บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต นำโดย อาสาสมัครพนักงาน ร่วมกับมูลนิธิจูเนียร์อะชีฟเม้นท์ ประเทศไทย หรือ JA Thailand ในฐานะครูพี่เลี้ยง ลงพื้นที่จัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านการเงินในโครงการ JA SparktheDream แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 5 จำนวน 243 คน ณ โรงเรียนชุมชนบึงบา ถนนเลียบคลองสิบ บ้านบึงบาพัฒนา ตำบลบึงบา อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เพื่อส่งต่อความรู้ทางการเงิน ทักษะทางสังคม และทักษะการใช้ชีวิตที่จำเป็นพื้นฐานให้แก่น้องๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการเงินได้อย่างรอบคอบ ตลอดจนสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ตัวเองและครอบครัว
โครงการ JA SparktheDream นำเสนอความรู้ทางการเงินใน 3 บทเรียนหลัก ได้แก่ บทเรียนที่ 1) การหารายได้ การเก็บออม และการใช้จ่าย บทเรียนที่ 2) การวางแผนทางการเงิน บันทึกรายรับ รายจ่าย และบทเรียนที่ 3) แรงบันดาลใจและความมั่นคงทางการเงิน ผ่านการเรียนรู้ในรูปแบบของเกมจำลองสถานการณ์ แบบทดสอบ และกิจกรรมประเภทต่างๆ โดยใช้เนื้อหาที่เข้าใจง่าย และออกแบบให้สามารถปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธี ส่งมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่เครือซีพี โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ หรือ JCC ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 36 หนุนโภชนาการที่ดี สร้างคลังอาหารในโรงเรียน-ชุมชน มุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เยาวชน ปูพื้นฐานอาชีพนำองค์ความรู้ไปใช้ในอนาคต ณ โรงเรียนบ้านนาคำ (โพนสวรรค์) อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งที่ JCC ให้ความสำคัญในการส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีแก่เด็กและเยาวชนไทย ด้วยการสนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โดยโครงการฯ นี้เป็นตัวอย่างของการบูรณาการงานร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน โดยมี มูลนิธิฯ เป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโรงเรียนทั้ง 4 แห่งในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่ได้รับโอกาสนี้ จะดำเนินโครงการด้วยความตั้งใจ บริหารจัดการไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักเรียน และขอขอบคุณ JCC มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ที่เดินหน้าโครงการฯ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักเรียน โรงเรียน และชุมชน
ด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ ในฐานะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท กล่าวว่า มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ก้าวเข้าสู่ปีที่ 36 โดยในปี 2543 มูลนิธิฯผนึกกำลังกับ JCC ร่วมเป็นภาคีเครือข่ายสนับสนุนโครงการฯ จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 24 ปี โดยเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการฯ ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงโภชนาการที่ดี ให้แก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลและชุมชนในถิ่นทุรกันดาร สำหรับปีนี้ JCC สนับสนุนงบประมาณ แก่ 4 โรงเรียนในจังหวัดนครพนม ประกอบด้วย โรงเรียนบ้านนาคำ โรงเรียนบ้านนาเต่า โรงเรียนบ้านค้อ และโรงเรียนพระซองวิทยาคาร
ส่วน นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ผู้แทนรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ร่วมสนับสนุนมูลนิธิ ทั้งงบประมาณและบุคลากร อย่างเต็มกำลัง ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปติดตาม ดูแล ให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงไก่ไข่ และการจัดการผลผลิตไข่ไก่สด แก่ครูและนักเรียนในโรงเรียนที่ร่วมโครงการฯอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถบริหารโครงการได้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมสุขภาพของเด็กเยาวชนไทย ที่เป็นอนาคตของประเทศ จากการบริโภคไข่ไก่อาหารโปรตีนคุณภาพดีอย่างเพียงพอ อิ่มท้อง สมองแจ่มใส และหวังว่าโรงเรียนจะสามารถดำเนินการบริหารจัดการสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน เป็นแบบอย่างให้แก่โรงเรียนอื่นๆ ต่อไป
ทางด้าน นายโคโซ โท รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ กล่าวว่า JCC ตระหนักถึงความสำคัญของโภชนาการในเด็กวัยเรียน และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้สนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งผ่านความช่วยเหลือและส่งเสริมในด้านอาหารและโภชนาการแก่เยาวชนไทยในพื้นที่ห่างไกล ด้วยการสนับสนุนงบประมาณสำหรับก่อสร้างโรงเรือน การติดตั้งอุปกรณ์การเลี้ยง พันธุ์ไก่ไข่ อาหารสัตว์ และเวชภัณฑ์ในการเลี้ยงไก่ไข่รุ่นแรก ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียน ครู ชุมชน และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้าถึงแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดี ตลอดระยะเวลา 24 ปีที่ผ่านมา มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ภายใต้ความร่วมมือของ JCC รวม 146 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยนำรายได้จากการเลี้ยงไก่ไข่รุ่นที่ 1 มาเป็นกองทุนบริหารจัดการในรุ่นต่อไป ส่งผลให้สามารถขยายผลสู่กิจกรรมอื่นๆ ที่ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับโรงเรียนได้อย่างแท้จริง
‘
ปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน 959 โรงเรียนทั่วประเทศ มีนักเรียนกว่า 180,000 คน คุณครูและบุคลากรทางการศึกษากว่า 1,300 คน ตลอดจนชุมชน ได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ การจัดการบริหารฟาร์มขนาดเล็ก และประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญด้านการจัดการอาชีพเกษตรเชิงธุรกิจให้กับครู นักเรียน ได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายให้แก่ชุมชน ทำให้ชาวชุมชนได้บริโภคไข่ไก่สดในราคาที่เหมาะสม สร้างรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผล เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นฐานรากของ “ความมั่นคงทางอาหาร”
เคทีซีสนับสนุนสมาชิกเลือกเดินทางด้วยรถสาธารณะ เพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองและความแออัดของการคมนาคมขนส่งระหว่างเมือง จับมือ “BEM” และ “MRTA” มอบโค้ด e - Coupon ส่วนลด 50 บาท เมื่อสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีเติมเงินบัตรโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วงทุกประเภท 400 บาทขึ้นไป และใช้คะแนน KTC FOREVER 499 คะแนนแลกรับ ตลอดทั้งปี 2567
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยนางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต กล่าวว่า “เคทีซีสนับสนุนให้สมาชิกเล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้รถโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า รวมถึงลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในบางโอกาส เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง ความแออัดของการคมนาคมขนส่งระหว่างเมือง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงได้จับมือกับ “BEM” (Bangkok Expressway and Metro) หรือบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคลหรือรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และ “MRTA” (Mass Rapid Transit Authority of Thailand) หรือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรมหรือรถไฟฟ้าสายสีม่วง มอบโค้ด e - Coupon ส่วนลด 50 บาท สำหรับบริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เส้นทางสถานีหัวลำโพงถึงบางซื่อ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายสถานีหัวลำโพงถึงหลักสอง และสถานีบางซื่อถึงสถานีท่าพระ รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีม่วง เส้นทางสถานีเตาปูนถึงคลองบางไผ่ เพียงสมาชิกเติมเงินบัตรโดยสารรถไฟฟ้าทุกประเภทด้วยบัตรเครดิตเคทีซี 400 บาทขึ้นไป และใช้คะแนน KTC FOREVER 499 คะแนนแลกรับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 โดยสมาชิกรับสิทธิ์ได้ทันทีผ่านแอป KTC Mobile และทำรายการแลก e - Coupon ต่อหน้าพนักงานเท่านั้น
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ”
บริษัท แอล พี ซี วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (LPC) ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เดินหน้าพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา ให้กับพนักงานและบุตรอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 13 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2554-2566 รวมทั้งสิ้นกว่า 5,000 ทุน คิดเป็นมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสร้างความเท่าเทียมในเรื่องการศึกษาและพัฒนาทักษะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสตรีด้อยโอกาส ซึ่งในปี 2566 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 13 โดยมี นางสาวสุรัสวดี ซื่อวาจา กรรมการผู้จัดการ เป็นผู้มอบทุนการศึกษาแก่บุตรพนักงาน กว่า 700 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1.7 ล้านบาท แบ่งเป็น ทุนการศึกษาประจำปี จำนวน 630 ทุน รวมกว่า 2.5 ล้านบาท และทุนการศึกษา “บุตรเรียนดี” จำนวน 84 ทุน รวม 575,000 บาท
ทั้งนี้ เงินทุนการศึกษาดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนและการใช้บริการ ‘แม่บ้านลุมพินี’ และ ‘แจ๋วลุมพินี-บริการทำความสะอาดห้องชุด’ ของลูกค้าโครงการหมู่บ้านและคอนโดมิเนียมของ LPN และโครงการต่างๆ กว่า 270 แห่ง ทำให้บริษัทฯ สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิต และครอบครัวของพนักงานให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการมอบทุนการศึกษา เป็นหนึ่งในนโยบายที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพนักงานภายใต้กิจกรรม ‘แม่ดี ลูกเก่ง’ เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน รวมถึงตอบแทนความทุ่มเทของพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ทุ่มเทใส่ใจ ในบทบาทที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมชื่นชมยินดีกับโอกาสทางการศึกษาของบุตรพนักงานทุกคนให้มีความเท่าเทียมกันในเรื่องการศึกษาที่ถือว่าเป็นพื้นฐานของการมีสังคมที่ดีต่อไปในอนาคต
ขอบคุณทุกภาคส่วน ที่มีส่วนร่วมผลักดันคุณภาพชีวิตของสตรีด้อยโอกาสอย่างยั่งยืน ร่วมกับ แอล พี ซี วิสาหกิจเพื่อสังคม
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) จัดกิจกรรม “เก็บ...เซฟ...โลก ลดขยะ พิทักษ์ป่าชายเลน” ภายใต้โครงการ ดาวและภาคีป่าชายเลนประเทศไทย หรือ Dow & Thailand Mangrove Alliance ผนึกกำลังภาครัฐ พนักงาน และประชาชนจิตอาสา ในการอนุรักษ์ป่าชายเลนจังหวัดระยองอย่างมีส่วนร่วม ช่วยลดปริมาณขยะตกค้างกว่า 2,750 กิโลกรัม สร้างสมดุลให้กับระบบนิเวศป่าชายเลนและความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อแก้วิกฤตโลกร้อนและลดปัญหาขยะทะเลอย่างยั่งยืน
กิจกรรม “เก็บ...เซฟ...โลก กำจัดขยะ พิทักษ์ป่าชายเลน” จัดขึ้นเป็นปีแรก และมีผู้สนใจเข้าร่วมมากกว่า 360 คน ตลอดเดือนสิงหาคม - พฤศจิกายน 2566 รวม 5 ครั้ง โดยจิตอาสาสามารถป้องกันขยะหลุดรอดสู่สิ่งแวดล้อม ณ ป่าชายเลนปากน้ำประแส อำเภอแกลง และป่าชายเลนบริเวณกลุ่มประมงเก้ายอด หาดแหลมเจริญ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ได้กว่า 2,750 กิโลกรัม โดยขยะที่เก็บได้โดยเฉพาะพลาสติกและวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์ได้จะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลหรืออัปไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าและรายได้ให้กับชุมชน และขยะที่เหลือจะถูกนำไปกำจัดตามกระบวนการอย่างเหมาะสมต่อไป
นายเดชา พาณิชยพิเชฐ ผู้อำนวยการโรงงาน กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “Dow มีการปลูกป่าชายเลนทุก ๆ ปีอย่างต่อเนื่องมากว่า 15 ปี เพราะป่าชายเลนสามารถดูดซับคาร์บอนได้มากกว่าป่าบกหลายเท่า และยังเป็นปราการในการดักกรองขยะพลาสติกไม่ให้รั่วไหลลงสู่ทะเล”
“เมื่อเวลาผ่านไป ป่าชายเลนจะมีขยะสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก เราจึงจัดกิจกรรมเก็บขยะที่ตกค้างในป่าชายเลนอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับทั้งพนักงาน ลูกค้า และพาร์ทเนอร์ของ Dow น้อง ๆ นักเรียน และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งนอกจากจะช่วยฟื้นฟูป่าชายเลนให้มีความอุดมสมบูรณ์ และช่วยลดปริมาณขยะในธรรมชาติ ยังช่วยสร้างทัศนียภาพที่สวยงามซึ่งจะนำรายได้จากการท่องเที่ยวมาสู่ชุมชนต่อไป ตอบโจทย์เป้าหมายประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง” นายเดชาสรุป
นับตั้งแต่ พ.ศ. 2552 จวบจนปัจจุบัน พนักงานดาวอาสา ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร และประชาชนในจังหวัดระยองได้ร่วมกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวตามแนวชายฝั่งด้วยการปลูกและดูแลป่าชายเลนอย่างต่อเนื่องมาตลอด 15 ปี เพื่อเป็นการตอกย้ำพันธสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคมที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และยังมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการต้านโลกร้อนอย่างต่อเนื่องตามเป้าการทำงานด้านความยั่งยืนขององค์กร
ในวาระครบรอบ 43 ปี โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ยังคงเดินหน้าส่งเสริมกิจกรรมสาธารณกุศลและส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับสาธารณชน จึงได้จัดโครงการ Bumrungrad Run for Health 2023” Presented by Bumrungrad Hospital Foundation ในวันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2566 ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (จตุจักร) มี 2 ระยะวิ่งได้แก่ 2.5 และ 5 กิโลเมตร โดยมุ่งหวังการสร้างพลังแห่งความสามัคคีของ “ครอบครัวบำรุงราษฎร์” ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยและครอบครัว บุคลากร รวมถึงพันธมิตรและประชาชนทุกคน เพื่อสร้างชุมชนแห่งความสร้างสรรค์และสุขภาวะที่มีคุณภาพ ตลอดจนยังได้ร่วมทำบุญและสนับสนุนกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ต่างๆ ของมูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อีกด้วย
โดยบรรยากาศภายในงานวิ่งเต็มไปด้วยความอบอุ่น และได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากเหล่ารันเนอร์ และอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) สายสุขภาพ โดยเฉพาะบุคลากรจาก “บำรุงราษฎร์” ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล ทีมผู้บริหารและพนักงาน ที่ผนึกกำลังความสามัคคี ตบเท้าเข้าร่วมงานวิ่งกันอย่างคับคั่ง ซึ่งช่วงปล่อยตัวนักวิ่งระยะ 5 กิโลเมตร เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ภายในงาน ที่ทีมแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์กว่า 100 ชีวิต ร่วมกับนักแสดงมากฝีมืออย่าง “โอ อนุชิต สพันธุ์พงษ์” นำทัพนักวิ่ง ออกจากจุด Start อันเป็นเครื่องหมายบอกว่า การสานต่อกิจกรรมสาธารณกุศลของมูลนิธิฯ ด้วยพลังของแพทย์และบุคลากรบำรุงราษฎร์ ได้เริ่มต้นศักราชใหม่อีกครั้ง เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะ กรรมการและเลขานุการมูลนิธิฯ กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 43 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้มอบการบริบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติด้วยความทุ่มเทและมุ่งมั่นที่จะเป็นจุดหมายแห่งการดูแลสุขภาพและสุขภาวะที่น่าเชื่อถือที่สุด และยึดถือธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จึงได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2533 ด้วยปณิธานของ “คุณชัย โสภณพนิช” ซึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “ธุรกิจไม่จำเป็นต้องมุ่งหวังแต่เพียงกำไรเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องเอื้อประโยชน์และช่วยเหลือสังคมด้วย” ด้วยคำกล่าวนี้ พวกเราในนามของครอบครัวบำรุงราษฎร์ จึงเดินหน้าจัดกิจกรรมสาธารณกุศลมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น “หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ อาสาบำรุงราษฎร์ ที่ได้ช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูสังคม มาแล้วถึง 42 ชุมชน เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้เข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ และยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนไปกว่า 400,000 คน
อีกหนึ่งโครงการที่ยังคงดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน เป็นโครงการผ่าตัดเด็กผู้ด้อยโอกาสที่มีภาวะหัวใจพิการแต่กำเนิด ภายใต้ชื่อโครงการ “รักษ์ใจไทย” ริเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 โดยความร่วมมือระหว่างมูลนิธิเด็กโรคหัวใจ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งได้ช่วยเหลือผ่าตัด คืนหัวใจที่แข็งแรงให้แก่น้องๆ เหล่านี้ไปแล้วถึง 827 คน ผ่านงบประมาณกว่า 370 ล้านบาท
ตลอดจนโครงการส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ ที่ริเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2565 เพื่อส่งเสริมและรักษาอาการอาการของพระสงฆ์ในประเทศไทย โดยได้ทำการรักษาไปแล้ว 24 รูป ผ่านงบประมาณกว่า 9.5 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีกองทุนการศึกษาแพทย์ เพื่อสนับสนุนแพทย์ให้ได้รับการศึกษา ต่อยอดองค์ความรู้ในด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนกิจกรรมฟื้นฟู และพัฒนาชุมชน รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ที่ทางมูลนิธิฯ ยังคงสานต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ส่งมอบบ้านให้คนพิการ เติมเต็มคุณภาพชีวิต สร้างสังคม “อยู่ดี มีสุข”
บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำของประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท เบเยอร์ จำกัด ผู้นำสีนวัตกรรมรักษ์โลก รักคุณ พลิกโฉม “ปัญญาคาเฟ่” ร้านกาแฟบนถนนเพชรบุรี ซอย 12 ที่ดำเนินงานโดยผู้พิการทางปัญญา ให้กลายเป็นร้านกาแฟสุดฮิปใจกลางเมือง เปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านี้ได้แสดงความสามารถและพรสวรรค์ของตนเอง พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วไป
“ปัญญาคาเฟ่” ดำเนินการโดยมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นมากกว่าร้านกาแฟทั่วไป แต่เป็นสถานที่สำหรับบุคคลที่มีความพิการทางปัญญาในการฝึกฝนทักษะวิชาชีพและการปรับตัวเข้ากับสังคม มีบาริสต้าและพนักงานเสิร์ฟที่มีความพิการทางปัญญาจะคอยให้บริการลูกค้าด้วยความอบอุ่นและทุ่มเท แต่น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ ยังไม่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างที่ควร แม้ว่าร้านกาแฟแห่งนี้จะตั้งอยู่ใจกลางเมืองและห่างจากสถานีรถไฟฟ้าราชเทวี เพียง 200 เมตรเท่านั้น
โมเดอร์นฟอร์มและเบเยอร์ เห็นถึงศักยภาพของ “ปัญญาคาเฟ่” พร้อมขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่นในเรื่องความหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่างของบุคคล (DEI) ได้ร่วมมือกันปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงคาเฟ่แห่งนี้ โดยโมเดอร์นฟอร์มเป็นผู้ออกแบบตกแต่งและดูแลเรื่องเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงป้ายสัญลักษณ์ทั้งหมด เพื่อสร้างบรรยากาศทั้งภายในและภายนอกให้ดูสะดุดตา น่าสนใจและดึงดูดผู้ที่ผ่านไปมา ส่วนเบเยอร์ดูแลในเรื่องสีทั้งหมดทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเลือกใช้สีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมสร้างให้คาเฟ่แห่งนี้ให้โดดเด่นและรักษ์โลกในที่เดียวกัน
สายสม วงศาสุลักษณ์ ประธานมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมป์ กล่าวว่า “ร้านปัญญาคาเฟ่ เปิดเมื่อปี 2561 เป็นสถานที่ที่ให้โอกาสและความหมายใหม่ในการใช้ชีวิตแก่เด็กที่พิการทางปัญญา โดยการฝึกอาชีพและจ้างงานน้อง ๆ โดยมีมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมป์ เป็นผู้รับผิดชอบสำคัญในการดำเนินการร้านปัญญาคาเฟ่ จึงตั้งใจที่จะทำให้เป็นสถานที่ฝึกอาชีพ สร้างโอกาสให้กับน้อง ๆ ได้ฝึกทักษะและทำงานอย่างมีความสุข รวมถึงช่วยให้น้องมีรายได้จากการทำงาน
“ขอขอบคุณโมเดอร์นฟอร์มและเบเยอร์ที่ให้ความสำคัญกับเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญา และร่วมปรับปรุงร้านปัญญาคาเฟ่ในครั้งนี้ เชื่อว่าการปรับปรุงร้านในครั้งนี้ จะช่วยให้ร้านแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่มีชีวิตชีวาและน่าดึงดูดยิ่งขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ จะช่วยสร้างโอกาสและแรงบันดาลใจให้กับเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญา” เพราะเราเชื่อว่า “ผู้พิการทางปัญญาพัฒนาได้ ถ้าใส่ใจและให้โอกาส"
กิติพัฒก์ เนื่องจำนงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัญญาคาเฟ่ มีความสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของโมเดอร์นฟอร์มที่ให้ความสำคัญในเรื่องความหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่างของบุคคล (DEI) รวมถึงได้เห็นถึงศักยภาพของ “ปัญญาคาเฟ่” ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางปัญญาได้มีโอกาสเรียนรู้ และได้แสดงศักยภาพในแบบที่เป็นตัวเอง
พร้อมทั้งต่อยอดแนวความคิด ‘เปลี่ยนทุกสเปซให้ Make Sense’ จึงได้ออกแบบ ตกแต่งพื้นที่ ปรับเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ และเลย์เอ้าท์ให้ตอบโจทย์รูปแบบการใช้งาน รองรับจำนวนลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับมูลนิธิ พร้อมทั้งยังรักษาบรรยากาศความอบอุ่นและเป็นมิตรของร้านกาแฟ ด้วยการเลือกใช้โทนสีละมุนตา เพื่อให้ดึงดูดเด็กรุ่นใหม่ให้มาใช้บริการ นอกจากจะได้ความสดชื่น อร่อยของเครื่องดื่มและขนมแล้ว ยังได้มีโอกาสช่วยเหลือน้อง ๆ ไปพร้อม ๆ กัน นอกจากนี้เรายังตั้งใจให้พื้นที่แห่งนี้ เป็นพื้นที่จุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการใช้ชีวิต ตามแบรนด์ไอเดียที่ว่า ‘ทุกแรงบันดาลใจ เป็นจริงได้ในแบบคุณ’
“โมเดอร์นฟอร์มรู้สึกดีใจที่ได้ร่วมมือกับเบเยอร์ และปัญญาคาเฟ่ พลิกโฉมคาเฟ่แห่งนี้ให้กลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คใหม่ใจกลางเมือง” กิติพัฒก์กล่าวเสริม "เราเชื่อว่าทุกคนสมควรได้รับโอกาสและเราดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือน้อง ๆ ที่ปัญญาคาเฟ่ ให้เข้าถึงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่"
ดร. วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ กล่าว “เบเยอร์ ผู้นำด้านโซลูชันการทาสีที่เป็นนวัตกรรม มุ่งมั่นสร้างความสุขในสังคม ด้วยโครงการ "Beger Be Happy สีเบเยอร์สีแห่งความสุข" ซึ่งเป็นโครงการซีเอสอาร์แบบยั่งยืน ที่มุ่งสนับสนุนและสร้างสรรค์จุดเริ่มต้นในการร่วมมือกันแสดงพลังแห่งความดีช่วยเหลือสิ่งที่เป็นประโยชน์ ด้วยการมอบผลิตภัณฑ์สีชนิดต่าง ๆ ให้แก่สถาบันการศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ
การปรับปรุงพื้นที่ “ปัญญาคาเฟ่” เป็นการสานต่อปณิธานและแนวคิด Eco-Wellness Innovation สีนวัตกรรม รักษ์โลก รักคุณ ร่วมขับเคลื่อนสู่ธุรกิจสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ด้วยการใช้สีเบเยอร์คูล ไดมอนด์ชิลด์ 15 ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับฉลากลดโลกร้อน รายแรกและรายเดียวในในธุรกิจสีในประเทศไทย เป็นนวัตกรรมสีบ้านเย็น โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีเซรามิก คูลลิ่ง หนึ่งเดียวในไทย ที่มีคุณสมบัติช่วยสะท้อนความร้อน ลดอุณหภูมิห้อง ลดใช้พลังงานไฟฟ้า ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังมีเทคโนโลยีพันธะเพชร ช่วยเพิ่มพลังการยึดเกาะ ทำให้บ้านสีสวยสด ทนต่อทุกสภาวะ โดยมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิต สิ่งแวดล้อมที่ดี และยืนหยัดร่วมแก้ปัญหาวิกฤตโลกร้อนไปด้วยกันพร้อมกับคนไทยทุกคน
"เราเชื่อว่าสภาพแวดล้อมที่สวยงามและน่าสนใจสามารถสร้างความสะดุดตาให้กับผู้ที่ผ่านไปมาได้ และมั่นใจว่าปัญญาคาเฟ่แห่งใหม่จะเป็นสถานที่ที่น้อง ๆ ที่พิการทางปัญญาจะทำงานได้อย่างมีความสุข"
ความร่วมมือระหว่างโมเดอร์นฟอร์มและเบเยอร์ในการเปลี่ยนโฉม “ปัญญาคาเฟ่” เป็นความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและสนับสนุนบุคคลที่มีความพิการทางปัญญา และตั้งใจว่าร้านกาแฟที่ปรับปรุงใหม่จะกลายเป็นพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจ สนับสนุนให้สังคมยอมรับความหลากหลายและตระหนักถึงศักยภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล
เชิญมาจิบกาแฟและรับประทานของว่างที่บริการโดยน้องผู้พิการทางปัญญา ที่ “ปัญญาคาเฟ่” โฉมใหม่ ปากซอยเพชรบุรี ซอย 12 ได้ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.00-17.00 น. น. ลงรถไฟฟ้า สถานีราชเทวี เดินประมาณ 200 เมตร
บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต โดยนายสหพล พลปัถพี (ขวา)ประธานเจ้าหน้าที่สายงานช่องทางตัวแทน เป็นผู้แทนบริษัท ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดยนางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านตรวจสอบ (กลาง) มอบเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา จำนวน 29 เครื่อง ในกิจกรรม “รวมพลังภาคประกันภัย รวมใจเพื่อการศึกษา” ให้กับโรงเรียนในพระอุปถัมภ์ของวัดทองธรรมชาติ วรวิหาร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร จำนวน 2 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดทองธรรมชาติ และโรงเรียนวัดทองธรรมชาติ เพื่อสนับสนุนการศึกษาและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านการใช้เทคโนโลยี โดยมี นางสาวจินตนาพร สุวรรณพงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดทองธรรมชาติ (ซ้าย) เป็นผู้รับมอบ โดยในงานนี้มีหน่วยงานภาคประกันภัย รวมใจกันนำอุปกรณ์การศึกษามาร่วมมอบกว่า 380 รายการ
โดยตลอดปี 2566 FWD ประกันชีวิต ได้มอบเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอที ให้กับหน่วยงานและโรงเรียนต่างๆ อาทิ สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล โรงเรียนบ้านพรมใต้พิทยาคาร โรงเรียนบ้านโนนงาม โรงเรียนบ้านหว้าทอง โรงเรียนบ้านโนนสลวย โรงเรียนบ้านแข้ (เจริญราษฎร์วิทยา) โรงเรียนชุมชนบ้านหนองเซียงซา รวมทั้งสิ้นกว่า 2,460 รายการ
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เดินหน้าสนับสนุนอาหารส่วนเกินที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีโภชนาการที่ดี รสชาติอร่อย จากศูนย์กระจายสินค้า มอบผ่านมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ หรือ SOS นำไปปรุงอาหารให้แก่ชุมชน ผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเปราะบาง ทั่วกรุงเทพฯ ส่งเสริมการเข้าถึงอาหารในทุกสถานการณ์ ผ่านโครงการ “Circular Meal…มื้อนี้เปลี่ยนโลก” รับรางวัล SOS Awards 2023 ประเภท “OUTSTANDING FOOD RESCUE AWARD - BIG MANUFACTURING GROUP” จาก SOS เป็นปีที่ 2 ตอกย้ำความมุ่งมั่นร่วมผนึกภาคีเครือข่ายปฏิวัติระบบอาหารประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ในงานสัมมนา “Zero Summit 2023 SOS RE- DEFINING FOOD SYSTEM - สู่นิยามใหม่ของระบบอาหาร”
นายทวิช ทัฬหะกาญจนากุล ผู้อำนวยการโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้า บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟและซีพีเอฟจีเอส ในฐานะผู้สนับสนุนการจัดงานและเป็นหนึ่งในภาคีเครือข่ายที่ได้ร่วมงานกับ SOS มาอย่างต่อเนื่อง และได้เห็นความก้าวหน้าของ SOS และภาคี ในการร่วมผลักดันการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการอาหารส่วนเกิน โดยตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯได้ส่งมอบอาหารกว่า 174,400 มื้อ สามารถช่วยเหลือกลุ่มคนเปราะบางตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ กว่า 55,000 คน มากกว่า 70 ชุมชน และลดการเกิดขยะอาหารในกระบวนการจัดการได้กว่า 41 ตัน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 103 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 10,800 ต้น (อ้างอิงจาก CDM ภาคป่าไม้ โดย อบก. และ ม.เกษตรศาสตร์ 2554)
จากความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ และ SOS ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ข้อที่ 12 โดยขยายการสนับสนุนอาหารจากศูนย์กระจายสินค้าซีพีเอฟจีเอส บางน้ำเปรี้ยวและมหาชัย รวมถึงต่อยอดกิจกรรมไปในพื้นที่อื่นๆ อาทิ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อส่งมอบอาหารมื้อที่ดีที่สุด ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดให้แก่ผู้ที่ขาดแคลน ดังเช่นในวันอาหารโลก (World Food Day) เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซีพีเอฟและซีพีเอฟจีเอส ผนึกกำลังกับ SOS และ GEPP มอบอาหารให้บุคลากรที่ช่วยพิทักษ์ปกป้องแหล่งน้ำสำคัญของประเทศ สอดรับกับธีมสากล Water is life water is Food ซึ่งตลอดการดำเนินโครงการ Circular Meal มื้อนี้เปลี่ยนโลก บริษัทฯเก็บกลับบรรจุภัณฑ์หลังจากการส่งมอบอาหารแล้วมากกว่า 20,000 ชิ้น สู่การจัดการที่เหมาะสมต่อไป
“ความร่วมมือนี้ยังคงพัฒนาและเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนให้แก่โลก ตามแนวทาง Waste to Value สร้างคุณค่าปราศจากขยะ เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย Zero Food waste to Land fill ภายในปี 2030” นายทวิช กล่าว
สำหรับงานสัมมนา “Zero Summit 2023 SOS RE- DEFINING FOOD SYSTEM - สู่นิยามใหม่ของระบบอาหาร” เพื่อร่วมผนึกกำลังปฏิวัติระบบอาหารประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ซึ่งซีพีเอฟและซีพีเอฟจีเอส เป็นหนึ่งใน 700 พันธมิตร ที่ร่วมสนับสนุน SOS ส่งมอบอาหารส่วนเกินมาโดยตลอด