

ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “คุณภาพชีวิต” มากกว่าปริมาณการใช้จ่ายเพื่อความสุขใจ (Emotional Spending) กลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่น่าจับตามองในปี 2568 โดยเฉพาะใน 3 หมวดฮีลใจ ได้แก่ หนังสือ สัตว์เลี้ยง และกีฬา-เวลเนส ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของคนไทยในการดูแลจิตใจ สร้างพื้นที่ส่วนตัว และลงทุนกับสุขภาวะอย่างยั่งยืน สถิติชี้ชัด “Book-Lover” อ่านเฉลี่ยเกือบ 2 ชั่วโมงต่อวัน “Pet Parent” พร้อมจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงเหมือนสมาชิกครอบครัว และ “Sports Wellness” กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ สะท้อนวิถีชีวิตที่ไม่ได้มุ่งเพียงสิ่งจำเป็น แต่คือการมองหาความสุขเล็กๆ ที่เติมเต็มใจได้ทุกวัน
หนังสือ: อ่านเพื่อเติมใจ พื้นที่สงบในโลกที่วุ่นวาย
แม้โลกดิจิทัลจะเต็มไปด้วยคอนเทนต์สั้นและรวดเร็ว เช่น TikTok หรือ Reels เข้ามามีบทบาท แต่การอ่านยังคงเป็นกิจกรรมที่คนไทยเลือกใช้เพื่อเยียวยาใจ เป็น “พื้นที่สงบใจ” ของคนยุคใหม่ ข้อมูลจากสมาคม ผู้จัดพิมพ์ฯ ปี 2567 ชี้ว่าคนไทยอ่านเฉลี่ย 113 นาทีต่อวัน สวนกระแสความเชื่อว่า “ไม่อ่านหนังสือ” ด้วยสาเหตุหลักคือ ช่องทางการเข้าถึงที่ง่ายและหลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น E-book Audiobook และกระแส “BookTok” ที่ทำให้หนังสือหลายเล่มกลับมาติดอันดับขายดี โดยเฉพาะแนวจิตวิทยา Self-Help และ Spirituality ที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพจิตในชีวิตประจำวัน
สัตว์เลี้ยง: เปย์เพื่อสมาชิกตัวน้อย สะท้อนโครงสร้างครอบครัวใหม่
ด้วยโครงสร้างครอบครัวไทยเปลี่ยนไป ครัวเรือนเดี่ยวและคนโสดมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้ “สัตว์เลี้ยง” ก้าวขึ้นมาเป็นเพื่อนแท้ และสมาชิกครอบครัวที่เจ้าของพร้อมดูแลไม่ต่างจากคนในบ้าน ข้อมูลล่าสุดชี้ตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยปี 2568 มีมูลค่ารวมราว 9 หมื่นล้านบาท และยังเติบโตต่อเนื่องกว่า 10–13% ต่อปี โดยเจ้าของใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 50,000 บาท/ตัว/ปี ครอบคลุมตั้งแต่อาหาร ของเล่น บริการสุขภาพ และประกันสัตว์เลี้ยง กระแส “Pet Humanization” เจ้าของเลี้ยงสัตว์เสมือนลูก จึงเลือกอาหารพรีเมียม ของเล่นเสริมพัฒนาการ และบริการสุขภาพเฉพาะทาง “Petfluencer” สัตว์เลี้ยงจำนวนมากกลายเป็นดาราโซเชียล สร้างคอนเทนต์และมียอดผู้ติดตามหลักหมื่น–แสน เป็นส่วนผลักดันให้ตลาดสินค้าและบริการสัตว์เลี้ยงให้ก้าวสู่โลกดิจิทัล “บริการครบวงจร” ตั้งแต่ Pet hotel, Pet spa ไปจนถึงประกันสุขภาพสัตว์เลี้ยง เจ้าของยินดีลงทุนเพื่อให้มั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงได้รับการดูแลระดับเดียวกับคน ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอีกต่อไป แต่คือการลงทุนทางใจที่ตอบโจทย์ชีวิตคนยุคใหม่ที่เลือกอยู่เดี่ยว อยู่คู่ หรือสร้างครอบครัวเล็กที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง
![]()
กีฬาและเวลเนส (Wellness): ลงทุนกับสุขภาพกายใจ สร้างพลังชีวิตใหม่
การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์หลังโควิดทำให้คนไทยตระหนักว่าสุขภาพกายใจคือทุนชีวิตที่สำคัญ ตลาดเวลเนสและฟิตเนสในไทยได้รับแรงหนุนจาก 2 ปัจจัยใหญ่คือ “การเข้าถึงง่ายขึ้น” ฟิตเนสแบบรายเดือน คลาสออนไลน์ และ Wellness Retreat ที่เปิดกว้างให้คนทั่วไปเข้าร่วม “Mental Health Awareness” คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับสมาธิ การพักผ่อนเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) โยคะ เวิร์กช็อป Mindfulness โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่การออกกำลังกายไม่ใช่แค่เรื่องรูปร่าง แต่คือการเติมพลังใจ รวมไปถึง Run Club และ Community การวิ่งมาราธอน การปั่นจักรยาน หรือการเข้าร่วมคลับฟิตเนสเล็กๆ กลุ่มเหล่านี้เติบโตต่อเนื่องไม่เพียงสร้างพื้นที่ให้คนออกกำลังกายร่วมกัน แต่ยังช่วยเสริมพลังของแบรนด์ต่างๆ การสร้างกลุ่มที่เหนียวแน่น สะท้อนให้เห็นว่าการดูแลสุขภาพวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเดี่ยว แต่เป็นประสบการณ์ร่วมที่สร้างทั้งคุณค่าและมูลค่าในสังคม
การขยายตัวของ “Emotional Spending” ในประเทศไทย ปี 2568 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างสังคมและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การอ่านหนังสือ ที่กลายเป็นพื้นที่พักใจและการพัฒนาตนเอง การดูแลสัตว์เลี้ยง ที่สะท้อนบทบาทของครอบครัวเดี่ยวและการเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในบ้าน หรือ การออกกำลังกายและเวลเนส ที่ตอบโจทย์การลงทุนด้านสุขภาวะกายใจ ทั้งหมดนี้แม้จะเป็นตลาดที่มีสัดส่วนไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับหมวดสินค้าจำเป็น แต่กลับมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องและมีคุณค่าเชิงสังคมที่ชัดเจน
เคทีซีร่วมขับเคลื่อนการตอบสนองต่อเทรนด์ดังกล่าว ด้วยการมอบสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมทั้ง Book, Pet และ Sports & Wellness ผ่านพันธมิตรหลากหลาย อาทิ ร้านหนังสือชื่อดัง ร้านค้า โรงพยาบาลสัตว์ และบริการสัตว์เลี้ยง ไปจนถึง Community “KTC Sports ตัวจริงเรื่องกีฬา” และ กิจกรรม Burn & Earn Challenge ที่ต่อยอดการออกกำลังกายของสมาชิกเข้าสู่ปีที่ 5 รวมถึงโปรโมชั่นไลฟ์สไตล์สายสุขภาพโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส เวลเนสคลับ หรือร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ตอกย้ำบทบาทของเคทีซีในการเป็นมากกว่าบัตรเครดิต แต่คือการเชื่อมโยงกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ และสนับสนุนการใช้จ่ายที่มีทั้งคุณค่าและความยั่งยืน
Cr: บทความจาก KTC
c
กรุงเทพฯ 6 กันยายน 2568 – บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รวมพลังผู้บริหารและเพื่อนพนักงานในกิจกรรม “วันต่อต้านคอร์รัปชัน ประจำปี 2568” ซึ่งปีนี้องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์ภายใต้แนวคิดท้าทายสังคม “ไม่โกง ไม่เกิด...จริงหรือ?” ซึ่ง ทรู คอร์ปอเรชั่น นำโดย นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร และนางมารยาท เดรเยอร์ หัวหน้าสายงานกำกับดูแลและตรวจสอบ ร่วมประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาลที่องค์กรยึดถือเป็นนโยบาย และปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบมาโดยตลอด
ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมสนับสนุนและต่อยอดโครงการต่อต้านการทุจริตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น
• โครงการยุวทูต ป.ป.ช. ของสำนักงาน ป.ป.ช.
• โครงการประกวดเพลง “ช่อสะอาดต้านทุจริต” (ปี 2560)
• โครงการประกวดมิวสิควิดีโอ “ช่อสะอาดต้านทุจริต” (ปี 2561)
• โครงการค่ายเยาวชนช่อสะอาดต้านทุจริต (ปี 2562)
• โครงการต่อต้านการทุจริตผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน (ปี 2563 และ 2565)
• โครงการประกวด “ต่อต้านการทุจริต ผ่าน TikTok” (ปี 2564)
• โครงการประกวด “ละครเพลงต่อต้านการทุจริต เดอะมิวสิคัล” (ปี 2566)
• โครงการประกวดวงดนตรีต่อต้านการทุจริต (ปี 2567)
รวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายสื่อต่าง ๆ ของทรู อาทิ ทรูวิชั่นส์ ทรูโฟร์ยู TNN16 และแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อสร้างสังคมที่ตระหนักและร่วมกันปฏิเสธการทุจริต
‘กรุงศรี ออโต้’ ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ทางการเงินสำหรับลูกค้านิติบุคคล ผ่านผลิตภัณฑ์ “กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง” สินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์ไว้ใช้ในกิจการ ตอบโจทย์การบริหารต้นทุนและเสริมสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ ครอบคลุมทั้งการจัดซื้อรถยนต์หลายคันในคราวเดียว (Fleet) และ การจัดซื้อเป็นรายคัน (Leasing) โดยมี 2 รูปแบบสินเชื่อ ได้แก่ สัญญาเช่าซื้อ หรือ สัญญาเช่าทางการเงิน ที่ยืดหยุ่นตามความต้องการ พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรฐานบัญชี ควบคู่กับข้อเสนอพิเศษ “ดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนสูงสุด 60 เดือน” ชูจุดเด่นความโปร่งใส เข้าใจง่าย และช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ
ในปีที่ผ่านมา SMEs ไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปี 2568 จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของภาคธุรกิจ แต่การเสริมสภาพคล่องยังคงเป็นโจทย์สำคัญ ดังนั้น การบริหารกระแสเงินสดและการวางแผนภาษีจึงเป็นเครื่องมือที่หลายองค์กรมองหาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ขณะเดียวกัน ยานพาหนะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง การใช้บริการ “สัญญาเช่าซื้อ” หรือ “สัญญาเช่าทางการเงิน” เพื่อซื้อรถยนต์ไว้ใช้ในกิจการ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
กรุงศรี ออโต้ จึงได้นำเสนอ “กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง” หรือ สินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการ ที่ครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เช่น รถกระบะ รถบรรทุก รถพ่วง และรถหัวลาก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้ประกอบการ โดยสามารถเลือกรูปแบบทางการเงิน ได้ทั้งสัญญาเช่าซื้อ หรือ สัญญาเช่าทางการเงิน โดยไม่ต้องใช้เงินสดก้อนใหญ่ แต่สามารถชำระค่าเช่าเป็นงวดรายเดือนพร้อมอัตราดอกเบี้ยคงที่ อีกทั้งยังสามารถนำค่าเช่าไปหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลตามเกณฑ์บัญชี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนภาษีและบริหารกระแสเงินสดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5 จุดเด่นของสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการ:
· ช่วยประหยัดภาษี: ลูกค้านิติบุคคลสามารถนำค่าเช่ามาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรฐานบัญชี
· เสริมสภาพคล่องทางการเงิน: สัญญาเช่าทางการเงินสามารถแบ่งชำระรายเดือน ไม่กระทบกระแสเงินสด เพื่อรักษาสภาพคล่องและได้รับประโยชน์ทางบัญชีได้อย่างเต็มที่
· ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่: ลงทุนในรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อน
· อัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญา: สามารถวางแผนทางการเงินได้มีประสิทธิภาพ
· เงื่อนไขโปร่งใสและเข้าใจง่าย: วางแผนการเงินได้สะดวกและแม่นยำ
รายละเอียดข้อเสนอ กรุงศรี ฟลีท แอนด์ ลีสซิ่ง: วงเงินสินเชื่อรถยนต์พร้อมใช้ (ฟลีท)
· ครอบคลุมสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
· วงเงินสินเชื่อตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
· วงเงินสินเชื่อมีอายุ 1 ปี และสามารถต่ออายุได้โดยยื่นเอกสารเพื่อพิจารณาอนุมัติ
· ระยะเวลาทำสัญญา 12-60 เดือน
สัญญาเช่าทางการเงิน (ลีสซิ่ง)
· ให้บริการสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้ และรถกระบะ
· ระยะเวลาทำสัญญา 36-60 เดือน
· อัตราดอกเบี้ยคำนวณแบบลดต้นลดดอก และคงที่ตลอดอายุสัญญา
นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถชำระค่างวดได้อย่างสะดวกผ่านหลากหลายช่องทางใกล้บ้าน ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (เคาน์เตอร์, ATM, ระบบออนไลน์) หักบัญชีอัตโนมัติ (Direct Debit) รวมถึง โลตัส, 7-Eleven, เคาน์เตอร์เซอร์วิส, ที่ทำการไปรษณีย์ และ CenPay
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรุงศรี ออโต้ คอล เซ็นเตอร์ 0 2740 7400 หรือ LINE Official Account @krungsriauto เว็บไซต์ bit.ly/3Jqi45U
ลาซาด้า ประกาศความร่วมมือกับ POP MART เปิดตัวแคมเปญ Super Brand Day (SBD) ระดับภูมิภาคครั้งแรก ซึ่งจะจัดขึ้นบนแอปพลิเคชันลาซาด้าทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มจากไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย ในวันที่ 22 สิงหาคม ตามด้วยฟิลิปปินส์วันที่ 27 สิงหาคม และเวียดนามวันที่ 28 สิงหาคม โดยในแคมเปญนี้ แฟน ๆ ชาวไทยจะได้ตื่นเต้นไปกับการเปิดตัวสินค้าใหม่ในคอลเลกชัน Twinkle Twinkle และ SKULLPANDA รวมถึงการวางจำหน่ายคาแรกเตอร์ยอดฮิตตลอดกาลอย่าง The Monsters และ Crybaby ตามรอบเวลาที่กำหนด นอกจากนี้แฟน ๆ ยังจะได้เพลิดเพลินกับส่วนลดทั้งร้านสูงสุด 8% ตลอดแคมเปญ พร้อมรับของขวัญลิมิเต็ดอิดิชั่น เมื่อช้อปตามเงื่อนไขกำหนด (จนกว่าสินค้าจะหมด)สินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟเหล่านี้จะวางจำหน่ายที่ร้านออฟฟิเชียลของ POP MART บน LazMall ในช่วงแคมเปญ
POP MART เตรียมจัดเต็มสต็อกสินค้าและเพิ่มการมองเห็นของหน้าร้านบน LazMall เพื่อตอบรับกระแสความต้องการจากนักช้อป อีกทั้งยังมีคูปองส่วนลดและโปรโมชั่นพิเศษบนลาซาด้า ที่จะทำให้ความร่วมมือระหว่างกันครั้งนี้ สามารถดึงดูดทั้งแฟนพันธุ์แท้และนักสะสมหน้าใหม่เข้าสู่โลกของอาร์ตทอยได้มากยิ่งขึ้น
“เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ POP MART อีกครั้ง ในฐานะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผสานความแข็งแกร่งด้านอีคอมเมิร์ซของลาซาด้าเข้ากับความมีชีวิตชีวาของคอมมูนิตี้อาร์ตทอย เราหวังว่าจะได้เชื่อมต่อแฟนๆ จากทั่วภูมิภาคให้เป็นส่วนหนึ่งของกระแสความนิยมที่กำลังเติบโตและเข้าถึงสินค้าคาแรกเตอร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟเหล่านี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น” ตัวแทนของลาซาด้ากล่าว “นอกจากนี้ มหกรรมงานวิ่ง Lazada Run ที่จัดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม สามารถสร้างการมีส่วนร่วมและผสานกระแสรักสุขภาพเข้ากับป๊อปคัลเจอร์ได้อย่างลงตัว”
ความร่วมมือครั้งนี้ นอกจากนำเสนอคอลเล็กชันหายาก ยังสะท้อนบทบาทของลาซาด้าในการเชื่อมโยงครีเอเตอร์ นักสะสม และคอมมูนิตี้ เข้าไว้ด้วยกัน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของแพลตฟอร์มในการสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และการจับมือพันธมิตรในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทรู คอร์ปอเรชั่น จัดทีมเน็ตเวิร์กพร้อมตั้งวอร์รูม 24 ชั่วโมง วิเคราะห์ “พายุคาจิกิ” พร้อมปฏิบัติการด่วนรับมือดูแลการสื่อสาร จากที่กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์จะกระทบไทยทำให้ฝนตกหนักถึงหนักมาก ทีมทรูห่วงใยเกรงซ้ำรอยพายุวิภาที่กระทบไทยช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา ตั้งทีมวางแผนวิเคราะห์พร้อมดูแลการสื่อสารทั้งมือถือและเน็ตบ้านในหลายจังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดเตรียมเครื่องปั่นไฟ น้ำมันสำรอง ประจำสถานีฐานหลักป้องกันกรณีถูกตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยของชุมชนกรณีน้ำท่วม พร้อมนำโครงนั่งร้านตั้งอุปกรณ์สูงพ้นแนวน้ำท่วม
ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเรื่อง “พายุไต้ฝุ่นคาจิกิ” มีแนวโน้มเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ก่อนอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชัน จะปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของไทยในเช้าวันที่ 26 สิงหาคม และเคลื่อนเข้าสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดน่านในช่วงเย็นวันเดียวกัน ส่งผลให้หลายพื้นที่มีโอกาสเผชิญฝนตกหนัก ลมแรง น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก
นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทีมเน็ตเวิร์กเราเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฉุกเฉินในทุกพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะจังหวัดน่าน พร้อมจัดตั้ง War Room ที่ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ BNIC ทำงานร่วมกับระบบ AI เพื่อเฝ้าตรวจสอบและบริหารจัดการเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนยังคงสื่อสารได้ในทุกสถานการณ์”
ทรู คอร์ปอเรชั่น นำบทเรียนจากการรับมือพายุวิภา (WIPHA) เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มาปรับใช้กับแผนรับมือพายุไต้ฝุ่นคาจิกิ เพื่อให้ระบบสื่อสารทั้งมือถือและเน็ตบ้านยังคงใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจังหวัดเสี่ยงน้ำท่วม ได้แก่ น่าน เชียงราย และแพร่ เป็นต้น
ผลกระทบของสถานีฐานในการให้บริการจากกรณีศึกษาของพายุวิภา (WIPHA) คือ กรณีถ้าเกิดฝนตกหนักติดต่อกัน และน้ำท่วม จะเกิดการตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ ทำให้สถานีฐานจะต้องถูกตัดกระแสไฟฟ้าตามไปด้วย ดังนั้น ทีมเน็ตเวิร์กได้เตรียมโครงนั่งร้านที่สูงพ้นแนวน้ำท่วมเดิมที่ได้รับ
ผลกระทบจากพายุวิภา สำหรับตั้งอุปกรณ์เครื่องปั่นไฟ พร้อมเตรียมน้ำมันสำรอง ณ สถานีฐานที่เป็นจุดหลักเพื่อให้การบริการมือถือใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง
มาตรการเร่งด่วนของทรู คอร์ปอเรชั่น เพื่อรับมือพายุไต้ฝุ่นคาจิกิ
1. เตรียมเครื่องปั่นไฟ น้ำมันสำรอง และแบตเตอรี่เข้าสู่พื้นที่สถานีฐาน กรณีไฟฟ้าถูกตัดจากน้ำท่วม
2. เตรียมรถโมบายล์สถานีฐาน (Cell-On-Wheel: COW) เพื่อเสริมสัญญาณในจุดวิกฤต
3. เตรียมยานพาหนะ 4WD และเรือท้องแบนสำหรับเข้าพื้นที่น้ำท่วม
4. เตรียมอุปกรณ์สำรองและทีมซ่อมบำรุงฉุกเฉินเพื่อให้บริการได้ต่อเนื่อง
5. ประสานงานหน่วยงานรัฐและเอกชนเพื่อร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัย
6. BNIC ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ พร้อม AI พร้อมดูแลและบริหารเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังร่วมมือกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในการส่งข้อความแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast Service (CBS) และ SMS โดย ปภ. จะเป็นผู้กำหนดและออกประกาศเตือนภัยไปยังประชาชนในพื้นที่เสี่ยง
ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงมุ่งมั่นดูแลระบบสื่อสารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารได้แม้ในยามวิกฤต พร้อมทั้งทำงานใกล้ชิดกับ กสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ (ประเทศไทย) หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านสุขภาพสัตว์ เปิดผลการศึกษาเชิงลึก (Whitepaper) ในหัวข้อ “Going Beyond: สร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับสัตวแพทย์ในประเทศไทย”ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สัตวแพทย์ไทยต้องเผชิญ ทั้งความเครียดจากการทำงานหนัก ชั่วโมงงานที่ยาวนาน และการขาดการยอมรับด้านวิชาชีพสัตวแพทย์
ผลการศึกษาดังกล่าว รวบรวมข้อมูลจาก 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผลการศึกษานำเสนอประเด็นด้านสุขภาพจิตและการยอมรับวิชาชีพสัตวแพทย์ พร้อมข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้วงการสัตวแพทย์ในประเทศไทย พบว่า แม้สัตวแพทย์จะมีบทบาทสำคัญต่อการปกป้องสุขภาพสัตว์และสุขภาพอนามัยของประชาชน แต่สัตวแพทย์ในประเทศไทยต้องเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากการขาดบุคลากรด้านสัตวแพทยศาสตร์ ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง ชั่วโมงทำงานยาวนาน ความเข้าใจจากลูกค้าที่จำกัด และการได้รับการยอมรับที่ไม่เพียงพอ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความเครียดของสัตวแพทย์และกระทบต่อความยั่งยืนของวิชาชีพ
ผลการศึกษาสำคัญในประเทศไทย:
· 42% ของสัตวแพทย์รายงานว่าฐานลูกค้าที่ลดลงเป็นความท้าทายหลัก
· 70% ของสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่คลินิกระบุว่าลูกค้าไม่เข้าใจเรื่องสุขภาพสัตว์
· 74% ของสัตวแพทย์เผชิญปัญหาลูกค้าไม่เข้าใจค่ารักษาสัตว์เลี้ยง
· 58% ของสัตวแพทย์ทำงาน 50 ชั่วโมงหรือมากกว่าในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาค
· มีเพียง 16% ที่รู้สึกว่าสังคมเข้าใจวิชาชีพของตนอย่างแท้จริง
· 64% เชื่อว่าการที่ลูกค้าเข้าใจงานของพวกเขามากขึ้น จะช่วยลดความเครียดในการทำงาน

อ.สพ.ญ.ดร.ม.ล.นฤดี เกษมสันต์ อดีตนายกสมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบําบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย
อ.สพ.ญ.ดร.ม.ล.นฤดี เกษมสันต์ อดีตนายกสมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบําบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย ระบุว่า“โรงพยาบาลสัตว์หลายแห่งในประเทศไทยดำเนินงานในระบบสองกะ โดยแบ่งเป็นกะเช้าและกะเย็น กะละ 12 ชั่วโมง ส่งผลให้สัตวแพทย์มีวันทำงานไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง ซึ่งก่อให้เกิดความตึงเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะเมื่อทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน”
![]()
เภสัชกร อภิศักดิ์ คุณเวช Head of Animal Health บริษัท เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ (ประเทศไทย)
เภสัชกร อภิศักดิ์ คุณเวช Head of Animal Health บริษัท เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สัตวแพทย์มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่กำลังเผชิญความเครียดและการขาดความเข้าใจในวิชาชีพในวงกว้าง เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ จึงภูมิใจที่ได้ริเริ่มการจัดทำและเปิดตัวผลการศึกษาเชิงลึกครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อยกย่องความทุ่มเทของสัตวแพทย์ สร้างการรับรู้ต่อความท้าทายด้านต่าง ๆ และส่งเสริมให้สัตวแพทย์ได้รับการสนับสนุนและมีความยั่งยืนทางวิชาชีพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคประชาชน เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ จึงขอเป็นหนึ่งในฟันเฟืองเพื่อสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งให้กับวิชาชีพสัตวแพทย์ในประเทศไทย”
ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตวแพทย์ไทย:
จากผลการศึกษาเชิงลึกฉบับนี้ ได้สรุปข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและการยอมรับวิชาชีพสัตวแพทย์ พร้อมสร้างเครือข่ายสนับสนุนที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ดังนี้
· การศึกษาและสร้างความตระหนักรู้ในสาธารณะ – จัดแคมเปญเฉพาะกลุ่มผ่านสื่อสาธารณะและกิจกรรมของสถาบันการศึกษา เพื่อเพิ่มความเข้าใจของสาธารณชนต่อบทบาทของสัตวแพทย์
· การรักษาและพัฒนาบุคลากรสัตวแพทย์ – สนับสนุนค่าตอบแทน ผลประโยชน์ และเส้นทางการพัฒนาวิชาชีพที่ชัดเจน เพื่อดึงดูดและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากร
· การสนับสนุนด้านสุขภาวะ – ให้สัตวแพทย์เข้าถึงบริการให้คำปรึกษา กลุ่มสนับสนุนเพื่อนร่วมอาชีพ และการฝึกอบรมสำหรับคลินิกสัตวแพทย์ด้านสุขภาพจิตและการจัดการความเครียด
· ด้านนโยบายและการส่งเสริมกฎหมาย – ร่วมมือกับรัฐบาลและองค์กรสัตวแพทย์เพื่อผลักดันโครงการ เช่น ประกันสัตว์เลี้ยงและการขยายบริการดูแลป้องกัน
· การยกย่องด้านวิชาชีพ – จัดตั้งรางวัลและโครงการยกย่องเพื่อเชิดชูผลงานของสัตวแพทย์ และสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
· การเสริมสร้างเครือข่ายวิชาชีพ – ส่งเสริมความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างสมาคมสัตวแพทย์ รัฐบาล และบริษัทเอกชน เพื่อเพิ่มเสียงสะท้อนของวิชาชีพให้กว้างไกลยิ่งขึ้น
ในฐานะผู้นำด้านสุขภาพสัตว์ เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ ยังคงขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายของสัตวแพทย์และยกระดับมาตรฐานวิชาชีพในประเทศไทย ผลการศึกษาเชิงลึก “Going Beyond: สร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับสัตวแพทย์ในประเทศไทย” จึงเป็นอีกหนึ่งในหลายโครงการของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้จริง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สัตวแพทย์ ยกระดับวิชาชีพ และสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพสัตวแพทย์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง
บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานระดับสากล เดินหน้าต่อยอดพอร์ตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เข้าสู่ธุรกิจซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Power Trading) ในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT สหรัฐฯ การเติบโตเชิงกลยุทธ์นี้สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ – การผลิตไฟฟ้า, กลางน้ำ – การซื้อขายไฟฟ้า, ไปจนถึงปลายน้ำ - ธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้า (Power Retail) เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้อย่างยั่งยืน แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับจุดยืน “บุกเบิกนวัตกรรมพลังงาน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน (Pioneer Energy, Empowering Tomorrow)” และพันธกิจใหม่ในการยกระดับขีดความสามารถ พร้อมเปิดรับโอกาสที่รองรับทิศทางพลังงานโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ BPP รายงาน ผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2568 เติบโตแข็งแกร่ง จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ จีน และรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs)
![]()
นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “ในยุคที่ความมั่นคงด้านพลังงานเป็นปัจจัยสำคัญของเสถียรภาพเศรษฐกิจและความมั่นคงของทุกประเทศทั่วโลก BPP มุ่งเป็นผู้นำและพัฒนาพลังงานที่ไม่หยุดแค่การผลิตไฟฟ้า แต่ยังต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยธุรกิจ Power Trading ในตลาดสหรัฐฯ ผ่านบริษัทลูก BPPUS โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ข้อมูล และทีมงานมืออาชีพ ถือเป็นก้าวสำคัญที่เราสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจซื้อขายสิทธิรายได้จากความแออัดของระบบสายส่งไฟฟ้า หรือ Congestion Revenue Rights (CRR) รวมรายได้ตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจ CRR ในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา จนถึงครึ่งปีแรก 2568 กว่า 133 ล้านบาท และเตรียมขยายสู่ตลาด Intercontinental Exchange (ICE) เพื่อทำกำไรจากตลาดซื้อขายไฟล่วงหน้าจากการคาดการณ์ราคาพลังงาน (Proprietary Trade) ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนควบคู่กับธุรกิจผลิตไฟฟ้าอันเป็นธุรกิจหลักของบริษัทที่ยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ เรายังดำเนินธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้าในสหรัฐฯ ผ่าน BKV Energy บริษัทย่อยภายใต้ความร่วมมือระหว่าง BPPUS และ BKV Corporation ซึ่งล่าสุดได้รับรางวัล “Best Electricity Company” จากเวที Best of the Best 2025 ของ Houston Chronicle ผ่านการโหวตของผู้บริโภคในรัฐเท็กซัส สะท้อนถึง ความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและการส่งมอบไฟฟ้าที่ต่อเนื่องในราคาที่เหมาะสม”
![]()
สำหรับไฮไลท์ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก 2568 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
BPP มีกำไรสุทธิ 1,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 4,486 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ Temple I และ II ปรับตัวดีขึ้น และมีกำไรจากการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน (Change in Fair Value of Financial Instrument) อันเป็นผลจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงในราคาที่ดี โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHPs) ในจีนที่บริหารต้นทุนถ่านหินได้มีประสิทธิภาพ และรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น
ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy): โรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งในจีน เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยใช้ชีวมวลร่วมกับเชื้อเพลิงหลักในสัดส่วนร้อยละ 10 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ราว 70,000 ตันต่อปี ส่วนโรงไฟฟ้าโจวผิงได้เริ่มก่อสร้างระบบท่อส่งไอน้ำฝั่งเหนือในเดือนกรกฎาคมและกำลังศึกษาการขยายท่อเพิ่มเติมไปยังฝั่งตะวันตกและตะวันออกเพื่อส่งมอบไอน้ำที่มีความเสถียรและคุ้มค่าให้แก่ภาคอุตสาหกรรมได้มากขึ้น ขณะที่โรงไฟฟ้า HPC ในสปป. ลาว และ BLCP ในไทย ยังคงรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ร้อยละ 89 และ 90 ตามลำดับ
ธุรกิจ Renewables+: โครงการอิวาเตะ โตโนะ (Iwate Tono) แบตเตอรี่ฟาร์มในญี่ปุ่น กำลังไฟฟ้า 14.5 เมกะวัตต์ ความจุพลังงาน 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดย BPP ยังเดินหน้าขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) ที่ญี่ปุ่น ผ่าน Banpu NEXT ซึ่ง BPP ถือหุ้นร้อยละ 50 โดยตั้งเป้าสู่การเป็นผู้เล่นหลักในธุรกิจ BESS ของญี่ปุ่น พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายการลงทุน BESS สู่ตลาดสหรัฐฯ ในอนาคต
ทั้งนี้ BPP ยังได้ประกาศพันธกิจใหม่ 3 ด้าน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสอดรับกับพลวัตของอุตสาหกรรมพลังงานโลก ได้แก่:
1. ผลักดันการเติบโตด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ความเชี่ยวชาญระดับสากล และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในโครงการระดับโลก
2. ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อลดการปล่อย CO2 และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานเพื่ออนาคต
3.ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการพัฒนาชุมชน ทั้งในด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ฯลฯ เพื่อสร้าง การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
“ตลอดเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา BPP ดำเนินธุรกิจใน 8 ประเทศยุทธศาสตร์ในฐานะผู้นำและผู้บุกเบิกด้านพลังงาน สะท้อนศักยภาพในการสร้างสมดุลด้านพลังงาน ผ่านการกระจายพอร์ตธุรกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์เดิม และการลดการปล่อย CO2 อย่างต่อเนื่อง
เพื่อส่งมอบพลังงานคุณภาพสูงควบคู่กับผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม” นายอิศรา นิโรภาส กล่าวทิ้งท้าย
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ BPP ได้ที่ www.banpupower.com
ปตท. ประกาศอัตราดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้อายุ 7 ปี ที่ 2.50% ต่อปี และหุ้นกู้ Young Saver Bond อายุ 3 ปี ที่ 2.10% ต่อปี โดยการเสนอขายจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกระหว่างวันที่ 5 - 8 กันยายน 2568 สำหรับหุ้นกู้อายุ 3 ปี เฉพาะนักลงทุนรุ่นเริ่มออม และหุ้นกู้อายุ 7 ปี เฉพาะผู้ถือหุ้นกู้เดิมที่ได้รับสิทธิ และช่วงที่สองระหว่างวันที่ 10 - 11 กันยายน 2568 เสนอขายหุ้นกู้อายุ 7 ปี ให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ผ่าน 6 สถาบันการเงินชั้นนำ
ซึ่งการระดมทุนครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนโครงการเพื่อสังคมต่างๆ อาทิ การพัฒนาการเกษตรและทรัพยากร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายสินค้าชุมชน และช่วยเหลือเกษตรกรในสถานการณ์ผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาด สะท้อนการให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจควบคู่ความรับผิดชอบต่อสังคม มั่นใจได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ที่ระดับ AAA(tha) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดสำหรับตราสารหนี้ที่ออกในประเทศไทย สะท้อนความเสี่ยงต่ำ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนในภาวะเศรษฐกิจผันผวน
นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ด้วยการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งและฐานะการเงินที่มั่นคง มั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นกู้ 2 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 7 ปี ที่ 2.50% ต่อปี และหุ้นกู้ Young Saver Bond อายุ 3 ปีที่ 2.10% ต่อปี จะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่มีความมั่นคง มีศักยภาพและโอกาสในการเติบโต รวมถึงดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความยั่งยืน ด้วยผลตอบแทนที่เหมาะสม นอกจากนี้ ปตท. ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสการลงทุน ด้วยการเสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 ปี Young Saver Bond ให้แก่นักลงทุนรุ่นเริ่มออม (Young Saver) เป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยเล็งเห็นว่า นักลงทุนรุ่นใหม่จะเป็นรากฐานที่สำคัญที่มีส่วนขับเคลื่อนกลไกตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศในอนาคต และหวังว่า หุ้นกู้ ปตท. จะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างประสบการณ์ด้านการลงทุนที่ดีให้กับนักลงทุนกลุ่มนี้
ปตท. เป็นบริษัทพลังงานชั้นนำของประเทศไทย มีธุรกิจที่ดำเนินการเอง ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และธุรกิจที่ลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม เช่น ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว ธุรกิจ ปิโตรเคมีและการกลั่น ธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก ธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปการ รวมถึงธุรกิจให้บริการ โดยมีนโยบายที่ชัดเจนในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ "ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน”
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยสามารถติดตามรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนการเสนอขายได้ที่ www.sec.or.th หรือสอบถามข้อมูลผ่านสถาบันการเงินผู้ร่วมจัดการการจัดจำหน่าย
ข้อมูลล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย เผยให้เห็นความจริงที่น่าตกใจของคนไทยกับการเงิน โดยจาก 130 ล้านบัญชีเงินฝากทั่วประเทศ มีถึง 123 ล้านบัญชีที่มีเงินฝากไม่ถึง 50,000 บาท ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงวิกฤตเงินออมของคนไทย นอกจากนี้ ดีลอยท์ ประเทศไทย ยังเผยว่าคนไทยรุ่นใหม่ทั้ง Gen Y และ Gen Z กว่า 63% ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 52% ด้วยภาระค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความจำเป็นต้องใช้เงินมาตอบสนองไลฟ์สไตล์ บ่อยครั้งเราจึงได้ยินประโยคที่ว่า “เงินเดือนออกไม่กี่วัน ไม่รู้หายไปไหนหมด”![]()
อยากใช้เงินอย่างมีสติ แต่ทำไม่ได้สักที
คนรุ่นใหม่จำนวนมาก อยากรู้ว่าแต่ละเดือนเงินหายไปกับอะไรบ้าง เพื่อที่จะลดหรือตัดค่าใช้จ่ายบางประเภท แต่ก็ยังไม่มีเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นภาพรวมการใช้จ่ายอย่างชัดเจน แถมการสร้างตารางจดรายจ่ายด้วยตนเองนั้นยุ่งยาก ใช้เวลา และต้องมีวินัยสูง แม้จะรู้ว่าสำคัญ แต่พอต้องจดทุกวัน ทุกยอดในหลายแอปธนาคาร ก็ทำให้ท้อ จนกลายเป็นว่า เราไม่เคยมีภาพรวมการเงินที่ชัดเจน
KBTG บริษัทเทคโนโลยีในเครือธนาคารกสิกรไทย เข้าใจ Pain Point นี้ดี จึงดึงอินไซต์ของคนรุ่นใหม่มาพัฒนา "เหมียวจด" แอปพลิเคชันจดรายจ่ายอัตโนมัติ ที่จะเปลี่ยนวิธีการจดรายจ่ายให้เป็นเรื่องง่ายและตอบโจทย์ทุกคนที่อยากเข้าใจรายจ่ายของตนเอง
เหมียวจดทำงานด้วยหลักการง่าย ๆ คือ อ่านข้อมูลจากสลิปการโอนเงินในแอปธนาคารแล้วจดบันทึกรายจ่ายให้อัตโนมัติ ปัจจุบันรองรับการอ่านข้อมูลจาก 19 แอปธนาคารชั้นนำ รวมถึง Truemoney Wallet และจะรวมสรุปรายจ่ายทุกธนาคารไว้ในที่เดียว ทั้งแบบรายวันและรายเดือนในรูปแบบกราฟที่แสดงสัดส่วนการใช้จ่ายแต่ละหมวดหมู่ นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์เลือกหมวดหมู่อัตโนมัติจากฐานข้อมูลกว่า 500,000 ร้านค้าในระบบเหมียวจด และยังจดจำ
พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้แต่ละคน เช่น เมื่อโอนเงินไปร้านกาแฟประจำ แอปจะจำได้ว่านี่คือค่ากาแฟ พอครั้งต่อไปโอนไปร้านเดิม ระบบจะจัดหมวดหมู่ให้อัตโนมัติ ทำให้ประหยัดเวลาในการจดรายจ่าย
![]()
ฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อชีวิตคนยุคใหม่
นอกจากการจดอัตโนมัติแล้ว เหมียวจดยังมีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง เช่น การตั้งรายการ "จดซ้ำ" สำหรับค่าใช้จ่ายประจำเดือน อย่างค่าเช่าบ้าน ผ่อนรถ หรือค่า Subscription ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งยังมีระบบ “กราฟเปรียบเทียบ” ช่วยให้เห็นแนวโน้มการใช้จ่ายแบบรายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี ทำให้รู้ได้ว่าเดือนไหนใช้เงินเกิน เดือนไหนประหยัดได้ พร้อมด้วยการใส่ #tag ช่วยแยกหมวดหมู่ได้ละเอียดมากขึ้น เช่น #ค่ากาแฟ #ทริปญี่ปุ่น #ซื้อของฝาก ทำให้วิเคราะห์รายจ่ายได้ตรงจุด และสำหรับคนที่ต้องการข้อมูลเพื่อวางแผนการเงินต่อ เหมียวจดสามารถส่งออกข้อมูลเป็นไฟล์ Excel หรือ CSV ได้ง่าย ๆ
นายเชษฐพันธุ์ ศิริดานุภัทร Managing Director กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยีกรุ๊ป (KBTG) เล่าว่า “เราเล็งเห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้สุขภาพทางการเงินคล่องตัวมากขึ้น แต่เครื่องมือที่มีอยู่ยังซับซ้อนเกินไป เราจึงออกแบบ เหมียวจด มาให้เป็น 'เพื่อนคู่ใจ' เป็นฟินเทคสายซอฟต์ที่เฟรนลี่ ใช้ง่าย และช่วยให้ทุกคนเริ่มวางแผนการเงินได้ง่าย ๆ เราเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ดีต้องทำให้ชีวิตง่ายขึ้น มั่นใจว่าผู้ใช้งานเหมียวจด จะเข้าใจภาพรวมค่าใช้จ่าย และสร้างวินัยทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
สบายใจกับความปลอดภัยระดับธนาคาร
ในยุคนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นของมีค่า ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เหมียวจดพัฒนาโดย KBTG และใช้มาตรฐานความปลอดภัยระดับเดียวกับแอปธนาคาร แอปจะเข้าถึงเฉพาะภาพสลิปการโอนเงินจากแอปธนาคารเท่านั้น ไม่แตะต้องภาพอื่น ๆ หรือข้อมูลส่วนตัวในโทรศัพท์ ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าความเป็นส่วนตัวได้รับการปกป้อง นอกจากนี้ เหมียวจด ยังได้รับการยอมรับในเวทีระดับสากล โดยได้รับรางวัล Demark 2025 Winner ในสาขา Design Excellent Award – System, Service and Digital Platform และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง UX Design Award 2025 จากประเทศเยอรมนี
“เหมียวจด” เชื่อมั่นผู้ใช้งานลดค่าใช้จ่ายได้จริง หลังเห็นภาพรวมรายจ่าย
เมื่อเราเห็นภาพรวมการใช้จ่ายอย่างชัดเจน เราก็สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นว่า ควรลดค่าใช้จ่ายส่วนไหน หรือควรเพิ่มการออมในส่วนไหน เหมียวจดช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น เมื่อทุกการโอนเงินถูกจดบันทึกอัตโนมัติและจัดหมวดหมู่อย่างชัดเจน การวางแผนการเงินจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยจากภาพรวมการใช้งาน ผู้ใช้มีบัญชีที่มีรายรับ-รายจ่ายอยู่หลายบัญชี เฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 บัญชี ในกลุ่มวัยทำงานช่วงอายุ 20-40 ปี มักมีรายการใช้จ่ายหลักอยู่ในหมวดค่าอาหาร ค่าการเดินทาง และการช้อปปิ้ง โดยจากการใช้งานต่อเนื่องประมาณ 1 เดือน ผู้ใช้หลายคนพบว่าสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายในหมวดความบันเทิงและการช้อปปิ้งได้ง่ายขึ้น
เหมียวจดให้บริการฟรีสำหรับผู้ใช้ใหม่ที่ต้องการใช้ฟีเจอร์พื้นฐาน สำหรับคนที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูงมากขึ้น มีแพ็กเกจเหมียวซิลเวอร์ที่เพิ่มฟีเจอร์อัตโนมัติและข้อมูลเชิงลึกพื้นฐาน และแพ็กเกจเหมียวโกลด์สำหรับนักวางแผนการเงินที่ต้องการจัดการข้อมูลได้ละเอียดที่สุด
จดรายจ่ายกับเหมียวจดได้แล้ววันนี้ที่ www.meowjot.com หรือดาวน์โหลดได้ที่ meowjot.com/link/install
LINE ประเทศไทย เดินหน้าภารกิจสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้สังคมไทย ผ่านโครงการผลักดันด้าน “Digital Literacy” มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้อง มั่นใจ และปลอดภัยสำหรับคนไทยทุกวัย เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากโลกดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยในปีนี้ประเดิมด้วยกิจกรรม “LINE CONNECT DAY: Smart Senior 2025” ที่มุ่งเสริมสร้างความรู้ด้านดิจิทัลควบคู่กับความรู้การลงทุนให้กับผู้สูงวัย พร้อมตอกย้ำความสำคัญของการป้องกันความเสี่ยงจากภัยออนไลน์
![]()
นางสาวณิชารัศมิ์ อาชญาสิทธิวัตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด (Chief Marketing Officer) LINE ประเทศไทย กล่าวว่า “ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทักษะการใช้ดิจิทัลอย่างชาญฉลาด รู้เท่าทันและปลอดภัยไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิค แต่เป็นความสามารถสำคัญที่ทุกคนต้องมี LINE ประเทศไทยจึงริเริ่มโครงการผลักดันด้าน ‘Digital Literacy’ ภายใต้แนวคิด Living Smart and Safe on LINE เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยี เชื่อมต่ออย่างมีคุณภาพ และปกป้องตนเองในโลกออนไลน์ สำหรับคนไทยทุกวัยจากความสำเร็จของกิจกรรม Smart Senior ที่เราจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม ในปีนี้ เราเล็งเห็นศักยภาพของผู้สูงวัยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประชากรผู้ใช้ LINE ที่ใช้แอปพลิเคชัน
นอกเหนือจากสื่อสารกับครอบครัวและเพื่อนฝูง แต่ยังใช้เพื่อการดำรงชีวิตในด้านอื่นๆ เราจึงได้ขยายขอบเขตเนื้อหา ไม่เพียงเน้นการป้องกันภัยออนไลน์ แต่ยังเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างชาญฉลาด และการรับมือกับความเสี่ยงดิจิทัลรูปแบบใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้การสร้างโลกดิจิทัลที่ปลอดภัยต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญในแขนงสาขาต่างๆ ซึ่งครั้งนี้เรารวมพลังกับอีก 3 หน่วยงานสำคัญ โดยมี LINE ในฐานะแพลตฟอร์มกลาง, Young Happy ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมมูนิตี้ผู้สูงวัย, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่นำความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาถ่ายทอด และ และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ การรวมตัวของพันธมิตรทั้ง 4 นี้ ช่วยเสริมความเข้มข้นของเนื้อหาและมอบองค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันได้อย่างตรงจุด ทั้งหมดนี้สะท้อนบทบาทของ LINE ในการเป็นแพลตฟอร์มกลางที่พร้อมเชื่อมโยงทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันสร้างสังคมดิจิทัลที่แข็งแรง ปลอดภัย และเท่าทันการเปลี่ยนแปลงสำหรับทุกคน และในอนาคต เรามีแผนที่จะขยายขอบเขตเนื้อหาไปด้านอื่นให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้ LINE ที่หลากหลายอีกด้วย”
กิจกรรม “LINE CONNECT DAY: Smart Senior 2025” มีผู้สูงวัยเข้าร่วมกว่า 60 คนจากทั่วประเทศ ทุกท่านได้เรียนรู้ตั้งแต่การใช้ LINE อย่างปลอดภัย เช่น วิธีสังเกตบัญชี Official ของจริง, การตั้งค่าความปลอดภัย, การรายงานบัญชีต้องสงสัย ไปจนถึงการรู้เท่าทันกลโกงด้านการเงิน และการรับมือกับภัยคุกคามในโลกออนไลน์ เช่น ฟิชชิ่ง หลอกโอนเงิน หรือแฮกบัญชี โดยมีผู้เชี่ยวชาญจาก LINE และพันธมิตรให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
“เราเชื่อว่าทักษะการใช้งานเทคโนโลยีอย่างมั่นใจและปลอดภัยจะเป็นทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิตประจำวัน เราจึงเดินหน้าอย่างจริงจังในการส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัลให้คนไทยทุกกลุ่ม โดยเริ่มต้นจากกลุ่มเปราะบางอย่างผู้สูงวัย โดยหวังว่ากิจกรรม LINE CONNECT DAY: Smart Senior 2025 จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระยะยาวในการยกระดับทักษะดิจิทัลให้กับสังคมไทย” นางสาวณิชารัศมิ์ กล่าวสรุป
LINE ประเทศไทยมีแผนจะต่อยอดกิจกรรมสู่กลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ เช่น เยาวชน และกลุ่มคนทำงาน เพื่อใช้ประโยชน์และสร้างความรู้เท่าทันดิจิทัลอย่างต่อเนื่องในอนาคต