December 15, 2025

ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าส่งต่อความสุขแก่ลูกค้าผู้ใช้บริการมาอย่างยาวนาน ผ่านแคมเปญ “ยิ่งอยู่นาน ยิ่งรักกัน” อิ่มสุขไม่อั้นที่ MK Restaurant สาขาที่ร่วมรายการ MK คุ้มคุ้ม อิ่มไม่อั้น 299 บาท รวม 299 สาขาทั่วประเทศ สำหรับลูกค้าทรูและดีแทค ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

สองผู้บริหารทรู คอร์ปอเรชั่น คุณซิกเว่ เบรคเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม และ คุณฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด ร่วมเซอร์ไพรส์เสิร์ฟลูกค้าถึงโต๊ะ พร้อมกล่าวขอบคุณที่ไว้วางใจให้ทรูและดีแทคได้ดูแลมาอย่างยาวนาน

แคมเปญ “ยิ่งอยู่นาน ยิ่งรักกัน” เปิดให้ลูกค้าทรูและดีแทค ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด กดรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่เวลา 11.00 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เพื่อรับสิทธิ์อิ่มฟรีในระดับต่าง ๆ ได้แก่ ลูกค้าอยู่กับทรูหรือดีแทค 10 ปีขึ้นไปรับสิทธิ์ อิ่มฟรีเต็มมื้อ มูลค่า 299 บาท ลูกค้าอยู่กับทรูหรือดีแทค 5–9 ปี รับสิทธิ์ อิ่มฟรี 150 บาท จ่ายเพียง 149 บาท ลูกค้าอยู่กับทรูหรือดีแทค 1–4 ปี รับสิทธิ์ อิ่มฟรี 100 บาท จ่ายเพียง 199 บาท

แคมเปญนี้จัดขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ โดยยังคงยึดมั่นในแนวทาง “Customer Obsession” ที่มุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์ดี ๆ และสิทธิพิเศษที่มากกว่าให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ใครพลาดรอบนี้... รอติดตามรอบหน้าให้ดี เพราะนี่คือแค่จุดเริ่มต้นของกิจกรรมดี ๆ ที่จะตามมาอีกเพียบ ตลอดปี เพราะ “รอยยิ้มของลูกค้า” คืออันดับหนึ่งเสมอ

กลุ่มดุสิตธานี ร่วมลงนามในข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ SYDEL บริษัทลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศฝรั่งเศส เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ดุสิต ฟรานซ์ “Dusit France” โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับแบรนด์และการบริการอันมีเอกลักษณ์แบบไทยของดุสิตธานีสู่ประเทศฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก

การลงนามในครั้งนี้จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ กรุงปารีส โดย มร.จิลล์ เครตัลเลช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ได้ร่วมถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของบริษัทร่วมทุน ดุสิต ฟรานซ์ พร้อมเน้นย้ำถึงเป้าหมายการเติบโตในภูมิภาคยุโรปของกลุ่มดุสิตธานี โดยระบุว่า ความร่วมมือครั้งนี้กลุ่มดุสิตธานีได้นำความเชี่ยวชาญด้านการดำเนินงาน และความรู้ความเข้าใจในตลาดท้องถิ่นของ SYDEL ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในฝรั่งเศส เพื่อร่วมกันเฟ้นหาโอกาสในการพัฒนาโรงแรมในเครือ ดุสิต โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต ซึ่งประกอบด้วยแบรนด์หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่โรงแรมไลฟ์สไตล์ราคาย่อมเยา ไปจนถึงรีสอร์ตหรูระดับลักซ์ชูรี

“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ SYDEL เพื่อขยายแบรนด์ของกลุ่มดุสิตธานีสู่ยุโรปอีกครั้ง โดยเฉพาะในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจระดับโลกของเรา และเรามั่นใจว่าการผสมผสานระหว่างความเป็นไทย นวัตกรรม และบริการที่เปี่ยมด้วยความอบอุ่นจะได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งนักเดินทางและนักลงทุนในยุโรป” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ. ดุสิตธานี กล่าว

สำหรับแบรนด์ที่กลุ่มดุสิตธานี มีความตั้งใจในการขยายสู่ตลาดฝรั่งเศส ได้แก่ ดุสิตธานี (โรงแรมระดับลักซ์ชูรี), เดวาราณา – ดุสิต รีทรีตส์ (การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมระดับลักซ์ชูรี), ดุสิต คอลเลคชั่น (โรงแรมระดับลักซ์ชูรีที่เน้นประสบการณ์แตกต่างไม่เหมือนใคร), ดุสิต โฮเทล (โรงแรมระดับอัปเปอร์อัปสเกล), ดุสิตดีทู (โรงแรมไลฟ์สไตล์อัปสเกล), ดุสิตปริ๊นเซส (โรงแรมระดับอัปเปอร์มิดสเกล), อาศัย (โรงแรมไลฟ์สไตล์ระดับมิดสเกล) และดุสิต สวีท (โรงแรมเพื่อการเข้าพักระยะยาว)

ทั้งนี้ กลุ่มดุสิตธานีและ SYDEL จะร่วมกันพิจารณาทำเลเชิงกลยุทธ์ พร้อมให้การสนับสนุนผู้พัฒนาโครงการ ในการปรับภาพลักษณ์โครงการ และนำเสนอแนวคิดโรงแรมรูปแบบใหม่ที่มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์อันน่าประทับใจให้กับผู้เข้าพัก ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ปัจจุบันกลุ่มดุสิตมีโรงแรม 294 แห่งใน 18 ประเทศทั่วโลก โดยแบ่งเป็นโรงแรมในเครือดุสิต โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต จำนวน 55 แห่ง และวิลล่าหรูภายใต้แบรนด์ อีลิธฮาเวนส์ อีก 239 หลัง สำหรับในยุโรป กลุ่มดุสิตมีโรงแรมระดับอัปเปอร์อัปสเกล โรงแรมดุสิต สวีท เอเธนส์ ซึ่งตั้งอยู่ในย่านกลีฟาดา บนแนวชายฝั่งริเวียราของกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ

29 กรกฎาคม 2568 - ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่นชำระค่าคลื่นความถี่ย่าน 2300 MHz งวดที่ 1 จำนวน 11,646,950,089.88 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และชำระค่าคลื่นความถี่ย่าน 1500 MHz งวดที่ 1 จำนวน 2,489,868,689.88 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) พร้อมนำส่งหนังสือค้ำประกันการชำระเงินประมูลคลื่นความถี่งวดที่เหลือแก่ สำนักงาน กสทช. ตามเงื่อนไขการดำเนินการก่อนรับใบอนุญาตครอบคลุมระยะเวลาการอนุญาต 15 ปี นับตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2568 โดยมีนายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ (ที่ 2 จากซ้าย) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร พร้อมด้วย นายนฤพนธ์ รัตนสมาหาร (ที่ 6 จากซ้าย) หัวหน้าสายงานรัฐกิจสัมพันธ์และกำกับดูแล และนางสาวกนกพร คุณชัยเจริญกุล (ซ้ายสุด) หัวหน้าสายงานกลยุทธ์กฎระเบียบการกำกับดูแลกิจการ และ นางสาววีณา จ่างเจริญ (ขวาสุด) ผู้เชี่ยวชาญสายงานกลยุทธ์กฎระเบียบการกำกับดูแลกิจการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนบริษัทฯ ในการชำระค่าคลื่นความถี่ โดยมีนายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน (กลาง) รองเลขาธิการ กสทช.สายงานกิจการโทรคมนาคม พร้อมด้วยนางพุธชาด แมนมนตรี (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนัก สำนักการอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม 1 (ปท.1) และนายประถมพงศ์ ศรีนวล (ที่ 5 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและการจัดการทรัพยากรโทรคมนาคม สำนักงาน กสทช. ร่วมรับมอบ ณ สำนักงาน กสทช.

จากการประมูลครั้งนี้ ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล ชนะการประมูลใบอนุญาตคลื่น 2300 MHz จำนวน 70 MHz ด้วยราคา 21,770,000,168 บาท และคลื่น 1500 MHz จำนวน 20 MHz ด้วยราคา 4,653,960,168 บาท ทำให้ ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล เป็นผู้ให้บริการที่มีชุดคลื่นความถี่ครอบคลุมและครบที่สุดในไทย รวม 8 คลื่นความถี่ ทั้งคลื่นความถี่ต่ำ-กลาง-สูง คือ คลื่น 700 MHz, 900 MHz, 1500 MHz, 1800 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz, 2600 MHz และ 26 GHz เพื่อการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและยกระดับประสบการณ์การใช้บริการดิจิทัลของผู้ใช้งานในประเทศไทย

การลงทุนเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการจัดการคลื่นความถี่ที่มุ่งรองรับการเติบโตของเทคโนโลยี 5G, AI และ IoT คลื่น 2300 MHz สามารถให้บริการได้ทั้ง 5G และ 4G โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ที่มีอยู่แล้ว เพื่อส่งมอบความเร็ว ความครอบคลุม และประสิทธิภาพที่ดีกว่าเดิม สำหรับคลื่น 1500 MHz เป็นคลื่นใหม่ที่เหมาะสำหรับการพัฒนาเครือข่ายสู่อนาคต สามารถเพิ่มความจุของเครือข่ายและความครอบคลุมในช่วงดาวน์โหลด รองรับการใช้งานดาต้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในพื้นที่หนาแน่นและนอกเมือง

ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำคลื่นความถี่ที่ได้จากการประมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการขยายพื้นที่ให้บริการ เพิ่มประสิทธิภาพความเร็วและความเสถียรของเครือข่าย ตลอดจนการเสริมศักยภาพในการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งาน รองรับภารกิจการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กรธุรกิจ และส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในระยะยาว

“อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” เตรียมจัดงาน ‘Vitafoods Asia 2025’ ดันธุรกิจเสริมอาหารช่วยผู้ประกอบการไทยไปเวทีโลก ข้อมูลงานวิจัย Market Minds Advisory ชี้ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเอเชียแปซิฟิกพุ่งแรง แตะ 1.76 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2577 ท่ามกลางกระแสรักสุขภาพ ความตระหนักรู้ด้านสุขภาพและความนิยมในโภชนาการเชิงป้องกัน ดันตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในเอเชียแปซิฟิกเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ทีมวิจัย Grand View Research เผยข้อมูลตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเทศไทยจะเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 5.1% ตั้งแต่ปี 2568-2573 ชวนผู้สนใจร่วมชมงาน ‘Vitafoods Asia 2025’ จัดระหว่างวันที่ 17 – 19 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ – ภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เปิดเผยว่า อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในฐานะผู้จัดงาน “ไวต้าฟู้ดส์ เอเชีย 2025” (Vitafoods Asia 2025) งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสกัดและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงผลักดันจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและการป้องกันโรคมากขึ้น โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสมจนทำให้เกิดโรค เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วน จากข้อมูลบริษัทวิจัยเอกชน Market Minds Advisory คาดว่าตลาดเสริมอาหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าราว 9.15 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 1.76 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2577 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 8% ขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในประเทศไทยเอง ก็มีทิศทางการเติบโตที่สอดรับกัน โดยปี 2567 สร้างรายได้กว่า 133.6 แสนล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 179.9 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 5.1% ตั้งแต่ปี 2568 ถึง 2573 (ข้อมูลจาก Grand View Research)

ทั้งนี้มองปัจจัยส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมเสริมอาหารมาจาก ความตระหนักรู้ด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ควบคุมน้ำหนัก และดูแลสุขภาพองค์รวม ขณะเดียวกันภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ก็เร่งรณรงค์ให้ความรู้เรื่องโภชนาการที่สมดุล การเติบโตของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ความนิยมในเครื่องดื่มประเภทพกพา เช่น โปรตีนเชค เครื่องดื่มโปรไบโอติก ฯลฯ กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ผู้ผลิตเดินหน้าใช้เทคโนโลยีคิดค้นสูตรใหม่ที่ตอบโจทย์สุขภาพเฉพาะด้าน เช่น การชะลอวัย สุขภาพลำไส้ และการควบคุมน้ำหนัก พร้อมใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ขมิ้น ชาเขียว พืชสมุนไพรต่าง ๆ เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพเชิงองค์รวม

นอกจากนั้น การเติบโตของช่องทางออนไลน์ อีคอมเมิร์ซกลายเป็นช่องทางหลักที่ช่วยขยายการเข้าถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยเฉพาะการนำเสนอโปรโมชั่นและคำแนะนำเฉพาะบุคคล ช่วยกระตุ้นการซื้อซ้ำและเพิ่มยอดขายอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ เข้ามาในตลาดค้าขายออนไลน์ หรือ อีคอมเมิร์ชมากขึ้น

“การเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งมีแนวโน้มการบริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น การเติบโตของตลาดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และความต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์เชิงหน้าที่ โดยครอบคลุมทั้งอาหารเสริมและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตสมัยใหม่ ส่งผลให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเทคโนโลยีโภชนาการ มีโอกาสขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต” นางสาวรุ้งเพชร กล่าว

การจัดงาน ‘Vitafoods Asia 2025’ ในปีนี้จึงถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทย รวมถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมที่จะช่วยกันยกระดับ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้เพิ่มมากขึ้น หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานในปีนี้ ยังมีพื้นที่จัดแสดงพิเศษ New Ingredients & New Products Zone นำเสนอผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนผสม และนวัตกรรมสุขภาพ ที่เพิ่งเปิดตัวจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ดังนั้น งานนี้จะเป็นเวทีสำคัญที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนของห่วงโซ่อุตสาหกรรมเสริมอาหาร ตั้งแต่วัตถุดิบส่วนผสม การพัฒนา ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปพร้อมจำหน่าย การบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงผู้รับจ้างผลิต (OEM/ ODM) ที่มาจากกว่า 650 แบรนด์ โดยคาดว่าจะมีผู้เข้ามาร่วมงานมากกว่า 13,000 ราย จาก 38 ประเทศ ทั่วโลก

 ด้าน ศาสตราจารย์ (วิจัย) ดร. ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ประธานกรรมการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้มุมมองว่า การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วยงานวิจัยวัตถุดิบของไทยมีความสำคัญอย่างยิ่ง และถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่ง บพข. มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาด้าน Functional Ingredients และ Functional Foods เพื่อเป้าหมายสำคัญในการสร้างระบบนิเวศน์ที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ นอกจากนี้ บพข. ยังมีบทบาทในการผลักดันการขึ้นทะเบียนจัดทำรายชื่อสารสำคัญ (Positive List) สารประกอบฟังก์ชัน สารสกัดจากธรรมชาติ หรือ สมุนไพร การกล่าวอ้างทางสุขภาพให้เป็นตามมาตรฐานสากล ฯลฯ ซึ่งถือเป็นกลไกลสำคัญที่ยกระดับอาหารและสมุนไพรไทยให้ได้มาตรฐานและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยงาน “ไวต้าฟู้ดส์ เอเชีย 2025” เป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้ยกระดับองค์ความรู้และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้วย

นอกจากนี้ การขึ้นทะเบียนกระบวนการจัดทำรายชื่อสารสำคัญ (Positive List) เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ โดยช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ มูลค่า และขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพและปลอดภัย และเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย

นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพและธุรกิจเสริมอาหารในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการเติบโตที่แข็งแกร่ง ด้วยแรงขับเคลื่อนจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เทรนด์สินค้าที่หลากหลาย และการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งงาน “ไวต้าฟู้ดส์ เอเชีย 2025” ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญและมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยที่เสริมทัพ ส.อ.ท. ที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการ “ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค”

ดร. พัชร์ เอกปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิวทรีชั่น เอสซี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำคัญในการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ผ่านงาน “ไวต้าฟู้ดส์ เอเชีย 2025” ว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับบริษัทฯ ในการเข้าถึงลูกค้า

เป้าหมาย สร้างความน่าเชื่อถือ ขยายเครือข่ายธุรกิจ และขับเคลื่อนยอดขายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการเป็นผู้นำและสร้างคุณค่าให้กับอุตสาหกรรมสุขภาพและโภชนาการ

ขณะที่ Ms. Jeannie Kwa Senior HCP Marketing Manager, APAC, Representative from Kaneka Corporation กล่าวว่า อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เน้นด้านการชะลอวัย (Healthy Ageing) และการยืดอายุขัย (Longevity) กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้บริโภคมีความสนใจในการดูแลสุขภาพเชิงรุกและป้องกันความเสื่อมของร่างกายก่อนวัยอันควรมากขึ้น ทำให้เกิดการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาส่วนผสมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยส่วนผสมสำคัญที่กำลังมาแรงและเป็นที่จับตามอง อาทิ สารเพิ่มระดับ NAD+, สารกลุ่ม Senolytics, สารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง (Potent Antioxidants), วิตามินและแร่ธาตุสำคัญ เช่น วิตามินดี แมกนีเซียม โอเมก้า 3 ฯลฯ รวมถึง คอลลาเจน เป็นต้น

ทั้งนี้ ภายใน ‘Vitafoods Asia 2025’ ยังมีสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่จะเจาะลึกประเด็นสำคัญต่าง ๆ กว่า 50 หัวข้อ ไม่ว่าจะเป็น โภชนาการเฉพาะบุคคล (Personalized Nutrition) ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ไมโครไบโอม เทรนด์ส่วนผสมและสารสกัดเพื่อเสริมด้าน Healthy aging ไปจนถึงอัปเดตกฎระเบียบการจดทะเบียนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่าง ๆ ให้ผู้ร่วมชมงานพร้อมก้าวนำในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น ไม่ว่าผู้ประกอบการหน้าใหม่ ผู้สนใจเริ่มต้นแบรนด์สุขภาพของตัวเอง หรือ ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพ งานนี้คือโอกาสสำคัญในการเข้าถึงโซลูชันล้ำสมัยจากซัพพลายเออร์ทั่วโลก พร้อมรับมุมมองและข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ ภายในงาน ‘Vitafoods Asia 2025’ จัดโดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ระหว่างวันที่ 17 – 19 กันยายน 2568 ณ ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)

ในภาพ จากซ้ายไปขวา: นายขจร เจียรวนนท์ กรรมการบริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์

กรุงเทพฯ 25 กรกฎาคม 2568 – จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้น รวมทั้งขอส่งกำลังใจและความห่วงใยให้ประชาชนตลอดจนทหารและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกคนได้ปลอดภัยและขอให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ววัน

ในฐานะภาคเอกชนไทยที่พร้อมเคียงข้างพี่น้องชาวไทยในทุกสถานการณ์...ล่าสุด ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้เป็นส่วนหนึ่งของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในโครงการซีพีอาสา เคียงข้างคนไทย ดูแลช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ย้ำความตั้งใจที่จะยืนหยัดช่วยเหลือคนในสังคมไทยให้สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน โดยสนับสนุนด้านการสื่อสารแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่อพยพ 4 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ

· มอบซิมทรูมูฟ เอช จำนวน 1,000 ซิม เพื่ออำนวยความสะดวกให้ใช้ในการติดต่อสื่อสาร สามารถโทร ออก รับสาย ส่งข้อความ และใช้งานดาต้าเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้

· ติดตั้ง WiFi พร้อมให้บริการใช้งานอินเทอร์เน็ตฟรี และให้บริการทรูวิชั่นส์ ในพื้นที่ศูนย์อพยพ เพื่อให้ผู้ประสบภัยสามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหว และคลายความกังวลเพลิดเพลินกับสาระ ความบันเทิง

ในภาพ: นายซิกเว่ เบรกเก้ (ซ้าย) ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และนายมนัสส์ มานะวุฒิเวช (ขวา) ประธานคณะผู้บริหาร ด้านธุรกิจข้อมูลและลูกค้าองค์กร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น

นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังร่วมดูแลลูกค้าทรูมูฟ เอชและดีแทคที่อยู่ในประเทศกัมพูชา ให้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ 24 – 31 กรกฎาคม 2568 (ตามเวลาประเทศกัมพูชา) ได้ที่

· สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ +855 77 888 114

· สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ +855 86 608 999

· True Call Center +66 99 998 1242

ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอแจ้งปิดบริการ True Shop และ dtac Center ชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป (จนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลง) และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ โดยสาขาที่ปิดชั่วคราว ได้แก่

· สุรินทร์ : ดีแทค เซ็นเตอร์ สาขาโลตัส สังขะ | ดีแทค เซ็นเตอร์ สาขาโลตัส ปราสาท | ทรู ช็อป สาขาโลตัส สังขะ | ทรู ช็อป สาขาโลตัส ปราสาท

· ศรีสะเกษ : ดีแทค เซ็นเตอร์ สาขาโลตัส ขุขันธ์ | ดีแทค เซ็นเตอร์ สาขาโลตัส ตลาดขุนหาญ | ดีแทค เซ็นเตอร์ สาขาโลตัส กันทรลักษ์

จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทรู คอร์ปอเรชั่น ตระหนักถึงความห่วงใยและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ชายแดน เร่งเดินหน้าให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าทรูและดีแทคในพื้นที่ประสบภัยอย่างเต็มที่ ทั้งการมอบอินเทอร์เน็ตฟรี โทรฟรี ขยายเวลาชำระค่าบริการ พร้อมทั้งร่วมดูแลประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ส่งรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว (Cell-On-Wheel: COW) เสริมสัญญาณในพื้นที่ศูนย์อพยพต่างๆ เช่น สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ บริการ Free Wi-Fi และบริการดูทีวีทรูวิชั่นส์ เพื่อประชาชนในช่วงเวลาวิกฤตนี้

ความช่วยเหลือสำหรับลูกค้าแบบรายเดือนและแบบเติมเงิน ทรูมูฟ เอช และดีแทค ประกอบไปด้วย สิทธิพิเศษเพื่อลูกค้า:

· เน็ตฟรี 10 GB ใช้ได้ 7 วัน : กด *900*7162# โทรออก

· โทรฟรี 100 นาที ใช้ได้ 7 วัน : กด *900*7161# โทรออก

· กดรับสิทธิภายในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 (เฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบ รอรับ SMS ยืนยัน)

นอกจากนั้นยังจัดสิทธิเพิ่มเติม 

· ลูกค้าเติมเงิน: ขยายวันใช้งานเพิ่มอีก 7 วัน

· ลูกค้ารายเดือน: ขยายเวลาชำระค่าบริการถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เพื่อให้ใช้งานได้ต่อเนื่อง

โดยพื้นที่ที่ได้รับสิทธิคือ 13 อำเภอใน 4 จังหวัดได้แก่ บุรีรัมย์: อำเภอบ้านกรวดใ,สุรินทร์: อำเภอกาบเชิง พนมดงรัก สังขะ ปราสาท บัวเชด ,ศรีสะเกษ: อำเภอกันทรลักษ์ ขุนหาญ ภูสิงห์ และ อุบลราชธานี: อำเภอน้ำยืน นาจะหลวย น้ำขุ่น ทุ่งศรีอุดม

ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นยังส่งรถสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell-On-Wheel: COW) ไปเสริมสัญญาณในพื้นที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ เป็นที่เรียบร้อย เพิ่มสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 5G และ 4G พร้อมทั้งติดตั้งบริการ Free Wi-Fi ในสนามช้างที่เปลี่ยนมาเป็นศูนย์พักพิงผู้อพยพ เพื่อให้เป็นที่อยู่ชั่วคราวสำหรับประชาชนมากกว่า 10,000 คน จาก 4 ตำบล ที่ต้องหลบภัยออกจากบ้านเรือนมาหาที่ปลอดภัย นอกจากนี้ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังช่วยสนับสนุนการทำงานของแพทย์ พยาบาล ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย ที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัย

 

26 กรกฎาคม 2568 - บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น นำโดยนายวรวัฒน์ ปรีดาภัทรากุล หัวหน้าภาคเหนือ พร้อมทีมงาน ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้าน และชุมชนที่ประสบอุทกภัยจากพายุและฝนตกหนักในจังหวัดแพร่ โดยลงพื้นที่ ต.ป่าแมต อ.เมือง พร้อมเยี่ยมลูกค้าทรูมูฟ เอช ดีแทค และทรูออนไลน์ อีกทั้งได้มอบถุงยังชีพที่ประกอบด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง ยากันยุง น้ำดื่ม และนมสำหรับเด็ก ให้กับชุมชนมหาโพธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่พบว่ามีชาวบ้านอาศัยเป็นจำนวนมาก และมีผู้สูงอายุที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านที่น้ำท่วมขังอีกด้วย

ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังร่วมกับ อบจ.แพร่ มอบข้าวสาร อาหารแห้ง และน้ำดื่ม เพื่อใช้ประกอบอาหารช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่อไป

นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ดูแลระบบสื่อสารทั้งมือถือและเน็ตบ้านตามแผนรับมือภัยพิบัติฉุกเฉินจากเหตุฝนตกหนักน้ำท่วมฉับพลัน เฝ้าเกาะติดสถานการณ์ฝนถล่มภาคเหนืออย่างใกล้ชิด ทั้ง น่าน เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ลำปาง อุตรดิตถ์ ตาก หนองคาย บึงกาฬ รวมถึง แพร่ พร้อมกับจัดตั้ง War room ประจำศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ หรือ BNIC ซึ่งทำงานร่วมกับระบบ AI เพื่อดูแลเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง

· ช่วยเชื่อมต่อชาวบ้านได้รับผลกระทบสถานการณ์พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา

· ติดตั้ง Free WiFi ที่ศูนย์อพยพฯ และมอบ 1000 ซิมเพื่อเชื่อมต่อสื่อสารช่วงวิกฤต

27 กรกฎาคม 2568 – บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การปะทะพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา เร่งจัดทัพรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว (Cell-On-Wheel: COW) และเสาสัญญาณเฉพาะกิจ (Temporary Site) เข้าไปเสริมสัญญาณมือถือ 5G/4G เพื่อรองรับการใช้งานทั้งการโทรและอินเทอร์เน็ตในศูนย์อพยพต่างๆ และพร้อมใช้งานแล้ว เช่น ที่จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ สระแก้ว และจันทบุรี พร้อมทั้งติดตั้งเสาสัญญาณเฉพาะกิจ (Temporary Site) ที่ ศรีสะเกษ และกำลังจะนำ COW ไปติดตั้งเพิ่ม และวางแผนเพิ่มสัญญาณตามสถานการณ์ในพื้นที่หรือจังหวัดอื่นๆ ต่อไป

นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นได้ติดตั้ง Free WiFi ในพื้นที่ศูนย์อพยพจังหวัดต่างๆ เรียบร้อยแล้วประมาณ 50 จุด และกำลังติดตั้งเพิ่มเติมเพื่อชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบได้ใช้งานสื่อสารฉุกเฉินในขณะมาพักพิง รวมทั้งมอบซิมการ์ดฟรี 1,000 ซิมให้ใช้โทรติดต่อและส่งข้อความ โดยมอบไปแล้วมากกว่า 500 ซิม บริการฟรีทรูวิชั่นส์ นาว ป๊อบ และยังดำเนินการช่วยเหลือต่อเนื่องตามสถานการณ์ ที่จังหวัด จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ สระแก้ว อุบลราชธานี และจันทบุรี รวมทั้งมอบความช่วยเหลือสำหรับลูกค้าแบบรายเดือนและแบบเติมเงิน ทรูมูฟ เอช และดีแทค ด้วยการมอบอินเทอร์เน็ตฟรี 10 GB โทรฟรี 100 นาที และขยายเวลาชำระค่าบริการอีกด้วย

ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งมั่นดูแลระบบสื่อสารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนติดต่อสื่อสารกันได้แม้ในยามวิกฤต พร้อมทั้งประสานงานกับ กสทช. อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ความร่วมมือ และเพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

เราพร้อมดูแลและสนับสนุนด้วยการเตรียมเครือข่าย 5G และ 4G ให้ครอบคลุมพื้นที่ศูนย์อพยพต่างๆ พร้อมเสริมสัญญาณด้วย รถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่ (Cell-On-Wheel: COW) และติดตั้งเสาสัญญาณเฉพาะกิจ (Temporary Site) เพื่อรองรับปริมาณผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และปรับพารามิเตอร์สัญญาณให้เหมาะกับพฤติกรรมการใช้งาน นอกจากนี้ ยังมีทีมวิศวกรเครือข่ายตรวจสอบสัญญาณประจำพื้นที่ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดทีมเฉพาะกิจที่ BNIC ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ พร้อม AI พร้อมดูแลและบริหารเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง

กรุงเทพฯ (23 กรกฎาคม 2568) - ‘กรุงศรี ออโต้’ ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) นำโดย นายคงสิน คงคา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อ ยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ครองตำแหน่งการเป็นแบรนด์สินเชื่อยานยนต์อันดับ 1 ในประเทศไทย จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภค ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ด้วยการคว้ารางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand ในกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ (Auto Leasing) สะท้อนถึงความเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและการเป็นผู้นำตลาดที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วประเทศ ณ ห้องฉัตรา บอลรูม โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

การได้รับรางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย หรือ Marketeer No.1 Brand Thailand 2025 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงและท้าทายอย่างเช่นปัจจุบัน ถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานแห่ง ความสำเร็จของกรุงศรี ออโต้ ในการสร้างแบรนด์ยุคใหม่ ภายใต้แนวทางการสร้างคุณค่าร่วมต่อพนักงาน ลูกค้า สังคม รวมถึงผู้ถือหุ้น (Creating Shared Value through 4WINS) ผ่านการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบของกรุงศรี ออโต้ (Krungsri Auto Sustainable Responsible Lending) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความห่วงใยอย่างจริงใจต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และความตั้งใจในการส่งมอบสินเชื่อที่เหมาะสมกับความสามารถทางการเงินของลูกค้า พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างกำไรให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน

รางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2025 ถือเป็นรางวัลที่ตอกย้ำความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคทั่วประเทศ ผ่านกลุ่มตัวอย่างกว่า 6,000 คน ที่ร่วมลงความคิดเห็นใน 115 หมวดธุรกิจ เพื่อเฟ้นหา “แบรนด์ผู้นำ” ที่ผู้บริโภคจดจำและเลือกใช้บริการ อาทิ ความน่าเชื่อถือ คุณภาพสินค้าและบริการ การเชื่อมโยงกับผู้บริโภค ตลอดจนเอกลักษณ์ของแบรนด์

เปิดงานอย่างยิ่งใหญ่สำหรับ ‘InfoComm Asia 2025’ ครั้งที่ 5  งานแสดงสินค้าและโซลูชั่นด้านภาพและเสียงระดับมืออาชีพ (Pro AV) และเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงชั้นนำของเอเชีย นำทัพผู้จัดแสดงแบรนด์ระดับโลก โชว์พลังเขย่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยี Pro AV ปลดล็อกประตูสู่อนาคต พร้อมเชื่อมโยงผู้ผลิตอุปกรณ์ภาพและเสียงมืออาชีพ (Pro AV) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นจากทั่วโลกเข้ากับผู้ซื้อในตลาด สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในตลาดเอเชีย จัดกระหึ่ม!! 23 – 25 ก.ค.นี้ เต็มพื้นที่ชั้น G, ฮอลล์ 2 – 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ภายในงานปีนี้ได้สร้างความเชื่อมโยงผู้ผลิตอุปกรณ์ภาพและเสียงมืออาชีพ (Pro AV) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นจากทั่วโลกเข้ากับผู้ซื้อในตลาด รวมถึงผู้รวมระบบภาพและเสียง (AV) และระบบสารสนเทศ (IT) ที่กำลังมองหาโซลูชั่นล้ำสมัย เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในตลาดเอเชีย รวมถึงกัมพูชา จีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ ผนึกกำลังสร้างโอกาสใหม่ในการเรียนรู้ที่หาได้ยากจากการจัดประชุมสุดยอดและกิจกรรมน่าสนใจมากมาย ซึ่ง ปีนี้ จะมุ่งเน้นเรื่องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (Artificial Intelligence - AI) และเจาะลึกเรื่องอนาคตของเทคโนโลยีระบบภาพและเสียง (AV), IT และ AI ที่จะผสานเข้าหากัน เพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับความรู้และกลยุทธ์ที่จำเป็นที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในขณะที่ธุรกิจกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

จูนส์ โค กรรมการบริหาร บริษัท อินโฟคอม เอเชีย พีทีอี จำกัด ผู้จัดงานอินโฟคอม เอเชีย (InfoComm Asia) กล่าวว่า “สำหรับงาน InfoComm Asia 2025 เป็นมากกว่าแค่งานแสดงสินค้า แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมสำหรับการพัฒนาวิชาชีพและการเรียนรู้เชิงกลยุทธ์ เราตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง และงานของเรามีจุดมุ่งหมายหลักในการเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรในวงการเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต”

จูนส์ โค กล่าวเสริมว่า “InfoComm Asia 2025 จะมอบโอกาสการเรียนรู้ที่หลากหลายและครอบคลุมในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็น การประชุมที่นำโดยผู้เชี่ยวชาญในแวดวง Pro-AV การอัพเดตนวัตกรรมล้ำสมัยใหม่ล่าสุดจากผู้แสดงสินค้าชั้นนำทั่วโลก หรือแม้แต่ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรียนรู้จากประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายที่มีคุณค่ากับเพื่อนร่วมอาชีพ ซึ่งล้วนเป็นกุญแจสำคัญสำหรับผู้เข้าชมงาน ให้สามารถยกระดับความรู้ ความสามารถ และสร้างเครือข่ายเพื่อความสำเร็จให้กับองค์กรในอนาคตได้”

สำหรับไฮไลต์ปีนี้ อินโฟคอม เอเชีย 2025 มีการจัดประชุมสุดยอดแห่งการเรียนรู้ด้าน Pro AV ที่เน้นให้ความรู้และข้อมูลเจาะลึกเกี่ยวกับเทรนด์ที่จะส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะผลจากการพัฒนาของ AI ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ได้จริง จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ ผ่านการเสวนาที่กระตุ้นความคิดและกิจกรรมเชิงปฏิบัติหลายหัวข้อ ได้แก่

· “Transforming Workplaces with AI – Driven Intelligent Devices” ที่เจาะลึกเรื่องวิธีการสร้างองค์กรที่เก่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาศัยข้อมูลจากเซนเซอร์ รวมทั้งจะทำให้แนวคิด “Distance Zero” สำหรับการประชุมที่ใช้ AI ช่วยดำเนินการเป็นจริง

· การเสวนาเรื่อง “AI and the Transformation of AV/IT Solutions Education: Challenges, Directions, and Opportunities” ที่จะร่วมกันสำรวจผลที่อาจเกิดขึ้นจากการนำ AI มาใช้ในด้านการศึกษา สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการโซลูชั่น AV และ IT

· การเสวนาเรื่อง “AI & The Future of Workplace Collaboration and Engagement” ที่จะให้มุมองเชิงลึกว่าระบบออโตเมชันที่ใช้ AI ตลอดจนเทคโนโลยี Machine Learning และ Intelligent Chatbot จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ หรือ โอกาสใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้การทำงานร่วมกันภายในองค์กรดีขึ้นอย่างไร

· Specialized Vertical Market/Solution Area Deep Dive การประชุมสุดยอดที่จะให้แนวทางเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ AI ในแต่ละธุรกิจ เพื่อให้ความรู้เฉพาะด้านสำหรับมืออาชีพในหลากหลายด้าน ได้แก่

o “Digital Transformation in Education: From Strategy to Execution” ที่จะให้โรดแมปสำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลในแวดวงการศึกษา การกำหนดกลยุทธ์หลักและเทคโนโลยี เช่น AI และ AV/VR ที่จะช่วยให้สถาบันการศึกษานำกลยุทธ์มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งให้มุมมองเชิงลึกและขั้นตอนที่นำไปใช้ได้จริงเพื่อสร้างระบบสนับสนุนการเรียนรู้ที่คล่องตัวและพร้อมรองรับการพัฒนาในอนาคต

o “Smart Cities 2.0: From Sensors to Reasoning Agents” ที่จะให้แนวคิดใหม่เรื่องเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะ Smart Cities 2.0 ที่มีการนำนวัตกรรมด้าน AI มาใช้เป็นเครื่องมือทรงพลังที่จะมีศักยภาพมากกว่าแค่การติดตามข้อมูล โดยจะมีการแชร์ตัวอย่างเคสจริงจากสิงคโปร์เรื่องการนำ Generative AI มาสร้างเมืองอัจฉริยะที่สามารถปรับเปลี่ยนได้คล่องตัวในทุกด้าน อาทิ การขนส่งและการรักษาความปลอดภัย

o “Shaping the Future of Digital Signage – Market Trends and Managed Signage” ที่เจาะลึกเรื่องการนำ AI มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ส่วนตัวที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น โดยอาศัยแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น การส่งคอนเทนต์อัจฉริยะ และการสร้างเอนเกจเมนต์กับผู้ชมแบบเรียลไทม์

o “AI Audio Mixing: Using It to Gain Advantage” สำหรับมืออาชีพด้านระบบออดิโอ ที่จะได้ค้นพบข้อมูลและมุมมองที่น่าสนใจว่าจะสามารถนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อยกระดับการผลิตงานด้านเสียง การจัดกิจกรรมถ่ายทอดสด และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้อย่างไร

สำหรับประโยชน์จากการเข้าร่วมชมงานฯ ผู้รวมระบบ AV จะได้กับพบผู้เชียวชาญในแวดวงและสร้างเครือข่ายใหม่ ๆ ที่งาน InfoComm Asia และสร้างความแข็งแกร่งในบทบาทในฐานะผู้รวมระบบ AV ในตลาดเอเชีย รวมถึงจะค้นพบโซลูชั่นนวัตกรรมและอัปเดตมุมมองที่ใหม่ ๆ จากผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาค และติดตามเทคนิคการรวมระบบล่าสุด ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และแนวโน้มตลาดที่สำคัญในเอเชีย ผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี สัมผัสประสบการณ์นวัตกรรมโดยตรง เต็มอิ่มกับการสาธิตเทคโนโลยี Pro AV และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย รวมถึงสำรวจความก้าวหน้าจาก AI และโซลูชั่นที่หลากหลายในด้านจอแสดงผลอัจฉริยะ ระบบเสียง การสื่อสารแบบครบวงจร ป้ายดิจิทัล การประชุมและการทำงานร่วมกันอัจฉริยะ AR/ VR/ MR ประสบการณ์เสมือนจริง และอื่น ๆ อีกมากมาย

ในส่วน ผู้ที่ต้องการเรียนรู้ รับแรงบันดาลใจจากผู้เชี่ยวชาญและผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ระดับแนวหน้า ปลดล็อกกลยุทธ์และการประยุกต์ใช้ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม และได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนความรู้ที่มีคุณค่ากับเพื่อนร่วมงานที่มีแนวคิดเดียวกัน และเป็นเครือข่ายที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี ผู้ที่ต้องการสร้างเครือข่าย เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเทคโนโลยี Pro AV ที่มีชีวิตชีวาและเติบโตอย่างต่อเนื่องในเอเชีย เชื่อมโยงโดยตรงกับนักนวัตกรรมและผู้มีอำนาจตัดสินใจที่กำลังกำหนดภูมิทัศน์ดิจิทัลในอนาคต และสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับเพื่อนร่วมงานและพันธมิตรเพื่อความสำเร็จในระยะยาว

สำหรับผู้ที่พลาดการเข้าชม และสนใจติดตามข้อมูลของงาน ‘InfoComm Asia 2025’  ท้งในส่วนนวัตกรรมและเครือข่าย Pro AV ในเอเชีย สามารถดูข้อมูลกิจกรรมงานได้ที่ infocomm-asia.com

X

Right Click

No right click