December 15, 2025

กรุงเทพฯ 22 กรกฎาคม 2568 – ลุ้นทองล้านกลับบ้าน!...ทรู5G ร่วมกับ 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำ จัดกิจกรรมมอบโชคใหญ่ “มหกรรมลุ้นทองล้าน ซีซั่น 3” แจกทองคำมูลค่า 100,000 บาท 30 รางวัล บัตรเติมเงิน บัตร Gift Card โลตัส กว่า 553 รางวัล รวมมูลค่าทั้งสิ้น 3,379,500 บาท ลุ้นรับโชคใหญ่ง่ายๆ เพียงสมัคร SMS รับบริการเสริมบริการดูดวง และลงทะเบียนร่วมสนุกกับกิจกรรมที่ชื่นชอบ ได้แก่

· "รวยทันใจ ได้ทองแสน ซีซั่น 3" บริษัท สมาร์ท เทเลบิซ จำกัด กด *487# ,

· "ลุ้นรวยทรัพย์รับทองเเสน ซีซั่น 7" บริษัท ธิงค์สมาร์ท จำกัด กด *187# ,

· "จัดหนัก ลุ้นโชคทองแสน ซีซั่น 12" บริษัท ครีเอทีฟ ดิจิพลัส จำกัด กด *256# ,

· “แจกหนัก จัดเต็ม ลุ้นรับทองแสน ซีซั่น 2" บริษัท ชีส ดิจิตอล เน็ตเวิร์ค จำกัด กด *417# ,

· "โชคหล่นทับ รับทองแสน ซีซั่น 3" บริษัท มิตซุย ไอซีที จํากัด กด *451# ,

· "บิ๊กเซอร์ไพรส์ แจกใหญ่ ลุ้นทองแสน ปี 9" บริษัท เฮกส์คิวบ์ จำกัด กด *168#

ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง https://www.facebook.com/TrueMoveH/ หรือ https://www.facebook.com/dtac

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) แบรนด์คนไทยเบอร์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก เปิดเผยว่า ตลาดอินเดีย ยังคงเป็นตลาดที่มีโอกาสและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยบริษัทฯ ได้เริ่มเข้าลงทุนในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ปี 2562 และขยายการลงทุนก่อตั้งโรงงาน 1 แห่ง ที่เมืองปูเน่ และเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ด้วยกำลังการผลิต 300 ล้านชิ้นต่อปี เมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ตลาดอินเดียมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 30 – 40% ต่อปี และในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 50% ทำให้คาดการณ์ว่ายอดขายในอินเดียทั้งปี 2568 จะพุ่งสูงแตะ 400 กว่าล้านบาทได้

สำหรับเป้าหมายระยะยาว 3 – 5 ปี บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 800 ราย จากปัจจุบันที่มีลูกค้าอยู่ราว 300 กว่าราย ส่วนการลงทุนเพิ่มเติมจะพิจารณาตามสถานการณ์และสภาวะเศรษฐกิจ โดยโรงงานปัจจุบันมีพื้นที่ที่สร้างเผื่อไว้สำหรับการขยายไลน์ผลิตในอนาคตแล้ว

เปิดมุมมองผลกระทบจากนโยบายภาษี “ทรัมป์”

นายชัยวัฒน์ ประเมินว่า ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ตลาด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นสัดส่วนสูงกว่าครึ่งของจีดีพี และมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ กว่า 20 – 30% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ส่วนกลุ่มลูกค้าของเอกา โกลบอล มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ กว่า 70%

“จากการพูดคุยกับกลุ่มลูกค้า พบว่าผลกระทบนี้อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากอัตราภาษีของไทยจบลงที่ 35 – 36% คาดการณ์เบื้องต้นจะทำให้ยอดขายมีโอกาสลดลงไม่ต่ำกว่า 10 – 15% ซึ่งไทยจะเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านเพราะสัดส่วนภาษีสูงกว่า ทำให้แข่งขันได้ยาก”

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ และกลุ่มลูกค้ายังคงเฝ้าติดตามและรอให้การเจรจาภาษี ทรัมป์ ของแต่ละประเทศนิ่งและได้ตัวเลขอัตราภาษีสุดท้ายก่อน เพื่อปรับกลยุทธ์และเตรียมโซลูชันไว้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว

สำหรับเป้าหมายยอดขายรวมทั้งปีนี้ เอกา โกลบอล ตั้งไว้ที่ 1,400 ล้านบาท แม้ว่าภาพรวมยอดขายครึ่งปีแรกยังคงเติบโตได้ดีตามเป้ากว่า 10 – 15% จากปีก่อน แต่ด้วยสถานการณ์สงครามภาษีของทรัมป์ที่ยังไม่สิ้นสุดลง ทำให้ยังมองภาพได้ไม่ชัดเจนนัก อาจมีการพิจารณาลดเป้าลงตามสถานการณ์

กลยุทธ์ระยะสั้นและยาว รับมือความไม่แน่นอน

มุมมองในระยะสั้น 3 เดือนนี้ ผลกระทบจากภาษีทรัมป์จะยังไม่ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง เนื่องจากภาษีทรัมป์เป็นเรื่องที่ทุกประเทศได้รับผลกระทบ ขณะที่ เอกา โกลบอล จะมีคำสั่งซื้อล่วงหน้า โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) และอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม (Pet-Food) ที่เน้นบรรจุภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมสูง ทำให้การปรับเปลี่ยนคำสั่งสินค้าไปประเทศใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

อย่างไรก็ดี เอกา โกลบอล จะประเมินสถานการณ์เป็นระยะสั้น ๆ 2 – 3 เดือน ไปจนกว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องภาษีทรัมป์ หลังจากนั้น ในระยะยาว บริษัทฯ จะประเมินและวางแผนรับมือร่วมกันกับกลุ่มลูกค้าอีกครั้งว่าจะมีการปรับกลยุทธ์การส่งออกไปยังสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ อย่างไร

เดินหน้าขยายตลาดใหม่ในต่างประเทศ

ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากสงครามภาษีของทรัมป์ บริษัทฯ เตรียมลุยทำการตลาดในประเทศอินเดียมากขึ้น เพราะเป็นตลาดที่มีโอกาสขยายตัวได้ดี ตลาดอินเดียแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ เนื่องจากอินเดียเน้นการขายภายในประเทศเป็นหลักกว่า 80% ซึ่งทำให้บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงในส่วนนี้

นอกจากนี้ เอกา โกลบอล ยังมองหาโอกาสขยายตลาดใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก เพราะการส่งออกจากอินเดียไปตะวันออกกลางจะไม่มีภาษี โดยบริษัทฯ ได้เริ่มศึกษาตลาดนี้แล้วและคาดว่าหากสำเร็จจะสามารถเข้าสู่ตลาดได้ภายใน 2 – 3 ปี

“เราเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ช่วยยืดอายุอาหารที่มีนวัตกรรมสูง ซึ่งการเข้าไปทำตลาดใหม่ ๆ เราจะทำการศึกษาทำงานวิจัยและพัฒนาร่วมกับลูกค้า คาดว่าจะใช้เวลา 2 – 3 ปี จึงจะทราบผลลัพธ์ที่ชัดเจนว่าสามารถเข้าสู่ตลาดใหม่ได้สำเร็จหรือไม่” นายชัยวัฒน์ กล่าวปิดท้าย

เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) ผู้นำระดับโลกด้านระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เปิดเผยข้อมูลจากรายงานวิจัย State of IT: Security Report ล่าสุด โดยได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารด้านความปลอดภัยไอทีจากองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 2,000 คน ซึ่งรวมถึงผู้บริหารจากประเทศไทย 63 คน ในยุคที่การใช้งาน AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภัยคุกคามทางไซเบอร์ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ผู้นำด้านความปลอดภัยระบบ IT ในไทยถึง 89% ตระหนักว่าองค์กรจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาความปลอดภัยใหม่ทั้งหมด ขณะที่ 100% เห็นพ้องกันว่าเจ้าหน้าที่ AI Agent สามารถช่วยยกระดับความปลอดภัยขององค์กรได้ในอย่างน้อยหนึ่งด้าน

อย่างไรก็ตาม รายงานวิจัยนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่สำคัญในการนำ AI Agent ไปใช้งานจริงในอนาคตโดย 43% ของผู้ตอบแบบสอบถามในไทยมีความกังวลเกี่ยวกับความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลในองค์กร ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน Agentic AI อย่างมีประสิทธิภาพ และเกือบครึ่ง (49%) ยังไม่มั่นใจว่าจะมีแนวทางกำกับดูแลที่รัดกุมพอในการใช้งาน AI Agent อย่างปลอดภัย

ความสำคัญของผลงานวิจัย ทั้งพนักงานที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยข้อมูลขององค์กร และผู้ไม่หวังดีที่ต้องการเจาะเข้าถึงระบบต่างก็หันมาใช้ AI เป็นเครื่องมือมากขึ้น AI Agent ซึ่งสามารถช่วยลดภาระงานซ้ำ ๆ ของพนักงานรักษาความปลอดภัย ทำให้พนังานสามารถทุ่มเทเวลาไปกับการวิเคราะห์ปัญหาที่ซับซ้อนได้มากขึ้น แต่เพื่อให้การใช้งาน AI Agent อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรจำเป็นต้องมีโครงสร้างข้อมูลที่แข็งแรงและแนวทางกำกับดูแลที่เหมาะสม

มุมมองของ Salesforce

คุณรบส สุวรรณมาศ ผู้นำการเผยแพร่เทคโนโลยี Salesforce ประเทศไทย กล่าวว่า “AI Agent คือก้าวสำคัญขององค์กรในการยกระดับความปลอดภัย แต่การจะใช้งานได้อย่างมั่นใจ องค์กรจำเป็นต้องมีข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นรากฐาน นอกจากนี้ การลงทุนในด้านความปลอดภัย การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการรักษาความโปร่งใส ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กรไทยในระยะยาว”

ข้อมูลตัวเลขที่น่าสนใจจากรายงานวิจัย

งบประมาณด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้นตามการพัฒนาเทคโนโลยี

แม้ภัยคุกคามด้านความปลอดภัยบนคลาวด์ มัลแวร์ และการโจมตีแบบฟิชชิงยังมีอยู่ แต่ภัยคุกคามรูปแบบใหม่อย่าง การใส่ข้อมูลผิด ๆ ในชุดข้อมูลฝึกสอน AI (data poisoning) ก็กลายเป็นประเด็นที่หลายองค์กรให้ความสำคัญมากขึ้น โดย 87% ขององค์กรไทยคาดว่าจะเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยในปีหน้า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 75%

 

สภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่ซับซ้อน ทำให้การใช้งาน AI มีความท้าทายยิ่งขึ้น แม้ผู้นำด้านความปลอดภัยระบบ IT ในไทยถึง 95% จะมองว่า AI Agent สามารถช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามกฎระเบียบ เช่น การช่วยให้องค์กรสอดคล้องกับกฎหมายความเป็นส่วนตัวระดับโลกได้ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน 94% ก็เห็นว่าการใช้ AI Agent เองก็ยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบอยู่ไม่น้อย

· เพียง 67% ที่มั่นใจว่าองค์กรของตนสามารถใช้ AI Agent ได้อย่างสอดคล้องกับกฎระเบียบและมาตรฐานสากล

· องค์กรกว่า 84% ยังไม่ได้ทำให้กระบวนการปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ

ความเชื่อมั่นคือกลไกของความสำเร็จในยุค AI แต่ยังต้องเสริมสร้างความเชื่อมั่นอีกมาก จากผลการวิจัยผู้บริโภคทั่วโลกล่าสุดพบว่า ความไว้วางใจในตัวองค์กรต่าง ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นพ้องกันว่าความก้าวหน้าของ AI ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของธุรกิจ นอกจากนี้ มีเพียง 42% ของผู้บริโภคที่เชื่อมั่นว่าองค์กรจะใช้ AI อย่างมีจริยธรรม ซึ่งลดลงจากเมื่อปี 2566 ที่เชื่อมั่นถึง 58% ขณะที่ผู้นำด้านความปลอดภัยระบบ IT ในไทยเห็นว่ายังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อสร้างความไว้วางใจ

· 43% ของผู้นำด้านความปลอดภัยระบบ IT ยังไม่มั่นใจในความแม่นยำหรือความโปร่งใสของผลลัพธ์จาก AI

· 52% ระบุว่าองค์กรยังไม่สามารถแสดงความโปร่งใสอย่างเต็มที่เกี่ยวกับวิธีการนำข้อมูลลูกค้าไปป้อนให้ AI

· 46% มองว่าองค์กรยังไม่มีแนวปฏิบัติด้านจริยธรรมที่ชัดเจนสำหรับการใช้ AI

· 57% เชื่อว่าผู้บริโภคในไทยยังลังเลต่อการใช้งานบริการ AI เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

 การบริหารจัดการข้อมูล คือกุญแจสู่การใช้งาน Agentic AI อย่างเต็มศักยภาพ เกือบครึ่งของผู้นำด้านความปลอดภัยระบบ IT ในไทยยังไม่แน่ใจว่าองค์กรของตนมีข้อมูลที่มีคุณภาพเพียงพอสำหรับรองรับการทำงานของ AI Agent หรือมีแนวทางที่เหมาะสมภายใต้สิทธิ์การเข้าถึง นโยบาย และแนวทางควบคุมที่ถูกต้อง แต่ก็มีสัญญาณที่ดี โดยผลสำรวจกลุ่มประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศ ล่าสุด พบว่าองค์กรต่าง ๆ จัดสรรงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการข้อมูลมากกว่า AI ถึง 4 เท่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าหลายองค์กรกำลังวางรากฐานอย่างรอบคอบเพื่อรองรับการขยายการใช้งาน AI ในอนาคต

AI Agent เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระ เมื่อใช้งานมากขึ้น

จากรายงาน State of IT พบว่า 73% ของทีมดูแลด้านความปลอดภัยระบบ IT ในประเทศไทยได้นำ AI Agent มาใช้ในกระบวนการทำงานประจำวันแล้ว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 41% และมีแนวโน้มว่าจะมีการใช้งานเพิ่มมากขึ้นในอนาค

· 90% ขององค์กรในไทยคาดว่าจะใช้ AI Agent ภายใน 2 ปีข้างหน้า ผู้นำด้านความปลอดภัยระบบ IT มองว่า AI Agent จะก่อให้เกิดประโยชน์หลากหลาย ตั้งแต่การตรวจจับภัยคุกคามไปจนถึงการตรวจสอบประสิทธิภาพของโมเดล AI อย่างละเอียดและแม่นยำ

หลายองค์กรยังต้องเร่งปรับปรุงระบบความปลอดภัย

นอกเหนือจากการดำเนินการเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างข้อมูลสำหรับยุคของ Agentic AI แล้ว มากกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามยังยอมรับว่าองค์กรของตนยังต้องยกระดับแนวทางการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบให้ได้มาตรฐาน

· กว่า 56% ยังมองว่าการดำเนินการด้านความปลอดภัยและกฎระเบียบยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งาน AI Agent อย่างเต็มรูปแบบ

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ตอกย้ำความมุ่งมั่นเป็น “ปีแห่งการช่วยเหลือลูกหนี้” ให้สามารถลดปัญหาหนี้ได้อย่างยั่งยืน ชูความคืบหน้าในการช่วยลูกค้าผ่านพ้นวิกฤตทางการเงิน ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 1 ในช่วงครึ่งปีแรกไปแล้วกว่า 54,000 บัญชี พร้อมขยายความช่วยเหลือต่อในเฟส 2 สู่กลุ่มลูกหนี้สินเชื่อไม่มีหลักประกัน สะท้อนความมุ่งมั่นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายอย่างแท้จริง เพื่อทำให้ชีวิตทางการเงินของคนไทยดีขึ้นทั้งวันนี้และอนาคต

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ธนาคารตระหนักถึงผลกระทบต่อสถานการณ์ของลูกหนี้ที่มีความน่าเป็นห่วงเพิ่มขึ้น และปักธงให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการช่วยเหลือลูกหนี้ ผ่านโปรแกรมและโครงการต่าง ๆ ซึ่งได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเกิดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) บางแห่ง ที่ตั้งใจช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและเอสเอ็มอีกลุ่มเปราะบางที่กำลังเผชิญกับภาระหนี้อย่างหนักแต่ยังอยากจะลุกขึ้นมาสู้ ให้สามารถกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง ซึ่งทีทีบีเล็งเห็นความสำคัญของโครงการนี้ว่ามีประโยชน์ต่อลูกหนี้เป็นอย่างมาก จึงผลักดันให้ลูกหนี้ของธนาคารเข้าร่วมโครงการให้ได้มากที่สุด เพื่อปลดหนี้ได้ไวขึ้น และแก้ไขปัญหาหนี้สะสมเรื้อรังอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้จากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 1 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 ทีทีบีสามารถให้ความช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเทียบกับช่วงก่อนมีโครงการ ไม่ว่าจะเป็นลูกหนี้สินเชื่อบ้านที่สามารถช่วยได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,300 บัญชีต่อเดือน จากเดิม 800 บัญชีต่อเดือน และลูกหนี้สินเชื่อรถยนต์ เพิ่มขึ้นเป็น 12,000 บัญชีต่อเดือน จากเดิมช่วยเหลืออยู่ประมาณ 8,000 บัญชีต่อเดือน และในช่วงครึ่งปีแรกนี้ได้ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งรายย่อยและเอสเอ็มอีเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 54,000 บัญชี หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อประมาณ 31,000 ล้านบาท

 “โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่มีประสิทธิผลในอันดับต้น ๆ ในการใช้มาตรการการแก้ปัญหาได้อย่างถูกจุดสำหรับกลุ่มลูกหนี้ที่มีภาระหนี้สินหนัก ซึ่งการช่วยเหลือของทีทีบี เราไม่ได้ดูแค่จำนวนลูกค้า แต่ได้ลงไปติดตามดูผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นว่าช่วยลูกค้าได้จริง สะท้อนจากลูกหนี้กลับมาจ่ายเงินตามปกติได้มากขึ้นจากเดิม 10 - 20% จำนวนลูกค้าสินเชื่อบ้านถูกยึดทรัพย์ในแต่ละเดือนลดลงไป 50% ส่วนลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ที่ถูกยึดรถก็ลดลงไปเกือบ 25% ส่งผลให้ธนาคารสามารถบริหารจัดการลูกหนี้ค้างจ่ายได้ดีขึ้นด้วย” นายปิติ กล่าว

สำหรับโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 2 ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้นำปัญหาที่ได้เรียนรู้จากเฟสแรก มาปรับปรุงมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้ที่เปราะบางได้มากขึ้น และขยายกลุ่มเป้าหมายสำหรับลูกหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน เช่น หนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล ช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ เพิ่มสภาพคล่องให้ดีขึ้นรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยในเฟส 2 ทีทีบีคาดการณ์ว่าจะช่วยลูกหนี้ได้เพิ่มอีก 20,000 – 30,000 บัญชี โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 ในส่วนของการสมัครและรายละเอียดต่าง ๆ สามารถศึกษาได้ที่เว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย คลิก หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ttb contact center 1428 กด 99 หรือที่ ทีทีบี ทุกสาขา

นอกจากนี้ ทีทีบียังช่วยแก้ปัญหาหนี้อย่างครอบคลุมให้ลูกค้าทุกกลุ่ม ด้วยโซลูชันที่เหมาะสม ได้แก่ “โปรแกรมผ่อนดี มีรางวัล" สำหรับลูกค้าสินเชื่อที่มีวินัยการผ่อนชำระที่ดีสม่ำเสมอ โดยธนาคารจะมอบข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษ พร้อมสิทธิพิเศษต่าง ๆ เพื่อเป็นรางวัลแก่ลูกค้ากลุ่มดังกล่าว การให้ความรู้เรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างถูกต้องและยั่งยืนผ่านโปรแกรม “โค้ชปลดหนี้” ที่ช่วยวางแผนการจัดการหนี้สำหรับลูกค้าพนักงานเงินเดือน เป็นต้น โดยธนาคารสนับสนุนให้ลูกค้ากู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหวเป็นสำคัญ

ธนาคารมุ่งมั่นช่วยลูกค้าให้สามารถลดปัญหาหนี้ได้อย่างยั่งยืน พร้อมฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างมั่นคง เพื่อช่วยสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นของลูกค้าทั้งในวันนี้และอนาคต ตอกย้ำความมุ่งมั่นเป็นปีแห่งการ MEANINGFUL Change อย่างแท้จริง ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย •สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ย 3.34% - 3.39%ต่อปี •สินเชื่อรถแลกเงิน จำนำทะเบียนรถยนต์ แบบไม่โอนเล่ม อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 13% - 24% ต่อปี •บัตรกดเงินสด ทีทีบี แฟลช อัตราดอกเบี้ย 13% - 25% ต่อปี •เงื่อนไขการสมัครและอนุมัติสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด •รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่เว็บไซต์ธนาคาร

กรุงเทพฯ 22 กรกฎาคม 2568 – ทรูออนไลน์ นำโดย นายพรรคพงษ์ อัคนิวรรณ รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด และหัวหน้าสายงานออนไลน์คอนเวอร์เจนซ์ และนายพงศ์สิระ ปรุงสิน หัวหน้าฝ่ายการตลาดคอนเวอร์เจนซ์ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมด้วยทีมงานทรูออนไลน์ ร่วมยินดีในความสำเร็จ ครองความเป็นแบรนด์ยอดนิยมอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค คว้ารางวัล No.1 Brand Thailand 2025 สาขาอินเทอร์เน็ตบ้าน ติดต่อกันเป็นปีที่ 11 จากงานประกาศผลและมอบรางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2025

รางวัลดังกล่าว จัดโดยนิตยสาร Marketeer เพื่อเฟ้นหาแบรนด์สินค้า และบริการที่เป็นหนึ่งในใจผู้บริโภคชาวไทย ทั้งด้านคุณภาพและการตลาด ซึ่งการได้รางวัลอย่างต่อเนื่องในครั้งนี้ สะท้อนถึงการยอมรับทั้งด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการคุณภาพ ตลอดจนความนิยมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ทรูออนไลน์ ในฐานะผู้ให้บริการเน็ตบ้านไฟเบอร์ มุ่งยกระดับมาตรฐานบรอดแบนด์เพื่อคนไทย โดยผลรางวัล มาจากการสำรวจทัศนคติที่มีต่อแบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อค้นหาแบรนด์สินค้า และบริการที่เป็นหนึ่งในใจผู้บริโภค ทั้งด้านคุณภาพ และการตลาด

ทั้งนี้ ทรูออนไลน์เดินหน้าสรรหานวัตกรรมเทคโนโลยี มาเติมเต็มชีวิตอัจฉริยะในบ้าน ที่มากกว่าการเชื่อมต่อสัญญาณ แต่เชื่อมต่อทุกความสัมพันธ์ของ “คน” ไว้ด้วยกัน ภายใต้แนวคิด “Your Everyday Connect Tech” ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ Smart Tech -Smart Solution & Entertainment - Smart Service & Privilege สะท้อนการนำเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมต่อทุกความสัมพันธ์ของคนไว้ด้วยกัน

 

1) Smart Tech ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีที่ดีที่สุด เพื่อตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ อาทิ Fiber to Room เทคโนโลยีไฟเบอร์แบบใสที่พร้อมให้ความเร็ว 1Gbps เท่ากันทุกห้อง, เราเตอร์ WiFi 7 เทคโนโลยี WiFi ใหม่ล่าสุด ที่ให้บริการความเร็วแรงระดับ 2 Gbps และยังมีแพ็กเกจพิเศษ PRO AI ที่ ใช้ Smart AI เข้ามาดูแล มี PRO AI Network ใช้ AI ตรวจสอบ วิเคราะห์และควบคุมเครือข่าย PRO AI Router ใช้ AI จัดสรรปริมาณการใช้งาน

และจัดสรรช่องทางVIP ให้ได้สปีดเน็ตที่เร็ว แรง ตามลำดับความสำคัญ (Priority) และตรงกับการใช้ชีวิต PRO AI WiFi ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลการใช้งาน ลดความหน่วง ลดค่าปิงลงกว่าเดิมถึง 40% พร้อมมอบความคุ้มค่ากับ PRO AI Package 799 บาท แพ็กเกจระดับโปรที่ตอบโจทย์เกมเมอร์ การไลฟ์สด การสตรีมมิ่ง และการประชุมออนไลน์อย่างสมบูรณ์แบบ

2) Smart Solution & Entertainment รายแรกที่ให้ Smart Home Router ที่เป็น IoT Hub เชื่อมต่ออุปกรณ์อัจฉริยะภายในบ้าน และปล่อย WiFi ในตัว มาพร้อมอุปกรณ์ Smart Home IoT ครบชุด อาทิ กล้อง AI วงจรปิด , เซ็นเซอร์กันขโมย, และยังมอบประกันภัยบ้าน นอกจากนี้ ยังมีกล่อง TrueID TV Gen 3 กล่องทีวี AI อัจฉริยะ มี AI สั่งงานด้วยเสียง AI Fitness นับแคล คำนวณแคลอรี่ พร้อมคลาสออกกำลังกายกว่า 300 คลาส ร้องคาราโอเกะกว่าหมื่นเพลงจากแกรมมี่ และรับชมคอนเทนต์ความบันเทิงระดับโลกทั้ง TrueID, NOW, Netflix, Youtube Premium, VIU, iQiYi เป็นต้น

3) Smart Service & Privilege ให้บริการด้วยช่างผู้เชี่ยวชาญ ดูแลฉับไวใน 24 ชั่วโมง พร้อม True App ศูนย์รวมข้อมูลและบริการ โดยมี Mari ที่พร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และยังมีบริการ “True Cybersafe” ที่ใช้ AI ดูแลความปลอดภัยระบบโครงข่ายแบบครบวงจร ปกป้องลูกค้าจากมิจฉาชีพภัยไซเบอร์ ด้วยการแจ้งเตือนและบล็อกลิงก์ปลอมจากมิจฉาชีพ ให้บริการฟรี นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์ กิน เที่ยว ดื่ม และอีกมากมาย และยังเน้นบริการหลังการขาย ทั้งหมดนี้ เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า

บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ของปี 2568 จำนวน 12,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น การตั้งสำรองที่ลดลง และ การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 25,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาส 2 ของปี 2568 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 30,404 ล้านบาท ลดลง 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ และยอดสินเชื่อโดยรวมที่ลดลง 1.8% ภายใต้การปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ มีจำนวน 10,008 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากปีก่อน รายได้จากการลงทุนและการค้ามีจำนวน 3,239 ล้านบาท จากกำไรของพอร์ตการลงทุนของธนาคาร และของบริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 17,530 ล้านบาท ลดลง 5.6% จากปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 40.2% บริษัทฯ ตั้งสำรองลดลง 13.0% จากปีก่อน เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะการปรับตัวดีขึ้นของบริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด ทั้งนี้ ได้รวมสำรองพิเศษเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคต อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) คงอยู่ในระดับสูงที่ 159%

ท่ามกลางความผันผวนของสถานการณ์ภายนอก บริษัทฯ ยังสามารถควบคุมคุณภาพของสินเชื่อโดยรวมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อยู่ที่ 3.31% ลดลงจาก 3.34% ในปีก่อน เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.8%

วันนี้เมื่อ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อวงการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ยุคใหม่จึงต้องเข้าใจและสามารถประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด...ทรู คอร์ปอเรชั่น ตอกย้ำความเป็นผู้นำบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีของไทย นำองค์ความรู้และศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลครบวงจรมาร่วมขับเคลื่อนการแพทย์และสาธารณสุข หนึ่งในรากฐานสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย ผสานความร่วมมือบริษัทในเครือทรูและซีพี ทั้ง ทรู ดิจิทัล อคาเดมี สถาบันสร้างทักษะดิจิทัลชั้นนำ ภายใต้ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป และ เอ้ก ดิจิทัล ผู้นำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ให้บริการสื่อโฆษณาครบวงจรและการให้คำปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลสัญชาติไทย เปิดหลักสูตรเข้ม “AI Bootcamp for Medical Educators and Students" มุ่งเสริมสร้างทักษะดิจิทัลและเพิ่มขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI ให้แก่แพทย์และนิสิตนักศึกษาแพทย์จากโรงพยาบาลชั้นนำในกรุงเทพฯ เพื่อยกระดับการรักษาและดูแลสุขภาพผู้ป่วย รวมถึงพัฒนาการบริหารจัดการและบริการทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ก้าวทันโลกยุคแห่ง AI สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับวงการแพทย์อย่างยั่งยืน

นางสาวศรินทร์รา วงศ์ศุภลักษณ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีดิจิทัลครบวงจรมาเสริมสร้างคุณค่าให้แก่สังคมในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะภาคสาธารณสุข ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของคุณภาพชีวิตคนไทย ด้วยเชื่อมั่นในพลังของ AI ที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีทำงาน และพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้ ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรในเครือทรู-ซีพี นำความเชี่ยวชาญของทรู ดิจิทัล อคาเดมี สถาบันสร้างทักษะดิจิทัลชั้นนำของทรู ดิจิทัล กรุ๊ป และ เอ้ก ดิจิทัล ผู้นำธุรกิจด้านวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ให้บริการสื่อโฆษณาครบวงจรและการตลาดดิจิทัลในเครือซีพี มาร่วมกันจัดหลักสูตรอบรม “AI Bootcamp for Medical Educators and Students” ขึ้น สะท้อนความเป็นผู้นำของทรู ในการนำองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยี AI ไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่มีบทบาทโดยตรงในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน นั่นคือบุคลากรทางการแพทย์และนิสิตนักศึกษาแพทย์ ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพของประเทศ ได้มีโอกาสเรียนรู้นำ AI ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม”

 

ดร.ธีรเดช ดำรงพลาสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “เอ้ก ดิจิทัล ตระหนักถึงความสำคัญของการสนับสนุนวงการแพทย์ไทยให้ก้าวทันยุคดิจิทัล ซึ่งเทคโนโลยี AI เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะพลิกวิถีการดูแลสุขภาพของคนไทยอย่างก้าวกระโดด ซึ่ง AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือ แต่เป็นนวัตกรรมที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ ลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย อันนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยครั้งนี้ เอ้ก ดิจิทัล ได้นำความเชี่ยวชาญด้าน AI และ Big Data เข้ามาออกแบบหลักสูตรการเรียนให้แก่ทั้งอาจารย์ นิสิตนักศึกษา และบุคลากรทางการแพทย์ โดยวางโครงสร้างเนื้อหาและลำดับการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง พร้อมสนับสนุนทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรง เข้ามาเป็นผู้ช่วยสอน แบ่งปันประสบการณ์ช่วงเวิร์กช็อป พร้อมให้คำปรึกษาในการพัฒนา AI Products ที่สนับสนุนการแพทย์ยุคใหม่ อาทิ การเปลี่ยนเอกสารเป็นรูปแบบดิจิทัลที่ค้นหาง่าย การรวบรวมข้อมูลสุขภาพจากหลากหลายแห่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำ AI รวมถึง AI Agent Chatbot ทำระบบนัดหมาย ตอบคำถาม ให้บริการผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดจนติดตามอาการ แจ้งเตือนการรับประทานยา และให้ข้อมูลการดูแลเบื้องต้นแก่ผู้ป่วยอีกด้วย”

ดร.ชนนิกานต์ จิรา ผู้อำนวยการ ทรู ดิจิทัล อคาเดมี กล่าวว่า “ทรู ดิจิทัล อคาเดมี ได้พลิกบทบาทเป็นมากกว่าสถาบันการเรียนรู้ มุ่งสร้างโอกาสใหม่ๆ ในสายอาชีพและเชื่อมโยงการเรียนรู้เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงจริงขององค์กร ความร่วมมือในการจัดหลักสูตรอบรมครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ทรู ดิจิทัล อคาเดมี ได้นำโซลูชันและหลักสูตรยกระดับทักษะด้าน AI มาช่วยอัปสกิลเทคโนโลยีและดิจิทัลให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในระบบสาธารณสุขของไทย โดยผนวกความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำงานร่วมกับหลากหลายองค์กรในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่สร้างผลลัพธ์ในการพัฒนาทักษะของบุคลากรอย่างเป็นรูปธรรม นำมาออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนพิเศษที่ผสมผสานการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบของบทเรียน กรณีศึกษาเฉพาะ ที่นำ AI ที่ใช้ทางการแพทย์มาเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นต้นแบบ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี AI ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงการต่อยอดนำไปประยุกต์ใช้จริงในด้านการแพทย์และสาธารณสุข เราเชื่อมั่นว่า หลักสูตรนี้จะช่วยให้แพทย์และบุคลากรการแพทย์ก้าวทันเทคโนโลยียุคใหม่ สามารถนำ AI มาเป็นผู้ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานและการดูแลผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยและแวดวงสาธารณสุขไทยให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น”

รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด โดย นายเอกราช ปัญจวีณิน (ที่ 3 จากขวา) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล และ (รักษาการ) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลุ่มธุรกิจองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมด้วย นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ (ที่ 4 จากขวา) กรรมการบริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด เพื่อพัฒนานวัตกรรม “หุ่นยนต์ผู้ช่วยรักษาพยาบาลและทำกายภาพบำบัด” ที่จะเป็นเสมือนหนึ่งในทีมบุคลากรการแพทย์ช่วยดูแลและให้บริการผู้ป่วยติดเชื้อที่อยู่ในระยะให้ยาและรักษาในห้องแยกโรค เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ยกระดับบริการทางการแพทย์และการรักษาพยาบาลที่เป็นเลิศและเป็นต้นแบบเพื่อสร้างเสริมสังคมสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Innovation for society)

ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการพัฒนาต่อยอดความร่วมมือของทั้งสององค์กรไปอีกขั้น หลังจากประสบความสำเร็จในการร่วมพัฒนาหุ่นยนต์ตัวแรกคือ “หุ่นยนต์อัจฉริยะช่วยบริการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารรังสีไอโอดีน” ที่ช่วยดูแลและสร้างความประทับใจแก่ผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์ จนสามารถคว้ารางวัลเลิศรัฐ ระดับดีเด่น ประจำปี 2567 สาขาบริการภาครัฐ ประเภทนวัตกรรมการบริการ จากคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร)

 

ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ผู้ให้บริการดิจิทัลครบวงจร ในเครือทรู คอร์ปอเรชั่น ได้คิดค้น วางโครงสร้างเทคโนโลยี เชื่อมต่อการสื่อสาร และออกแบบพิเศษเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ โดยผนวกองค์ความรู้ทางการแพทย์ของภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตลอดจนความเชี่ยวชาญของบุคลากรของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เข้ากับเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ที่ประกอบด้วย คลาวด์ AI และข้อมูล ตอกย้ำความตั้งใจของ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ที่จะทำให้เทคโนโลยีสามารถเข้าถึงได้และสร้างประโยชน์สูงสุด โดยช่วยสนับสนุนงานของทีมแพทย์ ช่วยพัฒนาการดูแลผู้ป่วยในกลุ่มแยกโรคให้ดีขึ้นกว่ามาตรฐานทั่วไป ตลอดจนลดโอกาสการแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่น และลดการใช้อุปกรณ์สิ้นเปลืองราคาสูงของบุคลากรแพทย์ที่ต้องใช้ในการดูแลผู้ป่วยในช่วงกักโรค ซึ่งจะเป็นต้นแบบการพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถต่อยอดไปสู่งานรักษาพยาบาลฟื้นฟูของสถานพยาบาลต่างๆ ของระบบสาธารณสุขไทยในอนาคต

ทั้งนี้ “หุ่นยนต์ทางการแพทย์เพื่อช่วยรักษาพยาบาลและทำกายภาพบำบัด” อยู่ระหว่างการพัฒนาภายใต้แนวคิดการออกแบบรูปลักษณ์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (Humanized Design) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมีความสุขผ่อนคลายในขณะที่อยู่ในช่วงกักตัวให้ยาในห้องแยกโรค และเพิ่มความร่วมมือต่อการทำกายภาพบำบัด ขณะเดียวกันยังใช้งานง่ายสำหรับทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมอัดแน่นเทคโนโลยีล้ำสมัย สามารถสื่อสารและตอบสนองได้แบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายทรู 5G พร้อม AI ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยและให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ เพิ่มประสิทธิภาพการฝึกสมรรถภาพร่างกายได้อย่างแม่นยำ และรองรับการต่อยอดพัฒนาฟังก์ชันอื่นๆ ในอนาคต อาทิ สามารถปรับรูปแบบการฝึกตามแผนการฟื้นฟูของผู้ป่วยรายบุคคล ไม่ว่าจะเป็น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาการเคลื่อนไหวหลังการผ่าตัด เป็นต้น

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สังคมไทยเผชิญกับสารพัดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับปัจเจกและส่วนรวม ตั้งแต่ราคาทองคำที่พุ่งทะยาน ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้ ไปจนถึงภัยพิบัติที่สร้างความสะเทือนใจทั่วประเทศ ขณะเดียวกันกระแส T-POP ก็ยังคงแรงไม่หยุด พาเพลงไทยโลดแล่นไกลระดับสากล LINE TODAY ในฐานะแพลตฟอร์มที่มุ่งมั่นเป็นกระบอกเสียงให้กับสังคม ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นจาก “LINE TODAY POLL” เสียงสะท้อนจากมหาชนออนไลน์กว่า 30,000 คน ชี้ให้เห็นว่าครึ่งปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ต้องเผชิญกับความผันผวนและเร่งปรับตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแนวโน้มการระมัดระวังในการใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ราคาทองทะลุ 5 หมื่น คนไทยยังไม่กล้าซื้อ-ขอรอดูจังหวะ

สถานการณ์ราคาทองคำยังคงพุ่งสูงอย่างต่อเนื่องจนทะลุ 50,000 บาทต่อบาททองคำ โดยมีปัจจัยมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดระหว่างประเทศในหลายพื้นที่ และการเข้าซื้อของธนาคารกลางประเทศต่างๆ รวมถึงการปรับคาดการณ์ราคาขึ้นโดยสถาบันการเงินใหญ่ ซึ่งท่ามกลางความร้อนแรงของราคาทองคำ ผลสำรวจจาก LINE TODAY POLL พบว่า คนไทยส่วนใหญ่เลือกชะลอการลงทุน โดยอันดับ 1 เลือกโหวตแสดงความเห็นว่า “ยังไม่ซื้อตอนนี้ แต่จะซื้อเมื่อราคาถูกลง” 32.92% ตามด้วย “ซื้อเก็บไว้เพื่อเก็งกำไร” 25.84% และ “ไม่ซื้อ เพราะราคาสูงเกินไป” อยู่ที่ 25.25% สะท้อนความระมัดระวังของผู้บริโภคไทยในภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง

 เงินเฟ้อกดดันค่าครองชีพ คนไทยรัดเข็มขัดแน่น ลดสิ่งฟุ่มเฟือย

ค่าครองชีพที่พุ่งสวนทางกับรายได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่คนไทยต้องเผชิญ ทั้งจากแรงกดดันระดับโลก อาทิ ราคาน้ำมันสูงขึ้นจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางและสงครามยูเครน ไปจนถึงเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าที่ซ้ำเติมต้นทุนการนำเข้า ขณะเดียวกันภายในประเทศเองก็ต้องรับมือกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนแรงงาน ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้นจากภัยแล้งและต้นทุนวัตถุดิบ รวมถึงค่าครองชีพในเมืองใหญ่ที่อยู่ในระดับสูง ทำให้คนไทยต้องปรับตัว เปลี่ยนพฤติกรรมการเงินอย่างเร่งด่วน เลือก “ช้อปปิ้งน้อยลง ไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็น” ด้วย ผลโหวตกว่า 33.62% ตามด้วยอันดับ 2 “หาวิธีสร้างรายได้เพิ่ม” 15.5% และอันดับ 3 เลือก “เปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนเลือกซื้อ” 15.23%

 ฝุ่น PM2.5 เรื่องกังวลที่คนไทยอยากให้รัฐเร่งแก้

ท่ามกลางภัยพิบัติหลากหลายที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ น้ำท่วม เครนถล่ม หรือข้อพิพาทชายแดน คนไทยบน LINE TODAY POLL เลือกโหวตให้ “ฝุ่น PM2.5” เป็นปัญหาอันหนึ่งที่อยากให้รัฐบาลเร่งจัดการมากที่สุด ด้วยคะแนนโหวต 30.42% และแม้จะมีความพยายามผลักดัน “ร่างกฎหมายอากาศสะอาด” แต่ปัญหาฝุ่นพิษยังคงวนกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในทุกปี โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และภาคเหนือที่เจอมลพิษซ้ำซากในฤดูหนาว ขณะที่ “น้ำท่วม” ได้อันดับ 2 ที่ 27.89% และ “ข้อพิพาทชายแดน” ตามมาเป็นอันดับ 3 ที่ 24.74%

T-POP แรงไม่หยุด! ‘Bow Wow’ ของวง BUS คว้าใจมหาชน

นอกเหนือจากเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นประเด็นร้อนแรงแล้ว ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาวงการเพลง T-POP ของไทยก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน โดยได้สร้างปรากฏการณ์ที่น่าจับตาทั้งเวทีในประเทศและระดับโลก รวมทั้งยังมีศิลปินรุ่นใหม่หลากหลายสไตล์เกิดขึ้น ดันชื่อเสียงเพลงไทยติดชาร์ตเพลงนานาชาติ จนแฟนเพลงชาวไทยเทใจโหวตให้เพลง “Bow Wow” จากวง BUS เป็นเพลงฮิตประจำครึ่งปี 2025 ที่โดนใจมากที่สุด' ด้วยคะแนนโหวต 30.68% ตามมาด้วย “จนนิรันดร์ (Forever)” ของ NuNew ที่ 18.67% และอันดับ 3 กับเพลง “กอดอุ่น” จากน้อง BUTTERBEAR ที่ 14.26%

จากผลโพลทั้ง 4 หัวข้อ สะท้อนให้เห็นถึงความคิด มุมมอง และความเคลื่อนไหวของสังคมไทยในมิติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงครึ่งปีแรก 2568 ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ปัญหาโครงสร้าง สภาพแวดล้อม หรือวัฒนธรรม ตอกย้ำบทบาทของ LINE TODAY ในฐานะแพลตฟอร์มคอนเทนต์ข่าวสารที่มุ่งมั่นเป็นกระบอกเสียงให้ผู้ใช้งานบน LINE ผ่านพื้นที่ออนไลน์ที่เปิดกว้างพร้อมรับฟังทุกความเห็นและทุกเสียงโหวตอย่างมีคุณภาพ เพื่อร่วมสร้างความเข้าใจ จุดประกายการแลกเปลี่ยน เพื่อขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้าอย่างมีทิศทาง และเตรียมติดตาม LINE TODAY POLL OF THE YEAR 2025 จาก LINE TODAY ที่จะมาสะท้อนเทรนด์ฮิต กระแสฮอต และมุมมองในด้านการเมือง เศรษฐกิจ กีฬา บันเทิง แห่งปี 2568 ได้ในช่วงสิ้นปีนี้

ในยุคที่ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นทุกวัน “ความเข้าใจเฉพาะบุคคล” กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของทุกธุรกิจ ล่าสุด OR หรือ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองใหม่บนเวที CTC2025: The Future is Worth A Thousand Words ผ่าน Session “Reimagining Transformation: When Personalization Becomes the Strategy” โดย นายภากร สุริยาภิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจดิจิทัลและโซลูชัน เผยเบื้องหลังการสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบ Personalization ที่ไม่ใช่แค่เรื่องการตลาด แต่คือกลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาว

“วันนี้ โลกธุรกิจไม่ได้แข่งขันกันแค่เรื่องของสินค้าอีกต่อไป แต่คือการแข่งขันกันด้วย ‘ความเข้าใจ’ ที่แท้จริงต่อผู้บริโภค” นายภากรกล่าว “OR มีลูกค้ามากกว่า 3.9 ล้านคนต่อวัน ที่ใช้บริการของเรา ทั้งในสถานีบริการ PTT Station, ร้าน Café Amazon, Found & Found และธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ และเรายังมีผู้ใช้งานแอคทีฟบนแอป blueplus+ กว่า 9 ล้านราย ซึ่งนั่นทำให้เราต้องคิดมากกว่าแค่ยอดขายในวันนี้ แต่ต้องสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่เชื่อมโยงกับผู้คนในทุกช่วงชีวิตอย่างจริงใจและยั่งยืน

จาก Insight สู่ Action: ประสบการณ์ที่เข้าใจ 'คุณ' จริงๆ

นายภากร ชี้ให้เห็นพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Gen Alpha ที่เลือกแบรนด์จาก “ประสบการณ์” มากกว่าสินค้า ความคาดหวังไม่ใช่แค่บริการดี แต่ต้องรู้ใจแบบ Real-time ซึ่งเทคโนโลยีอย่าง Generative AI กลายเป็น Game Changer ที่ช่วยให้แบรนด์สร้างสื่อสารแบบ 1 ต่อ 1 ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการปรับโปรโมชันเฉพาะบุคคล การแนะนำสินค้าผ่าน Chatbot หรือการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจ ณ โมเมนต์นั้น ๆ

วัดผลชัด สะท้อนความสำเร็จจริง

OR วัดผลความสำเร็จของกลยุทธ์ Personalization อย่างชัดเจนผ่านตัวชี้วัดหลัก 2 ด้าน ได้แก่

· ดัชนีความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า (Net Promoter Score: NPS) ซึ่งใช้ประเมินความรู้สึกของลูกค้าต่อแบรนด์ในแต่ละช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชัน blueplus+, สถานีบริการน้ำมัน หรือร้าน Café Amazon โดยคะแนน NPS ที่เพิ่มขึ้นสะท้อนว่าลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและดูแลพวกเขาในแบบเฉพาะตัว อีกด้านหนึ่งคือ

· ผลลัพธ์เชิงยอดขาย ที่มาจากการทำ Personalized Offers โดยระบบจะติดตามพฤติกรรมการซื้อซ้ำ ขนาดของตะกร้าสินค้า (basket size) และความถี่ในการเข้าใช้บริการ เพื่อประเมินว่าแคมเปญที่ออกแบบเฉพาะบุคคลสามารถกระตุ้นยอดขายได้จริงหรือไม่

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ OR คือ ทุกเจเนอเรชันต้องเข้าถึงแอปพลิเคชันได้ โดยล่าสุด OR ได้ต่อยอดโปรแกรมลอยัลตี้ xplORe เปิดตัวแอปพลิเคชัน blueplus+ ที่รวบรวมเหล่าฮีโร่ใน ecosystem มาไว้ด้วยกันบนแอป เพื่อใช้เชื่อมโยงประสบการณ์กับลูกค้า ปรากฎว่ามีกระแสตอบรับดีมากหลังเปิดตัวเพียง 3 วัน มียอดผู้เข้าชมวิดีโอสูงกว่า 3 ล้านครั้ง

“OR มุ่งมั่นในการยกระดับความผูกพันกับลูกค้า เพื่อเข้าไปอยู่ในชีวิตของทุกคนในทุกวัน โดยพยายามศึกษาก่อนว่าลูกค้าต้องการอะไร ซึ่งจากการวิจัยพบว่าลูกค้ามีความผูกพันกับเหล่ากองทัพฮีโร่ และแต่ละคนต่างมีฮีโร่ในดวงใจ เราจึงรวมพลฮีโร่นำมาสื่อสารกับทุกเจเนอเรชัน เช่น น้อน พลัส ที่เชื่อมต่อได้ดีกับเด็กรุ่นใหม่ หรือก็อตจิฮีโร่ของลูกค้ารุ่นใหญ่ เป็นต้น”

 เปิดพิมพ์เขียวดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน ยกระดับธุรกิจผ่าน 6 แกนสำคัญ

OR ขับเคลื่อนกลยุทธ์ Personalization ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งบนพิมพ์เขียวดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันที่ OR วางไว้ 6 แกนหลัก เพื่อพลิกโฉมความสามารถทางธุรกิจ เริ่มจาก

· Digital Consumer/Customer Landscape การวิเคราะห์พฤติกรรมและความชอบของลูกค้าแบบ 360 องศา โดยอาศัยข้อมูลจากแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจเชิงลึกและแม่นยำถึงความต้องการของแต่ละบุคคล ถัดมาคือการยกระดับจุดขายด้วยแนวคิด

· Intelligent Site/Outlet พลิกโฉมหน้าร้านให้ฉลาดขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยี IoT, Beacon และ Video Analytics เพื่อช่วยตรวจจับและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าที่เกิดขึ้นจริง ณ สถานที่ขาย และสุดท้ายคือการพัฒนา

· Digital Channel ผ่านแอปพลิเคชัน PTTOR ให้กลายเป็นศูนย์กลางในการส่งมอบประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญโปรโมชั่น การสะสมแต้ม หรือบริการจองล่วงหน้า พร้อมทั้งเชื่อมโยงประสบการณ์จากโลกออนไลน์สู่หน้าร้านจริง (Online to Offline) อย่างไร้รอยต่อ

· Digital Supply Chain เพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงานแบบครบวงจร เพื่อให้เกิด Ecosystem ที่เชื่อมต่อกันในแต่ละธุรกิจ หวังลดต้นทุนในการดำเนินงาน

· Cloud Optimization & Enterprise Solutions ก้าวทันเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในดำเนินงาน โดยใช้ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญ อาทิ Modernized application, Cloud optimization, AI-driven enterprise

· Diversify – New Revenue มองหาช่องทางใหม่ ๆ เพื่อโอกาสให้ธุรกิจ โดยเฉพาะในฟากไลฟ์สไตล์ หรือ Non-oil ซึ่งต่อยอดมาจาก Data ที่มีในมือ และปัจจุบันได้รับอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) จากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งร่วมกับพันธมิตรสำคัญอย่าง AIS และ KTB

การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจาก ‘Mindset’

"Personalization คือการ Transform ทั้งองค์กร" นายภากรกล่าว พร้อมอธิบายว่า OR เริ่มจากทีมเล็ก ดูแลแอป blueplus+ และสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน จนขยายความเข้าใจไปทั้งองค์กร พร้อมลงทุนในสิ่งจำเป็น เช่น Data, AI Platform และระบบหลังบ้าน เพื่อเชื่อมต่อประสบการณ์ลูกค้าทุกมิติ

“สิ่งที่ท้าทายที่สุดในการ Transform ไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือการปรับมุมมอง ทักษะ และกระบวนการของคนทั้งองค์กรให้เดินไปด้วยกัน เพราะ Personalization ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมเปิดใจและเติบโตไปพร้อมกัน”

การสร้างแบรนด์ในอนาคต ไม่ใช่แค่ ‘ขายได้’ แต่ต้อง ‘เข้าใจเป็น’ และ OR คือหนึ่งในตัวอย่างที่กำลังเดินหน้าสู่ความเป็นแบรนด์ที่เข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง

X

Right Click

No right click