ ใน ๗๒ โครงการของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ และเป็นการรณรงค์ใช้ถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติก ลดขยะพลาสติก และการก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเนื่องในวันปลอดถุงพลาสติกสากลอีกด้วย
บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ร่วมส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์สังคมที่ยั่งยืน ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดปริมาณขยะ ภายใต้นโยบายสนับสนุนการแยกขยะและรีไซเคิลกล่องเครื่องดื่มที่ใช้แล้ว ผ่านกิจกรรมโครงการ SCN ร่วมสร้างหลังคาสีเขียว ปีที่ 2 โดยรวมพลังพนักงาน SCN ในองค์กรร่วมบริจาคกล่องนม UHT เพื่อส่งมอบให้แก่ “ศูนย์รีไซเคิลกล่องเครื่องดื่ม โดยบริษัท ไฟเบอร์พัฒน์ จำกัด” ผู้ผลิตหลังคา Green roof ภายใต้โครงการ “หลังคาเขียว” มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก นำไปใช้ประโยชน์ ด้วยการเปลี่ยน “กล่องนม UHT” ให้เป็นหลังคาที่มีความแข็งแรงและใช้งานได้จริง ซึ่งจะสามารถนำไปช่วยเหลือชุมชนผู้ที่ขาดแคลน ผู้ด้อยโอกาส และผู้ที่ประสบภัยทางธรรมชาติ โดยพนักงานบริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ได้ร่วมเป็นตัวแทนในการส่งมอบเป็นที่เรียบร้อย เมื่อเร็วๆ นี้
การได้เข้าไปเยี่ยมชมฟาร์มเลี้ยงหมูของเกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่งกับซีพีเอฟ เมื่อตอนที่เรียนชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาสัตวศาสตร์ ภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลายเป็นการจุดประกายสำคัญที่ทำให้ อนุวัฒน์ ศรีโฉม ตั้งความหวังว่าสักวันหนึ่งจะต้องได้เป็นเจ้าของกิจการฟาร์มเลี้ยงหมูและประสบความสำเร็จแบบนั้นให้ได้
หลังเรียนจบ อนุวัฒน์ เริ่มต้นอาชีพสัตวบาลฟาร์มเลี้ยงสุกร กับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด หรือซีพีเอฟ เมื่อปี 2557 รับผิดชอบดูแลฟาร์มปิดของบริษัท เริ่มจากการเลี้ยงหมูขุน และย้ายไปดูหน่วยผสม-คลอด จากนั้นมีโอกาสได้ไปดูแลเกษตรกรที่โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จ.ฉะเชิงเทรา ทำให้ได้เรียนรู้ระบบการบริหารจัดการในรูปแบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง โดยรับผิดชอบแลเกษตรกรที่นี่ 4 ปี จึงขอย้ายไปดูแลฟาร์มหมูของบริษัทที่ขอนแก่นและหนองคาย เพื่อให้สามารถดูแลภรรยาที่ตั้งท้องได้ใกล้ชิดขึ้น ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีแนวคิดที่จะสานฝันทำฟาร์มเลี้ยงหมูของตนเอง

การได้เป็นสัตวบาลกับซีพีเอฟ เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากว่า 10 ปี มีโอกาสรับผิดชอบในทุกหน่วย ทั้งหน่วยผสม-คลอด หมูขุน หมูสาว พ่อพันธุ์ จนถึงฝ่ายขาย ในปี 2566 เขาจึงตัดสินใจลาออกเพื่อเริ่มต้นอาชีพใหม่กับการเป็นเกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) ทำฟาร์มเลี้ยงหมูขุนกับซีพีเอฟ ในโครงการส่งเสริมสุกรขุนอุดรธานี ก่อสร้าง หจก. พรรณนิภาฟาร์ม ที่ตำบลสุมเส้า อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี บนพื้นที่ 10 ไร่ เลี้ยงหมูขุน 2 โรงเรือน ความจุโรงเรือนละ 800 ตัว การเลี้ยงหมูอยู่ภายใต้มาตรฐานฟาร์มของกรมปศุสัตว์ โดยนำประสบการณ์ทั้งหมดมาปรับใช้ทั้งหมด เน้นการปรับสภาพแวดล้อมในโรงเรือนให้ดี อากาศดี คูลลิ่งแพด (Cooling Pad) ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ต้องไม่มีลมร้อนเข้า เล้าปิดมิดชิดไม่มีรอยรั่ว น้ำต้องสะอาด อาหารไม่เป็นฝุ่น
“เริ่มเลี้ยงหมูรุ่นแรกเข้าเลี้ยงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ก็ถึงกำหนดจับหมูออก การเลี้ยงหมูมีประสิทธิภาพดีตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะจุดเริ่มต้นที่ดี ตั้งแต่การรับหมูจากฟาร์มต้นทางที่มีสุขภาพดี เมื่อเรารับไม้ต่อมาเลี้ยงก็ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกหมูในช่วงแรก มีการตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากพบหมูป่วยจะแยกออกไปรักษาที่คอกป่วยทันที เน้นการให้อาหารน้อยแต่บ่อยครั้ง มีการกระตุ้นการกินอาหารด้วยการผสมน้ำ ทำให้หมูกินอาหารได้ดี อัตราการเจริญเติบโตดี ไม่ป่วย ทำน้ำหนักได้ดี อัตราเสียหายปัจจุบันไม่ถึง 1%” อนุวัฒน์ เล่า

ที่สำคัญ หจก. พรรณนิภาฟาร์ม ยังใช้การจัดการฟาร์มสมัยใหม่ในรูปแบบสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) การควบ Cooling PAD และระบบน้ำ มีระบบให้อาหารอัตโนมัติ Auto Feed การควบคุมพัดลมเชื่อมต่อกับระบบ Biogas และติดตั้ง CCTV ทำให้สามารถดูแลหมูได้โดยที่ไม่ต้องเข้าไปในโรงเรือน ทำให้เห็นความเป็นอยู่ หรือความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ยังช่วยป้องกันโรคได้อย่างดี เพราะสามารถตรวจสอบบุคคลที่ต้องอาบน้ำสระผมก่อนเข้าฟาร์ม และยังวางแผนใช้โซล่าเซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในฟาร์มในระยะอันใกล้นี้
“ฟาร์มของเราดำเนินการตามมาตรฐาน "กรีนฟาร์ม" ของบริษัท ด้วยโมเดลธุรกิจสีเขียว ฟาร์มเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการปลูกต้นไม้ให้ความร่มรื่น ใช้ระบบ Biogas 100% และกำลังจะติดตั้งระบบกรองกลิ่นท้ายโรงเรือนทำเพื่อป้องกันกลิ่นเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังทำ “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” ส่งน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว ให้แก่เกษตรกร 2-3 ราย ในพื้นที่ใกล้เคียง ที่มาขอรับน้ำไปใช้ในสวนปาล์มและไร่อ้อย และจะแจกการมูลที่ได้จากระบบ Biogas ที่ตากแห้งแล้ว ให้กับเกษตรกร ช่วยลดค่าใช้จ่ายค่าปุ๋ยได้อีกด้วย” อนุวัฒน์ กล่าว

วันนี้ อนุวัฒน์ ได้ทำตามฝันมีธุรกิจส่วนตัวและได้อยู่กับครอบครัวอย่างที่ตั้งใจ โดยได้วางรากฐานไว้ให้กับลูก พาเขาเข้าไปสัมผัสกับอาชีพของพ่อแม่ ได้ลงมือดูแลหมูด้วยตัวเอง และเขาเชื่อว่านี่จะเป็นมรดกอาชีพในอนาคตของลูกๆ ได้อย่างแน่นอน
บมจ. กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ในฐานะผู้นำบริษัทประกันที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือ ‘Green Insurer’ นำโดย คุณ ลาทีฟา ซาอีด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและการสื่อสารองค์กร แอกซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล มาร์เก็ต (แถวหลัง คนที่ 6 จากซ้าย) พร้อมด้วยคุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (แถวหลัง คนที่ 5 จากซ้าย) สานต่อนโยบายด้าน Climate Change & Biodiversity หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความหลากหลายด้านชีวภาพ จัดโครงการ “Save Our River” โดยสนับสนุนเรือไฟฟ้า (EV boat) และติดตั้งถังขยะรีไซเคิล เพื่อช่วยการจัดการขยะจากต้นทางก่อนไหลลงสู่แม่น้ำ และทะเล ซึ่งบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายในการช่วยลดขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 43 ตันต่อปีจากการจัดการขยะบนเรือ นอกจากนั้น เรือไฟฟ้าดังกล่าวใช้พลังงานสะอาดในการขับเครื่องยนต์ ซึ่งจะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้มากถึง 1,200 ตัน ต่อปี

พร้อมกันนี้ พนักงานจิตอาสาของบริษัทฯ ได้รวมพลัง Hearts in Action ช่วยเก็บขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา และพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อช่วยสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และป้องกันมลพิษทางน้ำก่อนไหลลงสู่ทะเล และกลายเป็นขยะทะเลที่เป็นปัญหาใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม สู่ความยั่งยืนของสังคมไทย พร้อมทั้งสอดคล้องกับเป้าหมายสูงสุดของบริษัทฯ ที่จะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
พลตรี สุธี พานิชกุล หัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ให้เกียรติรับมอบเงินสมทบทุนจากนายเอกวิทย์ ชัยวรานุรักษ์ (กลาง) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารหน่วยธุรกิจ สยามเซ็นเตอร์ และสยาม ดิสคัฟเวอรี่ นายอิทธิพล บุญนา ผู้อำนวยการ หัวหน้าฝ่ายกิจกรรมการตลาด บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และนางสาววิสาข์ ธนวิภาคย์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายแบรนด์และสื่อสารองค์กร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากกิจกรรมพิมพ์เสื้อลายลิมิเต็ด อิดิชัน จากเครื่องพิมพ์เอปสัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ “The Celebration: Right to Love” เพื่อฉลอง Pride Month ตลอดเดือนมิถุนายนของกลุ่มสยามพิวรรธน์ร่วมกับพันธมิตร ณ สยามเซ็นเตอร์ เมื่อเร็วๆ นี้
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี นำโดย นายอัศวิน - นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ร่วมกับ บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงานจิตอาสา จัดกิจกรรม Workshop เย็บเต้านมเทียม ภายใต้โครงการ “เย็บเต้าจากใจ สู้ภัยมะเร็ง” ณ ร้านหนังสือ Asia Books สาขาอาคารบีเจซี 2 เพื่อนำไปมอบให้กับผู้ป่วยมะเร็งที่ผ่าตัดเต้านมและสูญเสียความมั่นใจในเรื่องของบุคลิกภาพหลังจากรับการรักษาให้กลับมามีรอยยิ้มกับสรีระของตนเองอีกครั้ง โดยกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี จะมอบเต้านมเทียม เพื่อช่วยเหลือและสร้างพลังใจให้กับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม แก่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ สำหรับโครงการดังกล่าว เป็น 1 ในโครงการด้านการพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือในสังคม จำนวน 72 โครงการของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 28 กรกฎาคม 2567

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ กรรมการ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) บริจาคเงินส่วนตัวในนาม “ทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์” ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 ให้กับสถาบันการศึกษา มูลนิธิ โรงพยาบาลและองค์กรสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ จำนวน 45 องค์กร รวมเป็นเงิน 48.5 ล้านบาท โดยแบ่งการสนับสนุนเป็นองค์กรด้านศาสนา 7 หน่วยงาน ด้านการศึกษา 22 หน่วยงาน และ ด้านสังคม 16 หน่วยงาน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมพิธีมอบทุนฯ ณ อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อก ซึ่งเงินบริจาคส่วนนี้จะช่วยสนับสนุนการทำงานขององค์กรต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ นายทองมาได้มอบ “ทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์” ต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปีนี้นับเป็นปีที่ 15 โดยได้บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา การศึกษา และสังคม ผ่านมูลนิธิ สถาบันการศึกษา และองค์กรต่าง ๆ ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 112 องค์กร ทั่วประเทศ รวมถึงในเนปาล เป็นยอดเงินบริจาครวมทั้งสิ้นมากกว่า 522 ล้านบาท ตามเจตนารมณ์ที่ต้องการทำนุบำรุงศาสนา สนับสนุนทุนการศึกษา และช่วยเหลือหน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำงานเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง
MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพนักเรียน เพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โครงการ Energy Mind Award Season 2 ประจำปี 2567 ณ ห้องเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานเพลินจิต โดยการจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพนักเรียนในครั้งนี้ เป็นการยกระดับความเข้าใจต่อการดำเนินงานตามรูปแบบและมาตรฐานของโครงการฯ โดยมีสถานศึกษาให้ความสนใจและเข้าร่วมโครงการฯ ในปีนี้ จำนวน 81 แห่ง ซึ่งสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับการอบรมให้ความรู้ในเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม การดำเนินงานด้านการอนุรักษ์พลังงานอย่างถูกวิธีและเป็นระบบ การวางแผนและจัดทำในเรื่องอนุรักษ์พลังงานในสถานศึกษาเพื่อยกระดับให้เป็นสถานศึกษาต้นแบบด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยจะนำนักเรียนทั้งหมด 324 คน ไปเรียนรู้ ณ ศูนย์รวมตะวัน จ.กาญจนบุรี จำนวน 4 รุ่น

รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 5-7 กรกฎาคม 2567
รุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 12-14 กรกฎาคม 2567
รุ่นที่ 3 ระหว่างวันที่ 19-21 กรกฎาคม 2567
รุ่นที่ 4 ระหว่างวันที่ 26-28 กรกฎาคม 2567

MEA ในฐานะหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทย ที่ดูแลระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ยังให้ความสำคัญในด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และในปี 2567 นี้ MEA ได้ดำเนินงานโครงการ Energy Mind Award Season 2 โดยมีเป้าหมายที่จะต่อยอดจากการดำเนินงานที่ผ่านมา โดยพัฒนาสถานศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ก้าวไปสู่การเป็นสถานศึกษาต้นแบบด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สร้างเสริมนักเรียนให้เป็นเยาวชนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเป็นนักเรียนแกนนำด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ปลูกฝังและสร้างเยาวชนรุ่นใหม่หัวใจสีเขียว (Green Youth) ส่งมอบสู่สังคมไทย เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมต่อไป
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ (ที่ 6 จากซ้าย แถวหลัง) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก นำทีมพลังตัวแทนเอไอเอกว่า 100 ท่าน ร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิต เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 โดยได้รับเกียรติจาก นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ (ที่ 7 จากซ้าย แถวหลัง) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ณ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ ซึ่งนอกเหนือจากพลังตัวแทนที่มาร่วมบริจาคโลหิต ณ สภากาชาดไทยแล้ว เพื่อนพนักงานเอไอเอยังได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าว โดยได้มีการรับบริจาคโลหิต ณ อาคารเอไอเอ ทาวเวอร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
สำหรับกิจกรรมบริจาคโลหิตถือเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอ ในการเป็นผู้นำด้าน ESG ซึ่งพร้อมมีส่วนร่วมในการแบ่งปันน้ำใจให้แก่ผู้คนในสังคมไทย อีกทั้งช่วยต่อชีวิตให้แก่เพื่อนมนุษย์ เพื่อสนับสนุนให้ผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ และเดินหน้าพันธกิจ AIA One Billion ซึ่งเป็นพันธกิจหลักสำคัญของกลุ่มบริษัทเอไอเอ
บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดย นางเอมอร จิรเสาวภาคย์ กรรมการผู้จัดการ มอบเสื้อกันฝนให้แก่นักเรียนโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร พื้นที่เขตพระนคร เขตบางพลัด และเขตดินแดง ภายใต้โครงการ “เทเวศประกันภัยห่วงใยเยาวชน” เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยและสุขอนามัยของเด็กเล็กในวัยเรียนให้ได้รับการดูแลและสามารถป้องกันตนเองจากโรคหวัดและโรคติดเชื้ออื่น ๆ จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในช่วงฤดูฝน ณ โรงเรียนราชบพิธ กรุงเทพมหานคร
มื้อกลางวันของ โรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ ภายใต้ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ดำเนินการโดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ในการสนับสนุนของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของไข่เจียว เมนูโปรดของนักเรียนทุกคน โดยมีเด็กๆร่วมกับครูผู้รับผิดชอบกำลังช่วยกันปรุงเป็นอาหารกลางวันในวันนี้ ที่สำคัญไข่ไก่ที่นำมาปรุงเป็นเมนูต่างๆ ทั้งไข่ตุ๋นทรงเครื่อง ไข่พะโล้ และไข่ลูกเขย ที่เด็กๆ โหวตให้เป็นเมนูแสนอร่อยในดวงใจ ก็ได้มาจากฝีมือการเลี้ยงของทุกคน ไข่ไก่จึงไม่ใช่แค่ “อาหารกลางวัน” ของน้องๆ แต่ยังเป็น “ความภูมิใจ” ที่พวกเขาได้ลงมือเลี้ยงแม่ไก่ไข่ให้ได้ผลผลิตไข่ไก่คุณภาพปลอดภัยสำหรับทุกคน
ประเสริฐศรี ฉิมปาน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ บอกว่า สุขภาพร่างกายของเด็กนักเรียนเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะสุขภาพที่ดีย่อมทำให้เด็กๆมีกำลังกายในการศึกษาเล่าเรียน และอาหารโปรตีนคุณภาพดีอย่างไข่ไก่ก็จะเป็นผู้ช่วยชั้นดีในการบำรุงร่างกายและสมองของพวกเขา จึงเป็นที่มาของการสมัครเข้าร่วม “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน”
โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีนักเรียน 60 กว่าคน และมีเด็กๆในศูนย์เด็กเล็กก่อนวันเรียนอีก 50 คน จึงได้รับการพิจารณาให้เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ โดยรุ่นแรกได้รับการสนับสนุนแม่พันธุ์ไก่ไข่ 100 ตัว พร้อมอาหารไก่ไข่ รวมทั้งการสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่มาตรฐาน และมีนักสัตวบาลผู้เชี่ยวชาญจากซีพีเอฟมาให้ความรู้สนับสนุนวิชาการด้านการเลี้ยงไก่ไข่ การดูแลตั้งแต่เริ่มต้นเลี้ยงจนถึงปลดแม่ไก่ เพื่อให้ครูผู้ดูแลและน้องๆ นักเรียนมีพื้นฐานที่สามารถบริหารจัดการโครงการได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแนะนำการขาย การตลาด และบริหารให้มีเงินทุนส่งให้รุ่นต่อไป ทำให้โรงเรียนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนและดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง

“ปัจจุบันเราเลี้ยงไก่ไข่เป็นรุ่นที่ 2 โดยรุ่นแรกได้รับการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์แม่พันธุ์และอาหารสัตว์ฟรีจากโครงการฯ ในแต่ละวันผลผลิตไข่ไก่ที่ได้จะจำหน่ายเข้าสู่ระบบสหกรณ์ เพื่อจำหน่ายต่อให้กับโครงการอาหารกลางวัน สำหรับใช้ปรุงประกอบเป็นอาหารกลางวันนักเรียน ส่วนที่เหลือจะจำหน่ายให้กับผู้ปกครองและชาวชุมชน โครงการฯ นี้จึงไม่เพียงเป็นแหล่งอาหารที่มั่นคงของนักเรียนทุกคน แต่ยังเป็นคลังอาหารของชุมชนด้วย” ผอ.ประเสริฐศรี กล่าว
โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน รุ่นแรกสร้างรายได้กลายเป็นเงินทุนสะสมสำหรับดำเนินโครงการได้ถึงกว่า 50,000 บาท สามารถนำไปต่อยอดการเลี้ยงไก่รุ่นใหม่ โดยขยายการเลี้ยงไก่เป็น 150 ตัว รองรับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ส่วนแม่ไก่รุ่นแรกที่เลี้ยงมาแล้ว 1 ปี ซึ่งได้อายุปลดระวางแล้ว ผอ.ประเสริฐศรี ครูและนักเรียน มีความเห็นตรงกันว่าควรทำการศึกษาต่อจากสมมุติฐานที่ว่า แม่ไก่ยังคงให้ผลผลิตที่ดี น่าจะสามารถเลี้ยงต่อไปได้ จึงย้ายแม่ไก่ทั้งหมดลงเลี้ยงในโรงเรือนใหม่ในรูปแบบปล่อยพื้น เป็นแม่ไก่ไข่อารมณ์ดี พร้อมบันทึกการให้ผลผลิตต่อเนื่อง และวางแผนเลี้ยงต่อให้ได้ 1 ปีครึ่ง จึงจะปลดแม่ไก่ นี่จึงไม่ใช่เพียงการสร้างคลังอาหารในโรงเรียน แต่ยังเป็นการศึกษาทดลอง จากการเด็กๆรู้จักสังเกต เกิดการตั้งคำถาม และพิสูจน์สมมุติฐาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในการเรียนรู้ ที่ประยุกต์สู่การเรียนการสอนและการทดลองอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน นักเรียนยังได้ฝึกความรับผิดชอบ โดยมีพี่ๆชั้นประถมปีที่ 6 เป็นพี่ใหญ่นำน้องๆ แบ่งเวรกันเก็บไข่ไก่ในเวลา 09.00 น. ของทุกวัน จากนั้นเวลา 15.00 น. จึงช่วยกันเกลี่ยอาหารและให้อาหารเพิ่ม ทักษะเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและพัฒนาทักษะด้านอาชีพได้ และไข่ไก่คุณภาพดีที่ผลิตได้ ทำให้เด็กๆได้รับประทานไข่ไก่สด สะอาด ปลอดภัย นอกจากนั้น ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับโรงเรียนและชุมชน ทั้งไข่ไก่ และผักต่างๆที่นักเรียนรับผิดชอบในการปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวผลผลิต ทั้งผักบุ้ง ผักสวนครัว พืชสมุนไพร และเห็ดนางฟ้า ที่นำเข้าโครงการอาหารกลางวัน และส่วนที่เหลือนำไปจำหน่ายแก่ชาวชุมชนในราคาย่อมเยา เกิดเป็นกิจกรรมสร้างเสริมหลักการประกอบอาชีพ รู้จักการขาย การตลาด ซึ่งรายได้ที่เกิดขึ้นนำมาเป็นกองทุนหมุนเวียนโครงการฯ ต่อยอดเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญนักเรียนยังมีเงินออมจากการขายไข่ กลายเป็นเงินออมเพื่อศึกษาต่อ โดยหลังจากปลดแม่ไก่รุ่นแรก สามารถจัดสรรเงินทุนเพื่อการศึกษาต่อให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทุนละ 1,500 บาท ได้ถึง 6 ทุน

นอกจากนี้ เด็กๆยังนำไข่ไก่ไปแปรรูปเป็นขนมโดนัทและขนมวาฟเฟิล เพื่อจำหน่ายให้กับนักเรียนและชุมชน เกิดเป็นกิจกรรมเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน ช่วยส่งเสริมทักษะอาชีพ และโรงเรียนยังส่งเสริมให้นักเรียนนำผลิตภัณฑ์แปรรูป ร่วมมอบในงานบุญ โรงทาน และงานการกุศลต่างๆ เป็นการฝึกให้พวกเขารู้จักการแบ่งปันแก่ผู้อื่น
ด.ช.พงศธร ก้อนทอง หรือน้องปอน นักเรียนชั้นป.6 บอกว่า ดีใจที่ได้ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ทำให้นักเรียนได้รับประทานไข่ไก่สด สะอาด ที่เด็กๆเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง ช่วยให้ได้ฝึกทักษะอาชีพที่สามารถนำไปต่อยอดในชีวิตประจำวัน และเป็นพื้นฐานอาชีพในอนาคตได้ ส่วน ด.ช.ธีวสุ บุรินทร์ หรือน้องภูผา นักเรียนชั้นป.5 เสริมว่า โครงการฯนี้ ช่วยฝึกความซื่อสัตย์ มีวินัย และรู้จักการทำงานเป็นทีม ทางด้าน ด.ญ.ศุภาพิชญ์ มหาพันธ์ หรือน้องออย กล่าวขอบคุณเครือซีพี ซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ที่ช่วยสนับสนุนโครงการฯ พวกเราจะดูแลโครงการฯนี้ให้ดีที่สุด ให้มีความต่อเนื่องไปถึงน้องๆรุ่นต่อไป เราภูมิใจที่ได้เป็นต้นทางอาหารปลอดภัย และดีใจที่โรงเรียนของเรากลายเป็นแหล่งศึกษาดูงานของโรงเรียนต่างๆ

โรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ กลายเป็นต้นแบบของความสำเร็จในการบริหารจัดการโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่บรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างแหล่งอาหารมั่นคงในโรงเรียนเพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนมีสุขภาพดีจากการได้บริโภคไข่ไก่ และยังสามารถต่อยอดความสำเร็จของโครงการฯ สู่โครงการเกษตรอื่นๆ และยังเป็นแหล่งอาหารของชุมชนได้อย่างยั่งยืน.
ทิพยประกันภัย ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย มอบประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มคุ้มครองเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังช้างป่าในพื้นที่หมู่บ้านคชานุรักษ์และหมู่บ้านเครือข่ายใน 5 จังหวัดภาคตะวันออก เพิ่มความอุ่นใจให้กับเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมสร้างฝายชะลอน้ำและเติมแร่ธาตุในโป่งดิน เพื่อเป็นแหล่งอาหารให้กับช้างป่าและสัตว์ป่า ณ บ้านเขาใหญ่ อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี กิจกรรมนี้เน้นย้ำถึงความร่วมมือเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการดูแลทรัพยากรธรรมชาติของไทยอย่างยั่งยืน

ดร.พลรัตน์ เอกโยคยะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีที่ 2 ต่อเนื่อง ที่ทิพยประกันภัยสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยร่วมกับธนาคารกรุงไทยมอบประกันภัยอุบัติเหตุให้แก่อาสาสมัครฯ เฝ้าระวังและป้องกันภัยจากช้างป่า รวมทั้งสิ้นจำนวน 910 คน ซึ่งมีวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อคนอยู่ที่ 200,000 บาท”
ทิพยประกันภัย ห่วงใยและคำนึงถึงความปลอดภัยของอาสาสมัครฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลชุมชนและเฝ้าระวังช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่อนุรักษ์ในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ซึ่งภารกิจสำคัญนี้จะช่วยลดการเผชิญหน้าระหว่างคนกับช้างป่า กรมธรรม์นี้ให้ความคุ้มครองครอบคลุมในกรณีที่อาสาสมัครฯ ประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บ เข้ารับการรักษาพยาบาล หรือรุนแรงถึงขั้นทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะ หรือเสียชีวิต ซึ่งเป็นหลักประกันที่มั่นคงสำหรับอาสาสมัครฯ เหล่านี้ แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลของอาสาสมัครฯ ผู้เสียสละ”

นายวิชัย อัศรัสกร กรรมการบอร์ดบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ให้ความสำคัญกับการผลักดันให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ผ่านโครงการด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง และธนาคารได้สนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยการดูแลช้างและพัฒนาป่าธรรมชาติ รวมทั้งปรับปรุงพื้นที่แนวกันชนระหว่างช้างป่าและชุมชน เพื่อสร้างสมดุลในการอยู่ร่วมกัน ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย ยังได้ร่วมกับ ทิพยประกันภัย มอบประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มให้แก่อาสาสมัครฯ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังช้างป่าในพื้นที่หมู่บ้านคชานุรักษ์และหมู่บ้านเครือข่ายใน 5 จังหวัด และยังจัดกิจกรรม “รวมใจภักดิ์ สร้างโป่งเพื่อช้าง สร้างน้ำเพื่อคน” เพื่อสร้างฝายชะลอน้ำและสร้างโป่งเพื่อเพิ่มแร่ธาตุอาหารที่จำเป็นให้กับช้างป่าและสัตว์ป่า และเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ที่ทรงมีพระราชดำริจัดตั้งมูลนิธิพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขึ้นอีกด้วย”

นอกจากนี้ ทิพยประกันภัยได้จัดกิจกรรมจิตอาสา โดยผู้บริหาร พนักงานจิตอาสา และภาคีเครือข่ายรวมพลังกับชาวบ้านในชุมชนกว่า 300 คน ร่วมกิจกรรมเติมแร่ธาตุในโป่งดินให้เป็นแหล่งอาหารช้างป่าและสัตว์ป่า เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหารให้สัตว์ป่า ส่งผลให้ระบบนิเวศเกิดความสมดุล สามารถเป็นแหล่งศึกษาทางธรรมชาติ รวมถึงการซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ เพื่อเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง กักเก็บน้ำไว้ใช้อุปโภค บริโภค และทำการเกษตรในช่วงหน้าแล้ง และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำอีกด้วย กิจกรรมนี้เป็นการเสริมสร้างจิตสำนึกให้แก่พนักงาน ชุมชน และสังคมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ปกป้องธรรมชาติที่เป็นฐานทรัพยากรทางธรรมชาติที่ทรงคุณค่า ให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน