

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและโรคหืดคือ “ภัยเงียบ” ที่คร่าชีวิตผู้คนนับล้านทั่วโลกทุกปี ทว่าสังคมกลับมีการตระหนักรู้ต่อโรคเหล่านี้น้อยและทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ในงาน Asia COPD & SEA Summit 2025 ที่ แอสตร้าเซนเนก้า ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมสุขภาพทางเดินหายใจระดับโลก ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก 7 ประเทศ ได้เผยความก้าวหน้าตามแนวทางการรักษา GOLD Guidelines 2025 ชี้ชัดถึง ‘นวัตกรรมแห่งความหวัง’ อย่าง Triple Therapy ยาสูดที่ผสานตัวยาสามชนิดในอุปกรณ์เดียว และ ยาชีววัตถุ (Biologics) ที่ออกฤทธิ์ตรงต่อกลไกของโรค ซึ่งไม่เพียงลดการกำเริบและอัตราการเสียชีวิต แต่ยังคืนโอกาสให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติอีกครั้ง ความก้าวหน้านี้จึงไม่ใช่เพียงการรักษา แต่คือความหวังที่อาจหยุดยั้งไม่ให้ “ภัยเงียบ” พรากชีวิตใครอีกต่อไป
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของโลก มีผู้ป่วยราว 392 ล้านคนทั่วโลก1 และคร่าชีวิตราว 3.5 ล้านคน2 ในปี พ.ศ. 2564 ในประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังถึงปีละ 20,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 50 คน3 ในขณะที่ โรคหืด (Asthma) พบว่ามีผู้ป่วยราว 262 ล้านคนทั่วโลก และเสียชีวิตกว่า 455,000 ราย4 โดยในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคหืดเฉลี่ย 8–9 รายต่อวัน หรือกว่า 3,000 รายต่อปี จากสถิติจะเห็นชัดว่าทั้งสองโรคเป็น “ภัยเงียบเรื้อรัง” ที่กำลังคุกคามผู้คนนับล้าน และคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยอีกเกินครึ่งที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัย5
ศ.นพ.กิตติพงศ์ มณีโชติสุวรรณ ศาสตราจารย์ประจำสาขาอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤติ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “แม้โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสามของโลก แต่ยังไม่ได้รับความตระหนักรู้เท่าที่ควร ทั้งที่ผู้ป่วยต้องทนทุกข์จากภาวะหายใจติดขัดรุนแรงเสมือนถูกกดใต้น้ำ โดยในไทยพบว่าราว 7% ของประชากรกำลังเผชิญโรคนี้ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปัญหาฝุ่น PM2.5 และการสูบบุหรี่ สถานการณ์ที่น่ากังวลดังกล่าวสะท้อนความสำคัญของเวที Asia COPD & SEA Summit 2025 ซึ่งเผยความก้าวหน้าของนวัตกรรม “Triple Therapy” หรือยาสูด (Inhaler) ที่ผสานตัวยาสามชนิด ได้แก่ ยาขยายหลอดลม 2 ชนิด และยาลดการอักเสบ 1 ชนิด ไว้ในหลอดเดียว มาพร้อมกับนวัตกรรม Aerosphere ในรูปแบบละอองยาที่ออกแบบให้กระจายตัวยาอย่างสมดุลลึกถึงปอดและหลอดลมเล็ก และสามารถเข้าถึงตำแหน่งของโรคได้อย่างตรงจุด จึงสามารถช่วยควบคุมอาการ ลดการกำเริบ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการประชุมครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แต่ยังเป็นการจุดประกายความหวังในการเปลี่ยนอนาคตของผู้ป่วยในไทยและในระดับภูมิภาคให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่”
ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคปอดและระบบทางเดินหายใจในระดับนานาชาติอย่าง ศ. นพ. ไมเคิล จี. ครูกส์ ศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินหายใจ มหาวิทยาลัยฮัลล์ ยอร์ก เมดิคัล สคูล (Hull York Medical School) สหราชอาณาจักร และ รศ. นพ. เล คัค บ๋าว รองหัวหน้าแผนกโรคปอดโรงพยาบาลเกียดินห์ ประเทศเวียดนาม ต่างเห็นตรงกันถึงอันตรายของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ที่ไม่ได้จำกัดแค่ที่ ‘ปอด’ หากยังคุกคามถึง ‘หัวใจ’ ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการกำเริบมากกว่า 2 ครั้งต่อปี ซึ่งจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อโรคแทรกซ้อน ทั้งความดันโลหิตสูงกว่า 46% โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ 40% หรือภาวะหัวใจล้มเหลวกว่า 20% ดังนั้น “การควบคุมการกำเริบ” จึงเป็นหัวใจสำคัญของการรักษา โดยงานวิจัยได้ยืนยันถึงประสิทธิภาพของ Triple Therapy ว่าสามารถลดการกำเริบและความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจได้อย่างตรงจุด ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของนวัตกรรมที่เข้าใจทั้งโรคและผู้ป่วยอย่างแท้จริง
และจากประสบการณ์ของประเทศเวียดนามที่ได้บูรณาการ Triple Therapy เข้าสู่ระบบสาธารณสุขมาเกือบ 1 ปี สะท้อนผลลัพธ์ที่ชัดเจนว่าผู้ป่วยควบคุมอาการกำเริบได้ดีขึ้น รับยาได้ต่อเนื่อง และกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติ ผลลัพธ์ความสำเร็จนี้จึงพิสูจน์แล้วว่า Triple Therapy ไม่ใช่เพียง ‘ทางเลือก’ แต่คือ ‘ทางรอด’ และเป็นคำถามที่ทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย ต้องร่วมกันทบทวนว่าในวันนี้เราได้มอบการรักษาที่ดีพอและทั่วถึงให้แก่ผู้ป่วยแล้วหรือยัง
รศ. นพ. ศิวศักดิ์ จุทอง อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจและภาวะวิกฤตทางเดินหายใจ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า “โรคหืดเป็นภาวะหลอดลมตีบแคบจากการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและควบคุมอาการของโรคได้ไม่ดี อาจก่อให้เกิดเป็น ‘โรคหืดรุนแรง’ (Severe Asthma) จากการศึกษาพบว่า ประมาณ 7 คน ต่อประชากร 100 คน มีอาการโรคหืดรุนแรง และได้คร่าชีวิตผู้ป่วยราว 2,000 รายต่อปี ในปัจจุบันการรักษาโรคหืดรุนแรงได้มีการพัฒนาไปอย่างมาก ซึ่งหนึ่งในก้าวสำคัญคือ ยาชีววัตถุ หรือ Biologics ที่ออกฤทธิ์ตรงต่อกลไกของโรค ช่วยลดอาการเหนื่อยหอบได้อย่างแม่นยำ จากประสบการณ์จริงของผู้ป่วยรายหนึ่งสะท้อนพลังของนวัตกรรมการรักษาอย่างชัดเจน เขาเล่าว่าเคยต้องทนกับอาการหอบหนักแม้เพียงเดินไม่กี่ก้าว แต่หลังได้รับการรักษาก็กลับมาหายใจโล่งขึ้น และจนสามารถคว้าเหรียญทองแบดมินตันได้สำเร็จ”
“คงจะเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมาก หากนวัตกรรมเหล่านี้ ทั้ง Triple Therapy และยาชีววัตถุ(Biologics) จะสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงภายใต้สิทธิการรักษาต่าง ๆ เพราะนั่นไม่ได้เพียงแต่ช่วยรักษาอาการ แต่ยังคือการคืนลมหายใจ ความฝัน และคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยอีกนับไม่ถ้วน เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ และก้าวเดินต่อไปด้วยความหวัง” รศ. นพ. ศิวศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย
การประชุม Asia COPD & SEA Summit 2025 สะท้อนพันธกิจอันแน่วแน่ของ ‘แอสตร้าเซนเนก้า’ ในฐานะผู้นำการขับเคลื่อนการดูแลโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและโรคหืดรุนแรงในภูมิภาคเอเชีย ภัยเงียบที่กระทบผู้คนนับล้านทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ผ่านการผสานองค์ความรู้ แนวทางการรักษา และนวัตกรรมระดับนานาชาติ เพื่อยกระดับศักยภาพการวินิจฉัยและการรักษา ที่ไม่เพียงเสริมความเข้มแข็งให้ระบบสาธารณสุข แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนมุมมอง จากโรคที่ทำให้ตายได้ สู่โรคที่ไม่จำเป็นต้องตาย หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที พร้อมคืนคุณภาพชีวิตและความหวังให้ผู้ป่วย และขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตที่ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีกว่าเดิม
“สุขภาพ” เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม แต่ในความเป็นจริงโรงพยาบาลท้องถิ่นหลายแห่งยังขาดแคลนเครื่องมือแพทย์และบุคลากรที่เพียงพอ ส่งผลให้การรักษาไม่สามารถตอบสนองได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉินของผู้ป่วยวิกฤตและผู้ป่วยโรคทางหลอดเลือดหัวใจ
เสียงสะท้อนจาก 3 โรงพยาบาลท้องถิ่น
เผชิญกับความท้าทายข้อจำกัดด้านพื้นที่รักษาและอุปกรณ์ทางการแพทย์
ภายใต้ภารกิจการดูแลผู้ป่วยนับพันชีวิตต่อวัน โรงพยาบาลพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจและอุบัติเหตุวิกฤต พญ.นาตยา มิลส์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพุทธโสธร สะท้อนปัญหาว่า โรงพยาบาลมีขนาด 650 เตียง แต่จำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการสูงมาก โดยเฉลี่ยถึง 500–600 เตียง และมีผู้ป่วยนอกกว่า 1,700–2,000 คนต่อวัน เฉพาะในห้องฉุกเฉินมีผู้ป่วยวิกฤตเข้ามาขอรับการรักษาถึง 200 คนต่อวัน และพื้นที่ที่มีอยู่จำกัดมากทำให้ไม่สามารถดูแลทุกคนได้พร้อมกัน ความแออัดจึงเป็นอุปสรรคใหญ่ ปีที่ผ่านมาต้องส่งผู้ป่วยโรคหัวใจออกไปรักษายังโรงพยาบาลอื่นถึงประมาณ 500 คน เพราะที่นี่ไม่มีเครื่องมือสำหรับสวนหัวใจ
“จำนวนผู้ป่วยมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่เครื่องมือบางชิ้นที่ใช้อยู่ เช่น เครื่องช่วยหายใจยังเป็นรุ่นเก่าที่ใช้มา 30-40 ปีก่อนแล้ว คนไข้กลุ่มโรคหัวใจที่นี่ ส่วนใหญ่ต้องถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลในเมือง เพราะทางโรงพยาบาลมีเครื่องมือไม่พร้อม กว่าจะประสานและหาเตียงได้บางรายเสียชีวิตก่อนที่เราจะสามารถส่งตัวออกไปได้ทัน มันสะเทือนใจมาก ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ก็ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูง” พญ.นาตยา กล่าว
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึง “ความจำเป็นเร่งด่วน” ที่โรงพยาบาลพุทธโสธรต้องการความช่วยเหลือในการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับอาคารศูนย์อุบัติเหตุและโรคหัวใจ หากมีเครื่องมือเหล่านี้จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้เร็วขึ้น มีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น และพวกเขาก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ยกระดับ “โรงพยาบาลหัวใจบ้านแพ้ว” ความหวังที่จะทำให้ทุกหัวใจได้เต้นต่อ
ปัจจุบันโรงพยาบาลบ้านแพ้ว เป็นศูนย์ส่งต่อผู้ป่วยโรคหัวใจ ครอบคลุมพื้นที่ 8 จังหวัดในเขตสุขภาพที่ 5 ให้บริการครบวงจรโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง ทั้งด้านอายุรกรรมโรคหัวใจ สวนหัวใจ ผ่าตัดหัวใจ และมีหออภิบาลผู้ป่วยโรคหัวใจโดยเฉพาะ ตลอด 24 ชั่วโมง
นพ.สุภกิจ คุณูปการ อายุรแพทย์โรคหัวใจ และผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านภารกิจหัวใจ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) เล่าถึงสถานการณ์ในปัจจุบันว่า แม้โรงพยาบาลบ้านแพ้วจะเปิดให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจอย่างเต็มที่ แต่ด้วยมีห้องสวนหัวใจเพียง 1 ห้องและห้องผ่าตัดหัวใจ 1 ห้อง กับเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วย
หัวใจวิกฤต 23 เตียง ทำให้พื้นที่ รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีอยู่ ยังไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีภาวะวิกฤต ต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน ซึ่งอาจมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูง หากไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ทันเวลา
เพราะทุกคน คือ หัวใจของใครบางคน จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่า 1 ชีวิต ของใครสำคัญกว่ากัน เป็นที่มาของการสร้างโรงพยาบาลหัวใจบ้านแพ้ว เพื่อมอบโอกาสให้ทุกหัวใจได้เต้นต่อ โรงพยาบาลบ้านแพ้วขอเชิญชวนทุกคนร่วมกันสมทบทุนเพื่อจัดซื้อเครื่องมือ อุปกรณ์ สำหรับช่วยชีวิตผู้ป่วย ให้แก่โรงพยาบาลเพื่อเป็นความหวังของผู้คนที่ต้องการรักษาหัวใจ และเปลี่ยนวิกฤต เป็นรอยยิ้มหลังการรักษา
![]()
“เครื่องตรวจหัวใจ” อาวุธสำคัญที่ขาดหาย กับชีวิตที่ไม่ควรต้องรอ
แม้จังหวัดสมุทรสงคราม จะเป็นจังหวัดขนาดเล็ก แต่โรงพยาบาลพระพุทธเลิศหล้า จ.สมุทรสงคราม กลับต้องรองรับผู้ป่วยจำนวนมากทุกวัน โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง อันตรายถึงขั้นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิต
นพ.จรัล ปันกองงาม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระพุทธเลิศหล้า กล่าวว่า แม้โรงพยาบาลจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมรับมือ แต่กลับต้องส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลรอบนอก เช่น จ.สมุทรสาคร เนื่องจากขาดเครื่องมือหลักที่จะวินิจฉัยโรคได้ทันที เหมือนนักรบที่ไม่มีอาวุธ ถึงแพทย์จะเก่งแค่ไหน แต่หากขาดเครื่องมือ ก็ไม่อาจต่อสู้กับโรคร้ายได้อย่างเต็มที่ สิ่งที่ทางโรงพยาบาลต้องการ คือ เครื่องตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยประเมินและวินิจฉัยโรคหัวใจได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
“เครื่องเอคโค่ที่เราใช้อยู่มีอายุเกิน 10 ปีแล้ว และมีราคาสูง หากไม่มีเครื่องใหม่ การรักษาจะล่าช้า และผู้ป่วยบางรายอาจไม่ทันได้รับการช่วยชีวิต ที่ผ่านมามีเคสผู้ป่วยชายสูงอายุที่เข้ามาด้วยภาวะน้ำท่วมปอด หรือผู้ป่วยฉุกเฉินแน่นหน้าอกและความดันต่ำ ล้วนต้องพึ่งพาเครื่องเอคโค่ในการประเมินความรุนแรงของโรค หากไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย การวิเคราะห์โรคอาจไม่แม่นยำ และทำให้การรักษาล่าช้าไปทุกวินาที” นพ.จรัล กล่าวย้ำ
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินโดยเฉพาะโรคหัวใจและศัลยกรรมวิกฤต โรงพยาบาลพระพุทธเลิศหล้า ขอเชิญชวนร่วมสมทบทุนจัดซื้อ เครื่องตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography) เพื่อยกระดับการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจให้ทันท่วงที ลดการสูญเสีย และมอบโอกาสให้คนไข้ได้กลับไปมีชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง
เพราะพลังแห่งการให้ เป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทีทีบียกระดับบทบาทของธนาคารในฐานะผู้ขับเคลื่อนความยั่งยืนของสังคม กับการระดมเงินบริจาคเพื่อโรงพยาบาลท้องถิ่น ผ่านโครงการ “Circle of boon วัฏจักรพลังการแบ่งปัน” ที่ดำเนินการภายใต้ “ปันบุญ โดย ทีทีบี” ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านเว็บไซต์ Punboon.org ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และมีความโปร่งใสทุกขั้นตอน ให้ผู้บริจาคมั่นใจได้ว่า เงินทุกบาทส่งตรงถึงโรงพยาบาลอย่างแท้จริง และโรงพยาบาลท้องถิ่นได้ลงทะเบียน e-Donation กับกรมสรรพากร จึงเป็น
ทางเลือกให้ผู้บริจาคในการลดหย่อนภาษี 2 เท่าของเงินบริจาคอีกด้วย ขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “Circle of boon” วัฏจักรพลังแห่งการแบ่งปัน ทุกบาทของคุณสามารถเปลี่ยนชีวิตผู้ป่วยได้จริง และยั่งยืน
สำหรับลูกค้าธุรกิจที่สนใจริเริ่มโครงการระดมเงินบริจาคหรือร่วมบริจาคให้กับโรงพยาบาลท้องถิ่น สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เจ้าหน้าที่บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจของท่าน หรือติดต่อศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต โทร. 0 2643 7000 วันจันทร์ ถึง วันเสาร์ 08:00 – 20:00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันหยุดธนาคาร
ในยุคเศรษฐกิจที่การแข่งขันเข้มข้นและผู้บริโภคมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจจำเป็นต้องมองหา “กลยุทธ์ใหม่” และ “แรงบันดาลใจใหม่” ที่จะพาแบรนด์ยืนหนึ่งในตลาดได้อย่างมั่นใจ LINE for Business เตรียมจัดสองเวทีสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “LINE FOOD TECH 2025” และ “LINE BEAUTY TECH 2025” เจาะลึกอินไซต์ของ 2 อุตสาหกรรมดาวเด่นในไทย ดึงทัพกูรูและผู้บริหารตัวจริงจากทั้งไทยและระดับโลก มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ตรง เทรนด์ที่น่าสนใจ เปิดกลยุทธ์การพลิกความท้าทายให้กลายเป็นโอกาส สร้างความต่างในตลาด ด้วยแนวคิดที่นำไปต่อยอดได้จริง
LINE FOOD TECH 2025 ถอดสูตรเอาตัวรอดในสมรภูมิ Red Ocean จากแบรนด์ระดับท็อปในไทย
เวทีรวมผู้บริหารแบรนด์ระดับท็อปแห่งวงการอาหารและเครื่องดื่มครั้งใหญ่ พร้อมผู้เชี่ยวชาญชั้นนำมากมาย อาทิ LINE MAN Wongnai, Starbucks, Lay’s, เต่าบิน, Hato Hub และ BeTask ที่จะมาเผยประสบการณ์ตรงและกลยุทธ์การเอาตัวรอดในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ วิถีการนำดาต้ามาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างมั่นใจ ช่วยผู้ประกอบการนำพาธุรกิจก้าวข้ามอุปสรรคสู่ทางเลือกใหม่ สร้างความต่างและเติบโตอย่างยั่งยืนได้ด้วยเทคโนโลยี พบกับ LINE FOOD TECH 2025 ได้ในวันที่ 16 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ
*ผู้บริหารและนักการตลาดกลุ่มธุรกิจ F&B ที่สนใจ สามารถกรอกแบบฟอร์มเพื่อสมัครเข้าร่วมงานได้ที่ https://lin.ee/JGzjXc3 สงวนสิทธิ์สำหรับผู้บริหารและนักการตลาดของแบรนด์/องค์กรที่ได้รับเชิญ และได้รับอีเมลยืนยันเท่านั้น
![]()
LINE BEAUTY TECH 2025 ผ่าเทรนด์ Global ถึง Local ปั้นแบรนด์ให้ยืนหนึ่งในศึกบิวตี้
เปิดโลกธุรกิจสุขภาพและความงามในมุมมองใหม่ เจาะลึกกระแสเทรนด์ความงามที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำอย่าง Wisesight รวมแบรนด์ดังตัวจริงทั้งจากในไทยและระดับโลกอย่าง L’oreal และ ศรีจันทร์ มาร่วมเผยกลยุทธ์สร้างความแตกต่างเพื่อคว้าชัย ยกระดับการทำการตลาดอย่างไรให้ครองใจผู้บริโภค พร้อม Salesforce กับกลยุทธ์การใช้ดาต้าผ่านเทคโนโลยี สร้างความสำเร็จให้ธุรกิจได้อย่างยั่งยืน งาน LINE BEAUTY TECH 2025 จะจัดขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ
* ผู้บริหารและนักการตลาดกลุ่มธุรกิจ Health & Beauty ที่สนใจ สามารถกรอกแบบฟอร์มเพื่อสมัครเข้าร่วมงานได้ที่ https://lin.ee/Mdg0TxR สงวนสิทธิ์สำหรับผู้บริหารและนักการตลาดของแบรนด์/องค์กรที่ได้รับเชิญ และได้รับอีเมลยืนยันเท่านั้น
สองเวทีนี้คือโอกาสพิเศษของผู้บริหารและนักการตลาดไทย ในการเปิดมุมมอง อัปเดตเทรนด์ใหม่ รับรู้กลยุทธ์ตรงจากเหล่าแบรนด์แถวหน้าแห่งเมืองไทย ศึกษาเทคโนโลยีที่จะพลิกเกมการแข่งขันได้ ค้นหาแรงบันดาลใจใหม่เพื่อก้าวข้ามความท้าทาย สู่การสร้างความแตกต่างและการเติบโตอย่างมั่นคงในยุค Tech-driven
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ จุฬาฯ ร่วมกับ Coursera for Campus จัดงาน President’s Distinguished Speakers ครั้งที่ 5 โดยมี ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ เป็นผู้กล่าวเปิดงาน จากนั้นเป็นการบรรยายพิเศษเรื่อง “Purpose-Driven Learning: The Human Foundation for Flourishing in an AI-Powered Economy” (การเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายและทักษะเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI) โดย Dr. Victor Strecher, Pioneering Professor, School of Public Health, University of Michigan นักวิทยาศาสตร์พฤติกรรมผู้มีชื่อเสียง นักเขียน และผู้สอนบนแพลตฟอร์ม Coursera ผู้สร้างหลักสูตรออนไลน์ชื่อดัง “Finding Purpose and Meaning in Life” ซึ่งได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสาร Inc.ให้เป็นคอร์สออนไลน์ที่ดีที่สุดอันดับ 4 ของโลกในปี 2020 ดำเนินรายการโดย อ. ดร.ถิรพุทธิ์ ปิติฉัตร ผู้ช่วยอธิการบดี ด้านพัฒนาองค์กร
การบรรยายพิเศษครั้งนี้ Dr. Victor Strecher ได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อน ด้วยเป้าหมายในฐานะรากฐานสำคัญของการสร้างความยืดหยุ่น ความเป็นอยู่ที่ดี และสมรรถนะสูง ในเศรษฐกิจยุค AI พร้อมเผยถึงวิธีการเชื่อมโยง “ความหมายในชีวิต” เข้ากับ “การพัฒนาทักษะ” เพื่อปลดล็อกแรงบันดาลใจและนวัตกรรมทั้งในระดับบุคคล องค์กร และสังคม ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่รวดเร็ว ทั้งนี้การบรรยายดังกล่าวมีคณาจารย์ บุคลากร และนิสิตเข้าฟังจำนวนมาก
Dr. Victor Strecher เน้นย้ำว่ามนุษย์ไม่ได้ต้องการเพียงพลังงานและทักษะเท่านั้น แต่ยังต้องมี จุดหมายที่ชัดเจนในชีวิต หรือเป้าหมายชีวิตที่เป็นเสมือนเข็มทิศกำหนดทิศทาง และยังชวนผู้เข้ารับฟังการบรรยายให้มีแรงบันดาลใจในการค้นหาเป้าหมายในชีวิต เช่น เมื่อเรากลัว สมองจะสร้างกำแพงขึ้นมาทันทีแต่ ‘เป้าหมาย’ คือพลังเดียวที่พังกำแพงนั้นได้ อย่าให้ความกลัวมาควบคุมชีวิตเรา สมองมีไว้คิดมิใช่ให้ความกลัวบังคับ เป้าหมายชีวิตที่แท้จริงคือ พลังที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าภายใน จัดระเบียบชีวิตให้เดินไปสู่สิ่งที่มีความหมาย คนที่มีเป้าหมายชีวิตชัดเจนมีแนวโน้มคิดทำร้ายตัวเองน้อยกว่าคนที่ไม่มีถึง 4 เท่า และการมีเหตุผลที่จะตื่นขึ้นทุกเช้าคือยารักษาจิตใจที่ดีที่สุด
![]()
นอกจากนี้ Dr. Victor Strecher ยังกล่าวถึงความสำคัญของ AI ว่าสามารถทำลายงานของเราหรืออาจทำให้ศักยภาพของมนุษย์พุ่งสูงขึ้นหลายเท่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าเราใช้มันโดยมีเป้าหมายหรือไม่ เราพูดถึง AI เหมือนมันเป็นสิ่งเดียว แต่จริง ๆ แล้วมันคือสติปัญญาหลายแบบที่เราต้องเรียนรู้จะอยู่ร่วมกับมัน
ถ้าเราเข้าใจตัวเอง เราก็จะเข้าใจได้ว่า AI แบบไหนที่เหมาะกับเรา และ AI ไม่ได้แทนมนุษย์ได้ทุกอย่างแต่มันขยายตัวตนที่ชัดเจนของเราออกไปได้
ในมุมมองด้านสาธารณสุข การดูแลสุขภาพไม่ควรมุ่งเน้นเฉพาะการป้องกันหรือรักษาโรคเท่านั้น แต่ควรส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและทิศทางที่ชัดเจน
นอกจากนี้ จากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการสะท้อนคุณค่าและภาพตนเองในอนาคตจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างอัตลักษณ์ การกำกับอารมณ์ และความยืดหยุ่นทางจิตใจ
Dr. Victor Strecher ชี้ว่าเมื่อเชื่อมโยงอัตลักษณ์และเป้าหมายชีวิตเข้ากับเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้อย่างเหมาะสม AI จะทำหน้าที่เป็น “พลังทวีคูณ” ที่ช่วยสนับสนุนต้นแบบ อัตลักษณ์ให้ได้รับประโยชน์จากเครื่องมือที่เหมาะสมกับตน การผสมผสาน “ทักษะ” เข้ากับ “เป้าหมายชีวิต” จะก่อให้เกิดผู้เรียนและผู้นำที่มีความหวังมากขึ้น สามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจทั้งทิศทางและศักยภาพ
ยูนิลีเวอร์ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดียิ่งขึ้น ชูกลยุทธ์ “ลด 3 สารอาหารที่ควรจำกัด” มุ่งลดปริมาณโซเดียม น้ำตาล และไขมันอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านการโภชนาการของยูนิลีเวอร์ (USNC) โดยยังคงรสชาติความอร่อยด้วยเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะ เพื่อตอบโจทย์ทั้งสุขภาพ ความอร่อย และคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมกับผู้บริโภคไทยทุกเพศทุกวัย พร้อมนำเสนอนวัตกรรมอาหารที่หลากหลายในงานการประชุมวิชาการโภชนาการแห่งชาติ ครั้งที่ 18 งานประชุมวิชาการด้านโภชนาการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้หัวข้อ “โภชนาการกับการกินดี มีสุข” (Nutrition and Holistic Well-Being) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6–7 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
ตลอดเวลากว่า 25 ปีที่ผ่านมา ยูนิลีเวอร์ยึดมั่นในพันธกิจด้านโภชนาการ ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารให้มีคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการที่ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งกำหนดเกณฑ์มาตรฐานภายในองค์กร 2 ชุด ได้แก่ Unilever’s Science-based Nutrition Criteria (USNC) และ Positive Nutrition Standards (PNS) เพื่อยกระดับคุณค่าทางโภชนาการในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยตั้งเป้าหมายเชิงโภชนาการอย่างชัดเจน อาทิ ผลิตภัณฑ์ในเครือ 85% ต้องผ่านเกณฑ์ USNC ภายในปี 2571 และเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มอบโภชนาการเชิงบวก (PNS) ให้เป็นสองเท่า รวมถึงทำให้ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มทั่วโลก 80% มีปริมาณน้ำตาลรวมไม่เกิน 5 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตรภายในปี 2568 ทั้งนี้ ยูนิลีเวอร์ยังสามารถลดปริมาณเกลือในผลิตภัณฑ์อาหารไปแล้วกว่า 37 ล้านตัน หรือเทียบเท่ากับปริมาณน้ำในสระว่ายน้ำมาตรฐานกว่า 15,000 สระ1
![]()
คุณอภิพร อดุลย์พิจิตร ผู้อำนวยการด้านงานวิจัยและพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร ภูมิภาคเอเชีย Greater Asia กล่าวว่า “ยูนิลีเวอร์เชื่อมั่นว่าโภชนาการที่ดีเริ่มต้นจากการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพและการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้บริโภคทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพได้โดยไม่ต้องสูญเสียความอร่อย เราจึงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสมดุล ภายใต้กลยุทธ์ ‘ลด 3 สารอาหารที่ควรจำกัด’ ได้แก่ โซเดียม น้ำตาล และไขมัน ควบคู่กับการเสริมสารอาหารที่จำเป็น หรือที่เราเรียกว่า ‘โภชนาการเชิงบวก’ อาทิ วิตามิน แคลเซียม และใยอาหาร เพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงในระยะยาว ตอบโจทย์ทั้งรสชาติความอร่อยและประโยชน์ทางโภชนาการในทุกมื้ออาหาร”
ยูนิลีเวอร์ยังมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “คนอร์” ให้มีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านแนวทาง โภชนาการเชิงบวก (Positive Nutrition) ด้วยการเสริมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย อาทิ วิตามินบี 1 ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ, ไนอะซิน ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันไปเป็นพลังงานตามปกติ, วิตามินบี 6 ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และ วิตามินซี ที่มีส่วนช่วยในการทำหน้าที่ของระบบภูมิคุ้มกันตามปกติ ตอกย้ำความตั้งใจของยูนิลีเวอร์ในการมอบอาหารที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภค
ทั้งนี้ภายในงาน ยูนิลีเวอร์ได้นำผลิตภัณฑ์มาจัดแสดง เพื่อสะท้อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการตามโครงการ “กลยุทธ์ลด 3 สารอาหารที่ควรจำกัด” ซึ่งช่วยสนับสนุนให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถเลือกสรรอาหารที่ดีต่อ
สุขภาพได้ง่ายขึ้น โดยยังคงรสชาติความอร่อยด้วยเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของยูนิลีเวอร์ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ร่วมจัดแสดง ได้แก่
· คนอร์ซุปก้อนหมู (ต้นตำรับ) ที่ปรับคำแนะนำการบริโภคใหม่เป็น 1 ก้อนต่อน้ำ 1 ลิตร ช่วยลดปริมาณโซเดียมได้ประมาณ 50% เมื่อเทียบกับการใช้ 2 ก้อน แต่ยังคงรสชาติอร่อยกลมกล่อมเช่นเดิม และผลิตจากเนื้อหมูแท้
· คนอร์ซุปก้อนหมู สูตรลดโซเดียม 25% พัฒนาสูตรใหม่ ลดโซเดียม ไม่ใส่ผงชูรส ผลิตจากเนื้อหมูแท้
· คนอร์โจ๊กหมู สูตรลดโซเดียมกว่า 28% เมื่อเทียบกับสูตรปี 2562 ผลิตจากเนื้อหมูแท้ และได้รับสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ”
· เฮลแมนน์และเบสท์ฟู้ด ที่พัฒนาสูตรเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฮลแมนน์ลดแคลอรี่และไขมันลง 60% ส่วนเบสท์ฟู้ดลดปริมาณน้ำตาลลง 25%
นอกจากนี้ ยูนิลีเวอร์ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ “คนอร์โจ๊กซีสซี่” ในสองรสชาติ ได้แก่ คาโบนาร่าชีสเบคอน และข้าวโพดชีส ที่ได้การรับรอง “สัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ” หรือ Healthier Choice (HCL) โดยนำเสนอความหลากหลายในรสชาติให้กับผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ต้องการความอร่อย และความสะดวกในมื้ออาหาร
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) เดินหน้าขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการพัฒนาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล (Bachelor of Engineering in Computer Engineering and Digital Technology) มุ่งผลิตบุคลากรด้านดิจิทัลรุ่นใหม่ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ดร.วศิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านทรัพยากรบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรี ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ โดยเฉพาะทักษะด้านดิจิทัล ที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับคนไทยรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ และต่อยอดสู่เส้นทางอาชีพอย่างเต็มศักยภาพ ผ่านหลักสูตรที่ถูกพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน นอกจากนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ ยังช่วยตอกย้ำบทบาทขององค์กรที่ไม่เพียงมุ่งสร้างความก้าวหน้าในธุรกิจ แต่ยังมุ่งมั่นยกระดับโครงสร้าง มอบโอกาสในการเรียนรู้ และการทำงานที่สร้างคุณค่าให้แก่คนรุ่นใหม่ และสังคมไทยอีกด้วย”
ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการความรู้ด้านวิชาการเข้ากับการปฏิบัติงานจริงในภาคธุรกิจ โดยนิสิตที่เข้าร่วมหลักสูตรจะได้รับประสบการณ์จริงจากกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ อาทิ โปรแกรมฝึกงานและสหกิจศึกษาที่เปิดโอกาสให้นิสิตได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะจากประสบการณ์จริงที่กรุงศรี พร้อมสำรวจเส้นทางอาชีพในอนาคต กิจกรรมการแข่งขันด้านธุรกิจ (Case Competition) หรือ Hackathon เพื่อให้นิสิตได้ท้าทายความสามารถในการแก้โจทย์จริงและค้นพบเส้นทางอนาคตของตนเอง รวมถึงการบรรยายพิเศษและการพูดคุยในชั้นเรียน โดยมีผู้เชี่ยวชาญของกรุงศรี ร่วมถ่ายทอดความรู้ ให้คำแนะนำ และสร้างแรงบันดาลใจ ตลอดจนการเสริมสร้างทักษะให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ทั้งด้านวิชาชีพ การพัฒนาทักษะทางสังคมที่จำเป็น และการปลูกฝังภาวะผู้นำ เพื่อพร้อมก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานในยุคดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูงได้อย่างแข็งแกร่งมากที่สุด
รศ.ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัล รวมไปถึงความต้องของตลาดในประเทศไทย ดังนั้น เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับทางกรุงศรี สร้างบุคลากรคุณภาพที่มีความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งนิสิตที่เข้าร่วมโครงการ ไม่เพียงจะได้รับความรู้เชิงวิชาการผ่านการเรียนการสอนภายในห้องเรียน แต่ยังได้สัมผัสประสบการณ์จริงจากผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมโดยตรง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้โดยรวมได้เป็นอย่างดี และเป็นประโยชน์สำหรับการทำงานในอนาคตต่อไป”
ความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจในครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างบุคลากรคุณภาพด้านดิจิทัล เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
คณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มีมติแต่งตั้ง นายชลัช รัตนบุญนิธิ เป็นกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK โดยเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
ทั้งนี้ EXIM BANK ได้ดำเนินการตามกระบวนการสรรหากรรมการผู้จัดการตามเกณฑ์ของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการธนาคารมีมติแต่งตั้งนายชลัช รัตนบุญนิธิ ผู้ช่วยผู้บริหารองค์กร EXIM BANK ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2536 เรียบร้อยแล้ว
โดย นายชลัช รัตนบุญนิธิ ผู้นำคนล่าสุดของ EXIM BANK มีภูมิหลังด้านการศึกษาเป็นที่น่าจับตา โดยสำเร็จการศึกษาปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ และปริญญาตรี บัญชีบัณฑิต สาขาระบบสารสนเทศทางการบัญชี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทั้งนี้ นายชลัช เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการธุรกิจภาครัฐ สายงานธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงานธุรกิจภาครัฐ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และล่าสุดดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหารองค์กร EXIM BANK ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK คนที่ 7 นับตั้งแต่ก่อตั้ง EXIM BANK เมื่อปี 2537 มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึง 30 กันยายน 2572
อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือของ Amazon.com เปิดเผยผลการศึกษาพบว่า แม้การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในไทยจะเติบโตต่อเนื่อง แต่เกิดช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างบริษัทสตาร์ทอัพและบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจมานาน ในด้านการประยุกต์ใช้ AI ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดเศรษฐกิจสองระดับ โดยสตาร์ทอัพที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสามารถพัฒนานวัตกรรมได้เร็วกว่าและแซงหน้าธุรกิจดั้งเดิม การใช้ AI ในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีธุรกิจ 150,000 รายนำ AI มาใช้ในปี 2567 หรือเฉลี่ยเกือบทุก 3 นาทีจะมีธุรกิจใหม่นำ AI มาใช้ ปัจจุบันมีธุรกิจ 600,000 ราย หรือ 32% ของธุรกิจทั้งประเทศที่นำ AI มาใช้แล้ว เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อน ด้านผลลัพธ์ทางธุรกิจ 67% ของธุรกิจที่ใช้ AI มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17% ในขณะที่ 78% คาดว่าจะสามารถประหยัดต้นทุนได้เฉลี่ย 17%
AWS ร่วมกับ Strand Partners สำรวจการใช้ AI ในไทยผ่านการศึกษา “Unlocking Thailand's AI Potential” โดยเก็บข้อมูลจากผู้นำธุรกิจและประชาชนทั่วไป กลุ่มละ 1,000 รายในประเทศไทย
การใช้ AI ในธุรกิจไทยแพร่หลาย แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับพื้นฐาน
แม้การใช้ AI ในไทยจะแพร่หลายขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ในระดับก้าวหน้า สะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนาการใช้ AI ให้ลึกซึ้งขึ้นเพื่อปลดล็อกศักยภาพของประเทศ โดย 72% ของธุรกิจยังใช้ AI เพียงขั้นพื้นฐาน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงกระบวนการทำงาน มากกว่าการสร้างนวัตกรรมใหม่ มีเพียง 18% ที่ใช้ในระดับกลาง และ 10% ที่ผสาน AI เข้าเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตัดสินใจ และโมเดลธุรกิจ
สตาร์ทอัพไทยมีความกระตือรือร้นและสร้างสรรค์ในการใช้ AI โดยนำ AI ขั้นสูงมาใช้เร็วกว่าบริษัทที่มีมานาน โดย 50% ของสตาร์ทอัพใช้ AI ในรูปแบบต่าง ๆ และ 40% กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มศักยภาพ ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่แม้ 44% จะใช้ AI แต่มีเพียง 16% ที่สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ด้วย AI และ 18% ที่มีกลยุทธ์ AI ครอบคลุม ส่วนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) 32% นำ AI มาใช้ แต่มีเพียง 9% ที่ใช้ในระดับก้าวหน้าที่สุด ช่องว่างด้านนวัตกรรม AI นี้อาจส่งผลสำคัญต่ออนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
นิค บอนสโตว์ (Nick Bonstow) ผู้อำนวยการบริษัท สแตรนด์ พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า “นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ในประเทศไทย จากผลการศึกษาพบว่า แม้ 32% ของธุรกิจจะรายงานว่าได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ แต่ส่วนใหญ่ยังคงใช้งานอยู่ในระดับพื้นฐานเท่านั้น ทั้งที่ในปีที่ผ่านมามีการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างแพร่หลายและรวดเร็ว ในขณะที่สตาร์ทอัพซึ่งมีความคล่องตัวสูงกำลังก้าวล้ำหน้าทั้งบริษัทขนาดใหญ่และ SME ทั้งในแง่ความเร็วและความลึกของนวัตกรรม การเกิดขึ้นของเศรษฐกิจ AI แบบ “สองระดับ” นี้อาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เราไม่ควรพิจารณาเพียงตัวเลขการนำ AI มาใช้เท่านั้น เพราะอาจทำให้มองข้ามความท้าทายที่แท้จริงที่ธุรกิจไทยจำนวนมากกำลังเผชิญอยู่
ช่องว่างด้านทักษะ AI และความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการประยุกต์ใช้ AI ในวงกว้าง
ผลการศึกษาชี้ชัดว่า 47% ของธุรกิจในประเทศไทยระบุว่า การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI เป็นอุปสรรคหลักในการนำ AI มาใช้หรือขยายการใช้งาน แม้หลายธุรกิจจะมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและวิสัยทัศน์ แต่กลับประสบปัญหาในการสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของประเทศไทยและเป็นข้อจำกัดต่อการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการคาดการณ์ระบุว่า 61% ของตำแหน่งงานในอนาคตจะต้องการทักษะด้าน AI ในขณะที่มีเพียง 29% ของธุรกิจเท่านั้นที่เชื่อว่าพนักงานปัจจุบันมีความพร้อมด้านทักษะดังกล่าว
เมื่อวิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกของกฎระเบียบใหม่ที่มีต่อภาคธุรกิจ พบว่า 49% ของธุรกิจคาดหวังว่ากฎระเบียบด้าน AI จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มลูกค้า และ 39% เห็นว่าจะนำไปสู่การพัฒนากรอบการกำกับดูแลที่มีเสถียรภาพ สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ภาคธุรกิจได้จัดสรรงบประมาณ 27% เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ โดย 76% ของธุรกิจคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า
แนวทางการพัฒนานวัตกรรม AI ในอนาคต
ผลการศึกษาได้นำเสนอแนวทางสำคัญ 3 ประการในการก้าวข้ามอุปสรรคและปลดล็อกศักยภาพของ AI ทั้งในบริษัทสตาร์ทอัพและองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันการเกิดเศรษฐกิจแบบแบ่งแยก ได้แก่ การลงทุนและสร้างโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลที่เฉพาะเจาะจงกับแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างบุคลากรที่มีความสามารถด้านดิจิทัลในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตด้วย AI การกำหนดกรอบกฎระเบียบที่ชัดเจน คาดการณ์ได้ และเอื้อต่อนวัตกรรมในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการประยุกต์ใช้ AI อย่างลึกซึ้งในทุกภาคธุรกิจ และการเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขและการศึกษา รวมถึงการใช้ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อส่งเสริมนวัตกรรม เนื่องจาก 67% ของภาคธุรกิจระบุว่าจะมีแนวโน้มนำ AI มาใช้มากขึ้นหากภาครัฐเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง
AWS เปิดตัว Asia Pacific (Thailand) Region ในเดือนมกราคม 2568 ด้วยเม็ดเงินลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานเต็มเวลากว่า 11,000 ตำแหน่งต่อปี และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ GDP ของประเทศไทยถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตั้งแต่ปี 2560 AWS ได้มุ่งพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลของประเทศไทยผ่านการฝึกอบรมด้านคลาวด์คอมพิวติ้งให้กับบุคลากรกว่า 100,000 คน ด้วยโครงการต่าง ๆ อาทิ AWS Skill Builder, AWS Educate, AWS Academy และ AWS re/Start รวมถึงโครงการในประเทศอย่าง “Tech for Digital Future” และ “AWS Skills to Jobs Tech Alliance” นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการ ในการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงทักษะสู่การจ้างงาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI
คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า "ธุรกิจในประเทศไทยมีความตื่นตัวและมุ่งมั่น อย่างมากในการพัฒนานวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี AI โดยระดับการนำไปใช้ที่สูงสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดนี้ ชี้ให้เห็นว่ายังมีอุปสรรคสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการพัฒนาการใช้งาน AI ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีด้าน AI ระดับโลก ทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องร่วมมือกันแก้ไขอุปสรรคที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญอยู่อย่างเป็นระบบ ทาง AWS ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนการใช้งาน Generative AI อย่างแพร่หลาย ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาทักษะบุคลากรอย่างต่อเนื่อง"
บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการถ่ายภาพระดับโลก ด้วยการเปิดตัว “Sony Rental Service” บริการให้เช่าอุปกรณ์กล้อง เลนส์ และอุปกรณ์เสริมจากโซนี่อย่างเป็นทางการ เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งครีเอเตอร์รุ่นใหม่ ผู้ใช้งานทั่วไป ไปจนถึงผู้ที่กำลังพิจารณาอัปเกรดอุปกรณ์ถ่ายภาพ ได้ทดลองใช้งานอุปกรณ์ระดับเรือธงของโซนี่จริงในหลากหลายสถานการณ์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่นทั้งด้านฟังก์ชันและค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทำคอนเทนต์ เก็บภาพช่วงเวลาสำคัญ หรือใช้งานในโปรเจกต์เฉพาะทาง
โดยมีอุปกรณ์ให้เลือกอย่างครอบคลุม ตั้งแต่กล้องระดับไฮเอนด์ กล้องสำหรับมือใหม่ เลนส์ยอดนิยม ตลอดจนไมโครโฟนและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ผู้ใช้สามารถนัดหมายวันเข้ารับบริการได้ง่าย ๆ ผ่าน LINE Official Account และรับสินค้าได้ที่ Sony Store สาขาสยามพารากอน เพียงสมัครเป็นสมาชิก My Sony Rewards ก็สามารถใช้บริการได้ทันที นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของโซนี่ในการเปิดกว้างให้คนไทยทุกกลุ่มเข้าถึงประสบการณ์การถ่ายภาพระดับมืออาชีพได้อย่างแท้จริง ทั้งในรูปแบบที่สะดวก คล่องตัว และคุ้มค่าที่สุด
นายธเนศ จารุธรรมาวงศ์ ผู้จัดการแผนกการตลาดผลิตภัณฑ์กล้องดิจิทัลอิมเมจิ้ง บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด กล่าวว่า “โซนี่เชื่อมาโดยตลอดว่า ‘อุปกรณ์ที่ดี’ คือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการสร้างสรรค์คอนเทนต์ เราจึงให้ความสำคัญกับการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและทดลองใช้งาน เพื่อผลักดันให้ผู้คนก้าวสู่เส้นทางของการเป็นครีเอเตอร์อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ โซนี่ไทย จึงเปิดตัวบริการ Sony Rental Service เพื่อตอบโจทย์ทั้งครีเอเตอร์รุ่นใหม่ ผู้ที่กำลังมองหาอุปกรณ์ที่เหมาะกับสไตล์ของตนเอง ไปจนถึงผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการเก็บภาพช่วงเวลาพิเศษในชีวิต ให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับเรือธงของโซนี่ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น การเช่าจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ทั้งสำหรับการทดลองใช้งานจริงในสถานการณ์จริง หรือการใช้งานเฉพาะโอกาส เช่น การเช่าเลนส์เฉพาะทาง หรือไมโครโฟนคุณภาพสูงที่ไม่ได้ใช้งานบ่อย โซนี่เชื่อมั่นว่าบริการนี้จะช่วยให้ผู้ที่มีความฝันสามารถเริ่มต้นเส้นทางสายครีเอเตอร์ได้ง่ายขึ้น พร้อมต่อยอดแนวคิดการสร้างสรรค์คอนเทนต์ด้วยเครื่องมือคุณภาพระดับโลก ในรูปแบบที่สะดวก คล่องตัว และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล”
![]()
สำหรับบริการ Sony Rental Service มีรายการอุปกรณ์ให้เลือกใช้อย่างครอบคลุม ทั้งกล้องและเลนส์ระดับเรือธง อาทิ Alpha 1 II, Alpha 9 III, Alpha 7C II, Alpha 7 IV รวมถึงเลนส์ยอดนิยมอย่าง FE 24-70 มม. F2.8 GM II, FE 70-200 มม. F2.8 GM II, FE 16-35 มม. F2.8 GM II และเลนส์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง FE 50-150 มม. F2 GM สำหรับผู้ที่ต้องการความละเอียดสูง ยังสามารถทดลองใช้งานกล้อง Alpha 7R V และ Alpha 7CR ได้เช่นกัน ขณะเดียวกัน สำหรับครีเอเตอร์มือใหม่ที่คุ้นชินกับการใช้สมาร์ทโฟน แต่ต้องการยกระดับคอนเทนต์ให้มีคุณภาพดีขึ้น ก็สามารถทดลองใช้งานกล้องซีรีส์ ZV ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย และหากผู้ใช้มีอุปกรณ์พื้นฐานอยู่แล้วแต่ต้องการเสริมศักยภาพในการถ่ายทำ ยังสามารถเลือกเช่าไมโครโฟนและแฟลชเพิ่มเติมได้ตามต้องการ
ค่าบริการเช่าเริ่มต้นเพียง 500 บาทต่อวันสำหรับหมวดกล้อง, 250 บาทต่อวันสำหรับหมวดเลนส์ และ 100 บาทต่อวันสำหรับอุปกรณ์เสริม ผู้ใช้งานสามารถจองอุปกรณ์ล่วงหน้าได้ผ่าน LINE Official Account: @SonyStore.Paragon และเข้ารับสินค้า รวมถึงชำระค่าบริการได้ที่ Sony Store สาขา Siam Paragon โดยผู้สนใจสามารถตรวจสอบรายการอุปกรณ์ที่เปิดให้เช่าผ่านทางเว็บไซต์ www.sony.co.th/microsite/camera-rental-service
SCB WEALTH ร่วมกับ BlackRock คัดสรรผลิตภัณฑ์ลงทุนให้ตอบโจทย์นักลงทุนในจังหวะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า พร้อมเสิร์ฟกองทุนSCBUSDABSAP เสนอขายครั้งแรกในวันที่ 7- 15 ตุลาคม 2568 เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BlackRock Systematic Asia Pacific Equity Absolute Return Fundมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนผ่านการเติบโตของเงินลงทุนในทุกสภาวะตลาด
โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนและจัดตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กองทุนหลักลงทุนอย่างเป็นระบบผสานความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนเข้ากับเทคโนโลยี AI เพื่อคัดเลือกหุ้นคุณภาพจากกว่า 4,500 บริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น พร้อมควบคุมความผันผวนให้อยู่ในกรอบ 6–8% ต่อปี เพื่อประคองความเสี่ยงให้เหมาะสม ตอกย้ำประสิทธิภาพด้วยผลงานของกองทุนหลัก นับตั้งแต่จัดตั้งจนถึงสิ้นเดือน ส.ค. 2568 ที่สร้างผลตอบแทนเป็นบวกถึง 70 เดือนจาก 102เดือน เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี MSCI AC Asia Pacific สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม โดย เงินลงทุนขั้นต่ำ SCBUSDABSAP อยู่ที่ 30 USD มองภาวะเงินบาทแข็งค่าถือเป็นโอกาสสำคัญของนักลงทุนไทยที่มีแผนใช้เงินดอลลาร์ฯในระยะยาว และ ไม่ต้องเสียต้นทุนค่า Hedging
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งอาจเปิดทางให้ธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียปรับลดดอกเบี้ยตาม ส่งผลให้ต้นทุนการลงทุนลดลง และกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ยังเป็นอีกแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียมากขึ้น ขณะที่ระดับ Valuation ของตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว
ในส่วนของแนวโน้มค่าเงินบาท จากข้อมูลของ SCB EIC ค่าเงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นแล้วกว่า 8% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี และแข็งค่านำคู่แข่งในภูมิภาค โดยคาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่ง SCB CIO มองว่า ภาวะเงินบาทแข็งค่าถือเป็น “โอกาสสำคัญ” สำหรับนักลงทุนไทยที่มีแผนใช้เงินดอลลาร์ฯ ในระยะยาว หรือมองหาการลงทุนต่อเนื่องในต่างประเทศ การลงทุนโดยตรงในสกุลเงินดอลลาร์ฯ นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายแล้ว ยังมีข้อได้เปรียบด้านผลตอบแทนเมื่อเทียบกับการลงทุนในสกุลเงินบาท เพราะไม่ต้องเสียต้นทุนค่า Hedging อีกทั้งยังสามารถใช้แนวคิดการสร้าง “USD Wallet” เป็นการลงทุนต่อเนื่องระยะยาวด้วยสกุลเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งช่วยลดความผันผวนจากค่าเงินและโอกาสสร้างความมั่นคงในการลงทุนได้มากขึ้น
โอกาสนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน เตรียมเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Asia Pacific Equity Absolute Return USD (SCBUSDABSAP) ครั้งแรก ( IPO) ระหว่างวันที่ 7- 15 ตุลาคม 2568 ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง เป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้ลงทุนด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ( USD ) ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 30 USD
กองทุนนี้จัดตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ เพียงกองทุนเดียว ได้แก่ BlackRock Systematic Asia Pacific Equity Absolute Return Fund ชนิดหน่วยลงทุน D2 U.S. Dollar (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ บริหารโดย BlackRock (Luxembourg) S.A. ซึ่งกองทุนหลักเน้นการบริหารเชิงรุก (Active management) มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกให้แก่ผู้ลงทุนผ่านการเติบโตของเงินลงทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนในทุกสภาวะตลาด โดยคำนึงถึงหลักการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ( ESG) ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์โดยตรง ( long exposure) และการทำธุรกรรม Synthetic long และ Synthetic short ในบริษัทที่จัดตั้งหรือจดทะเบียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ( Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
สำหรับกลยุทธ์การบริหารกองทุน มีจุดเด่นดังนี้ 1) กองทุนหลักใช้ตราสารอนุพันธ์ทั้ง Long และ Short position ในหุ้นขนาดใหญ่ และเล็กของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย และญี่ปุ่น เพื่อลดความเสี่ยงด้านทิศทางตลาด 2) จำกัดความผันผวนของพอร์ตที่ 6-8% โดยเฉลี่ยต่อปี 3) มุ่งสร้างผลตอบแทนเป็นบวกในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ(USD)ผ่านกลยุทธ์การลงทุนแบบ Market Neutral ที่อาจไม่เคลื่อนไหวตามสภาวะตลาด พร้อมสอดคล้องกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน 4) การบริหารเชิงรุก ซึ่งใช้แบบจำลองเชิงปริมาณ (quantitative models) เพื่อคัดเลือกหุ้นอย่างเป็นระบบ โดยผู้เชี่ยวชาญผสมกับเทคโนโลยี AI ในการเข้าถึงข้อมูลท้องถิ่นของแต่ละประเทศ และ 5) กองทุนหลักได้รับ Morningstar rating 5 ดาวจากกลุ่ม EAA Fund Equity Market Neutral USD (ข้อมูล ณ สิงหาคม 2568)
ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนหลัก มีกระบวนการลงทุนอย่างเป็นระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เข้าถึงข้อมูลหุ้นบริษัทกว่า 4,500 บริษัท ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ทุกวันเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยผสมผสานการคาดการณ์ผลตอบแทน ความเสี่ยง และต้นทุน
ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลียและญี่ปุ่น ต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งภาษา ข้อมูล และโครงสร้างตลาดที่แตกต่างกัน ความสามารถในการเข้าถึงและตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้อง จึงเป็น “กุญแจสำคัญ” ในการสร้างผลตอบแทนที่แตกต่าง
สำหรับกระบวนการลงทุน มีการนำจุดแข็งด้านเทคโนโลยี AI มาผสมผสานทั้งข้อมูลดั้งเดิมและข้อมูลทางเลือก เพื่อสกัด “ข้อมูลเชิงลึก” ที่สะท้อนปัจจัยขับเคลื่อนผลตอบแทนของแต่ละตลาดในอนาคต ขณะเดียวกันยังคงยึดมั่นในกรอบการลงทุนอย่างยั่งยืนตามมาตรฐาน SFDR Article 8 ซึ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
นอกจากนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนยังทำหน้าที่ตรวจสอบและปรับปรุงให้ Model AI มีความแม่นยำและทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ส่งผลให้นักลงทุนสามารถเข้าถึง “โอกาสที่ซ่อนอยู่” ในภูมิภาคที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างมั่นใจ
ทั้งนี้ จากข้อมูลนับตั้งแต่กองทุนหลักจัดตั้ง วันที่ 22 ก.พ. 2560 จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 2568 กองทุนหลักแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ “มั่นคงและต่อเนื่อง” โดยสามารถทำผลตอบแทนรายเดือนเป็นบวกได้ถึง 70 เดือน จากทั้งหมด 102 เดือน เหนือกว่าดัชนีอ้างอิง MSCI AC Asia Pacific ซึ่งทำได้เพียง 61 เดือนจาก 102 เดือน อีกทั้งยังสร้าง ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงกว่าดัชนี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารที่โดดเด่นและเสถียรกว่าเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม