December 15, 2025

"เพราะทุกก้าวคือพลังแห่งการให้" บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดย ชมรม CPF Running Club สานต่อเจตนารมณ์ “ทำดีเพื่อสังคม” ผ่านกิจกรรมเดิน–วิ่งการกุศล “CP ISAN RUN FOR CHARITY 2025” รวมพลังพันธมิตรและนักวิ่งสายบุญกว่า 1,800 คน ร่วมส่งต่อ “พลังแห่งการให้” นำเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย รวมทั้งสิ้น 903,100 บาท สมทบทุนการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ มอบให้แก่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นายกิตติศักดิ์ ธีระวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วยผู้บริหารจากโรงพยาบาลทั้งสองแห่ง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ นายบุญเสริม เจริญวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ด้านบริหารกระบวนการธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ

 รองผู้ว่าฯ นครราชสีมา กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนชาวโคราช รู้สึกชื่นชมและขอบคุณซีพีเอฟที่จัดกิจกรรมดีๆ อย่างต่อเนื่องถึง 10 ปี กิจกรรมนี้ไม่เพียงส่งเสริมสุขภาพกายและใจของประชาชน แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งความสามัคคี และน้ำใจของคนไทยที่ไม่ทอดทิ้งกัน เป็นแบบอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน

“งบสนับสนุนจากกิจกรรมในครั้งนี้ จะถูกนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาพยาบาล ถือเป็นพลังจากทุกก้าวของนักวิ่งที่ส่งต่อความหวังและคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ป่วยในพื้นที่“ ผศ.พญ.นพร อึ้งอาภรณ์ รักษาการแทนผู้อำนวยการ รพ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กล่าว

ด้าน นพ.ธีรพงศ์ โศภิษฐิกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ รพ.เทพรัตน์นครราชสีมา เสริมว่า การได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งพลังแห่งความห่วงใยที่ช่วยเสริมศักยภาพระบบสาธารณสุขไทย และช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการบริการอย่างทั่วถึง“10 ปีแห่งการวิ่งเพื่อสังคม” — ซีพีเอฟย้ำหลัก “3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน”

 นายบุญเสริม กล่าวว่า ซีพีเอฟ จัดกิจกรรม ‘CPF Run for Charity’ อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 เพื่อส่งเสริมให้พนักงานและประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงควบคู่กับการทำความดีเพื่อส่วนรวม ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา เรารวมพลังนักวิ่งทั่วประเทศ รวมระยะทางกว่า 613,000 กิโลเมตร และมอบรายได้กว่า 17 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลในหลายจังหวัด สอดคล้องตามหลักปรัชญา ‘3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน’ ของเครือซีพี คือ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร

บรรยากาศภายในงานเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสุขและความสามัคคี นักวิ่งและกองเชียร์ร่วมสร้างสีสันแห่งรอยยิ้ม พร้อมเพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพจากแบรนด์ในเครือซีพีเอฟ อาทิ ไข่ต้มพร้อมทาน ไส้กรอก ไก่ปรุงสุก CP หมูบดชีวาผสมไข่ผำ ไก่จ๊อห้าดาว นมเมจิ และขนมปัง รวมถึง Jerhigh & Jinny ที่มอบความสุขให้ทั้งนักวิ่งและเพื่อนสี่ขาอย่างอบอุ่น

กิจกรรม “CPF Run for Charity” ครั้งต่อไป เตรียมจัดขึ้น ณ จังหวัดสงขลา ในปีหน้า เชิญชวนทุกคนมาร่วมวิ่งเพื่อส่งต่อ ”พลังแห่งการให้“ ไปด้วยกัน./

มูลค่าส่งออกสินค้าเดือน ก.ย. 2025 อยู่ที่ 30,970.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัวสูง 19% จาก 5.8%YOY ในเดือนก่อน เติบโตสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง และสูงกว่าที่ประเมินไว้มาก (SCB EIC ประเมิน 3.5% และค่ากลาง Reuter Poll ประเมิน 7%) ตัวเลขปรับฤดูกาลขยายตัวสูงถึง 3.8%MOM_SA เร่งขึ้นจาก 0.1%MOM_SA ในเดือน ส.ค. ภาพรวมมูลค่าส่งออกสะสม 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวสูง 13.9% (รูปที่ 1 และ 2)

ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และทองคำไม่ขึ้นรูปยังคงเป็นปัจจัยหนุนหลักเดือนนี้

1) การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงขยายตัวสูงต่อเนื่อง จากการเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ไปสหรัฐฯ เนื่องจากยังคงได้รับการยกเว้นภาษีตอบโต้ในบางสินค้าอยู่ วัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และแนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่ม Data center ที่ขยายตัวทั่วโลก สะท้อนได้จากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ, จีน, สิงคโปร์, เม็กซิโก และมาเลเซีย ที่ขยายตัวสูง 67.1%, 32%, 97.1%, 100.1% และ 64% ตามลำดับ (การส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็น 47.7% ของมูลค่าการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ของไทยทั้งหมดในเดือนนี้) การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยเดือนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 8.1% เกือบครึ่งหนึ่งของการเติบโตส่งออกรวม 19%

2) ทองคำยังคงเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกที่สำคัญต่อเนื่อง การส่งออกทองคำไม่ขึ้นรูปขยายตัวสูง 212.6% เร่งขึ้นจาก 144% ในเดือนก่อน โดยการส่งออกทองคำไปสวิตเซอร์แลนด์, สิงคโปร์ และ สปป. ลาว ขยายตัวสูงต่อเนื่อง 615.6%, 95.7% และ 437.1% ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวสูงมากถึง 185,737.4% โดยการส่งออกไป 4 ประเทศดังกล่าวคิดเป็นกว่า 95.9% ของมูลค่าการส่งออกทองของไทยทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการทองคำในตลาดโลกเพื่อรองรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น รวมถึงราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นมาก การส่งออกทองคำมีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยเดือนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 6%YOY เกือบครึ่งหนึ่งของการเติบโตส่งออกรวม 19%

3) การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ดีในเดือน ก.ย. แม้ถูกตั้งกำแพงภาษีแล้วในหลายสินค้า โดยขยายตัว 35.3% เร่งขึ้นจาก 12.8% ในเดือนก่อน หากหักการส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พบว่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ยังขยายตัวสูง 14.2% สอดคล้องกับข้อมูลกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงระยะสั้นนี้ที่ยังขยายตัวดี เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สหรัฐฯ ในเดือน ก.ย. และข้อมูลเบื้องต้นในเดือน ต.ค. ที่ระดับ 53.9 และ 54.8 ตามลำดับ (ข้อมูล > 50 สะท้อนการขยายตัว) การส่งออกไปสหรัฐฯ มีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยเดือนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 6.8%YOY ของการเติบโตส่งออกรวม 19%

การนำเข้าเร่งตัวมากขึ้นอีกเกือบทุกหมวด โดยเฉพาะจากจีนและไต้หวัน ดุลการค้ากลับมาเกินดุล

มูลค่าการนำเข้าสินค้าเดือน ก.ย. อยู่ที่ 29,695.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 17.2% เร่งขึ้นจาก 15.8% ในเดือน ส.ค. สูงกว่าประมาณการ (SCB EIC และค่ากลาง Reuter Poll ประเมิน 10.6%) ภาพรวมมูลค่านำเข้า 9 เดือนแรกปีนี้ ขยายตัวสูง 11.9% โดยในเดือนนี้การนำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่น ๆ ขยายตัวสูงขึ้นเป็น 31.8%, 18.9% และ 15.1% เทียบกับ 5.3%, 12.7% และ 7.2% ในเดือนก่อน ตามลำดับ ขณะที่สินค้าทุนและสินค้าอุปโภคบริโภคยังขยายตัวสูงต่อเนื่อง 23.7% และ 16.6% ตามลำดับ ทั้งนี้สินค้าเชื้อเพลิงเป็นหมวดเดียวที่กลับมาหดตัว -0.8% หลังขยายตัว 5.6% ในเดือนก่อน (รูปที่ 3)

 หากพิจารณาการนำเข้ารายประเทศพบว่า การนำเข้าสินค้าจากจีนและไต้หวันเป็นส่วนสำคัญที่การนำเข้าไทยเดือนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 16.8% (จีน 10.4% ไต้หวัน 6.4%) จากการนำเข้ารวมที่โตถึง 17.2%YOY โดย

1. จีน : ไทยนำเข้าจากจีนขยายตัวสูงถึง 38.7% ในเดือน ก.ย. เร่งขึ้นจาก 33.4% เดือนก่อน ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2025 มูลค่านำเข้าไทยจากจีนขยายตัวสูง 33.5% เป็นการขยายตัวทุกหมวด โดยเฉพาะ 1) สินค้าทุนขยายตัวสูงถึง 57.8% เช่น เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่ขยายตัว 95.4%, 40.9% และ 11.9% ตามลำดับ ไทยนำเข้าสินค้าทุนจากจีนกว่าครึ่งหนึ่ง คิดเป็น 51.6% ของมูลค่านำเข้าสินค้าทุนทั้งหมดของไทยในเดือนนี้ 2) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ขยายตัว 24.6% เช่น แผงวงจรไฟฟ้า, ไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ และวงจรพิมพ์ ที่ขยายตัวสูง 32.8%, 23.8% และ 41% ตามลำดับ โดยการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป จากจีนคิดเป็น 24.5% ของมูลค่านำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปทั้งหมดของไทยในเดือนนี้ 3) สินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว 26.1% เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด และเครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้านเรือนขยายตัวสูง 23%, 31.2% และ 25.4% ตามลำดับ โดยการนำเข้าอุปโภคบริโภค จากจีนคิดเป็น 46.6% ของมูลค่านำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมดของไทยในเดือนนี้ (รูปที่ 4 ซ้าย)

2. ไต้หวัน : ไทยนำเข้าจากไต้หวันขยายตัวสูงมากต่อเนื่อง 2 เดือนอยู่ที่ 109.6% ในเดือน ก.ย. และ 130.4% ในเดือน ส.ค. โดยราว 90% ของมูลค่าการนำเข้าจากไต้หวันในเดือนนี้เป็นสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และหากดูรายสินค้าพบว่า ไทยนำเข้าแผงวงจรไฟฟ้าจากไต้หวันเพิ่มขึ้นมากถึง 223.3% และ 246.2% ในเดือน ก.ย. และ ส.ค. ตามลำดับ (คิดเป็น 91% และ 88.7% ของมูลค่านำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปจากไต้หวันทั้งหมด) (รูปที่ 4 ขวา)

 ข้อมูลนำเข้าสะท้อนนัยว่า

(1) สินค้านำเข้าหลักของไทยส่วนมากเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สอดคล้องกับมูลค่าส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยที่ยังขยายตัวสูงต่อเนื่อง ตามวัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศูนย์ข้อมูล (Data center) ทั้งนี้ไทยผลิตสินค้าต้นน้ำและกลางน้ำได้ค่อนข้างจำกัด จึงต้องนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น จีนและไต้หวัน เพื่อรองรับความต้องการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่งออกตลาดโลกเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่ม Data center ที่ยังขยายตัวต่อเนื่องในไทย เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้การนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้ขยายตัวสูงเป็นพิเศษ

(2) การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนสูง ยังคงสะท้อนปัญหาสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้าไทย จาก (1) ภาวะเศรษฐกิจจีนที่ยังคงซบเซาจากความเชื่อมั่นในประเทศที่ยังคงต่ำและปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ (2) จีนโดนกำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงโดยเปรียบเทียบกับชาติคู่แข่งอื่น จึงมุ่งส่งออกสินค้าถูกกว่ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น และ

(3) ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าราคาถูกจากจีนมากขึ้น ดุลการค้า (ระบบศุลกากร) เดือนนี้กลับมาเกินดุล 1,275.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังขาดดุลสูงเดือนก่อน 1,964.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดุลการค้าเดือนนี้เกินดุลสูงกว่าคาดบ้าง (SCB EIC ประเมิน 770 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และค่ากลาง Reuter Poll ที่ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ผลจากการส่งออกที่สูงกว่าคาดการณ์มาก ดุลการค้าสะสม 3 ไตรมาสแรกของปี 2025 ขาดดุลเล็กน้อย -429.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนส่งออกและนำเข้าไทยสะสมปีนี้สูงใกล้เคียงกัน

 SCB EIC ยังมองการส่งออกท้ายปีแย่ลง ภาพทั้งปี 2025 มีแนวโน้มดีกว่าคาด ปี 2026 เสี่ยงติดลบ

จากข้อมูลส่งออก 9 เดือนแรกของปีนี้ที่ออกมาดีกว่าคาดต่อเนื่อง และข้อมูลส่งออกเดือน ก.ย. ยังขยายตัวสูงถึง 19% มูลค่าการส่งออกของไทยทั้งปี 2025 จึงมีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าที่ SCB EIC ประเมินไว้ล่าสุดก่อนนี้ที่ 5.3% แม้การส่งออกในช่วงไตรมาส 4 ปี 2025 จะมีแนวโน้มแย่ลง และก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์เคยตั้งเป้ามูลค่าการส่งออกปีนี้ไว้ที่ 2-3% เท่านั้น แต่การแถลงล่าสุดเดือนนี้ กระทรวงพาณิชย์ปรับมุมมองส่งออกปีนี้อาจขยายตัวได้สูงขึ้นมากถึง 10.4% อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินว่า แม้ตัวเลขส่งออกไทยปีนี้ที่จะให้ภาพเร่งตัวสูงกว่าปีก่อนมาก แต่ไทยอาจได้รับประโยชน์สุทธิไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากทองคำเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่ขยายตัวสูงมากในปีนี้ และการนำเข้าขยายตัวสูงขึ้นมากเช่นเดียวกับการส่งออก

 

สำหรับในปี 2026 SCB EIC มองส่งออกไทยมีแนวโน้มหดตัว -1.9% (ประเมิน ณ ต้นเดือน ต.ค. 2025) จากหลายปัจจัยกดดัน เช่น การที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติม ทั้งภาษีรายสินค้า (โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา) รวมถึงภาษีสินค้าสวมสิทธิ 40% เศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวชะลอลง ความไม่แน่นอนของการค้าโลกที่ยังสูง ปัจจัยฐานสูง ค่าเงินบาทที่อาจแข็งกว่าภูมิภาค สอดคล้องกับมุมมองหลายองค์กรระหว่างประเทศว่า ปริมาณการค้าโลกในปี 2026 มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2025 มาก โดย IMF มองว่าปริมาณการค้าและบริการโลกมีแนวโน้มขยายตัว 2.3% ในปี 2026 ชะลอลงจาก 3.6% ในปี 2025 เช่นเดียวกับ WTO ที่มองว่าปริมาณการค้าโลกจะขยายตัวเพียง 0.5% ในปี 2026 ชะลอลงจาก 2.4% ในปี 2025

การ์ทเนอร์ อิงค์ บริษัทวิจัยข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกิจและเทคโนโลยี ประกาศ 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ในปี 2569 ที่องค์กรธุรกิจควรศึกษาและเฝ้าจับตา

Gene Alvarez, รองประธานนักวิเคราะห์การ์ทเนอร์ กล่าวว่า "ในปี 2569 จะเป็นปีที่สำคัญต่อผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ต้องเผชิญกับการหยุดชะงัก นวัตกรรม ไปจนถึงความเสี่ยงที่ขยายตัวรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ในปีหน้าจะเชื่อมโยงกับปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และสะท้อนความเป็นไปของโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเชื่อมต่อกันสูงตลอดเวลา ซึ่งองค์กรธุรกิจต้องขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างมีความรับผิดชอบ ดำเนินงานด้วยความเป็นเลิศ และสร้างความไว้วางใจทางดิจิทัลไปพร้อมกัน"

Tori Paulman, รองประธานนักวิเคราะห์การ์ทเนอร์อีกท่าน กล่าวว่า "แนวโน้มต่าง ๆ เหล่านี้แสดงให้เราเห็นมากไปกว่าการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี แต่ยังเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ โดยสิ่งที่แตกต่างออกไปในปีนี้คือความเร็ว ในระยะเวลาหนึ่งปีเราเห็นนวัตกรรมเกิดขึ้นมากกว่าที่เคยเป็น เนื่องจากคลื่นนวัตกรรมลูกใหม่ไม่ได้อยู่ไกลออกไปเป็นปี ๆ อีกแล้ว ดังนั้นองค์กรที่ลงมือตั้งแต่ตอนนี้นอกจากจะไม่เพียงแค่สามารถรับมือกับความผันผวนได้ แต่ยังเป็นผู้กำหนดทิศทางอุตสาหกรรมของตนในทศวรรษต่อไป"

 เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในปี 2569 ประกอบด้วย

 

AI Supercomputing Platforms

AI Supercomputing Platforms รวมเอา CPUs, GPUs, ชิปประมวลผลเฉพาะแอปพลิเคชัน หรือ AI ASICs, การประมวลผลแบบนิวโรมอร์ฟิก (Neuromorphic) ที่เป็นการจำลองการประมวลผลในรูปแบบเดียวกับสมองมนุษย์ รวมถึงรูปแบบการประมวลผลทางเลือกอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการงานที่ซับซ้อนพร้อมปลดล็อกประสิทธิภาพ เพิ่มประสิทธิผล และการพัฒนานวัตกรรมไปสู่อีกระดับ โดยระบบเหล่านี้มีทั้งจากโปรเซสเซอร์ที่ทรงพลัง หน่วยความจำขนาดใหญ่ ฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง และซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกัน (Orchestration Software) ที่ทำหน้าที่จัดการและประสานงานระบบแอปพลิเคชัน, บริการ, หรือเวิร์กโฟลว์ที่ซับซ้อนให้ทำงานร่วมกันโดยอัตโนมัติ เพื่อจัดการกับงานที่ต้องใช้ข้อมูลอย่างเข้มข้นในด้านต่าง ๆ อาทิ Machine Learning, Simulation และ Analytics

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2571 มากกว่า 40% ขององค์กรชั้นนำจะนำสถาปัตยกรรม Hybrid Computing Paradigm มาใช้ในเวิร์กโฟลว์ธุรกิจที่มีความสำคัญ เพิ่มขึ้นจาก 8% ในปัจจุบัน

"ความสามารถนี้กำลังขับเคลื่อนนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น บริษัทด้านการดูแลสุขภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) ที่สามารถคิดค้นยาตัวใหม่ โดยใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์แทนที่เดิมต้องใช้เวลาหลายปี หรือในภาคบริการทางการเงิน องค์กรต่าง ๆ กำลังจำลองตลาดโลกเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ ขณะที่ผู้ให้บริการสาธารณูปโภคกำลังจำลองสภาพอากาศที่มีความรุนแรง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งกำลังไฟฟ้า" Paulman กล่าว

 Multiagent Systems

Multiagent Systems (หรือ MAS) คือชุด AI Agent ที่โต้ตอบกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ซับซ้อนทั้งแบบเฉพาะตัวหรือร่วมกัน Agent อาจถูกส่งมอบในสภาพแวดล้อมเชิงเดี่ยวหรือพัฒนาและปรับใช้แยกกันในสภาพแวดล้อมแบบกระจาย

"การนำระบบ Multiagent มาใช้ช่วยให้องค์กรมีวิธีการที่ใช้งานได้จริงในการทำให้กระบวนการทางธุรกิจที่ซับซ้อนเป็นอัตโนมัติ ยกระดับทักษะทีม และสร้างวิธีการใหม่ ๆ ให้ผู้คนและ AI Agent ทำงานร่วมกันได้ Agent แบบโมดูลาร์และเฉพาะทางสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ เร่งการส่งมอบ และลดความเสี่ยงโดยการนำโซลูชันที่ได้รับการพิสูจน์แล้วมาใช้ซ้ำในเวิร์กโฟลว์ต่าง ๆ แนวทางนี้ยังทำให้ง่ายต่อการขยายการดำเนินงานและนำไปปรับใช้ได้รวดเร็วตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง"

 Domain-Specific Language Models (DSLMs)

CIO และ CEO กำลังเรียกร้องคุณค่าทางธุรกิจมากขึ้นจาก AI แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว Large Language Model (LLM) มักไม่ตอบโจทย์กับงานเฉพาะทาง โมเดลภาษาเฉพาะโดเมน (DSLMs) เติมเต็มช่องว่างนี้ด้วยความแม่นยำที่สูงขึ้น ต้นทุนที่ต่ำลง และการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ดีขึ้น DSLMs คือโมเดลภาษาที่ได้รับการฝึกหรือปรับแต่งด้วยข้อมูลเฉพาะทางสำหรับอุตสาหกรรม มีหน้าที่ หรือกระบวนการเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากโมเดลอเนกประสงค์ DSLMs ให้ความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่สูงขึ้นสำหรับความต้องการทางธุรกิจที่เป็นเป้าหมาย

Gartner คาดการณ์ว่าภายในปี 2571 มากกว่าครึ่งหนึ่งของโมเดล GenAI ที่องค์กรใช้จะเป็นแบบเฉพาะโดเมน

"บริบทการใช้ Agent กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสร้างความแตกต่างที่สำคัญที่สุดสำหรับการใช้ Agent ให้ประสบความสำเร็จ AI Agent ที่รองรับด้วย DSLM สามารถตีความบริบทเฉพาะของอุตสาหกรรมเพื่อตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแม้ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย โดดเด่นในด้านความแม่นยำ อธิบายถึงที่มาที่ไปได้ และตัดสินใจได้ถูกต้อง" Paulman กล่าว

 

AI Security Platforms

แพลตฟอร์มความปลอดภัย AI หรือ AI Security Platforms นำเสนอแนวทางการทำงานแบบรวมศูนย์เพื่อรักษาความปลอดภัยแอปพลิเคชัน AI จากบุคคลที่สามและที่สร้างเองเฉพาะตัว ช่วยรวมศูนย์การมองเห็น บังคับใช้นโยบายการใช้งาน และป้องกันความเสี่ยงเฉพาะของ AI เช่น การโจมตีด้วยพรอมต์ (Prompt Injection), การรั่วไหลของข้อมูล (Data Leakage) และการกระทำของ Agent ที่เป็นอันตราย (Rogue Agent Actions) แพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วย CIO บังคับใช้นโยบายการใช้งาน ติดตามกิจกรรม AI และใช้มาตรการป้องกันที่สอดคล้องกันในทุก AI

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2571 มากกว่า 50% ขององค์กรจะใช้ AI Security Platforms เพื่อปกป้องการลงทุนด้าน AI ของตน

 AI-Native Development Platforms AI-Native Development Platforms หรือ แพลตฟอร์มการพัฒนาแบบ AI-Native ที่ใช้ GenAI เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ได้รวดเร็วและง่ายกว่า โดย Software Engineer ที่ฝังอยู่ในธุรกิจ ทำหน้าที่เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกับลูกค้าโดยตรงเพื่อกำหนดค่าแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ หรือ "Forward-Deployed Engineer" สามารถใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในโดเมนเพื่อพัฒนาแอปพลิเคชัน

องค์กรสามารถมีทีมเล็ก ๆ ที่ประกอบด้วยคนที่ทำงานคู่กับ AI เพื่อสร้างแอปพลิเคชันมากขึ้นด้วยจำนวน นักพัฒนา (Developer) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน องค์กรชั้นนำกำลังสร้างทีมแพลตฟอร์มเล็ก ๆ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญในโดเมนที่ไม่ใช่ทางเทคนิคสามารถผลิตซอฟต์แวร์ด้วยตนเองได้ โดยมีมาตรการรักษาความปลอดภัยและธรรมาภิบาลประจำอยู่

Gartner คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 แพลตฟอร์มการพัฒนาแบบ AI-Native จะส่งผลให้ 80% ขององค์กรพัฒนาทีม Software Engineering ขนาดใหญ่ให้เป็นทีมที่เล็กกว่าและคล่องตัวมากขึ้น โดยมี AI เสริม

 Confidential Computing

Confidential Computing คือ แนวทางใหม่ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มุ่งเน้นไปที่การปกป้องข้อมูลขณะที่ “กำลังถูกประมวลผล” จะเปลี่ยนวิธีที่องค์กรจัดการกับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน โดยการแยกภาระงานไว้ในสภาพแวดล้อมการประมวลผลที่ปลอดภัย หรือ Trusted Execution Environment (TEE) ที่อิงกับฮาร์ดแวร์ ช่วยให้เนื้อหาและภาระงานเป็นส่วนตัวแม้แต่จากเจ้าของโครงสร้างพื้นฐาน ผู้ให้บริการคลาวด์ หรือใครก็ตามที่สามารถเข้าถึงฮาร์ดแวร์จริงได้ สิ่งนี้มีคุณค่า โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมที่มีการควบคุมและการดำเนินงานระดับโลกที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และการปฏิบัติตามข้อกำหนด และทำงานร่วมมือกับคู่แข่ง

การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่าภายในปี 2572 มากกว่า 75% ของการดำเนินการในโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่น่าเชื่อถือจะได้รับการรักษาความปลอดภัยระหว่างการใช้งานด้วย Confidential Computing

 Physical AI

Physical AI หรือปัญญาประดิษฐ์เชิงกายภาพที่นำความฉลาดของ AI มาสู่โลกจริงโดยฝังไว้ในเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สามารถรับรู้ ตัดสินใจและดำเนินการได้ อาทิ หุ่นยนต์ โดรนและอุปกรณ์อัจฉริยะ ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพที่วัดผลได้ในอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับระบบอัตโนมัติ ความสามารถในการปรับตัวและความปลอดภัย

เมื่อมีการนำมาใช้เพิ่มขึ้น องค์กรต้องการทักษะใหม่ที่เชื่อมโยงกับระบบไอที, การดำเนินงานและการทำวิศวกรรม การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างโอกาสสำหรับการยกระดับทักษะและความร่วมมือใหม่ ๆ แต่อาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับงานและต้องการการจัดการการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบคอบ

Preemptive Cybersecurity ความปลอดภัยไซเบอร์เชิงป้องกันล่วงหน้าหรือ Preemptive Cybersecurity กำลังเป็นเทรนด์เมื่อองค์กรเผชิญกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณที่มุ่งเป้าหมายการโจมตีไปที่เครือข่าย ข้อมูล และระบบการเชื่อมต่อ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 โซลูชันเชิงป้องกันล่วงหน้า (Preemptive Solutions) จะคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการใช้จ่ายด้านความปลอดภัยทั้งหมด เนื่องจากผู้บริหาร CIO เปลี่ยนโหมดการป้องกันจาก Reactive ไปสู่โหมด Proactive  ความปลอดภัยไซเบอร์เชิงป้องกันล่วงหน้าคือการดำเนินการก่อนที่ผู้โจมตีจะโจมตีโดยใช้ AI-powered SecOps, Programmatic Denial และเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อหลอกล่อและเบี่ยงเบนความสนใจของ Hacker เมื่อเข้ามาในเครือข่ายขององค์กรอย่าง Deception เพราะนี่คือโลกที่การคาดการณ์คือการป้องกัน" Paulman กล่าว

Digital Provenance

เมื่อองค์กรพึ่งพาซอฟต์แวร์จากบุคคลที่สาม โค้ดโอเพนซอร์ส และเนื้อหาที่สร้างโดย AI มากขึ้น การตรวจสอบ Digital Provenance กลายเป็นสิ่งจำเป็น หมายถึงความสามารถในการตรวจสอบแหล่งที่มา ความเป็นเจ้าของ และความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์ ข้อมูล สื่อ และกระบวนการ เครื่องมือใหม่ ๆ อาทิ Software Bills of Materials (SBoM), Attestation Database และ Digital Watermarking มอบวิธีการแก่องค์กรในการตรวจสอบและติดตามสินทรัพย์ดิจิทัลตลอดห่วงโซ่อุปทาน

 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2572 ผู้ที่ไม่ได้ลงทุนอย่างเพียงพอในความสามารถด้าน Digital Provenance จะเผชิญกับความเสี่ยงจากการลงโทษที่อาจสูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์

Geopatriation Geopatriation หมายถึงการย้ายข้อมูลและแอปพลิเคชันของบริษัทจากผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะระดับโลกไปสู่การดำเนินงานแบบท้องถิ่น เช่น Sovereign Cloud, Regional Cloud Provider หรือศูนย์ข้อมูลขององค์กรเอง เนื่องจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รับรู้มา ซึ่งเคยจำกัดเฉพาะธนาคารและรัฐบาล แต่ระบบคลาวด์คอมพิวติ้งที่ตั้งและบริหารจัดการภายในประเทศหรือภูมิภาคเดียวกันกับผู้ใช้ หรือ Cloud Sovereignty นั้น ในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อองค์กรหลากหลายเนื่องจากความไม่มั่นคงระดับโลกที่เพิ่มขึ้น

"การย้ายภาระงานไปยังผู้ให้บริการที่มีท่าทีด้าน Sovereignty ที่เพิ่มขึ้นสามารถช่วยผู้บริหาร CIO ได้รับการควบคุมที่มากขึ้นเหนือการเก็บข้อมูลในพื้นที่ การปฏิบัติตามข้อกำหนด และธรรมาภิบาล รวมถึงการควบคุมที่มากขึ้นนี้อาจช่วยปรับปรุงการปฏิบัติตามกฎระเบียบท้องถิ่นและสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าที่กังวลด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลหรือผลประโยชน์ของชาติ" Alvarez กล่าว

นายอารภัฏ สังขรัตน์(ที่ห้าจากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ร่วมกับ สมาคมนักลงทุนประเทศไทย จัดสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟภายใต้หัวข้อ “เจาะลึกโอกาสการลงทุน ท่ามกลางศึกยักษ์ใหญ่จีน-สหรัฐ” เปิดมุมมองเชิงลึกและวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่รุนแรงระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจอย่างจีนและสหรัฐ โดยสองผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของวงการลงทุน “เซียนมี่” นายทิวา ชินธาดาพงศ์(ที่สี่จากซ้าย) นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย เจ้าของพอร์ตการลงทุนมูลค่าหลักพันล้านบาท นางสาวธนัชชา เชษฐโชติศักดิ์(ที่ห้าจากขวา) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่าย Investment Solution ถ่ายทอดมุมมองเชิงกลยุทธ์และแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ที่ดีที่สุด ได้แก่ นวัตกรรมแห่งอนาคต (AI / smart EV ) เกมส์ และ เฮลท์แคร์ กลุ่มธุรกิจศักยภาพที่ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากการแข่งขันของจีนและสหรัฐ พร้อมแนะนำแนวทางในการปรับพอร์ตและสร้างโอกาสการเติบโตในตลาดต่างประเทศ เพื่อช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถวางแผนลงทุนได้อย่างมั่นใจและรอบด้านยิ่งขึ้น ณ เดอะทาวน์ฮอลล์ อาคารดิออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเร็วๆนี้

เอไอเอ ไวทัลลิตี้ (AIA Vitality) ฉลองครบรอบ 10 ปีในประเทศไทย เปิดตัวกิจกรรมวิ่งสุดคิวท์แห่งปี กับ “My Melody & Kuromi Celebration Fun Run” ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ณ โบนันซ่า เขาใหญ่ และเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมของงาน AIA ONE BILLION DAY 2025 อีกทั้งยังเป็นการร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษครบรอบ 50 ปีของ My Melody และครบรอบ 20 ปีของ Kuromi ซึ่งนับเป็นคาร์แรคเตอร์ขวัญใจคนไทยหลาย ๆ คน โดยระยะทางวิ่งมีให้เลือกทั้งสิ้น 3 ระยะ ได้แก่

· ระยะ 1.5 km ที่ทุกคนสามารถวิ่งเพลินไปกับน้องหมาแสนรัก หรือชวนคุณหนู ๆ ที่รักมาวิ่งกับคาร์แรคเตอร์ในดวงใจ

· ระยะ 3 km ที่ทุกคนจะได้วิ่งแบบชิล ๆ กินบรรยากาศสุดคิวท์ และ

· ระยะ 7.5 km ที่ทุกคนจะได้เรียกเหงื่อและสนุกไปกับความน่ารักของ My Melody & Kuromi ตลอดเส้นทาง

 ยิ่งไปกว่านั้น กิจกรรมในครั้งนี้ยังมาพร้อมโปรโมชันสุดเอ็กคลูซีฟ อาทิ กิจกรรม Prepare for the Party ที่จะให้ทุกคนได้มาถ่ายรูปสวย ๆ และพบกับเซอร์ไพรซ์มากมาย กิจกรรม Workshop ทำขนมสำหรับทุกคนในครอบครัว นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษมอบให้สำหรับสมาชิก AIA Vitality โดยเปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ ผ่านทางเว็บไซต์ www.thai.run และติดตามรายละเอียดได้ทาง www.aiaonebillionday.com

สำหรับงาน AIA ONE BILLION DAY 2025 จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “RUN FUN SHARE” งานเดียวที่รวมกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีในสไตล์ของตัวเอง ทั้งงานวิ่งเทรล (AOB Trail) และ Fun Run กิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมายภายใน AOB Park (AOB Park) ที่รวบรวมร้านอาหารรสเด็ดและเกมมันส์ ๆ ให้ทุกคนในครอบครัวได้มาสนุกร่วมกัน ปิดท้ายด้วยคอนเสิร์ต (AOB Concert) กับศิลปินสุดฮอต อย่าง เจ-เจตริน โอ๊ต-ป๊อป-อาร์ต และส้ม-มารี นอกจากกิจกรรมสนุก ๆ แล้ว ทุกคนยังได้มีโอกาสร่วมทำบุญด้วยการบริจาคเงินสมทบทุนโครงการส่งเสริมและพัฒนาการพูด อ่าน เขียน ภาษาไทย โดยสภากาชาดไทย และพิเศษสำหรับผู้ที่บริจาคตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไปจะได้รับกระเป๋า AOB DAY 2025 Limited Edition อีกด้วย

เตรียมฝีเท้า แล้วไปวิ่งกันวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ณ โบนันซ่า เขาใหญ่ งานเดียวที่ไม่อยากให้ใครพลาด!

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด (“บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย)”) นำโดย นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายผดุง ทรงอธิกมาศ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้และกองทุน Asset Allocation รับรางวัล Thailand Product Experience of the Year - Financial Services จากเวที Asian Experience Awards 2025 ซึ่งมาจากความสำเร็จในการพัฒนากองทุนรวมผสมสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) ของเอไอเอ โดยสามารถส่งมอบประสบการณ์ด้านการลงทุนที่แตกต่างอย่างมีคุณค่า ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมและยั่งยืน ซึ่งรางวัลนี้สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในมิติด้านการลงทุน การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและเน้นความยืดหยุ่น การกระจายความเสี่ยง และการสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่ผู้ลงทุน พร้อมตอกย้ำบทบาทของ บลจ. เอไอเอ

(ประเทศไทย) ในฐานะผู้นำด้านการบริหารจัดการกองทุนสำหรับผลิตภัณฑ์ยูนิต ลิงค์ ในประเทศไทย โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้น ณ Marina Bay Sands Expo & Convention Centre ประเทศสิงคโปร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

สำหรับ Asian Experience Awards เป็นเวทีที่มอบรางวัลให้แก่องค์กรที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ในหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ลูกค้า โดยการพิจารณาอย่างรอบด้านจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มอบรางวัลให้แก่ผู้ที่สามารถสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้า บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นและคุณประโยชน์ที่แท้จริง พร้อมส่งมอบคุณค่าได้อย่างลึกซึ้งและยั่งยืน สะท้อนถึงความเข้าใจในมิติของการลงทุนและการสร้างผลลัพธ์ที่มีความหมายในระยะยาว

รางวัลในครั้งนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพของกระบวนการทำงาน และทีมงานที่มากประสบการณ์ ด้านการลงทุนของบลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) รวมถึงความแข็งแกร่งของกลุ่มการลงทุนภายใต้กลุ่มบริษัทเอไอเอ ที่ร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดย บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ยังคงมุ่งมั่นในการบริหารกองทุนรวมผสมให้มีความเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของแต่ละกองทุน พร้อมโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว เพื่อส่งมอบประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือกรมธรรม์ เอไอเอ ยูนิต ลิงค์

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีออกไปสนุกท่ามกลางธรรมชาติ กับเทศกาลดนตรีและภาพยนตร์กลางแจ้ง “Movie on the Hill” ครั้งที่ 6 ที่กลับมาอีกครั้งในธีม “บุปผาซน” ในวันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ณ ไร่ทองสมบูรณ์คลับ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ร่วมสัมผัสบรรยากาศการชมภาพยนตร์กลางขุนเขา พร้อมคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังของไทย อาทิ วง แอตลาส / เจ เจตริน / เจฟ ซาเตอร์ / เดอะ ทอยส์ / แสตมป์ และ แหลม สมพล ที่จะมาสร้างสีสันและความสุขให้กับค่ำคืนสุดพิเศษแห่งปี

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” กล่าวว่า งาน “Movie on the Hill ครั้งที่ 6” ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลดนตรีและภาพยนตร์กลางแจ้งยอดนิยมที่เคทีซีพร้อมมอบความสุข ความบันเทิง และประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับสมาชิก ภายใต้แนวคิด ‘Fun & Learn, Enjoy the Moment’ ซึ่งในปีนี้งานดังกล่าวกลับมาอีกครั้งในธีม ‘บุปผาซน’ ที่พร้อมชวนทุกคนไปสัมผัสกับธรรมชาติ เสียงหัวเราะ และความอบอุ่นของมิตรภาพ สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ฟรี ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2568 – วันที่ 20 ตุลาคม 2568 ผ่านเว็บไซต์ ktc.promo/moh2025 โดย 500 ท่านแรกที่ลงทะเบียนสำเร็จ จะได้รับ โค้ด E-Ticket สำหรับเข้างาน ท่านละ 2 ใบ ผ่านแอป KTC Mobile ในวันที่ 31 ตุลาคม 2568” ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/book-hobby-entertainment/events/movie-on-hill หรือสอบถามที่ KTC PHONE 02 123 5000 สำหรับผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

SCG ร่วมเวที Forbes Global CEO Conference 2025: THE WORLD PIVOTS ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งจัดภายใต้หัวข้อ “Sustainable Philanthropy” โดยมีผู้นำองค์กรจากทั่วโลกเข้าร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมโลก

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ได้นำเสนอแนวคิด “Inclusive Green Growth” กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มขีดศักยภาพและสร้างความสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เทคโนโลยีอย่าง AI, Robotics และ Deep Tech ถูกนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขยายศักยภาพห่วงโซ่อุปทาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในกระบวนการผลิต ตัวอย่างที่ชัดเจน คือการพัฒนา Low-Carbon Cement ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพและโอกาสทางธุรกิจ

นอกจากนี้ SCG ยังร่วมมือกับพันธมิตรและซัพพลายเชน เพื่อใช้เทคโนโลยีและข้อมูลร่วมกันในการสร้าง “Impact Chain” ซึ่งช่วยเสริมสร้างการเติบโตและผลกระทบเชิงบวกอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

สำหรับแนวคิด Inclusive Green Growth ไม่ได้หมายถึงเพียงการดูแลสิ่งแวดล้อม แต่คือแนวทางการเติบโตระยะยาวที่รวมทั้งเทคโนโลยี นวัตกรรม และความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน แข่งได้ในตลาดโลก และส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นต่อไป

 

 

ซิสโก้ (Cisco) ผู้นำระดับโลกด้านเครือข่ายและความปลอดภัย เปิดเผย ‘ผลการศึกษาจากดัชนีความพร้อมด้าน AI ประจำปี 2568 (Cisco AI Readiness Index 2025) ครั้งที่ 3 พบว่า กลุ่ม 'Pacesetters' ซึ่งเป็น ‘กลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ’ เป็นกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีความมุ่งมั่นและดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ คิดเป็นประมาณ 21% ขององค์กรที่สำรวจในประเทศไทย และ 13% ขององค์กรทั่วโลก โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าคู่แข่งในทุกมิติของมูลค่าทางธุรกิจที่ได้รับจาก AI เป็นครั้งแรกในผลการศึกษาระดับโลกของซิสโก้ที่ครอบคลุมผู้นำด้าน AI กว่า 8,000 คน ใน 30 ตลาด และ 26 อุตสาหกรรม

 ความได้เปรียบที่ยั่งยืนของ กลุ่มผู้นำที่มีความพร้อมด้าน AI (Pacesetters) ชี้ให้เห็นถึงรูปแบบใหม่ของความยืดหยุ่นทางธุรกิจ (Resilience) นั่นก็คือ การใช้แนวทางเชิงระบบที่เป็นระเบียบ (disciplined, system-level approach) ที่สร้างความสมดุลระหว่างตัวขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ กับข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อให้ก้าวทันวิวัฒนาการที่รวดเร็วของ AI พวกเขากำลังออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับอนาคต โดย 98% ของกลุ่มนี้ออกแบบเครือข่ายของตนให้พร้อมรับมือกับการเติบโต การขยายขนาด และความซับซ้อนของ AI ในขณะที่บริษัทในประเทศไทยทำได้เพียง 52%

การผสมผสานระหว่าง วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล (Foresight) และ การวางรากฐานที่มั่นคง (Foundation) ได้สร้างผลลัพธ์ที่เป็นจริงและสามารถวัดผลได้ ในช่วงเวลาที่สองปัจจัยสำคัญกำลังเริ่มปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของธุรกิจคือ AI Agents ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ยกระดับมาตรฐานด้านขนาด (Scale) ความปลอดภัย (Security) และการกำกับดูแล (Governance) และ AI Infrastructure Debt ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของคอขวดที่ซ่อนอยู่ และอาจบ่อนทำลายมูลค่า AI ในระยะยาว

 นายวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิสโก้ ประเทศไทย และเมียนมาร์ กล่าวว่า "ผลการศึกษาความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้ในปีนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ‘ความพร้อมนำมาซึ่งมูลค่าที่แท้จริง’ ในทุกๆ ด้าน เราเห็นว่าองค์กรที่มีความพร้อมด้าน AI หรือ กลุ่ม Pacesetters ในการศึกษาของเราพิสูจน์ให้เห็นสิ่งนี้ พวกเขามีโอกาสมากกว่า 3 เท่าในการนำโครงการทดลอง AI สู่การใช้งานจริง และมีโอกาสมากกว่าถึง 20% ที่จะเห็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดได้จากการใช้ AI ในขณะที่องค์กรต่างๆ กำลังนำ AI agents มาใช้งาน ความสำเร็จของพวกเขาขึ้นอยู่กับความพร้อม การมีวินัย และการลงมือทำ"

ลักษณะเด่นของ Pacesetter: ‘ความพร้อม’ คือความได้เปรียบในการแข่งขัน

การวิจัยของซิสโก้ชี้ให้เห็นแนวทางที่คล้ายคลึงกันในกลุ่มผู้นำเหล่านี้ที่สามารถสร้างผลตอบแทนสู่ธุรกิจได้

· พวกเขาได้ผนวก AI เข้าเป็นแกนหลักของธุรกิจ ไม่ใช่แค่โครงการเสริม

เกือบทั้งหมดของ Pacesetters (99%) มีแผนงานด้าน AI ที่ชัดเจน (เทียบกับ 73% ในประเทศไทย) และ 91% (เทียบกับ 46% ในประเทศไทย) มีแผนบริหารการเปลี่ยนแปลงด้วย ส่วนในเรื่องของงบประมาณที่สอดคล้องกับเป้าหมายนั้น 79% ยกให้ AI เป็น วาระสำคัญที่สุดในการลงทุน (เทียบกับ 36% ในประเทศไทย) และ 96% มีกลยุทธ์การจัดหาเงินทุนระยะสั้นและระยะยาว (เทียบกับ 55% ในประเทศไทย)

 · พวกเขาสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับการเติบโต

พวกเขาออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับยุค always-on AI ที่ทำงานตลอดเวลา 71% ของ Pacesetters กล่าวว่าเครือข่ายของพวกเขามีความยืดหยุ่นอย่างเต็มที่ และสามารถขยายได้ทันทีสำหรับโครงการ AI (เทียบกับ 27% ในประเทศไทย) และ 77% กำลังลงทุนในความจุศูนย์ข้อมูล (Data-center capacity) ใหม่ ภายใน 12 เดือนข้างหน้า (เทียบกับ 48% ในประเทศไทย)

· พวกเขาสามารถนำร่องโครงการไปสู่การใช้งานจริงได้สำเร็จ

62% มีกระบวนการสร้างนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง และทำซ้ำได้สำหรับการสร้างและขยายผลกรณีการใช้งาน AI (เทียบกับ 18% ในประเทศไทย) และสามในสี่ (77%) ได้ทำโครงการใช้งาน AI เหล่านั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว (เทียบกับ 27% ในประเทศไทย)

· พวกเขาวัดผลในสิ่งที่สำคัญ

95% มีการติดตามผลกระทบจากการลงทุนด้าน AI ซึ่งสูงกว่าองค์กรอื่น ๆ มากกว่าสองเท่า และ 71% มั่นใจว่ากรณีการใช้งาน AI ของตนจะสร้างกระแสรายได้ใหม่ (New Revenue Streams) เทียบกับค่าเฉลี่ยในประเทศไทยที่ 41%

· พวกเขาเปลี่ยนความปลอดภัยให้เป็นจุดแข็ง

87% มีความตระหนักรู้สูงเกี่ยวกับภัยคุกคามเฉพาะด้าน AI (เทียบกับ 45% ในประเทศไทย) 62% ผนวก AI เข้ากับระบบความปลอดภัยและระบบการยืนยันตัวตน (Identity Systems) ของตน (เทียบกับ 35% ในประเทศไทย) และ 75% มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการควบคุมและรักษาความปลอดภัยของ AI Agents (เทียบกับ 45% ในประเทศไทย) ‘ความไว้วางใจ’ เป็นส่วนหนึ่งในสมการมูลค่าของกลุ่ม Pacesetters

กลุ่ม Pacesetters สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ครอบคลุมมากกว่าคู่แข่งด้วยแนวทางนี้: 90% รายงานว่าได้รับผลประโยชน์ด้านความสามารถในการทำกำไร ผลผลิต และนวัตกรรม เทียบกับ 79% โดยรวมในประเทศไทย

 

AI agents: ความมุ่งมั่นที่เร็วกว่าความพร้อม

ดัชนีแสดงให้เห็นว่า 98% ขององค์กรในประเทศไทยวางแผนนำ AI agents มาใช้งาน และเกือบ 31% คาดว่า AI agents จะทำงานร่วมกับพนักงานในปีหน้า แต่สำหรับบริษัทส่วนใหญ่ AI agents ทำให้เห็นชัดว่าโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม ระบบที่มีอยู่แทบไม่สามารถรองรับแม้แต่ AI แบบพื้นฐาน (Reactive, Task-based AI) ส่วน AI ที่ทำงานอัตโนมัติ และเรียนรู้ตลอดเวลาด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้

29% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าเครือข่ายของตนไม่สามารถรองรับความซับซ้อน หรือปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้ และมีเพียง 27% ที่มองว่าเครือข่ายของตนมีความยืดหยุ่นหรือปรับตัวได้

แต่สำหรับกลุ่ม Pacesetters นั้น แนวทางที่เป็นระบบและมีวินัยทำให้พวกเขาวางรากฐานที่จำเป็นสำหรับการขยายตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว

 

AI Infrastructure Debt: แรงฉุดมูลค่าที่กำลังเกิดขึ้น

รายงานฉบับนี้ได้นำเสนอแนวคิดใหม่ นั่นคือ "ภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐาน AI" (AI Infrastructure Debt) ซึ่งเป็นวิวัฒนาการล่าสุดของ "ภาระหนี้ทางเทคนิคและดิจิทัล" ที่เคยเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมาก่อน

ภาระหนี้ดังกล่าวเกิดจากการ สะสมอย่างเงียบ ๆ ของการประนีประนอม การเลื่อนการอัปเกรด และสถาปัตยกรรมที่ได้รับเงินทุนไม่เพียงพอ ซึ่งจะกัดกร่อนมูลค่าของ AI เมื่อเวลาผ่านไป สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าบางประการได้เริ่มปรากฏให้เห็นแล้วคือ: 40% คาดว่าปริมาณงานจะเพิ่มขึ้นกว่า 30% ภายใน 3 ปี, 61% ประสบปัญหาในการรวมศูนย์ข้อมูล (Centralize Data), 31% เท่านั้นที่มีความจุ GPU ที่เพียงพอ และ 42% ที่สามารถตรวจจับ หรือป้องกันภัยคุกคามเฉพาะด้าน AI ได้

สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างระหว่าง ความมุ่งมั่นด้าน AI (AI Ambition) กับ ความพร้อมในการปฏิบัติงาน (Operational Readiness) ยิ่งไปกว่านั้น หากระบบที่ขับเคลื่อน AI ขาดความปลอดภัย "ภาระหนี้" ดังกล่าวก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้น ถึงแม้ว่ากลุ่ม Pacesetters จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ได้โดยสิ้นเชิง แต่ วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การกำกับดูแล และระเบียบวินัยในการลงทุน จะช่วยให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ปัญหาเล็ก ๆ ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นความเสี่ยงที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าได้

ดาวน์โหลดรายงาน: "ความพร้อม” นำไปสู่มูลค่า

เมื่อระบบ agentic AI และ AI อัตโนมัติผลักดันให้องค์กรต้องใช้การประมวลผลอย่างต่อเนื่อง รายงานชี้ชัดว่า "ความพร้อมนำไปสู่มูลค่าทางธุรกิจ" โดยองค์กรที่มีความพร้อมด้าน AI สูงสุดเป็นผู้นำเทรนด์ให้องค์กรอื่นๆ ตาม

SCB WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ ผ่านทาง SCB WEALTH Line official ในหัวข้อ “ผ่าทางรอดเศรษฐกิจไทย รับ 2 ผู้นำใหม่” ทั้งรัฐบาลและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการผนึกกำลังกับทีม Holistic ได้แก่ SCB EIC, SCB FM, SCB CIO และ InnovestX เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนสำหรับลูกค้า SCB WEALTH และนักลงทุนทั่วไป โดย SCB EIC มองรัฐบาลใหม่เผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจไทยโตต่ำ คาด GDP ทั้งปีโตเพียง 1.8% และไตรมาส4 คาดว่าโตไม่ถึง1% แนะรัฐบาลควรดำเนินการ 3S พร้อมกัน คือ Stability -Stimulate และStructure Reform เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ขณะที่ นโยบาย Quick Big Win สะท้อนความตั้งใจกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว แต่ยังต้องจับตาผลทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจริง ส่วนการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ รอบล่าสุดเสี่ยงยืดเยื้อและกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าในอดีต เศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบตามมาได้ผ่านการส่งออกและความผันผวนของตลาดการเงิน InnovestX เผยมองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้า 1,350-1,400 จุด โดยการมีนายกฯ และครม.ใหม่ จะนำไปสู่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์นโยบายรัฐบาลใหม่ กลุ่มค้าปลีก พาณิชย์ เครื่องดื่ม ร้านอาหาร กลุ่มการเงิน กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง SCB FM ประเมินเงินบาทสิ้นปีนี้ อยู่ที่ระดับ 31.25-32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเงินบาทมีแรงกดดันที่ทำให้อ่อนค่าในระยะสั้น แต่มีแรงกดดันที่ทำให้แข็งค่าในระยะยาว แนะนำผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนก่อนบาทอ่อนแตะ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ SCB CIO แนะนำจัดพอร์ตลงทุนเน้นตลาดหุ้นและตราสารหนี้โลกเป็นหลัก แต่การเปลี่ยนตัวผู้นำใหม่ของไทย เพิ่มโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยสามารถลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตหลักได้ เน้นกลุ่มที่รับประโยชน์นโยบายรัฐ หรือกลุ่มหุ้นปันผลสูง Property Fund และ REITs

ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดใหม่ของไทยต้องเข้ามารับมือความท้าทายจากเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำ โดย SCB EIC คาดการณ์ GDP ไทย ปี 2568 จะโตเพียง 1.8% โดยเฉพาะไตรมาส 4 คาดว่าจะโตไม่ถึง 1% ขณะที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักยังอ่อนแรง ทั้งการบริโภค และการลงทุน ส่วนในปี 2569 ผลกระทบจากภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลเต็มปี ทำให้การส่งออกติดลบ ในสถานการณ์นี้ SCB EIC มองว่า รัฐบาลควรดำเนินการ 3 ด้าน (3S) พร้อมกัน ได้แก่ สร้างความมีเสถียรภาพ (Stability) กระตุ้นเศรษฐกิจ (Stimulate) และปฏิรูปโครงสร้าง (Structure Reform)

 สำหรับระยะสั้น รัฐบาลต้องเรียกความเชื่อมั่นผู้บริโภค นักธุรกิจ นักลงทุน และนักท่องเที่ยวกลับมา เร่งการเบิกจ่ายในไตรมาส 4 และกระตุ้นอุปสงค์ ผ่านชุดนโยบายที่จะออก ขณะที่มีการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายควบคู่กัน ส่วนระยะกลาง ต้องเร่งเพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศ มีนโยบายที่ทำให้นักธุรกิจและแรงงานเก่งขึ้น ปฏิรูปการคลัง และเร่งสื่อสารเชิงรุก ซึ่งเมื่อพิจารณานโยบายเศรษฐกิจ Quick Big Win ของรัฐบาล พบว่า มีมาตรการระยะสั้นที่สำคัญ ได้แก่ การเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย เช่น โครงการคนละครึ่ง Plus การเติมเงินในบัตรสวัสดิการ การลดค่าเดินทางและพลังงาน การแก้หนี้ประชาชน ช่วยหนี้รายย่อยในระบบไม่เกิน 100,000 บาท ได้ประมาณ 1 ล้านคน ด้วยวงเงินที่ยังเหลือจากมาตรการปรับลดอัตราสมทบที่สถาบันการเงินต้องนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) และการเพิ่มสภาพคล่องให้ SME ส่วนมาตรการระยะยาวที่สำคัญ คือ การประกาศเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เร็วขึ้น 15 ปี จากปี 2608 เป็นปี 2593 การปฏิรูปกฎหมาย แก้ผลกระทบสงครามการค้า และการอำนวยความสะดวกการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งสะท้อนว่า รัฐบาลมีความตั้งใจจะเร่งดำเนินนโยบายเพื่อให้เกิดผล Quick (กระตุ้นสั้น) Big (ได้ผลยาว) Win (กระจายตัวทั่วถึง) ทั้ง 3 ด้านพร้อมกัน แต่รัฐบาลจะอยู่เพียง 4 เดือน จากนั้นจะยุบสภา และอาจรักษาการต่ออีก 4 เดือน จึงต้องจับตาว่าจะเห็นผลทางเศรษฐกิจได้มากเพียงใด

 

ทั้งนี้ SCB EIC มองว่า รัฐบาลมีกระสุนจำกัด จากการคลังที่มีข้อจำกัดการกู้ยืม หากรัฐบาลขาดดุลงบประมาณสูง 3-4% ต่อ GDP ต่อเนื่อง หนี้สาธารณะอาจเกินเพดาน 70% ภายในปี 2570 ซึ่งรัฐมนตรีคลังก็เล็งเห็นความจำเป็นในการปฏิรูปการคลัง ส่วนประเด็นกำลังซื้อฐานรากอ่อนแอ รายได้ของแรงงานและ SME กลุ่มล่างยังไม่ฟื้นตัว อาจทำให้นโยบายที่ใส่เม็ดเงินเข้าไปทำได้เพียงช่วยลดรายจ่ายหรือเพิ่มสภาพคล่อง แต่ยากที่จะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศ จากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (US Government Shutdown) ซึ่งเป็นความไม่แน่นอนเพิ่มเติมที่มากดดันเศรษฐกิจโลก โดยที่คาดว่า Shutdown ครั้งนี้อาจยืดเยื้อยาวนานกว่าในอดีตที่ Shutdown เฉลี่ย 4 วัน มีการพูดถึงการปลดพนักงานรัฐมากถึง 750,000 คน ซึ่งมากขึ้นอีกเท่าตัวของตัวเลขสูงสุดในอดีต และขู่ว่าอาจไม่จ่ายเงินย้อนหลังให้ ฉะนั้นอาจมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าเดิม โดยหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ ไทยจะได้รับผลกระทบผ่านการส่งออกและตลาดการเงินด้วย

 

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า InnovestX มองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปี 2569 อยู่ระหว่าง 1,350-1,400 จุด โดยประเมินจากระดับ P/E Ratio ที่ประมาณ 14.5 เท่า ซึ่งอยู่ในกรอบปกติจากค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่ที่ 14-16 เท่า โดยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอย่างรวดเร็วทำให้ตลาดมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ซึ่งจากสถิติในอดีตหลังแต่งตั้งนายกฯ 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยมักปรับขึ้นประมาณ 2.5-5% จากความคาดหวังว่านโยบายรัฐบาลใหม่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยโตดีขึ้นได้

 เมื่อพิจารณาปัจจัยสนับสนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ ด้านปัจจัยภายนอก ตลาดคลายความกังวลผลกระทบนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย ในระยะสั้น จากอัตราภาษีที่เรียกเก็บอยู่ในระดับเดียวกับประเทศตลาดเกิดใหม่ด้วยกัน และไม่ได้สูงเท่าระดับก่อนการเจรจา ด้านนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่า เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย ด้านปัจจัยในประเทศ เงินเฟ้อที่ไม่สูง และเศรษฐกิจเติบโตค่อนข้างต่ำ นโยบายการเงินน่าจะมีการลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการเงิน ทำให้มีการประเมินราคาหุ้นเพิ่มขึ้น (P/E expansion) ได้

 หากวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลใหม่ คาดว่ามาตรการคนละครึ่ง Plus จะส่งผลชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มค้าปลีก พาณิชย์ เครื่องดื่ม และร้านอาหาร เนื่องจากขนาดการใช้จ่ายไม่สูงมาก ส่วนมาตรการแก้หนี้ หากทำสำเร็จและลดภาระหนี้ได้ กำลังซื้อจะกลับมา ซึ่งจะส่งผลดีกับกลุ่มค้าปลีก ขณะที่การพักชำระหนี้อาจช่วยให้คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น ให้ประโยชน์กับภาคการเงิน ส่วนมาตรการด้านท่องเที่ยว การกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรองและการให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวนำเงินที่ปรับปรุงกิจการ (Renovate) มาลดหย่อนภาษีได้ จะเป็นผลบวกต่อ กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม และค้าปลีก ด้านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Land Bridge) และรถไฟรางคู่ ด้วยอายุรัฐบาลที่ไม่ได้อยู่ยาว ทำให้รัฐบาลอาจเป็นเพียงผู้วางกรอบ ให้รัฐบาลถัดไปสานต่อมากกว่า จึงเป็นประโยชน์ในเชิง Sentiment ต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

 นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets (SCB FM) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า กล่าวว่า ในช่วงนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว จากที่กลางเดือน ก.ย. เคยแข็งค่า เนื่องจาก แม้จะมี US Government Shutdown ที่ตามตำราควรทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า แต่จากการที่ตลาดขาดตัวเลขเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ จึงไปให้ความสำคัญตัวเลขภาคเอกชน ที่ออกมาค่อนข้างดี และให้ความสำคัญกับนโยบายการเงิน ที่คณะกรรมการ Fed ส่งสัญญาณความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ไม่รีบลดดอกเบี้ย จึงหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่า อีกประเด็นมาจาก การซื้อทองคำ โดยปกติเมื่อราคาทองคำปรับขึ้น นักลงทุนมักขายทำกำไร ถือเงินบาท แต่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ลงทุนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เมื่อราคาทองคำปรับขึ้น กลับเข้าซื้อทองคำเพิ่ม เพราะมองว่าราคาจะขึ้นต่อ จึงกดดันเงินบาทอ่อนค่า

 ทั้งนี้ ในระยะสั้น ยังมีแรงกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าอยู่ โดยกรณีที่ US Government Shutdown ยังดำเนินต่อไป ตลาดจะไปให้ความสำคัญปัจจัยที่ Fed อาจยังไม่ลดดอกเบี้ยแรง ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ออกมาแย่ ตลาดจะยังไม่กังวลประเด็นด้านเศรษฐกิจนัก หรือกรณี US Government Shutdown จบเร็ว ก่อนตัวเลขสำคัญของสหรัฐฯ ออกมา โดย เงินบาทมีโอกาสทดสอบใกล้ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ ส่วนในระยะยาว เงินบาทมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่า จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่แคบลง แม้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ มีมุมมอง Dovish เน้นการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย คาดว่า ธปท. จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง โดยลดปลายปีนี้ 1 ครั้ง และต้นปีหน้าอีก 1 ครั้ง แต่อาจจะน้อยกว่า Fed ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง โดยลดในปีนี้อีก 2 ครั้ง และปีหน้าอีก 2 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากสกุลเงินอื่นที่เป็นสกุลเงินหลักของโลก เช่น เงินยูโร ที่อ่อนค่า จากประเด็นความกังวลทางการเมือง แต่มองไปข้างหน้าคาดว่า เงินยูโรจะกลับมาแข็งค่าจากแผนการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มเติมของเยอรมนี ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า เงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นตาม และอีกประเด็นคือ เงินทุนเคลื่อนย้าย เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า ก็จะดึงดูดเงินทุนไหลมายังตลาดเกิดใหม่เอเชีย

ทั้งนี้ นายวชิรวัฒน์คาดว่า ปลายปีนี้ เงินบาทจะอยู่ที่ประมาณ 31.25 – 32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จึงแนะนำผู้ส่งออกป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทำ Hedging หรือ Forward เมื่อเงินบาทอ่อนค่าใกล้ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ควรรอให้ทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ช่วงที่ผ่านมาความผันผวนของค่าเงินลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อสิทธิที่จะซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศ (FX Options) ถูกลง ดังนั้น ทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าอาจพิจารณาทำ Options นอกจากนี้ อาจพิจารณาเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit : FCD) เพื่อรับดอกเบี้ยสกุลต่างประเทศที่สูงกว่า หรือพิจารณาผลิตภัณฑ์การลงทุน Dual Currency Investment : DCI หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ลงทุนที่ต้องการใช้สกุลเงินต่างประเทศในอนาคต และแนวทางสุดท้าย อาจพิจารณาทำธุรกรรมการค้าโดยใช้สกุลเงินท้องถิ่นของคู่ค้าโดยตรง เช่น เยน หยวน หรือยูโร เพื่อลดความผันผวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และลดต้นทุนการแปลงสกุลเงินด้วย

 น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การที่เราได้ผู้นำใหม่ทั้งนายกฯ และผู้ว่าการ ธปท. รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาลที่มีรัฐมนตรีคนนอกมากขึ้น ทำให้ตลาดการลงทุนในไทยมี Sentiment ที่ดีขึ้นมาก จากความคาดหวังว่า นโยบายการคลังและการเงินน่าจะประสานกันมากขึ้น และแม้รัฐบาลมีอายุเพียง 4 เดือน แต่นโยบายเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่รัฐบาลยกขึ้นมาเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะนโยบาย Quick Big Win เช่น คนละครึ่ง Plus และการเติมเงินบัตรสวัสดิการ จะช่วยลดรายจ่ายและค่าครองชีพให้ประชาชน หนุน GDP ไตรมาส 4 ปรับตัวเป็นบวกได้ ส่วนนโยบายการเงินที่ ธปท. ในส่วนของ มาตรการตั้ง AMC คาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย ผ่อนคลายปัญหาให้กลุ่มคน 3.4 ล้านคนที่เป็นหนี้ได้ ขณะที่ คาดว่า ธปท. มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% ภายในปลายปีนี้ และมีโอกาสลดดอกเบี้ยเหลือ 1.00% ได้ ช่วงต้นปีหน้า โดยที่ปัญหาเงินฝืดของไทยที่ ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ กล่าวถึง เป็นปัจจัยที่ทำให้มี Policy Space ในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้

สำหรับมุมมองการลงทุน ในไทยนั้น เรามองว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มมี Sentiment ที่ดีขึ้นจากผู้นำใหม่ ประกอบกับกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนเริ่มเห็นการหยุดปรับลดประมาณการลง ทำให้มีโอกาสจะปรับตัวขึ้นตามตลาดโลกได้ จากที่ก่อนหน้านี้ยังทำผลงาน Laggard ตลาดหุ้นโลกอยู่ ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทย ในปีนี้ เป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี โดยราคาสะท้อนแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยลงไปค่อนข้างมากแล้ว แม้ช่วงสั้น Bond yield จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้างจากการที่ Fitch ปรับมุมมองของไทยจากมีเสถียรภาพเป็นลบ แต่ยังคง Rating ไว้ที่ระดับเดิมจากความกังวลเสถียรภาพทางการเมือง และเศรษฐกิจไทยที่เติบโตช้า สำหรับในภาพระยะถัดไปที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีก ยังหนุนโอกาสการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย เพียงแต่โอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากราคา อาจมีไม่มากแล้ว เนื่องจาก Bond Yield ปรับลดไปมากแล้วก่อนหน้านี้

 ในแง่การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน เรามองว่า นักลงทุนยังควรให้น้ำหนักการลงทุนไปที่ตลาดหุ้นและตราสารหนี้โลกเป็นหลัก ในพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) เนื่องจาก GDP ตลาดโลกน่าจะดีกว่าตลาดไทย การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดโลกก็น่าจะยังสูงกว่าตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้การลงทุนในตลาดโลกยังช่วยให้เราได้เข้าถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Structural Change) ที่เป็นพลังขับเคลื่อนระยะยาว มีอุตสาหกรรมแนวหน้า และบริษัทชั้นนำค่อนข้างมาก เช่น AI, Data Center และ Cloud ซึ่งเป็นธุรกิจสำหรับอนาคต ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในไทย มีสัดส่วนในด้านเหล่านี้ไม่มาก อย่างไรก็ตามสามารถลงทุนตลาดหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตหลักได้

 สำหรับตลาดตราสารหนี้โลก ยังมีความน่าสนใจ จากการที่ดอกเบี้ย Fed ยังอยู่ในระดับสูงที่ 4-4.25% โดยหากลงทุนในช่วงเวลานี้ นอกจากจะมีโอกาสรับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงแล้ว ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Capital Gain) จาก Bond Yield ที่มีโอกาสปรับลดลงตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ และปีหน้าด้วย ดังนั้นหากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น แนะนำให้แบ่งสัดส่วนเงินลงทุนไปยังตราสารหนี้โลกได้

กลยุทธ์ลงทุนหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มนั้น เรายังชอบ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่น่าจะเติบโตได้ดี จาก ธีม AI รวมถึงตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และการได้ผู้นำใหม่ น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า จะทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียได้ประโยชน์ โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทย มีโอกาสหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้ ระยะสั้นต้องเลือกลงทุนในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล เช่น กลุ่มค้าปลีก หรือ กลุ่มการเงิน ส่วนระยะยาว ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจในแง่ระดับเงินปันผลที่สูงประมาณ 3.5% โดยให้เลือกลงทุนในหุ้นปันผลสูง หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่อัตราเงินปันผลระดับสูง เฉลี่ยที่ 8-9% ได้

 หมายเหตุ : เอกสารนี้จัดทำขึ้น ณ วันที่ 14 ต.ค. 2568

คำเตือน· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

· สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

Page 4 of 196
X

Right Click

No right click