December 15, 2025

นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นำคณะผู้บริหารและพนักงานลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อให้กำลังใจและติดตามสถานการณ์ของผู้ประกอบธุรกิจส่งออก พนักงาน และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยร่วมมอบอาหารแห้ง อาหารพร้อมรับประทาน เครื่องอุปโภคบริโภค และของใช้จำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568

ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ขาดแคลนอาหารสดและของใช้จำเป็น EXIM BANK ได้เร่งดำเนินการจัดส่งอาหารสดและวัตถุดิบจำเป็นแบบวันต่อวันเข้าสู่พื้นที่ พร้อมทั้งสนับสนุนรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชนอารีย์ ผ่านการจัดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้ค้าในกรุงเทพฯ และประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม ตามหลักความรับผิดชอบต่อสังคม

คณะผู้บริหารยังได้ตรวจเยี่ยม EXIM BANK สาขาหาดใหญ่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยพูดคุยกับพนักงานเพื่อรับฟังปัญหาและมอบแนวทางช่วยเหลือแก่พนักงานและครอบครัว เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานและการดูแลผู้ประกอบการในพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง

นายชลัช กล่าวว่า EXIM BANK ไม่เพียงดูแลประชาชนในยามวิกฤต แต่ยังยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการส่งออก โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเป็นพลังสำคัญของเศรษฐกิจไทย เรามุ่งมั่นลงพื้นที่จริง เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการฟื้นตัวและเดินหน้าธุรกิจได้โดยเร็วที่สุด

ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ EXIM BANK ได้ดำเนินมาตรการพักชำระหนี้ เยียวยา และฟื้นฟูสำหรับผู้ประกอบการในห่วงโซ่การส่งออกที่ได้รับผลกระทบ ทั้งด้านการซ่อมแซมสถานประกอบการ โรงงาน เครื่องจักร รวมถึงการเสริมสภาพคล่อง เพื่อให้ธุรกิจกลับมาดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถขอรับคำปรึกษาหรือเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999 หรือ EXIM Bank of Thailand Facebook

Salesforce (NYSE: CRM) ผู้นำระดับโลกด้านระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อันดับหนึ่งของโลก ประกาศความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย เพื่อฝึกอบรมนักศึกษาและคณาจารย์ให้มีทักษะที่จำเป็นด้าน CRM และ AI โดยหลักสูตรการฝึกอบรมนี้ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะและจะเปิดให้บริการผ่านแพลตฟอร์มเรียนรู้ออนไลน์ฟรีของ Salesforce ที่ชื่อว่า Trailhead

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะบรรจุหลักสูตร Salesforce Administrator และ Agentblazer ลงในหลักสูตรของนักศึกษาจากวิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี คณะบริหารธุรกิจ คณะวิทยาศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ ตลอดระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า

เตรียมบุคลากรไทยสู่ความสำเร็จในยุค Agentic AI ด้วยรัฐบาลไทยเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ AI ภายใต้ “แผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติ” ความต้องการบุคลากรที่ชำนาญด้านการใช้ AI เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาช่องว่างของการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI กว่า 80,000 ตำแหน่ง ยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรมให้เติบโตในวงกว้าง เพื่อลดช่องว่างนี้ การร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษา และผู้กำหนดนโยบายจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างบุคลากรไทยให้มีทักษะดิจิทัลที่จำเป็น Salesforce มุ่งมั่นสนับสนุนการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะใหม่ในประเทศไทย ผ่านความร่วมมือต่าง ๆ เช่น โครงการที่ทำร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โปรแกรมการฝึกอบรมที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ มช. จะประกอบด้วยการสอบใบรับรอง Salesforce Administrator เพื่อให้นักศึกษาได้สร้างความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการและปรับแต่งแพลตฟอร์ม Salesforce นอกจากนี้ นักศึกษายังได้เรียนรู้โมดูล Agentblazer ซึ่งครอบคลุมแนวคิดพื้นฐานของ Agentic AI พร้อมประสบการณ์ปฏิบัติจริงในการสร้าง Agent ด้วย Agentforce

ความร่วมมือนี้จะมอบโอกาสให้นักศึกษาได้เข้าถึงแหล่งทรัพยากรด้านอาชีพ การให้คำปรึกษา และโอกาสฝึกงานกับ Salesforce และพันธมิตรในระบบนิเวศของ Salesforce

 

ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า “ด้วยความก้าวหน้าของ AI การที่บุคลากรในอนาคตได้สัมผัสเทคโนโลยีและมีประสบการณ์จริงถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง การร่วมมือกับ Salesforce เพื่อนำทักษะสำคัญเหล่านี้มาบรรจุในหลักสูตรนักศึกษาของเรา ทำให้เรามั่นใจว่านักศึกษาของเราจะมีข้อได้เปรียบในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูงในอนาคต”

สร้างประสบการณ์การศึกษาแบบองค์รวม เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

นอกจากการบรรจุเนื้อหาการฝึกอบรมลงในหลักสูตรนักศึกษาแล้ว Salesforce จะจัดการอบรมแบบ Train-The-Trainer สำหรับคณาจารย์มหาวิทยาลัย เพื่อเสริมสร้างความเชี่ยวชาญด้าน Agentic AI และเทคโนโลยี Salesforce ให้ครอบคลุมและสามารถถ่ายทอดความรู้ต่อให้ลูกศิษย์ได้

ในอนาคต บริษัทมีแผนร่วมมือกับ มช. ในการเพิ่มโมดูล Developer และ Marketing ขั้นสูงเข้าไปในหลักสูตร เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้เทคโนโลยีลึกขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับงานที่ซับซ้อนมากขึ้น ด้วยการสร้างโปรแกรมฝึกอบรมแบบครบวงจร Salesforce ตั้งเป้าช่วยปูทางให้นักศึกษาทั้งรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไปของ มช. สู่การทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หรือศึกษาต่อในสาขาที่เกี่ยวข้องได้อย่างมั่นคง

เซ็ง ผิง หวง หัวหน้ากลุ่มธุรกิจภาครัฐ ประจำภูมิภาคอาเซียนของเซลส์ฟอร์ซ กล่าวว่า “ที่ Salesforce เรามุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการพัฒนาบุคลากรของภูมิภาคทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่โลกการทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงรากฐานในยุค AI เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาที่มีวิสัยทัศน์อย่าง มช. เพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะทางดิจิทัลให้กับประเทศ และช่วยขับเคลื่อนอนาคต Agentic AI ของประเทศไทยให้เกิดขึ้นจริง”

ไมโครซอฟท์ ตอกย้ำพันธสัญญาสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์และ AI ด้วยการประกาศแผนงานภายใต้แนวคิด “สร้างอนาคตประเทศไทยด้วย AI” เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยแผนงานดังกล่าวนี้ นับเป็นการสานต่อความร่วมมือระหว่างไมโครซอฟท์และรัฐบาลไทย

ในโอกาสที่คณะผู้บริหารจากไมโครซอฟท์ นำโดย มร. โรดริโก เคเด ลิมา ประธาน ไมโครซอฟท์ เอเชีย ได้เข้าพบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในการร่วมหารือและรับทราบถึงความคืบหน้าล่าสุดภายใต้ความร่วมมือกับไมโครซอฟท์

การประกาศแผนงานครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ในการสนับสนุนเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมตอกย้ำความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมที่สร้างประโยชน์ให้กับคนไทยทั่วประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ความร่วมมือนี้ ไมโครซอฟท์จะพัฒนา Cloud Region ในประเทศ ส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัลและ AI และยกระดับศักยภาพด้านนวัตกรรมของภาคธุรกิจและชุมชนนักพัฒนาในไทย รวมถึงการร่วมก่อตั้งศูนย์นวัตกรรม AI แห่งชาติ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ให้บรรลุผลสำเร็จต่อไป

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของประเทศไทยในเวทีนวัตกรรมดิจิทัลและ AI และสอดคล้องกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลในการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ ที่จะช่วยสร้างเส้นทางสู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ผ่านการเรียนรู้ด้านดิจิทัลและ AI สำหรับประชาชนทุกคน”

 “ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล โดยมี AI เข้ามาช่วยพลิกโฉมทั้งแนวทางการสร้างนวัตกรรม การแข่งขัน และการสร้างโอกาส” มร. โรดริโก เคเด ลิมา ประธาน ไมโครซอฟท์ เอเชีย กล่าว “แนวคิด ‘สร้างอนาคตประเทศไทยด้วย AI’ ซึ่งเป็นความตั้งใจสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของเราต่อศักยภาพของประเทศไทย และความมุ่งมั่นที่จะสรรสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน เราภูมิใจที่ได้ให้การสนับสนุนกับองค์กรไทยและคนไทย ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะ และความร่วมมือเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตในยุคดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับทุกคน”

ภายใต้พันธสัญญาครั้งสำคัญนี้ ไมโครซอฟท์กำลังเร่งพัฒนา Cloud Region ในประเทศไทย เพื่อให้บริการคลาวด์และ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงแก่ลูกค้าทั่วประเทศ โดยร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำของไทยและพาร์ทเนอร์ระดับโลก อาทิ กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ร่วมกับ แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) และ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) พร้อมด้วย ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ (ทรู ไอดีซี)

ทั้งนี้ Cloud Region ใหม่ของไมโครซอฟท์แห่งใหม่ในประเทศไทย ผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระดับโลกเข้ากับจุดแข็งทางเศรษฐกิจของไทยและระบบนิเวศดิจิทัลที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจและนักพัฒนาไทยสามารถสร้าง พัฒนา และขยายโซลูชัน AI ได้ภายในประเทศ โดยมั่นใจได้ในมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ทั้งยังสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (data residency) อย่างครบถ้วน การพัฒนา Cloud Region ในไทย ถือเป็นการสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคด้าน AI และนวัตกรรมดิจิทัล ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ในทุกระดับ

 

เสริมศักยภาพองค์กรไทยในการสร้างนวัตกรรมด้วย AI

เพื่อช่วยให้องค์กรทั่วไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่ ไมโครซอฟท์ได้ขยายความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำที่จะเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Cloud Region ใหม่แห่งนี้เป็นกลุ่มแรก ด้วยข้อได้เปรียบทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามกฎหมายและกรอบข้อบังคับต่าง ๆ ในประเทศไทยโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรเหล่านี้สามารถวางรากฐานสำหรับนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมรองรับผู้ใช้ในวงกว้าง และเสริมศักยภาพทั้งในด้านกระบวนการทำงาน ประสบการณ์ของลูกค้า และการสร้างคุณค่าใหม่ ๆ ในภาคธุรกิจ ผ่านแพลตฟอร์มคลาวด์ที่เชื่อถือได้จากไมโครซอฟท์

· การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เดินหน้าวิสัยทัศน์ทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลโดยใช้เทคโนโลยีคลาวด์ และ AI ที่เชื่อถือได้จากไมโครซอฟท์ เพื่อยกระดับการดำเนินงานและพัฒนาบริการรูปแบบใหม่ ผ่านหน่วยธุรกิจดิจิทัลของกฟผ. สร้างแพลตฟอร์มที่ใช้ข้อมูลและ AI มาปรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และเปิดโอกาสสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ความริเริ่มนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ กฟผ. ในการสร้างนวัตกรรมที่ครอบคลุมและยั่งยืน เสริมศักยภาพกฟผ. ให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำพลังงานไทยในอนาคตที่ชาญฉลาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

· KBTG หน่วยงานทางด้านเทคโนโลยีของธนาคารกสิกรไทย ชูกลยุทธ์การนำข้อมูลขับเคลื่อนทิศทางองค์กร โดยนำความสามารถของ AI มาเผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกที่รองรับการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดทั่วทั้งองค์กร ผลักดันธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “Human-First x AI-First” ที่เน้นการพัฒนานวัตกรรมด้วยการเข้าถึงความต้องการของลูกค้า ความรับผิดชอบ และการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สัมผัสได้จริง เมื่อ Cloud Region ใหม่ของไมโครซอฟท์เปิดให้บริการ KBTG จะสามารถขยายโครงการที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และสอดคล้องกับข้อกำหนดต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและความไว้วางใจของลูกค้า

· SCBX ยังคงเดินหน้าภายใต้กลยุทธ์ AI-first (หรือเส้นทางสู่ AI-first organization) โดยมีเป้าหมายในการเป็นกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงินที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดในภูมิภาค บริษัทได้ผนึกรวมระบบการทำงานด้านข้อมูลและ AI เข้าด้วยกัน เพื่อเร่งพัฒนาโซลูชันที่ชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น พร้อมนำเสนอประสบการณ์การให้บริการธนาคารรูปแบบใหม่ ๆ ที่เน้นการตอบโต้กับลูกค้ โดยใช้ AI เอเจนต์ หรือผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่มี AI เป็นผู้ช่วย เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจนในที่สุด การเปิดตัว Cloud Region ใหม่ในประเทศไทยจะต่อยอดแผนงานและความสำเร็จเหล่านี้ด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ความยืดหยุ่นและมั่นคงที่ได้มาตรฐานระดับโลก และการรองรับกรอบข้อบังคับภายในประเทศอย่างครบถ้วน ทั้งยังสอดคล้องกับการลงทุนอย่างต่อเนื่องของ SCBX ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI ความเข้าใจในเทคโนโลยี AI และการพัฒนาทักษะให้กับพนักงานทั่วทั้งองค์กร

นอกจากความร่วมมือข้างต้นนี้ ไมโครซอฟท์ยังทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้าง AI Innovation Sandbox สำหรับการวิจัย ทดลอง และพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวข้ามความท้าทายในระดับชาติไปได้ โดยความสำเร็จครั้งสำคัญจากความร่วมมือนี้ ได้แก่ การพัฒนาโซลูชัน AI ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ในฐานะหน่วยงานที่ปรึกษาด้านกฎหมายของรัฐบาลไทย ได้นำโซลูชัน AI ที่พัฒนาขึ้นบน Microsoft Azure OpenAI เพื่อสนับสนุนการก้าวสู่สถานะสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Co-operation and Development – OECD) ของประเทศไทย โดยสามารถแปลและเปรียบเทียบกฎหมายไทยกว่า 70,000 ฉบับกับข้อกำหนดของ OECD กว่า 270 ฉบับ เพื่อระบุช่องว่าง ความแตกต่าง และเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่กว่า 500 คน จาก 80 หน่วยงานภาครัฐสามารถทำงานร่วมกันในการตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ และสามารถย่นระยะเวลาการทำงานจากหลายปีให้เหลือเพียงไม่กี่เดือน โดยในเดือนธันวาคมนี้ จะสามารถจัดทำบันทึกความตกลงเบื้องต้นของประเทศไทย ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงถึงความสอดคล้องเชิงกฎหมายระหว่างประเทศไทยกับข้อกำหนดของ OECD และเป็นอีกก้าวของประเทศไทยสู่สถานะประเทศสมาชิก ภายใต้ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ สะท้อนถึงสัญญาณความมั่นคงด้านกฎระเบียบและการยึดตามแนวปฏิบัติสากลที่ดีที่สุด

เสริมสร้างสกิลคนไทย พร้อมรับอนาคตดิจิทัล

ไมโครซอฟท์ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างกำลังคนที่มีศักยภาพด้านดิจิทัลในประเทศไทย โดยเร่งพัฒนาทักษะด้าน AI ผ่านโครงการอบรม ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลกระทบในวงกว้าง โดยร่วมมือกับ ครู บุคลากรในองค์กรเพื่อสังคม และศูนย์พัฒนาทักษะทั่วประเทศ โครงการนี้มุ่งเน้นการยกระดับและออกใบรับรองให้แก่บุคคลากรที่สามารถถ่อยทอดความรู้ ส่งผลให้เกิดการขยายผลในห้องเรียน ชุมชน และภาคอุตสาหกรรม พร้อมสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้าน AI และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และตลาดใหม่ กล่าวว่า “อนาคตในโลกดิจิทัลของประเทศไทยจะเป็นจริงได้นั้น เราต้องมีทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีควบคู่กับการกระจายองค์ความรู้สู่ทุกภาคส่วน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและผู้คนมีความพร้อมเติบโตไปด้วยกัน เราจึงให้ความสำคัญกับการเสริมทักษะ AI ที่ใช้งานได้จริง โดยเน้นที่การสร้างผลกระทบแบบทวีคูณ ที่ช่วยทำให้เกิดการต่อยอด ขยายผลออกไปให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง และเร่งการสร้างนวัตกรรมที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เรารู้สึกยินดีที่ได้สานต่อความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรภาคเอกชน เพื่อเพิ่มศักยภาพ เสริมความพร้อมให้คนไทยและองค์กรไทยได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในยุคแห่ง AI ได้อย่างแท้จริง”

การขยายกิจกรรมพัฒนาทักษะ AI นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft Elevate –โครงการระดับโลกที่มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรให้กลายเป็นหัวใจหลักในการสรรสร้างนวัตกรรมด้วย AI โดยโครงการดังกล่าวมุ่งสนับสนุนพันธมิตรทั้งในภาคการศึกษา องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และหน่วยงานภาครัฐ ในการพัฒนาทักษะและออกใบรับรองการสำเร็จการอบรม ให้แก่ผู้เรียนกว่า 20 ล้านคนทั่วโลกภายในสองปีข้างหน้า

SCB WEALTH เปิดตัวกองทุน SCBGMLITE (A)เปิดขาย IPO วันที่18-25 พฤศจิกายนนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดย BlackRock เป็นผู้รับมอบหมายงานด้านการจัดการลงทุนของกองทุน เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนแบบ Multi-Asset ออกแบบเพื่อนักลงทุนที่ต้องการพอร์ตที่มีความเสี่ยงเหมาะสมควบคู่โอกาสเติบโตในทุกสภาวะตลาด ด้วยโครงสร้างพอร์ตที่ผสมผสานการลงทุนในตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์ทางเลือก พร้อมระบบควบคุมความผันที่ช่วยให้พอร์ตเดินหน้าได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญระดับโลกของ BlackRock ในการบริหารจัดการ นับเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ควรมีไว้ในพอร์ต เพื่อเสริมศักยภาพของพอร์ตในระยะยาว พร้อมเปิดโอกาสรับการเติบโตในทุกสภาวะตลาดจากการลงทุนที่มีคุณภาพระดับสากล

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB WEALTH ร่วมมือกับ BlackRock ในการพัฒนาโซลูชันการลงทุนให้นักลงทุนไทย เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม และเข้าถึงการลงทุนระดับโลกที่มีคุณภาพ โดยได้คัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก แต่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ในฐานะผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน จะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Multi-Asset Core Portfolio Lite หรือ SCBGMLITE(A) ซึ่งจัดตั้งโดยบลจ.ไทยพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 18-25 พฤศจิกายนนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท มูลค่าหน่วยลงทุนละ 10 บาท

กองทุน SCBGMLITE (A) มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ เช่น หน่วย CIS หน่วยของกองทุน ETFที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลก กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น โดยกองทุนจะพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตั้งแต่ร้อยละ 0 ถึงร้อยละ100 ของมูลค่ำทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งการปรับส่วนลงทุนจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนตามความเหมาะสมของสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ทั้งนี้บริษัทจัดการจะมอบหมายให้ BlackRock (Singapore) Limited เป็นผู้รับมอบหมายงานด้านการบริหารจัดการกองทุน

ในเบื้องต้นกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (ETF) ซึ่งจะมีสภาพคล่องสูง รองรับการปรับพอร์ตได้รวดเร็ว ลงทุนได้มากกว่า10 สินทรัพย์ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ทองคำ REITและTIPs เป็นต้น

กองทุน SCBGMLITE (A) ได้ผสานการลงทุนในตราสารหนี้กับโอกาสสร้างผลตอบแทนจากหุ้น และสินทรัพย์ทางเลือก ส่งผลให้พอร์ตมีโอกาสเติบโต ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงโดยรวมอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก ประกอบกับมีเครื่องมือ Liquid Alternative เข้ามาช่วยทดแทนความผันผวนในช่วงตลาดไม่นิ่ง ยิ่งมีโอกาสทำให้โครงสร้างพอร์ตมีเสถียรภาพมากขึ้น จึงเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการมองหาความสบายใจควบคู่โอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีบนความเสี่ยงที่รับได้ และเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ควรมีไว้ในพอร์ต เพื่อสร้างศักยภาพในระยะยาว พร้อมเปิดโอกาสรับการเติบโตในทุกสภาวะตลาด

 

คำเตือน

· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

· กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Multi-Asset Core Portfolio Lite หรือ SCBGMLITE(A) ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5 ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง โปรดศึกษารายละเอียดข้อมูลกองทุนกับ บลจ.ไทยพาณิชย์อีกครั้ง

· กองทุนนี้ไม่เหมาะสมกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสมํ่าเสมอหรือต้องการรักษาเงินต้น ผู้ลงทุนโปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

· กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

· กองทุนรวม SCBGMLITE(A) นี้บริหารจัดการการลงทุนในผลิตภัณฑ์ต่างประเทศโดย BlackRock ภายใต้สัญญาแต่งตั้งรับมอบหมายงานด้านการจัดการลงทุนเป็นไปตามที่ระบุในโครงการจัดการกองทุนโดยบลจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งผู้ถือหุ้นหลัก ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

· ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

· ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนที่ร่วมรายการเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม www.scbam.com

· สอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

กรุงเทพฯ 18 พฤศจิกายน 2568 – ทรูออนไลน์ ขอบคุณทุกเสียงแห่งความไว้วางใจจากผู้บริโภค ที่สนับสนุนให้ทรูออนไลน์เป็นแบรนด์ที่หนึ่งในใจ จนได้รับการยกย่องให้เป็น “สุดยอดแบรนด์อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์แห่งปีของประเทศไทย ในเวทีระดับโลก - World Branding Awards 2025–2026 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ซึ่งจัดขึ้น ณ Osaka City Museum of Fine Arts ประเทศญี่ปุ่น สะท้อนศักยภาพแบรนด์ไทยที่ก้าวสู่มาตรฐานระดับสากลอย่างสง่างาม ท่ามกลางแบรนด์ชั้นนำทั่วโลกกว่า 1,000 แบรนด์ จาก 56 ประเทศที่ร่วมประชันความโดดเด่นด้านการสร้างแบรนด์ นับเป็นอีกความสำเร็จของทรูออนไลน์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรม บรอดแบนด์ พร้อมเดินหน้าอัพชีวิตคนไทยให้สมาร์ทยิ่งขึ้น ภายใต้แนวคิด “Your Everyday Connect-Tech” เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อชีวิตในทุกวันให้ดียิ่งขึ้น ครอบคลุม 3 มิติ ทั้ง Smart Tech — ใช้เทคโนโลยี AI ดูแลเครือข่ายให้แรง เสถียร และฉลาดกว่าเดิม Smart Solution — โซลูชั่นที่ใช้ Smart Home Connectivity Platform เพื่อสุดยอดประสบการณ์ดิจิทัลในบ้าน และ Smart Service & Privilege — การดูแลที่ใส่ใจให้บริการ และยกระดับคุณภาพชีวิตดิจิทัลของคนไทยให้ “Smart” ในทุกๆวัน

 

คุณโอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และมีเดีย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงการได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ว่า “รางวัล Brand of the Year ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของทรูออนไลน์ แต่คือ ‘เสียงแห่งความไว้วางใจ’ ที่ผู้บริโภคส่งถึงเราอย่างต่อเนื่องตลอด 9 ปีที่ผ่านมา เพราะเราเชื่อว่า เบื้องหลังเทคโนโลยีไม่ใช่แค่โครงสร้างพื้นฐาน แต่คือพลังที่เชื่อมโยงผู้คน สร้างความฝันและโอกาส ให้กับทุกจังหวะและความสำเร็จในชีวิต เราจึงมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมอัจฉริยะที่ส่งมอบคุณค่า และ ‘มีความหมาย’ ต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง เพื่อให้ลูกค้าทรูออนไลน์ได้ใช้บริการบนเครือข่ายบรอดแบนด์ที่เร็ว แรง มีคุณภาพ พร้อมยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลในบ้าน ตอบโจทย์ครบครันทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และความบันเทิงในการใช้ชีวิต จนทำให้ ทรูออนไลน์ ได้รับรางวัลสุดยอดแบรนด์อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์แห่งปีของประเทศไทย จากเวทีระดับโลก World Branding Awards 2025–2026 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 จัดโดย World Branding Forum (WBF) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในสหราชอาณาจักร ด้วยคะแนนจากเสียงโหวต การสำรวจตลาดและความนิยมของผู้บริโภค รวมถึงการประเมินมูลค่าแบรนด์จากความแข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตของแบรนด์ ตอกย้ำกลยุทธ์ของเรา ที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางในทุกสิ่งที่เราทำ (Customer-Obsessed) รางวัลระดับโลกที่ได้รับในปีนี้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้

ทรูออนไลน์เดินหน้ายกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีและบริการ เสริมความแข็งแกร่งให้ทรูออนไลน์ เป็นแบรนด์เน็ตบ้านระดับโลก ที่อัพชีวิตคนไทยให้สมาร์ท เชื่อมโยงการสื่อสาร และประสบการณ์ดิจิทัลในบ้านที่ดีที่สุด”

คุณฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านโฮมคอนเนคทิวิตี้ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “การได้รับรางวัล Brand of the Year ต่อเนื่องถึง 9 ปี เป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตรงใจผู้บริโภค และเป็นแรงบันดาลใจให้ทรูออนไลน์ไม่หยุดยั้งในการพัฒนาเทคโนโลยีและบริการอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “Your Everyday Connect-Tech” ที่นำเทคโนโลยี มาเติมเต็มชีวิตดิจิทัลในทุกวัน อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่ที่สุดในโลก และนวัตกรรมสมาร์ทโฮม ที่แรก ที่เดียว ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ

· Smart Tech — เทคโนโลยีเครือข่ายที่แรง เสถียร และฉลาดกว่าเดิม ด้วยระบบ AI Monitoring & Network Optimization ดูแลคุณภาพเครือข่ายแบบเรียลไทม์ เสริมด้วยฟีเจอร์อัจฉริยะ 3 ด้าน ได้แก่ AI Optimization ปรับสัญญาณอัตโนมัติให้เหมาะกับพฤติกรรมการใช้งานของแต่ละบ้าน AI Responsive ตรวจจับและแก้ไขปัญหาสัญญาณได้อย่างรวดเร็ว ตลอด 24 ชั่วโมง และ AI Security ปกป้องผู้ใช้งานจากภัยออนไลน์ แจ้งเตือนเว็บไซต์ต้องสงสัยและข้อมูลเสี่ยง นอกจากนี้ ยังเป็นรายแรกที่เปิดตัว Wi-Fi 7 Router ความเร็วสูงสุด 2 Gbps พร้อม Hybrid Router ที่รองรับทั้งสัญญาณไฟเบอร์และมือถือ เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมต่อได้ต่อเนื่องไม่มีสะดุด

· Smart Solution — พัฒนา Smart Home Connectivity Platform เพื่อชีวิต

ที่ง่ายขึ้นและปลอดภัยกว่าเดิม ทรูออนไลน์ คือ รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ที่ยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลในบ้านด้วย Smart Home Router ซึ่งรวมฟังก์ชัน IoT Hub และ Wi-Fi Router ไว้ในเครื่องเดียว ที่ช่วยเชื่อมต่ออุปกรณ์ Smart Home ได้อย่างง่ายดาย รองรับอุปกรณ์ IoT หลากหลาย เช่น เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว กล้องวงจรปิด AI และปุ่มแจ้งเตือนภัย นอกจากนี้ยังมี TrueID TV Gen 3 กล่องทีวีอัจฉริยะรุ่นใหม่ มาพร้อม AI Chipset ฟีเจอร์ AI Fitness, AI Game และความคมชัดระดับ 4K HDR เติมเต็มความบันเทิงในบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ

· Smart Service & Privilege — การดูแลที่ใส่ใจทุกวัน ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การติดตั้งจนถึงการใช้งาน โดยมีทีมช่างผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายภายในบ้านที่ผ่านการอบรมเฉพาะทาง พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลคุณภาพสัญญาณอย่างมืออาชีพ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกบ้านจะได้รับสัญญาณที่ดีที่สุดนอกจากนี้ ยังมีแอปทรู ศูนย์รวมข้อมูลและบริการครบวงจรที่ให้ลูกค้าสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง มาพร้อมผู้ช่วยอัจฉริยะ Mari ที่พร้อมดูแลและตอบทุกคำถามตลอด 24 ชั่วโมง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมอบ สิทธิพิเศษและประสบการณ์เหนือระดับที่คัดสรรมาเฉพาะลูกค้าทรูออนไลน์ เพื่อให้ทุกการเชื่อมต่อเต็มไปด้วยความใส่ใจและตอบโจทย์ทั้งความสะดวก ความสุข และความอบอุ่นของทุกคนในครอบครัว”

“ทีมงานทรูออนไลน์ทุ่มเทในการพัฒนาบริการเพิ่มประสิทธิภาพและขยายโครงข่ายไฟเบอร์ควบคู่กับการนำเสนอนวัตกรรมดีไวซ์ที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย การสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่เน้นตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และทรูออนไลน์จะยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมต่อความสุข ความมั่นคง และโอกาสใหม่ ๆ ให้กับทุกครอบครัวไทยในยุคดิจิทัล” คุณฐานพล กล่าวทิ้งท้าย

กรุงเทพฯ, 19 พฤศจิกายน 2568 – บัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า แพลทินัม และเอ็กซ์ยู บัตรเครดิต ดิจิทัล ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีปลายปี มอบเครดิตเงินคืนสูงสุด 20,000 บาทตลอดรายการ เมื่อชำระค่าเบี้ยประกันปีแรก และปีต่ออายุ ผ่านบัตรเครดิต พร้อมรับสิทธิ์แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 10% ตั้งแต่ 1 กันยายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568 พิเศษ! ทุกยอดใช้จ่าย 25 บาท รับคะแนนสะสม 1 คะแนน หรือรับสิทธิ์เปลี่ยนยอดรูดบัตรเป็นยอดแบ่งชำระ 0% นาน 3 เดือน เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป และรวมยอดแบ่งชำระเริ่มต้น 3,000 บาทขึ้นไป โดยทำรายการผ่านแอป UCHOOSE (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) ข้อมูลเพิ่มเติม https://bit.ly/PR-FCINS พิเศษเมื่อรูดซื้อประกัน 50,000 บาทขึ้นไป ต่อเซลส์สลิป สามารถเปลี่ยนยอดรูดเต็มเป็นผ่อน 0% สั่งได้ 6 เดือน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ ทั้งนี้ บัตรเครดิต: ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ชวนพนักงานเตรียมความพร้อมสู่ชีวิตหลังเกษียณ จัดกิจกรรม fintalk “จัดพอร์ตเกษียณ เปลี่ยนชีวิตคุณ” กับ “เฟิร์น - ศิรัถยา อิศรภักดี” พิธีกรและผู้ดำเนินรายการด้านการเงินคนดัง จากช่อง Wealth Me Up และคุณแก๊ปเปอร์-ทัตพล เมธีวิริยาภรณ์ เจ้าของสถาบัน MoneyStudio.co มาร่วมเปิดมุมมอง พร้อมพาไปสำรวจรูปแบบการเกษียณ ว่ามีเครื่องมืออะไรที่เป็นตัวช่วย และที่สำคัญจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไรให้เป้าหมายเป็นจริง

เกษียณได้กี่แบบ? และคุณเลือกแบบไหน?

คำว่า “เกษียณ” ในเชิงตัวเลข ในอดีตจะเท่ากับ “รวย” หรือ อิสรภาพทางการเงิน แต่ความจริงต้องยอมรับว่าการเกษียณของคนเรามีหลายมิติ อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ โดยกลุ่มแรกเป็นการเกษียณด้วยตนเอง มีความพร้อม มีอิสรภาพทางการเงิน อยากไปทำในสิ่งที่อยากทำ ซึ่งไม่เท่ากับการหยุด แต่เป็นการไปทำสิ่งใหม่แทน ส่วนกลุ่มที่สองคือ เกษียณโดยไม่ตั้งใจ หรือมีเหตุจำเป็นต้องเกษียณ อาทิ ร่างกายเจ็บป่วยทำงานต่อไม่ได้ หรือเกิดปัญหาติดขัดในองค์กรและไม่ได้ไปต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากเจอ

“จุดเริ่มต้นสำคัญของการเกษียณด้วยตนเอง ที่เป็นความใฝ่ฝันของทุกคน มาจากตัวเราเองเป็นส่วนใหญ่ นั่นคือ นิสัยทางการเงิน เราต้องปรับนิสัยการใช้เงินให้ดีขึ้นก่อน เพราะอย่าลืมว่า เงินที่เก็บได้ 100 บาท เท่ากับเราหาได้ 100 บาท เพียงแค่ใช้ให้น้อยลงก็เท่ากับเก็บเงินได้มากขึ้น สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้แค่ปรับนิสัยของเรา ไม่ต้องรอพึ่งพิงจากคนอื่น หลังจากนั้นค่อยดูเรื่องการลงทุนว่าสนใจการลงทุนแบบไหน ต้องวางเงินให้ถูกที่ เพื่อให้เงินทำงานได้ถูกต้อง”

สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่อยากเกษียณสุข ต้องมีการวางแผนและทำตามแผนให้ได้ การเตรียมความพร้อมควรมององค์รวม ทั้งเรื่องสุขภาพ (Health), การเงิน (Wealth) และ จิตใจ (Heart) ควบคู่กันไป ซึ่งขอย้ำว่า แม้มนุษย์เงินเดือนจะเป็นอาชีพที่น่าอิจฉา เพราะมีเงินเดือนประจำ แต่ก็มีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้น ต้องไม่ยึดติดว่าจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี

 รู้จักเครื่องมือและตัวช่วยสร้าง “เกษียณสุข”

ปกติคนเรามีระยะเวลาทำงานประมาณ 40 ปี หากต้องการอยู่หลังเกษียณไปอีก 20 ปี ต้องเก็บเงินระหว่างทาง 50% ของเงินที่หาได้ แต่เป็นเรื่องยาก เพราะคนส่วนใหญ่ชอบมองความสุขตรงหน้ามากกว่าอนาคต ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกษียณอย่างมีความสุข มีดังนี้

1. ชวนดูเป้าหมาย : ต้องปักหมุดให้ชัดเจนว่าจะเดินไปที่ไหน ต้องการมีเงินใช้เท่าไหร่หลังเกษียณ

2. คิดอัตราเงินเฟ้อ : โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่อปี

3. รู้จักตัวเอง : ต้องรู้นิสัยด้านการเงินของตัวเอง รวมทั้งสินทรัพย์และหนี้สินว่ามีอะไรบ้าง

4. เติมสิ่งที่ขาด : ด้วยการออมก่อนใช้ และเลือกการออมที่ถูกต้อง เช่น เงินฝาก e-Saving ลงทุนในหุ้นโลก ที่กระจายความเสี่ยงไปในหลายประเทศ หรือลงทุนทองคำ

จัดพอร์ตอย่างไร? เพื่อให้เกษียณสุข

เมื่อนิสัยการเงินและเป้าหมายชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การจัดวางเงินลงทุนให้ถูกที่ เพื่อให้เงินทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการบริหารพอร์ตเพื่อเกษียณ หากใกล้เป้าหมายแล้ว ไม่จำเป็นต้องเร่งเครื่อง ควรปรับลดความเสี่ยงลงมา เพราะหากเลือกเสี่ยงสูงโอกาสที่เงินจะหายไปก็มีค่อนข้างมาก แต่สำหรับคนที่อยู่ระหว่างทางเกษียณสามารถเลือกสัดส่วนความเสี่ยงได้ตามความสนใจ

ปิดท้ายที่เรื่องสำคัญคือ การบริหารสุขภาพ ซึ่งมนุษย์ชอบประมาทเรื่องประกัน โดยเฉพาะพนักงานเงินเดือนที่ชินกับการใช้ประกันกลุ่ม ไม่เคยมีประกันของตัวเอง การดูแลตัวเองหลังเกษียณจึงเป็นเรื่องยาก ดังนั้น แนะนำ

ให้มีประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์มนุษย์เงินเดือนด้วย เพื่ออย่างน้อยจะได้มีความคุ้มครองที่อุ่นใจ โดยควรเน้นความต้องการของตัวเองเป็นหลัก

 “การเกษียณสุขคือ ผลลัพธ์ของการปรับนิสัย และการวางแผนอย่างรอบด้าน ซึ่งข้อดีของการที่องค์กรชวนคุยเรื่องเกษียณ นั่นแปลว่า องค์กรแคร์พนักงาน นี่คือโอกาสที่จะทำให้ทุกคนได้ทบทวนและวางแผนชีวิตตัวเองอย่างจริงจัง เพื่อให้พนักงานก้าวสู่ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมั่นใจและมีอิสระทางการเงินอย่างแท้จริง” คุณศิรัถยา กล่าว

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดย ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ร่วมน้อมวางพวงมาลาถวายสักการะเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ และกราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระบรมมหาราชวัง เพื่อแสดงความจงรักภักดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

โรงเรียนนานาชาติ DLTS ภายใต้ Denla Group ย้ำความมุ่งมั่นในการ "เสริมสร้างความเป็นเลิศ วางเส้นทางการศึกษาต่อ" ด้วยการขยายความร่วมมือกับ Denla British School (DBS) เพื่อเชื่อมโยงหลักสูตร IB สู่ UK Curriculum อย่างราบรื่น พร้อมเปิดตัว “DLTS Awards” ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีศักยภาพสูงเพื่อเข้าศึกษาต่อที่ DBS ตอกย้ำวิสัยทัศน์นี้ ด้วยการจัดงาน "Discovering Future Pathways" ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจาก DLTS, DBS, และโรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIDS) มาร่วมแนะแนวและสร้างแรงบันดาลใจในการเตรียมความพร้อมนักเรียนสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก

ขยายแผนการศึกษาต่อจาก DLTS สู่มหาวิทยาลัยชั้นนำ

ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า และผู้อำนวยการบริหาร โรงเรียนนานาชาติ DLTS เปิดเผยว่า นักเรียนทุกคนมี ศักยภาพพิเศษเฉพาะตัว (Unique Potential) หน้าที่ของเราคือ การมอบเครื่องมือและประสบการณ์ที่หลากหลายเพื่อช่วยให้นักเรียนของเรา 'ค้นพบและ 'พัฒนาสิ่งนั้น รับการแข่งขันสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำในยุคใหม่ไม่ใช่แค่คะแนนสอบ แต่เป็นเรื่องของ 'ความโดดเด่นที่มีความหมาย' (Meaningful Uniqueness) ซึ่งเราเน้นสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ผ่าน Project-Based Learning และการพัฒนา Growth Mindset พร้อมส่งเสริม Soft Skills และแฟ้มผลงานที่โดดเด่น (Strong Portfolio) ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยชั้นนำมองหา

โรงเรียนนานาชาติ DLTS ได้ผนึกกำลังกับทีมแนะแนวที่ปรึกษาด้านการศึกษาต่อ (Career Counselling Team) ที่เชี่ยวชาญและมีประวัติความสำเร็จในการส่งนักเรียนเข้าสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก เพื่อช่วยนักเรียนกำหนดเส้นทางอาชีพและเส้นทางการศึกษาต่ออย่างเหมาะสมที่สุด ความร่วมมือนี้มุ่งเน้นการพัฒนานักเรียนอย่างรอบด้าน ให้มีความพร้อมและสามารถแข่งขันได้ในเวทีสากล ประกอบด้วย 1.เน้นการค้นพบศักยภาพ การให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว เพื่อค้นหาความถนัดและความสนใจเฉพาะของนักเรียน 2.การเตรียมความพร้อมด้านวิชาการ: การวางแผนหลักสูตรเพื่อรองรับการยื่นสมัครมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก 3.สร้างความสำเร็จที่จับต้องได้: ทีมแนะแนวมีประวัติความสำเร็จในการส่งนักเรียนเข้าสู่มหาวิทยาลัย Ivy League และมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอื่นๆ

"DLTS Awards": โอกาสสู่การศึกษาต่อ ณ โรงเรียนนานาชาติ DBS

ผศ. ดร. ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า เปิดเผยถึงความร่วมมือกับ DBS ว่า เรามีความยินดีที่จะประกาศเปิดตัว "DLTS Awards" ทุนการศึกษาเพื่อยกย่องและส่งเสริมนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเยี่ยมและมีศักยภาพสูง ให้ได้เข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนนานาชาติ DBS โครงการนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนเส้นทางการศึกษาที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียน โดยมอบโอกาสให้พวกเขาเข้าถึงสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ระดับนานาชาติที่จะช่วยขยายขีดจำกัดทางวิชาการและศักยภาพส่วนบุคคล

“เราเชื่อมั่นว่ารากฐานที่แข็งแกร่งในช่วงชั้นเรียนต้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดอนาคตของนักเรียน การร่วมมือกับทีมแนะแนวผู้เชี่ยวชาญจาก DBS และ MUIDS เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราในการเปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาต่อที่ดีที่สุดและการเปิดตัว DLTS Awards ก็เป็นบทพิสูจน์ถึงความตั้งใจของเราในการยกย่องความสามารถพิเศษ และปูทางสู่ความเป็นเลิศในระดับสากล” ผศ. ดร. ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า

DLTS จัดงาน "Discovering Future Pathways" เสริมความร่วมมือกับ DBS และ MUIDS สร้างแรงบันดาลใจ

DLTS ได้จัดงาน "Discovering Future Pathways" เพื่อแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ปกครอง โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ มิสเตอร์จอนนี่ ลิดเดลล์ (Jonathan Liddell) ครูใหญ่โรงเรียนนานาชาติ DBS ,รศ. ดร.สิงหนาท น้อมเนียน โรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIDS) พร้อมด้วย ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า และ ผศ. ดร. ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า ร่วมให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมสู่รั้วมหาวิทยาลัยในยุคใหม่

 ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า กล่าวเสริมว่า การเปิดเวทีในครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ปกครองในการรับฟัง แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ในการเตรียมบุตรหลานให้มีทักษะและทัศนคติที่จำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จในอนาคต โดยเฉพาะการวางรากฐานที่แข็งแกร่งในช่วงวัยสำคัญ (Grade 4-7) เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยอย่างมีประสิทธิภาพ”

สำหรับความร่วมมือของ DLTS และ MUIDS กับการเตรียมความพร้อมสู่รั้วมหาวิทยาลัยในยุคใหม่ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและพลังให้กับนักเรียนและผู้ปกครองในยุคแห่งการแข่งขันสูง นี่คือมุมมองและแนวคิดหลักที่ทั้ง DLTS และ MUIDS จะนำเสนอในงาน Discovering Future Pathways ที่มาร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาในระดับมัธยมปลาย รวมถึงการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนก้าวสู่ระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยและต่างประเทศ

“โรงเรียนนานาชาติ DLTS เรามุ่งเน้นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งและการค้นพบศักยภาพในช่วงวัยที่สำคัญ (Grade4-7) เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยอย่างมีประสิทธิภาพและความสำเร็จ  ในมุมมองของผมนักเรียนทุกคนมีศักยภาพพิเศษเฉพาะตัว (Unique Potential) หน้าที่ของเราคือการมอบเครื่องมือและประสบการณ์ที่หลากหลายเพื่อช่วยให้พวกเขา "ค้นพบ" และ "พัฒนา" สิ่งนั้น พร้อมต้องมีความเข้าใจในตนเองรู้ว่าตัวเองเก่งอะไร สนใจอะไร และต้องการไปทางไหนก่อนเข้าสู่ระบบการสอบที่เข้มข้น”

ในด้านการเตรียมความพร้อมเราเน้นการสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ผ่านการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning) และการพัฒนา Growth Mindset ที่กล้าเผชิญความท้าทาย ไม่ใช่แค่การท่องจำเนื้อหา   รวมถึงมีความยืดหยุ่นและการจัดการแก้ไขปัญหาโดยมีทักษะที่ใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่ผลการเรียน พร้อมยังมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และปรับตัว

นอกจากนี้ความได้เปรียบในการแข่งขันความหลากหลายของหลักสูตร (Broad Curriculum) และการเสริมด้วยกิจกรรมนอกหลักสูตรที่ช่วยพัฒนา Soft Skills เช่น ภาวะผู้นำ การสื่อสาร ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยชั้นนำมองหาแฟ้มผลงานที่โดดเด่น (Strong Portfolio) มีกิจกรรมและผลงานที่สนับสนุนความสนใจ ทำให้ใบสมัครมหาวิทยาลัยแตกต่างและน่าสนใจ  พร้อมกันนี้ DLTS ยังผนึกความร่วมมือกับ DBS ที่มีเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอีกด้วย

ภายในงานยังมีแขกรับเชิญพิเศษอีกหนึ่งท่าน มาร่วมแนะแนวและสร้างแรงบันดาลใจในการเตรียมความพร้อมนักเรียนสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก รศ. ดร.สิงหนาท น้อมเนียน ผู้อำนวยการ โรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIDS) กล่าวเพิ่มเติมว่า MUIDS ในฐานะสถาบันที่มุ่งเน้นการสร้างเยาวชนสู่ระดับอุดมศึกษา MUIDS เล็งเห็นความสำคัญของการวางรากฐานการเรียนรู้ที่มีความยืดหยุ่น และสามารถเชื่อมต่อกับหลักสูตรในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกได้ โดยในวันนี้มีความยินดีที่ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและความรู้ให้กับ นักเรียนโรงเรียนนานาชาติ DLTS และ DBS  ในเวที 'Discovering Future Pathways' นับเป็นโอกาสสำคัญที่เราได้มีส่วนร่วมนำเสนอมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับการศึกษาในระดับมัธยมปลาย รวมถึงการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนก้าวสู่ระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยและต่างประเทศ

ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า กล่าวเสริมต่อว่า โรงเรียนนานาชาติ DLTS และพันธมิตรร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์และแผนงานของ DLTS ในการบ่มเพาะนักเรียนให้มี ความเป็นเลิศในทุกด้าน (Excellence in all aspects) พร้อมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย การเปิดเวทีในครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ปกครองในการรับฟังแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ในการเตรียมบุตรหลานให้มีทักษะและทัศนคติที่จำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จในอนาคต

"การแข่งขันสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำในยุคใหม่ ไม่ใช่แค่เรื่องของคะแนนสอบที่สูงที่สุด แต่เป็นเรื่องของ 'ความโดดเด่นที่มีความหมาย' (Meaningful Uniqueness) นักเรียนต้องรู้ว่าตัวเองคือใคร มีความหลงใหลในเรื่องใด และสามารถนำความรู้ไปสร้างผลกระทบต่อโลกได้อย่างไร การเตรียมพร้อมในวันนี้จึงเป็นการลงทุนใน ชุดทักษะ ที่จะอยู่กับพวกเขาตลอดไป ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกเรียนต่อที่ไหนก็ตาม"

พร้อมเน้นย้ำเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากผู้ปกครอง DLTS มีความมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความเชื่อมั่นจากผู้ปกครอง ผ่านการสื่อสารที่เปิดเผยและการจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ DLTS เตรียมเปิดรับสมัครนักเรียนสำหรับปีการศึกษา 2569 และมอบทุนการศึกษาสำหรับนักเรียน Grade 2 ถึง Grade 7 ที่มีผลการเรียนดีและมีความสามารถพิเศษ

Nium ผู้นำระดับโลกด้านบริการชำระเงินระหว่างประเทศแบบเรียลไทม์ ได้ประกาศเข้าร่วมโครงการนำร่องใหม่ของวีซ่า คือการทดลองให้พาร์ทเนอร์ที่ได้รับเลือกอย่าง Nium สามารถให้บริการชำระเงินผ่านวีซ่าด้วยสเตเบิลคอยน์ได้โดยตรงผ่านระบบบล็อกเชนที่รองรับการนำสเตเบิลคอยน์มาใช้ในระบบของ Nium ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับการโอนเงินระหว่างประเทศให้ทันสมัยขึ้น ซึ่งจะทำให้การชำระเงินมีทั้งความรวดเร็วยิ่งขึ้น ปลอดภัยกว่าเดิม และยังสามารถตั้งโปรแกรมหรือกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินล่วงหน้าได้อีกด้วย

การเข้าร่วมโครงการกับวีซ่าในครั้งนี้ ช่วยต่อยอดศักยภาพให้ Nium อย่างมาก เพราะทำให้การชำระระหว่างประเทศไม่จำกัดเพียงแค่เงินเฟียตอีกต่อไป แต่สามารถรับชำระด้วยสเตเบิลคอยน์ได้โดยตรง รวมถึงเหรียญ USDC ที่ออกโดย Circle ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการชำระเงินดิจิทัลกับวีซ่าที่สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะเปลี่ยนจากการชำระเงินแบบเก่าที่ต้องรอประมวลผลเป็นรอบ มาเป็นการใช้สเตเบิลคอยน์บนบล็อกเชน ช่วยลดอุปสรรคและลดความล่าช้าในการชำระเงินข้ามพรมแดน อาทิ การงดให้บริการในช่วงสุดสัปดาห์ ความล่าช้าจากเขตเวลาที่ต่างกัน และขั้นตอนการกระทบยอดที่ใช้เวลานาน

อเล็กซ์ จอห์นสัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการชำระเงินของ Nium กล่าวว่า "การที่ Nium เข้าร่วมโครงการนำร่องของ วีซ่า ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการเคลื่อนย้ายเงินระดับองค์กร ที่ผ่านมาภาคธุรกิจถูกจำกัดด้วยรอบการชำระเงินที่ขึ้นอยู่กับธนาคาร ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเร็วของการค้าขายทั่วโลก การใช้สเตเบิลคอยน์ชำระเงินกับวีซ่าจะทำให้การจ่ายเงินของเราเร็วเทียบเท่าความเร็วอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่ความเร็วของระบบเดิมๆ อีกต่อไป"

นิชชินท์ สังฮาวี หัวหน้าฝ่ายสกุลเงินดิจิทัล วีซ่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า "สเตเบิลคอยน์กำลังจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการโอนเงินในยุคปัจจุบัน โครงการนำร่องของเราถูกออกแบบมาเพื่อให้พาร์ทเนอร์มีศักยภาพในการทำธุรกรรมได้ตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ก้าวทันโลกการค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ วีซ่ายินดีที่ได้ขยายความร่วมมือกับ Nium เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้เสริมแกร่งให้กับภาคธุรกิจในระบบนิเวศการเงินต่อไป"

Nium มีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์อยู่แล้ว ทำให้การเข้าร่วมโครงการนำร่องครั้งนี้กับวีซ่าจะช่วยให้ลูกค้าและบริษัทฟินเทคต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อกับช่องทางการชำระเงินดิจิทัลที่รวดเร็วยิ่งขึ้นได้เลย โดยไม่ต้องสร้างระบบสเตเบิลคอยน์ของตัวเอง

ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากที่วีซ่า และ Nium ได้ทำงานร่วมกันมาหลายปีเพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินระหว่างประเทศให้ทันสมัย สำหรับประเทศไทย โครงการนี้จะช่วยเร่งผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัลได้เร็วขึ้น ปลดล็อกการทำธุรกิจข้ามพรมแดนและการโอนเงินกลับประเทศ สามารถชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์ที่ รวดเร็ว ไร้รอยต่อ และทำได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน

Page 2 of 196
X

Right Click

No right click