

เอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) บริษัทด้านการลงทุนในเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (Disruptive Technology) ภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ประกาศร่วมเป็นผู้นำการลงทุน (Co-Lead Investor) ร่วมกับ Point72 Ventures ในการระดมทุนรอบ Pre-Seed มูลค่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐของ Hearvana บริษัทผู้บุกเบิกเทคโนโลยี ‘Auditory Intelligence’ ที่ช่วยให้มนุษย์และอุปกรณ์สมองกลมีความสามารถในการฟังเหนือขีดความสามารถของมนุษย์ (Superhuman Listening Abilities) โดยการลงทุนรอบนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายสำคัญ ได้แก่ AI2 Incubator, SBI US Gateway Fund, Forston VC, Ascend, J4 Ventures, Pack Ventures, Moai Capital และ Amazon Alexa Fund
Hearvana กำลังพลิกโฉมวิธีที่ AI และมนุษย์รับรู้เสียง ด้วยแพลตฟอร์มของบริษัทที่เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ (Augmentation) และการทำความเข้าใจ (Comprehension) เสียงแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์ (on-device) ทำให้ผู้ช่วย AI (AI Assistant) อุปกรณ์ช่วยฟัง แว่นตาอัจฉริยะ และอุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยเสียงต่างๆ สามารถฟัง ตีความ และประมวลผลเสียงได้อย่างมีคุณภาพสูงและตอบสนองได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา เทคโนโลยีนี้ทำให้อุปกรณ์สามารถเข้าใจเจตนาและบริบทในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและมีเสียงรบกวนสูง ช่วยให้มนุษย์สื่อสารกันเองและกับอุปกรณ์สมองกลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Jeffrey Lu นักลงทุนจาก Point72 Ventures กล่าวว่า “เราเชื่อว่า Hearvana กำลังก้าวเข้าสู่จุดที่น่าตื่นเต้นของเทคโนโลยี AI โดยมุ่งเน้นไปที่ “วิธีการที่อุปกรณ์รับฟัง” เทคโนโลยีของ Hearvana ส่งเสริมศักยภาพด้าน Voice Interface ให้กับปัญญาประดิษฐ์ อุปกรณ์อัจฉริยะ และ แอปพลิเคชันช่วยฟัง เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนทีมนี้ในการนำเทคโนโลยีออกสู่ตลาด”
บริษัท Hearvana ก่อตั้งโดย ศาสตราจารย์ Shyam Gollakota จาก Paul G. Allen School of Computer Science and Engineering มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้าน Embedded Systems และ Audio AI ได้แก่ Malek Itani และ Tuochao Chen
นางสาวไพลิน วิชากูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน (CIO) บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า “Hearvana ประกอบด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำให้บริษัทสามารถผสมผสานเทคโนโลยี AI การประมวลผลเสียง และ ฮาร์ดแวร์แบบฝังตัวอยู่ในอุปกรณ์สมองกล (Embedded Hardware) ได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสรรค์มิติใหม่ของเทคโนโลยีด้านเสียง (Auditory กับอุปกรณ์สมองกล (Human-Machine Interfaces) เพื่อยกระดับศักยภาพการได้ยินสำหรับ AI Agents ที่สามารถปรับให้เข้ากับแต่ละบุคคล”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทีมงานได้บุกเบิกเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากมาย เช่น Target Speech Hearing, Sound Bubble, Full-Duplex Dialogue Agents และ Proactive Conversational Assistants ซึ่งช่วยขยายขอบเขตการรับรู้และปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอุปกรณ์สมองกลผ่าน "เสียง" โดยทีมผู้ก่อตั้งได้นำความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษในด้าน Auditory Computing, Embedded Intelligence และ Deep Learning มาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงวิทยาการล้ำสมัยเข้ากับการใช้งานจริงที่สามารถขยายผลได้
“เราให้ความสนใจในเทคโนโลยีของ Hearvana ที่ช่วยให้การโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับ AI เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น แนวทางของทีม Hearvana มุ่งทำให้เทคโนโลยีการฟังขั้นสูงถูกนำมาใช้ในวงกว้างผ่านการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันที่มุ่งเน้นการตอบสนองผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ด้วยต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ” กล่าวโดย Paul Bernard ผู้อำนวยการ จาก Alexa Fund
“ด้วยความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเชิงลึกและวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งมีความโดดเด่น Hearvana ได้นำผลงานวิจัยด้าน Audio AI ที่ล้ำสมัยมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้จริง และช่วยให้ AI เข้าใจและตอบสนองมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” กล่าวโดย Oren Etzioni จาก AI2 Incubator
Hearvana มีแผนที่จะนำเงินทุนที่ได้รับในรอบนี้ไปขยายทีมวิศวกรรม และทีมการตลาด (Go-to-market) รวมถึงโครงการนำร่องเชิงพาณิชย์ร่วมกับพันธมิตร (Commercial Pilots) ในอุตสาหกรรมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคและระบบนิเวศ AI
"Hearvana กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่สร้างการฟังระดับ Superhuman เทคโนโลยีของเราครอบคลุมผู้ช่วย AI ที่ทำงานตั้งแต่อุปกรณ์ทั่วไป เช่น แล็ปท็อปและสมาร์ทโฟน ไปจนถึงอุปกรณ์สวมใส่ (wearables) เช่น หูฟังไร้สายและแว่นตาอัจฉริยะ เรามองเห็นอนาคตที่อุปกรณ์ไม่ได้เพียงแต่ได้ยินเท่านั้น แต่ยังเข้าใจและช่วยให้มนุษย์สื่อสารระหว่างกันและสื่อสารกับ AI ได้ดียิ่งขึ้น เงินทุนรอบนี้จะช่วยให้เราก้าวจากการพัฒนานวัตกรรมไปสู่การใช้งานจริงได้เร็วยิ่งขึ้น" กล่าวโดย Shyam Gollakota ผู้ร่วมก่อตั้ง และ CEO ของ Hearvana
ความเชื่อที่ว่าถ้า “ไม่ติดหวาน” ก็ไม่เสี่ยง “โรคเบาหวาน” นั้นอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะถึงเราไม่กิน “น้ำตาล” ก็ได้รับ “น้ำตาลแฝง” ที่อยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ทั้งข้าว ขนมปัง หรือผลไม้บางชนิด ที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน โดยข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานสะสมกว่า 6.5 ล้านคน และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละกว่า 350,000 คน ที่น่ากังวลกว่านั้นคือผู้ป่วยกว่า 40% ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน จนทำให้กว่าจะรู้ตัวก็มีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากต่อการรักษา
วันนี้ นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อายุรแพทย์ ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และควบคุมน้ำหนัก รพ.วิมุต จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ พร้อมแนะการปรับพฤติกรรมเพื่อปิดสวิตช์ความเสี่ยงเบาหวานก่อนจะสายเกินไป
ไขข้อสงสัย ‘โรคเบาหวาน’ คืออะไร มีกี่ประเภท
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus หรือ DM) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเป็นเวลานาน เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ซึ่งทำหน้าที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายหลั่งอินซูลินไม่เพียงพอ น้ำตาลจึงค้างอยู่ในเลือดมากเกินไปจนส่งผลร้ายต่อร่างกาย นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อธิบายเพิ่มเติมว่า "โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ต้องใช้อินซูลินทดแทนตลอดชีวิต เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน มักเกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกิน พฤติกรรมการกิน และความเครียด ต่อมาคือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ พบในหญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงชั่วคราว และสุดท้ายคือกลุ่มเบาหวานชนิดอื่น ๆ ที่เกิดจากสาเหตุเฉพาะ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม การใช้ยาบางชนิด (เช่น สเตียรอยด์) หรือโรคของตับอ่อน"
“น้ำตาลทราย” ไม่ใช่ผู้ร้ายเพียงคนเดียว ชวนเข้าใจ “น้ำตาลแฝง-วิถีชีวิตไม่ดี” ปัจจัยเร่งโรคเบาหวาน
การกินของหวานไม่ใช่ปัจจัยกระตุ้นโรคเบาหวานเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการได้รับน้ำตาลแฝงอย่าง ‘น้ำตาลกลูโคส’ จากการย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต โดยเฉพาะในข้าวขาว น้ำผลไม้ หรือผลไม้สุกจัดที่มีรสหวานอย่างมะม่วงและกล้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ พ่อแม่เป็นเบาหวาน ภาวะอ้วน กินอาหารไม่สมดุล ไม่ออกกำลังกาย พักผ่อนน้อย และความเครียด
“ความเครียด” ภัยเงียบกระตุ้นเบาหวานที่หลายคนมองข้าม
ความเครียดเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดแม้ในวันที่เราไม่ได้แตะของหวาน เพราะเมื่อร่างกายเครียด สมองจะกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่ง “ฮอร์โมนความเครียด” เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมา โดยฮอร์โมนเหล่านี้จะสั่งให้ตับปล่อยน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานพร้อมรับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ หากมีความเครียดสะสม ระดับคอร์ติซอลที่สูงต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน และอาจนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
“ความเครียดยังทำให้เกิดพฤติกรรม ‘กินคลายเครียด’ โดยเฉพาะการโหยหาของหวานหรือของมัน และอาจนำไปสู่วงจร เครียด-กิน-น้ำตาลขึ้น-เครียดซ้ำ ซึ่งทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดยากขึ้นและบั่นทอนสุขภาพโดยรวม ดังนั้นการจัดการความเครียดจึงเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน” นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อธิบาย
รวมสัญญาณเตือนที่ต้องไปตรวจโรคเบาหวานด่วน
นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล เล่าว่า “ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ แผลหายช้า มองเห็นภาพเบลอ ง่วงบ่อย หรือมีปัญหาสมาธิสั้นลง ก็มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและควรไปตรวจคัดกรอง นอกจากนี้ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นเบาหวาน อายุเกิน 35 ปี รวมถึงผู้ที่มีภาวะเครียดเรื้อรัง นอนน้อย หรือดื่มน้ำหวานเป็นประจำ ก็ควรไปตรวจคัดกรองด้วยเช่นกัน”
“โรคเบาหวาน” ยิ่งตรวจพบไว ยิ่งดูแลได้ง่าย
วิธีการตรวจโรคเบาหวานที่นิยมคือการตรวจค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ซึ่งจะสะท้อนค่าน้ำตาลเฉลี่ยในร่างกายช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อีกวิธีที่นิยมคือการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) เมื่อแพทย์วินิจฉัยพบแล้ว แม้โรคเบาหวานจะรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่สามารถดูแลและควบคุมให้ไม่เกิดอันตรายกับร่างกาย นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อธิบายถึงวิธีรักษาว่า “หากเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องใช้อินซูลินตลอดชีวิตเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 หากตรวจพบเร็วและปรับพฤติกรรมอย่างจริงจัง เช่น ลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ก็สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้กลับมาใกล้เคียงปกติ หรือที่เรียกว่าภาวะโรคสงบ (Remission) ส่วนเบาหวานชนิดอื่นแพทย์จะดูแลตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคนอย่างใกล้ชิด”
ปรับพฤติกรรม-ดูแลใจ ปิดสวิตช์โรคเบาหวาน
การป้องกันโรคเบาหวานเริ่มต้นได้จากเรื่องง่าย ๆ จากปรับการกิน โดยลดข้าวขาว ขนม และเครื่องดื่มรสหวาน เริ่มออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ควบคุมน้ำหนักและรอบเอวให้ดีเพราะไขมันหน้าท้องสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะดื้ออินซูลิน รวมถึงดูแลจิตใจด้วยการนอนหลับให้เพียงพอ 6–7 ชั่วโมง และผ่อนคลายความเครียดด้วยกิจกรรมที่ชอบ เมื่อร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะลดลง ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น และช่วยให้น้ำตาลในเลือดคงที่ในระยะยาว ที่สำคัญต้องตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี
“หลายคนเข้าใจว่าถ้าไม่อยากเป็นเบาหวานก็ต้องไม่กินของหวาน แต่ความจริงแล้วโรคเบาหวานมักมาจากวิถีชีวิตที่ไม่สมดุลมากกว่า อยากให้ทุกคนกลับมาสร้างความพอดีให้ร่างกาย ตรวจสุขภาพทุกปี กินและออกกำลังกายให้พอดี รู้เท่าทันความเครียดและหาวิธีผ่อนคลาย ก็จะทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงและผลิตอินซูลินได้อย่างเต็มที่ ถ้าทำแบบนี้แล้วเราก็สามารถให้รางวัลตัวเองด้วยของหวานบ้างเป็นครั้งคราว แบบที่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป” นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล กล่าวทิ้งท้าย
ผู้ที่สนใจปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่ศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และควบคุมน้ำหนัก ชั้น 3 โรงพยาบาลวิมุต เวลาทำการ 07:00 – 19:00 น. โทร. 02-079-0070 หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือใช้บริการปรึกษาหมอออนไลน์
SCB WEALTH มองปีนี้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แนะกลยุทธ์ลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีไม่เน้นจับจังหวะ แต่เน้นระยะเวลา และวินัยการลงทุน พร้อมชู 3 เมนูลงทุนเด็ดเสิร์ฟนักลงทุน 3 สไตล์ เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส และเมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ครอบคลุมทุกเป้าหมายการลงทุนตั้งแต่นักลงทุนรุ่นใหม่จนถึงวัยใกล้เกษียณ เพื่อโอกาสรับสิทธิลดหย่อนภาษี และโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปีนี้ถือเป็นปีที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญความผันผวน จากความไม่แน่นอนการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง ปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงในประเทศเศรษฐกิจหลัก และสินทรัพย์หลายประเภทปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed ) จึงอาจทำให้นักลงทุนรอจังหวะในการเข้าลงทุน เนื่องจากสินทรัพย์หลายประเภทราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ที่สำคัญของการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การจับจังหวะตลาด แต่อยู่ที่ระยะเวลาการลงทุน และการสร้างวินัยทางการเงิน เพราะเป็นกองทุนที่ต้องลงทุนต่อเนื่องในระยะยาว เป็นเครื่องมือการสร้างความมั่งคั่งอย่างมีวินัย
"ตามข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ จะพบว่า คนไทยมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้น จากเดิมอายุขัยเฉลี่ยเคยอยู่ที่ 75 ปี แต่ในปี 2568 อายุขัยเฉลี่ยของคนไทย ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 85 ปี หมายความว่า ช่วงที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินหลังเกษียณยาวนานมากขึ้น ดังนั้น การลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมให้มีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณอายุจึงมีความจำเป็นอย่างมาก และการจัดพอร์ตลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณก็มีความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน โดยนักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนประเภทลดหย่อนภาษี ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงอายุ และระยะเวลาที่เหลือในการทำงาน หรือมีรายได้ เช่น ช่วงเริ่มต้นวัยทำงาน ยังมีระยะเวลาในการลงทุนที่ยาว สามารถรับความผันผวนจากการลงทุนได้ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่เมื่อใกล้ระยะเวลาเกษียณ ต้องเน้นการรักษามูลค่าเงินลงทุนมากขึ้น อาจปรับเปลี่ยนการลงทุน โดยเน้นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำมากขึ้น เป็นต้น” นายศรชัย กล่าว
SCB WEALTH จึงได้ออกแบบ เมนูการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อให้นักลงทุนเลือก 3 สไตล์ สอดคล้องกับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน
เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ โดยตราสารที่ลงทุนเป็นสินทรัพย์คุณภาพ (High-Quality Assets) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันรับมือความผันผวน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อเพิ่มความมั่นใจสำหรับเงินที่เตรียมไว้ใช้ในวัยเกษียณ โดยเฉพาะผู้ลงทุนที่ใกล้เกษียณ มีกองทุนแนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1 ) กองทุน SCBTB(ThaiESGA) ความเสี่ยงระดับ 4 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond ) ตราสารเพื่อความยั่งยืน ( Sustainability bond) หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน ที่มีการเปิดเผยข้อมูลตามที่ก.ล.ต. กำหนด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม เป็นตราสารหนี้ชั้นดีภาครัฐและเอกชน พร้อมจุดแข็งการคำนึงถึงประเด็น สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตอบโจทย์การลงทุนระยะยาว 2) กองทุน SCBRMMONEY ความเสี่ยงระดับ 1 คือ เสี่ยงต่ำ ลงทุนในตราสารหนี้ไทย ทั้งภาครัฐ และเอกชน อายุเฉลี่ย 1-3 เดือน และ 3)กองทุน SCBRM1 ความเสี่ยงระดับ 4 เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นคุณภาพดี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก
เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส มุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตของเงินลงทุน ควบคู่กับสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง เพื่อลดความผันผวนให้พอร์ตลงทุน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่ต้องการสร้างความสมดุลให้กับโอกาสการเติบโตและความมั่นคงอย่างลงตัว โดยเฉพาะคนที่ทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว คนที่มีครอบครัวต้องดูแล แนะนำ 3 กองทุนดังนี้ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMWORLD(A) ความเสี่ยงระดับ 6 คือเสี่ยงสูง ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่และ ขนาดกลางในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก มุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี MSCI World และ3)กองทุน SCBGOLDHRMF ความเสี่ยงระดับ 8 ลงทุนใน SPDR Gold Trust กองทุนทองคำแท่งที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงราคาทองคำแท่งในตลาดโลก
เมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนที่โดดเด่นเรื่องโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่น ตลาดหุ้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง โดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มทำงานไม่นาน มีเวลาสำหรับการลงทุนได้อีกในระยะยาว แนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทย และตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMS&P500 ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐฯ และ 3)กองทุน SCBRMNDQ ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี NASDAQ 100 ซึ่งสะท้อนราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำ 100 แห่งในสหรัฐฯ
“การนำเสนอเมนูการลงทุนลดหย่อนภาษีที่ออกแบบให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนเพื่อการออมเงินในระยะยาว และเป็นทางเลือกการลงทุนที่ให้ทั้งผลตอบแทน และสิทธิลดหย่อนภาษี ช่วยให้ผู้ลงทุนสร้างวินัยทางการเงินเพื่อความมั่นคงในวัยเกษียณในแบบที่ต้องการ ” นายศรชัย กล่าว
สำหรับเงื่อนไขการลงทุนกองทุน ThaiESG นับตั้งแต่ปี 2567-2569 ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 300,000 บาท ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ (แบบวันชนวัน) ไม่มียอดซื้อขั้นต่ำ ส่วนกองทุน RMF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และกองทุนการออมแห่งชาติ โดยต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน ไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้จนกว่าอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม ลงทุนในปีใดสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนั้นได้
หมายเหตุ : คำแนะนำการลงทุนจาก SCB CIO และข้อมูลผลิตภัณฑ์โดย Investment Product Selection ณ วันที่ 4 พ.ย. 2568 ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน
คำเตือน
· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF, Thai ESG ก่อนตัดสินใจลงทุน เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องเป็นไปตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
· กองทุนที่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
· ศึกษาข้อมูลกองทุนและหนังสือชี้ชวนกองทุนเพิ่มเติมได้จากwebsite บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด และแอป SCB EASY หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่SCB Call Center โทร. 02-777-7777
Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ประกาศความสำเร็จในการจัดงานแข่งขันแฮกกาธอนและการประชุมด้านนวัตกรรมสุขภาพต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีผู้สมัครทะลุ 1,000 คน จาก 33 สัญชาติ สามารถคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันได้มากกว่า 200 คนร่วมคิดค้นไอเดียนวัตกรรมเปลี่ยนโลกการแพทย์ ท่ามกลางการแนะแนวจากเมนเทอร์ผู้เชี่ยวชาญคับคั่ง พร้อมต่อยอดระบบนิเวศให้ไอเดียได้ไปต่อในโลกสตาร์ทอัพกับกิจกรรม Beyond Hack และการประชุมเสวนาทางวิชาการที่รวบรวมวิทยากรจากองค์กรเอกชน องค์กรภาครัฐ และสถาบันการศึกษาชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศอีกมากกว่า 30 ท่าน
![]()
ศ. นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า การจัดงาน Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ซึ่งโรงพยาบาลศิริราช และ MIT Hacking Medicine ได้ร่วมกันจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2568 ประสบผลสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมงานทั้งในกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน เมนเทอร์ผู้ให้คำปรึกษา วิทยากร และผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายเพิ่มขึ้นจากปีก่อนในทุกกิจกรรม
![]()
สำหรับกิจกรรมการแข่งขันแฮกกาธอนนั้นสามารถดึงดูดผู้สมัครได้มากกว่า 1,000 คน จาก 33 สัญชาติ โดยมีผู้สมัครจากนานาประเทศ เช่น เมียนมา อินโดนีเซีย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อินเดีย จีน เป็นต้น และคณะกรรมการได้คัดเลือกผู้เข้าแข่งขันที่มีคุณภาพได้มากกว่า 200 คนที่มีความหลากหลายในทุกๆ ด้านทั้งประวัติการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน โดยพบว่ามีถึง 66% ของผู้เข้าแข่งขันที่เป็นวัยทำงานที่มีประสบการณ์จากหลากหลายสาขาอาชีพ เช่น บุคลากรด้านการแพทย์, วิศวกร, นักวิทยาศาสตร์, นักพัฒนาซอฟต์แวร์, บุคลากรในแวดวงธุรกิจ/การเงิน, ผู้กำกับนโยบายภาครัฐ เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของการแข่งขัน Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ที่ต้องการเปลี่ยนทัศนคติต่อการแข่งขันแฮกกาธอนให้เป็นสนามแข่งขันสำหรับผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่สนใจการสร้างไอเดียให้ไปสู่การปั้นธุรกิจสตาร์ทอัพได้จริง
สำหรับผลการแข่งขันแฮกกาธอน Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ได้ผู้ชนะ 3 ทีมจาก 2 หัวข้อการแข่งขัน ดังนี้
หัวข้อ: โรคเรื้อรัง (Chronic Diseases)
· รางวัลชนะเลิศ ทีม “Unreliable LLM” (สมาชิกทีม: นพ.อรุษ ลีลาทวีวุฒิ, Dr. Jing Liu, ณัฐชยา หงษ์ศรีทอง, ดร.ปุญภัช ศักดิ์สุภาพชน, ณจรีย์ จันทร์เจิดศักดิ์, ชาร์ลี ไพโรจน์มหากิจ) ผลงาน: แพลตฟอร์มเพื่อฟื้นฟูสุขภาพนอกโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
· รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ทีม “Ruj.ai” (สมาชิกทีม: บุญญาภิวัฒน์ สมบูรณ์ทรัพย์, Marcus Lee, Kong Kei-lyn, Kieran Tran, ประภาพร สมวงษ์, Dayang Nurul Asyiqin Mustafa) ผลงาน: ผ้าปิดตาอัจฉริยะที่ผสานการตรวจต้อหินเข้ากับกิจวัตรการนอนหลับของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
· รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม “Now U Can See Cancer” (สมาชิกทีม: ภก.นันทพันธ์ จงปติยัตต์, ณัฐดนย์ อริยธนาพงศ์, ญาดา สิริเพาประดิษฐ์, นนทกร บรรลือศรีเรือง, พญ.วิลาสินี คุปต์นิรัติศัยกุล) ผลงาน: การตรวจหาโปรไฟล์ของเนื้องอกในรูปแบบใหม่ที่ตรวจได้หลายชนิดในครั้งเดียว
หัวข้อ: สุขภาพจิต (Mental Health)
· รางวัลชนะเลิศ ทีม “KoQo” (สมาชิกทีม: วรรณฑิฏา เผือกพูลผล, สุนัย วชิรวราการ, เมธาวี รอดเสม, วัลคุ์รภา เสถบุตร, ธนิศา สัจจเดว์, ภัณฑิลา ทรัพย์สอน) ผลงาน: แอปพลิเคชันที่ใช้ AI ช่วยสนับสนุนผู้ดูแลและครอบครัวให้รับมือกับผู้มีภาวะออทิซึมได้
· รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ทีม “QuitBuddy” (สมาชิกทีม: สิรภพ เสกสรรค์วิริยะ, Sahar Ghaffar, Mahsa Adelifar, นิธิศ สุนทรหงส์, ชาญ ชัยยศลาภ) ผลงาน: ประสบการณ์ใหม่ในการเลิกบุหรี่ไปพร้อมกับคนที่คุณรัก
· รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม “Mind Odyssey” (สมาชิกทีม: ทพญ.ประทานพร ยันตรศรี, ญาณวี ธารธารานุกุล, น.สพ.มิ่งรัฐ เมฆวิชัย, ทพญ.พรทิพย์ วิบูลย์ศิริวงศ์, ศุภฤกษ์ แซ่เติ้น) ผลงาน: สร้างการตระหนักรู้และลดระยะเวลาการวินิจฉัยโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)
ภายในงานยังมีการประกาศรางวัลจากผู้สนับสนุนกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นรางวัล InterSystems Prize และรางวัล PNF Special Prize รวมถึงยังมีรางวัลสำหรับผู้ชนะประเภทบุคคลที่มีความโดดเด่นในการแข่งขัน 3 ท่านที่ได้รับสิทธิ Golden Ticket เข้าร่วมการแข่งขันแฮกกาธอน MIT Grand Hack 2026 ที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ได้แก่ Kieran Tran, Eugene Wang และ ศุภณัฐ เวทสรณสุธี
ความพิเศษของงาน Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ในปีนี้ยังไม่สิ้นสุดเพียงแฮกกาธอน แต่ยังมีการจัดงาน “Beyond Hack Day” ซึ่งได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เพื่อจัด “มาสเตอร์คลาส” แลกเปลี่ยนความรู้ทั้งในด้านการแพทย์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และธุรกิจสตาร์ทอัพ พร้อมจัดช่วงเวลาให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้รับคำแนะนำสำหรับเติบโตในสายอาชีพหรือพัฒนาสตาร์ทอัพของตนเองได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยกิจกรรม Beyond Hack ปีนี้มีผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมให้ความรู้และคำปรึกษามากกว่า 30 ท่านจากองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ บรรษัทขนาดใหญ่ สตาร์ทอัพ นักลงทุน ตลอดจนสถาบันการศึกษา เช่น คุณธนศักดิ์ ฮุ่นตระกูล Program Director (Thailand) จาก MIT Hacking Medicine, Dr. Rebecca Mitchell, Managing Partner จาก Scrub Capital คุณนาเดีย สุทธิกุลพานิช Head of Fuchsia Innovation Center เมืองไทยประกันชีวิต, Evgeny Shvarov, CVC Fund Manager จาก InterSystems, รศ. ดร.วิริยะ เตชะรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT), คุณชาร์ลี ไพโรจมหากิจ, CTO บริษัท CloudNurse เป็นต้น
นอกจากงาน Beyond Hack Day ซึ่งจัดขึ้นทันทีหลังจากงานแฮกกาธอนแล้ว ศ. นพ. ดร.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า โรงพยาบาลศิริราช และ MIT Hacking Medicine ยังเตรียมการจัดกิจกรรมต่อเนื่องทั้งปี 2569 เช่น กิจกรรม Beyond Hack Fireside Chat, Officer Hour, และ Spark AI ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพด้านเฮลธ์แคร์ได้รับการสนับสนุนต่อเนื่องผ่านการอบรม แลกเปลี่ยนความรู้ และการให้คำแนะนำ ด้วยความมุ่งมั่นของทั้งสองสถาบันที่จะร่วมทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อบ่มเพาะสตาร์ทอัพให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม และยินดีร่วมทำงานกับองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อขับเคลื่อนผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมวงการเฮลธ์แคร์อย่างแท้จริง
โครงการ Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ยังปิดท้ายความยิ่งใหญ่ด้วยการจัดงาน “การประชุมวิชาการ” ครั้งสำคัญภายใต้หัวข้อ AI Today, Transforming Tomorrow’s Healthcare ซึ่งเป็นการประชุมวิชาการเพื่อค้นหาความเป็นไปได้และนำเสนอหรือแปลกเปลี่ยนผลลัพธ์ของการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในนวัตกรรมด้านสุขภาพ การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ วิศวกร ผู้ประกอบการ และผู้นำความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ระดับสากลเข้าร่วมบรรยายปาฐกถาและเสวนา เช่น Prof. Eric Grimson, Chancellor for Academic Advancement จาก MIT, Prof. Michael McConnell จาก Stanford University, Prof. Jorge Cardoso จาก King’s College London, คุณผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย, ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เป็นต้น โดยมีผู้บริหารระดับสูงกว่า 250 ท่านในแวดวงการแพทย์ วิศวกรรม และธุรกิจเข้าร่วมรับฟังการบรรยายอย่างคับคั่ง และได้ร่วมกันสร้างเครือข่ายวงการนวัตกรรมสุขภาพที่แข็งแรงซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ที่ปฏิรูปวงการการแพทย์ได้ในอนาคต
บมจ.สยามราชธานี หรือ SO เผยผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2568 ทำรายได้รวม 2,169.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.58% จากปีก่อน กำไรสุทธิอยู่ที่ 179.49 ล้านบาท โตแรง 89.60% จากการขยายฐานลูกค้าและบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพขับเคลื่อนธุรกิจด้วยโมเดล “Intelligent Outsourcing 9.0” ผสาน AI, Automation และ Data Analytics คาดไตรมาส 4/2568 ทรงตัวในระดับดีต่อเนื่อง พร้อมลูกค้าใหม่ทยอยเข้ามา ชี้ปัจจัยต้นทุนเทคโนโลยีลดลง หนุน SO สร้าง “Ecosystem of Intelligence” ยกระดับบริการสู่ความยั่งยืน
กัณธิมา แจ้งวันสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO ประกอบการธุรกิจหลัก 2 รูปแบบเพื่อ Transformation องค์กรของลูกค้า คือธุรกิจบริการเอาท์ซอร์ส (Outsource Service) และธุรกิจบริการด้านเทคโนโลยี (Technology Service) เปิดเผยถึงผลดำเนินการสำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุด 30 กันยายน 2568 รายได้รวมอยู่ที่ 2,169.53 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2567 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,877.13 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 292.40 ล้านบาท หรือ 15.58% ด้านกำไรสุทธิ บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 179.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากงวดเดียวกันปี 2567 ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 94.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.82 ล้านบาท หรือ 89.60%
ซึ่งผลประกอบการที่มีการปรับตัวดีขึ้นจากการเติบโตของธุรกิจบริการเอาท์ซอร์สซิ่งและการขยายฐานลูกค้าองค์กรอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความต้องการใช้บริการเอาท์ซอร์สคุณภาพสูงในภาคธุรกิจไทยและภูมิภาค บริษัทสามารถบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมปรับโครงสร้างภายในให้คล่องตัวมากขึ้น อีกทั้งการต่อยอดบริการด้านเทคโนโลยีผ่านโมเดล “Intelligent Outsourcing 9.0” ซึ่งผสานการใช้ AI, Automation และ Data Analytics ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและคุณค่าของบริการให้กับลูกค้า ส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ และสร้างผลกำไรเติบโตอย่างยั่งยืน
ด้านแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/2568 จะทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายได้หลักจากธุรกิจบริการเอาท์ซอร์สยังคงเติบโตต่อเนื่องตามความต้องการของภาคเอกชนและองค์กรขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันบริษัทได้รับลูกค้าใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ยังไม่มีสัญญาโครงการขนาดใหญ่เหมือนในปีก่อน แต่ฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) ยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าปรับโครงสร้างต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยี RPA และ AI เข้ามาเสริมในกระบวนการปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและรองรับการขยายตัวของลูกค้าโดยไม่เพิ่มภาระต้นทุน ส่งผลให้บริษัทมีแนวโน้มรักษาอัตรากำไรได้อย่างมั่นคงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี.
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมบริการเอาท์ซอร์สและเทคโนโลยีในประเทศไทยและภูมิภาคยังคงมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะด้านราคา แต่แนวโน้มกำลังเปลี่ยนจากการพึ่งพาแรงงานไปสู่การให้บริการเชิงกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล การเข้ามาของ AI และแนวคิด ESG ทำให้ลูกค้าให้ความสำคัญกับพาร์ทเนอร์ที่ปรับตัวได้เร็ว โปร่งใส และสร้างผลลัพธ์จริง ขณะที่ปัจจัยด้านค่าแรงขั้นต่ำและค่าเงินบาทไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนต้นทุนเทคโนโลยีมีแนวโน้มลดลงและมีศักยภาพสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินงานของบริษัท ในการสร้างระบบ Ecosystem of Intelligence ที่ผสานคน เทคโนโลยี และข้อมูลเพื่อยกระดับบริการอย่างยั่งยืน
ดีแคทลอน เผยเทรนด์กิจกรรมกลางแจ้งมาแรงช่วงสิ้นปี 2568 โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่น Gen Z และ Gen Y ที่หันมาใช้ธรรมชาติเป็นพื้นที่พักใจและฟื้นพลังชีวิต
ทั้งนี้ยอดขายในหมวดกิจกรรมและกีฬากลางแจ้งเติบโตสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2567 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะสินค้าประเภทวิ่งมียอดขายเติบโตมากกว่า 20% และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเดินป่า แคมป์ปิ้ง มียอดขายเติบโตมากกว่า 10% สะท้อนพฤติกรรมคนไทยที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและการเชื่อมโยงตนเองเข้ากับธรรมชาติ พร้อมตอกย้ำกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People” ด้วยการเปิดสาขาใหม่ที่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ขยายฐานคนรักกีฬาและสุขภาพสู่โซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก
เทรนด์ใหม่: จากออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ สู่การรวมกลุ่มสร้างประสบการณ์แบบ Sub-culture
จากการเก็บข้อมูล ดีแคทลอนชี้ให้เห็นว่าคนไทยยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y – Gen Z กำลังนิยาม “การดูแลสุขภาพ” ขึ้นใหม่ จากเดิมที่การออกกำลังกายคือการทำให้ร่างกายแข็งแรง มาสู่การให้ความสำคัญกับ “สุขภาพใจ” และ “การใช้เวลาร่วมกับผู้อื่น” มากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าเทรนด์ “เวลเนสยุคใหม่” ไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์ทางร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่คือการเข้าสังคม สร้างประสบการณ์ใหม่ที่ได้ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความสัมพันธ์ผ่านกลุ่มคนที่มีความชอบคล้ายกัน เป็นคอมมูนิตี้ที่มีเอกลักษณ์และวัฒนธรรมย่อย(Sub-culture) ของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของกรมพลศึกษาในปี 2567 ที่พบว่า คนไทยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพิ่มขึ้นจาก 40.4% ในปี 2565 เป็น 44.4% ในปี 2567 อีกทั้งในปัจจุบันยังได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มผู้มีอิทธิพล คนดัง อินฟลูเอ็นเซอร์ ผ่านทางช่องทางโซเชียลมีเดีย ตลอดจนกระแสความนิยมจากกลุ่ม Running Club, คลาสโยคะในสวน ไปจนถึงกลุ่มเดินป่าและตั้งแคมป์ ส่งผลให้ “การออกกำลังกาย และกิจกรรมกลางแจ้ง” ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และกำลังเข้ามาเปลี่ยนกิจกรรมส่วนตัวหรือกลุ่มเล็กๆ สู่กิจกรรมทางสังคม ที่ผู้คนได้มาเชื่อมต่อ สร้างแรงบันดาลใจ และเติมเต็มชีวิตร่วมกัน
![]()
มร.ดีเรน เชตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแคทลอน ประเทศไทย กล่าวว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นเทรนด์การรักสุขภาพ การออกกำลังกาย และการรวมตัวกันของคอมมูนิตี้ที่มีความสนใจคล้ายกันเกิดขึ้นมากมายในประเทศไทย ยอดการเติบโตของสินค้าหมวดกิจกรรมและกีฬากลางแจ้งของดีแคทลอน สะท้อนให้เห็นชัดถึงความเชื่อมโยมของคนไทยกับธรรมชาติในสถานที่ต่างๆ รวมถึงการใส่ใจในการดูแลตัวเองของคนในยุคปัจจุบัน ดีแคทลอนพร้อมเป็นหนึ่งในคัลเจอร์ใหม่ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ด้านกีฬาและกิจกรรมกลางแจ้งให้เป็นเรื่องที่เข้าถึงง่าย ด้วยอุปกรณ์คุณภาพ ราคาคุ้มค่า และคำแนะนำที่เป็นมิตรจากทีมเมทในสโตร์ของเรา”
Decathlon ปักหมุดบางกะปิ สร้าง “Urban Active Zone” ใจกลางเมือง
เพื่อสานต่อกระแสรักสุขภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ดีแคทลอนเดินหน้ากลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People” เปิดตัวสาขาที่ 28 ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ซึ่งเป็นย่านศักยภาพของกรุงเทพฯตะวันออก รายล้อมด้วยชุมชน มหาวิทยาลัย และสนามราชมังคลากีฬาสถาน ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่แบรนด์ตั้งใจปักธงให้กลายเป็น Urban Active Zone แห่งใหม่ของคนเมือง สาขาใหม่นี้ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Semi-experience Store” ที่ให้ลูกค้าได้ทดลอง เคลื่อนไหว และสัมผัสกีฬาได้จริง ภายใต้พื้นที่กว่า 1,500 ตร.ม. ผ่านการจัดวางสินค้าตามหมวดหมู่กีฬาอย่างครบครัน ทั้งวิ่ง ปั่นจักรยาน ฟิตเนส โยคะ แคมป์ปิ้ง เดินป่า อุปกรณ์กีฬาสำหรับเด็ก เช่น อินไลน์สเก็ต หรืออุปกรณ์สร้างทักษะทางร่างกายสำหรับเด็กตามอายุต่างๆ ไปจนถึงอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมในฤดูหนาว การออกแบบเน้นบรรยากาศโปร่ง โล่ง สบาย และเข้าถึงง่าย พร้อมพื้นที่สำหรับทดลองใช้อุปกรณ์จริง เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการออกกำลังกายในบรรยากาศสนุกและเป็นกันเอง นอกจากนี้ ดีแคทลอนยังร่วมมือกับเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ และกลุ่มคนออกกำลังกายในพื้นที่ วางแผนจัดกิจกรรมกีฬาตลอดทั้งปี อาทิ Running Club ที่สอนเทคนิคการวิ่งและรวมกลุ่มออกวิ่ง หรือแคมป์ปิ้งเวิร์ค ช็อป เพื่อสร้างพลังให้ย่านบางกะปิกลายเป็น “Active Lifestyle Community” ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและพลังบวก
มร.ดีเรน เชตติ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามองว่ากีฬาไม่ใช่เพียงอุปกรณ์หรือสถานที่ แต่คือเครื่องมือในการสร้างแรงบันดาลใจ ความสัมพันธ์ และความสุขในชีวิตประจำวัน การเปิดดีแคทลอน สาขาเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ จึงเป็นก้าวสำคัญในการนำพลังของกีฬาเข้าใกล้ชีวิตผู้คน และทำให้ทุกคนรู้สึกว่ากีฬาเป็นเรื่องเข้าใจง่ายและเข้าถึงได้จริง”
Bring Sport Closer to People ที่ดีแคทลอน กีฬาเล่นได้ทุกวัน
ปลายปีนี้ การพักผ่อนของคนไทยอาจไม่ได้หมายถึงการพักผ่อนอยู่บ้านอีกต่อไป แต่คือการออกเดินทางเพื่อไปใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า ตั้งแคมป์ ปั่นจักรยาน หรือโยคะกลางแจ้ง กิจกรรมเหล่านี้กลายเป็น “รูปแบบใหม่ของการออกกำลังกายและการเชื่อมโยงตัวตนเข้ากับสังคมในรูปแบบใหม่” ที่ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงความฟิตของร่างกาย แต่เป็นการเติมเต็มสุขภาพใจ หรือการฮีลใจ และสร้างสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สิ่งของ สถานที่ หรือธรรมชาติ ชมข้อมูลสินค้า อุปกรณ์กีฬา และอุปกรณ์กิจกรรมกลางแจ้งจาก ดีแคทลอน เพิ่มเติมได้ที่ ดีแคทลอนสโตร์ทุกสาขา หรือค้นหาดีแคทลอนสาขาใกล้คุณที่ https://www.decathlon.co.th/
สำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย (KOTRA) เผยยุทธศาสตร์อาหารเกาหลี (K-Food) สู่วัฒนธรรมอาหารกระแสหลักของโลก ผสานจุดแข็งรสชาติ สุขภาพ และวัฒนธรรม ผ่านความนิยม K-Culture, K-POP และ K-Drama
ล่าสุดเตรียมจัดงาน SEOUL FOOD in Bangkok 2025 ระหว่างวันที่ 26–28 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คาดมูลค่าการค้าและการเจรจาธุรกิจในงานสูงกว่า 250 ล้านดอลลาร์ พร้อมดันไทยเป็นศูนย์กลาง K-Food อาเซียน
นาย ยงซอง คิม ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย (Korea Trade-Investment Promotion Agency : KOTRA Bangkok (โคทรา กรุงเทพฯ)) ซึ่งเป็นองค์กรรัฐภายใต้กระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงาน ของประเทศเกาหลีใต้ กล่าวถึง การส่งเสริมอาหารเกาหลีให้เป็นวัฒนธรรมกระแสหลักของโลกว่า วันนี้อาหารเกาหลีกำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมาจากการผสานจุดแข็งด้านรสชาติ สุขภาพ และวัฒนธรรม ผนวกเอกลักษณ์ภูมิปัญญาดั้งเดิม นำเสนอใหม่ให้เป็นที่สนใจของผู้บริโภค เช่น การนำอาหารหมักและเทคนิคการหมักแบบดั้งเดิมที่ทำให้เกิด โพรไบโอติกส์ (probiotics) มานำเสนอในรูปแบบอาหารสุขภาพ สื่อสารไปยังผู้บริโภคโดยผ่าน K-Culture, K-POP และ K-Drama ทำให้เกิดการรับรู้และความนิยมในวงกว้าง ซึ่งจุดแข็งของ K-Food นอกจากอาหารหมักดั้งเดิมอย่างกิมจิและซอสต่างๆ แล้ว ยังรวมถึงอาหารพร้อมรับประทาน ขนม-ของหวาน อาหาร-เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ส่วนการพัฒนาอาหารเกาหลีต่อไปนั้น มีเป้าหมายในการเป็นสัญลักษณ์ของอาหารคุณภาพ สุขภาพ และมีความคิดสร้างสรรค์ โดยเน้นไปที่กลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพและความงาม (Functional Wellness Foods & Beauty Supplements) เช่น เยลลี่คอลลาเจน เครื่องดื่มสมุนไพรหมัก โทนิคโสมและเครื่องดื่มโปรตีน อาหารสะดวกพร้อมรับประทาน (Smart Convenience Meals) เช่น เกี๊ยวเกาหลีพรีเมียม (Korean Premium Dumpling) ผัดวุ้นเส้นเกาหลีแช่แข็ง (Korean Frozen Japchae) ข้าวถ้วยสำเร็จรูปและข้าวผัดหอยเป๋าฮื้อ ที่ใช้เทคโนโลยีรีทอร์ตและโซ่ความเย็นขั้นสูง อาหารพืชและบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน (Plant-Based & Sustainable K-Food) เช่น เกี๊ยวเกาหลีวีแกน (Korean Vegan Dumpling) กาแฟหมักจากสโคบี้ และ อาหารเกาหลีดั้งเดิมในรูปแบบทันสมัย (Modernized Korean Traditions) เช่น ต๊อกบกกี น้ำมันงาและน้ำเชื่อมขิงแบบร่วมสมัย
ด้านข้อมูลการบริโภคอาหารเกาหลีในประเทศไทยนั้น กลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน กลุ่มครอบครัวในเมืองใหญ่ มีมุมมองต่ออาหารเกาหลีว่าทันสมัย ช่วยให้สุขภาพดี อยู่ในกระแสนิยม ส่วนข้อมูลจากองค์กรส่งเสริมการค้าและพัฒนาอุตสาหกรรมสินค้าเกษตร ประมงและอาหาร ประเทศเกาหลีใต้, KOTRA กรุงเทพฯ และสมาคมการค้าระหว่างประเทศของเกาหลีเผยว่า สินค้าอาหารที่เติบโตสูงสุด 5 อันดับ ในไทยและอาเซียน ได้แก่ 1.บะหมี่และอาหารพร้อมรับประทาน 2.ซอสและเครื่องปรุง เช่น โคชูจัง และซอสต๊อกบกกี 3.เครื่องดื่มสุขภาพ เช่น คอลลาเจน โสม และโปรไบโอติก 4.ขนมและของหวานเกาหลี 5.อาหารหมัก เช่น กิมจิ ส่วนร้านอาหารเกาหลีก็ได้รับการต้อนรับที่ดีจากกระแส K-Culture ด้วยเช่นกัน ทำให้แบรนด์ ร้านอาหารเกาหลีเริ่มขยายสาขาสู่ประเทศไทย อาทิ BHC Chicken หรือ Solsot และร้านอาหารไทยก็มีการเพิ่มเมนูอาหารเกาหลีเพื่อดึงดูดลูกค้า
![]()
สำหรับการส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีและไทยถือว่าเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ประเทศไทยยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโลจิสติกส์และเป็นผู้นำในการบริโภคที่มีอิทธิพลต่อภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น KOTRA มีเตรียมจัดงาน SEOUL FOOD in Bangkok 2025 ขึ้น ระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งงาน SEOUL FOOD เป็น 1 ใน 4 งานแสดงสินค้าอาหารสำหรับมืออาชีพที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย และไทยเป็นประเทศแรกที่ได้รับเลือกให้จัดงานนี้ขึ้นในต่างประเทศ โดยผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับ การจัดแสดงสินค้าที่มีการนำเสนอ ทั้งนวัตกรรมเทคโนโลยีอาหารที่ผสานแนวคิดด้านสุขภาพและความยั่งยืน การเปิดประสบการณ์ในวัฒนธรรมเกาหลีที่แท้จริง ชิมอาหารเกาหลีที่หลากหลาย พร้อมชมการสาธิตการทำอาหารจากเชฟที่ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมเกาหลี ภายใต้แนวคิด “K-Food นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต : ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพที่ดีและความยั่งยืนของโลก” (K-Food Innovation: Smart, Healthy & Sustainable)
ภายในงานฯ ประกอบด้วย 3 โซนหลัก ได้แก่
Trade & Business Zone โซนจัดแสดง ชม ชิม ทดลอง รวมทั้งเจรจาและจับคู่ธุรกิจ (Buyer Matching) กับผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารจากเกาหลี อาทิ ขนมขบเคี้ยว ซอส เครื่องดื่ม อาหารเพื่อสุขภาพและอาหารแช่แข็ง ฯลฯ ที่เข้าร่วมงานฯ กว่า 150 แบรนด์ พร้อมสินค้า อุปกรณ์ และวัตถุดิบร่วมจัดแสดงกว่า 1,400 รายการ รวมถึงการจัดแสดงจาก 6 พาวิเลียน ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติของเกาหลี (Korea National Food Cluster (Foodpolis)), สถาบันอุตสาหกรรมอาหารชีวภาพ ช็อนบุก (Jeonbuk State Institute for Food-Bioindustry), คังวอน พาวิลเลียน, เมืองยังจู จังหวัดคยองกี พาวิลเลียน, จอนนัม พาวิลเลีย และ เซจู พาวิลเลีย
Cultural & Culinary Showcase โซนการสาธิตการทำอาหาร ขนมและเปิดประสบกาณณ์การผสมผสาน K-Food และ K-Culture เพื่อสะท้อนความสร้างสรรค์ของอาหารเกาหลีสมัยใหม่ โดยมีกิจกรรมและการจัดแสดงที่น่าสนใจ อาทิ Seoul Food Awards Showcase: โซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่คว้ารางวัล 4 ประเภท ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและอาหารออร์แกนิก ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีหรือกระบวนการผลิต อาหารและของหวานระดับพรีเมียมดีไซน์โดดเด่น และ เครื่องจักร บรรจุภัณฑ์ และเทคโนโลยีการผลิตอาหารแห่งอนาคต, การสาธิตการทำอาหารและชิมอาหารโดยเชฟจากเกาหลี และ กิจกรรมถ่ายภาพในงาน พร้อมชิมและลิ้มรสบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกาหลี หรือ รามยอน ฟรี ฯลฯ
Business Support & Consultation Services โซนให้คำปรึกษาด้านพิธีการศุลกากร การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับองค์การอาหารและยา (อย.) และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งคาดว่ามูลค่าการค้าและการเจรจาธุรกิจที่เกิดขึ้นในงานฯ จะมากกว่า 250 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 8,196 ล้านบาท ดังนั้นงาน SEOUL FOOD in Bangkok 2025 นอกจากจะเป็นงานแสดงสินค้าที่สำคัญแล้ว ยังเป็นกลไกในการวางรากฐานความร่วมมือระยะยาวด้านอาหารและเครื่องดื่มระหว่างเกาหลี–ไทย เพื่อสร้าง “ระบบนิเวศ K-Food” ที่มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขยายสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการเข้าสู่ตลาด การส่งเสริมความร่วมมือด้านนวัตกรรม การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี การสร้างแบรนด์ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การสร้างการเติบโตร่วมกันของทั้งวัฒนธรรมอาหารเกาหลี อาหารของไทยและอาเซียนอีกด้วย

งาน SEOUL FOOD in Bangkok 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ที่ www.seoulfood-bangkok.com
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน ปี 2568 โดยธนาคารและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิ 5,299 ล้านบาท
ในไตรมาส 3 ทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวม 9 เดือน ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 15,399 ล้านบาท ลดลง 4% ยังคงเน้นย้ำการบริหารจัดการด้านต้นทุนเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร ด้านคุณภาพสินทรัพย์มีเสถียรภาพ อัตราส่วนหนี้เสียอยู่ที่ 2.81% ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ ธนาคารยังคงตั้งสำรองฯ พิเศษเพิ่มเติมจากระดับปกติ เพื่อคงอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพในระดับสูงที่ 151% สอดคล้องกับพันธกิจต่อผู้ถือหุ้นในการรักษามูลค่าของผู้ถือหุ้นจากความเสี่ยงในอนาคต ด้านพันธกิจช่วยเหลือลูกค้ายังคงเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าแก้หนี้ผ่านหลากหลายโครงการ ครอบคลุมทั้งกลุ่มเปราะบางและลูกค้าประวัติดี
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานและแนวโน้มกำไรในไตรมาส 3 และรอบ 9 เดือน ปี 2568 ในภาพรวมถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดัน ด้านรายได้จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายขาลง รวมทั้งการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้า โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน รวมทั้งการจัดการต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าธนาคารสามารถรักษาแนวโน้มของผลการดำเนินงานควบคู่กับการมีกันชนป้องกันความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ จากกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพ การแก้หนี้เชิงรุก และการช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการต่าง ๆ รวมทั้งโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อมีคุณภาพดีขึ้น ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางสามารถกลับมาชำระหนี้ได้และตกเป็นหนี้เสียน้อยลงเป็นผลให้หนี้เสียมีแนวโน้มทรงตัว โดยอยู่ที่ระดับ 39,000 ล้านบาท ในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่อัตราส่วนหนี้เสียอยู่ต่ำกว่า 2.9% มาโดยตลอดเป็นไปกรอบตามเป้าหมาย
จากปัจจัยพื้นฐานด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ จากการดำเนินงานปกติ (Normal Provision) จึงมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ดีเมื่อคำนึงถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทีทีบีจึงพิจารณาตั้งสำรองฯพิเศษหรือ Management Overlay เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ โดยรวมยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภาวะปกติ สะท้อนได้จากต้นทุนความเสี่ยง (Credit Cost) รอบ 9 เดือน ปี 2568 อยู่ที่ 142 bps เทียบกับก่วิกฤตโควิด-19 ที่ 125 bps ในปี 2562 โดยผลจากการตั้งสำรองฯ ในระดับสูงหนุนให้อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Coverage Ratio อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 151%
การดำเนินการดังกล่าวตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและความมุ่งมั่นของทีทีบีในการปกป้องมูลค่าของผู้ถือหุ้นจากความเสี่ยงเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขณะที่การบริหารการใช้เงินทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาวยังคงเป็นได้ตามแผนที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง โครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี ในช่วงปี 2568-2570 และการสร้างการเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) ซึ่งรวมถึงแผนการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท TLeasing เพื่อเพิ่มศักยภาพด้าน Car และ Salaryman Ecosystem ของธนาคาร
สำหรับพันธกิจต่อลูกค้า เรายังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านหลากหลายโครงการ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มเปราะบางและลูกค้าที่มีประวัติดี โดยในส่วนของโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ณ สิ้นไตรมาส 3 มีลูกค้าสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อ SMEs เข้าร่วมโครงการทั้งเฟส 1 และเฟส 2 แล้วกว่า 71,000 ราย หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อราว 40,000 ล้านบาท
ด้านโครงการ “รวบหนี้” ซึ่งเป็นโครงการที่ธนาคารดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และมีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการกว่า 62,450 ราย เพิ่มขึ้นจาก 37,470 ราย ในปีที่แล้ว และสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้กว่า 2,700 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “ผ่อนดี มีรางวัล” สำหรับกลุ่มลูกค้าสินเชื่อมีวินัยทางการเงินและมีประวัติการผ่อนชำระอย่างสม่ำเสมอ ครอบคลุมทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และสินเชื่อบุคคล
ทั้งนี้ ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังคงเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง ทีทีบีจึงยังคงเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบต่อไป ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงองค์กร (Transformation) เพื่อสร้างแหล่งรายได้ในรูปแบบใหม่ ๆ ปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวในการเป็น Humanized Digital Banking ในประการสำคัญ ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการแก้หนี้ต่าง ๆ และสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น
รายละเอียดผลการดำเนินงานรายการหลัก ๆ ในไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน ปี 2568 มีดังนี้
สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 1,198 พันล้านบาท ชะลอลง 0.7% จากไตรมาส 2 ปี 2568 (QoQ) และ 3.5% จากสิ้นปี 2567 (YTD) เป็นผลจากกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจถึงคุณภาพพอร์ตสินเชื่อ ทั้งนี้ สินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง นำโดยสินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อเล่มแลกเงิน และบัตรเครดิต หนุนโดยกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพภายใต้ Ecosystem ของธนาคาร ได้แก่ กลุ่มคนมีบ้าน คนมีรถ พนักงานเงินเดือน และลูกค้า Wealth
ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,270 พันล้านบาท ลดลง 1.5% QoQ และ 4.4% YTD สอดคล้องกับทิศทางสินเชื่อและแผนบริหารสภาพคล่อง ทั้งนี้ การลดลงส่วนใหญ่มาจากกลุ่มเงินฝากประจำระยะยาวที่ครบกำหนด ขณะที่เงินฝากกลุ่มบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศและเงินฝากไม่ประจำ ttb no fixed ยังคงขยายตัวได้ดีหนุนโดยกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าWealth ส่งผลให้ด้านอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) ซึ่งสะท้อนสถานะสภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 94% ยังคงสร้างความยืดหยุ่นในการบริหารต้นทุนทางการเงินในระยะถัดไป
ในด้านรายได้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 3 ปี 2568 เพิ่มขึ้น 7.4% QoQ หนุนโดยรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ และการขายกองทุนรวม นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมจากบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต ในฐานะบริษัทย่อย อย่างไรก็ดีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2.6% QoQ ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานรวมในไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 16,313 ล้านบาท ชะลอลง 0.4% QoQ ภาพรวม 9 เดือน รายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 49,248 ล้านบาท ลดลง 5.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,403 ล้านบาท ในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 1.8% QoQ รวมเป็น 21,771 ล้านบาท สำหรับรอบ 9 เดือน ปี 2568 ซึ่งลดลง 0.8% YoY ด้านอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้รอบ 9 เดือน อยู่ที่ 44% ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย สะท้อนผลจากการเน้นย้ำการมีวินัยด้านค่าใช้จ่ายและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
ด้านค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ มีจำนวน 3,980 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ลดลง 7.3% QoQ รวม 9 เดือน ปี 2568 ตั้งสำรองฯ ไปแล้วทั้งสิ้น 12,854 ล้านบาท แม้ลดลง 15.2% จากปีก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจปกติ หลังจากหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2568 ที่ 5,299 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ 9 เดือน ปี 2568 อยู่ที่ 15,399 ล้านบาท ลดลง 4.0%
ท้ายสุดด้านฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดยอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 19.9% และ 17.9% ตามลำดับ ยังคงสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1
TrueID เขย่าวงการเกมเมอร์ไทยอีกครั้ง หลังเปิด Close Beta Test สุดยอดคลังเกมสุดฮิต TrueID Game Hub มีผู้เข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์เกมกว่า 15 ล้านครั้ง ทั้งผ่านช่องทางออนไลน์ และจากคอเกมที่เข้าร่วมทดลองเล่นในบูท “True dtac 5G x TrueID Game Hub ตลอด 3 วันในงาน gamescom asia x Thailand Game Show 2025 เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ชูจุดเด่นศูนย์รวมเกมพรีเมียมยอดนิยมจากทั่วโลกกว่าพันเกม ที่ให้เพลิดเพลินกับประสบการณ์การเล่นเกมอย่างต่อเนื่องได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือกล่อง TrueID TV Box สะท้อนศักยภาพในการเชื่อมโยงชุมชนเกมเมอร์ และบทบาทของ TrueID ในฐานะ “Next World-Class Smart Entertainment Platform” ที่เปิดประตูสู่โลกเกมสำหรับคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง จองสิทธิ์ Open Beta ก่อนใครได้แล้ววันนี้ที่ https://game.trueid.net/
![]()
โดยบรรยากาศในงาน ผู้เข้าร่วมงานต่างได้รับประสบการณ์จริงของ TrueID Game Hub ที่ขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพของ เครือข่ายทรู ดีแทค 5G และทรูออนไลน์พร้อมด้วยคุณสมบัติ Speed Booster ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วและเสถียรภาพในการเชื่อมต่อสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ นอกจากนี้ กิจกรรมบนเวที อาทิ การแข่งขัน Overcooked!, Fan Challenge Roblox และ FIFA Rivals ที่มีเหล่า KOL สายเกม ชื่อดังเข้าร่วม ยังเป็นที่สนใจและสร้างความประทับใจแก่ผู้ชมจำนวนมาก
![]()
นายวินท์รดิศ กลศาสตร์เสนี ประธานฝ่ายดิจิทัลมีเดีย บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด “ตลาดเกมในประเทศไทยในปี 2024 มีมูลค่าประมาณ 55,200 ล้านบาท และมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึงกว่า113,077 ล้านบาท ในปี 2033 โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 8.28% ต่อปี โดยมูลค่าตลาด cloud gaming ไทย ปี 2025 ประมาณ 45,625 ล้านบาท คาดเติบโตไปถึง 286,525 ล้านบาท ในปี 2031 ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็ว และโอกาสมหาศาลของตลาดคลาวด์เกมมิ่งในประเทศไทยในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า โดย TrueID ในฐานะ Next World-Class Smart Entertainment Platform จึงได้พัฒนา TrueID Game Hub ให้เป็นศูนย์รวมเกมระดับพรีเมียม ด้วยจุดเด่นให้เกมเมอร์ เข้าถึงการเล่นที่ 'ต่อเนื่องไร้การสะดุด' (Seamless Experience) บนทุกอุปกรณ์ ทั้งสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือกล่อง TrueID TV Box ด้วยคลังคอนเทนต์เกมระดับพรีเมียมกว่า 1,000 รายการ พร้อมกันนี้ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งระดับโลกอย่าง Radian Arc และ Mythical Games รวมถึงพันธมิตรในไทยอย่าง CP Gaming เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มเกมมิ่งที่แข็งแกร่ง และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นไทยได้สัมผัสประสบการณ์ Cloud Gaming ที่ดีที่สุด ล่าสุดประสบสำเร็จอย่างล้นหลามในรอบ Close Beta Test ที่งาน gamescom asia x Thailand โดยตลอด 3 วัน ได้รับกระแสตอบรับทั้งจากผู้เข้าร่วมในพื้นที่ และผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมียอดการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมรวมกว่า 15 ล้านครั้ง และมุ่งสู่การเป็น "One Platform for All Gamers" อย่างเต็มรูปแบบ โดยได้เปิดให้ลงทะเบียน Open Beta เพื่อมอบประสบการณ์ Cloud Gaming ระดับเหนือชั้นแก่ผู้เล่นชาวไทยแล้ววันนี้”
TrueID Game Hub พร้อมแล้วที่จะเป็น หมุดหมายสำคัญแห่งใหม่ ของคนรักเกม และมุ่งมั่นที่จะขยายการเข้าถึงประสบการณ์เกมมิ่งไปสู่ผู้เล่นทั่วประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมเปิดลงทะเบียนรอบพิเศษ Open Beta ให้เหล่าเกมเมอร์มาเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองใช้งานก่อนใคร ได้แล้ววันนี้ที่: https://game.trueid.net/
เมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา Meta ได้เปิดตัวบัญชีสำหรับเยาวชน (Teen Accounts) ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยของผู้ใช้วัยรุ่นบนทุกแอปฯ ของ Meta ปัจจุบันบริษัทได้ปรับบัญชีของผู้ใช้วัยรุ่นหลายร้อยล้านคนทั่วโลกให้เป็นบัญชีสำหรับเยาวชน ครอบคลุมทั้ง Instagram, Facebook และ Messenger นอกจากบัญชีสำหรับเยาวชนจะใช้ได้ทั่วโลกบน Instagram แล้ว วันนี้ Meta ยังประกาศขยายการใช้งานบัญชีสำหรับเยาวชนสู่ Facebook และ Messenger ในประเทศไทย ภายในงาน Screen Smart Thailand อีกด้วย
บัญชีสำหรับเยาวชนมาพร้อมระบบตั้งค่าความปลอดภัยในตัว ที่จำกัดผู้ที่สามารถติดต่อกับวัยรุ่นและควบคุมเนื้อหาที่พวกเขาเห็น พร้อมช่วยให้การใช้เวลาของเยาวชนเกิดประโยชน์ Meta จัดให้ผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปีใช้บัญชีสำหรับเยาวชนโดยอัตโนมัติ และสำหรับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี การปรับการตั้งค่าบัญชีให้ผ่อนปรนความเข้มงวดลงจำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองเท่านั้น
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดตัวบัญชีเยาวชนบน Instagram เมื่อปีที่ผ่านมา กว่า 97% ของบัญชีวัยรุ่นอายุ 13–15 ปียังคงใช้การตั้งค่าเริ่มต้นนี้ และผู้ปกครองที่ตอบแบบสำรวจเกือบทั้งหมด (94%) ระบุว่าบัญชีสำหรับเยาวชนนั้นมีประโยชน์ต่อการดูแลบุตรหลานในประเทศไทย Meta ได้เริ่มทยอยนำผู้ใช้เยาวชนที่เพิ่งเริ่มใช้งานแอป รวมถึงผู้ที่ใช้งาน Facebook และ Messenger อยู่แล้ว เข้าสู่โหมดการใช้บัญชีสำหรับเยาวชน แม้ยังคงมีฟีเจอร์ที่ยังต้องพัฒนาต่อไป Meta ก็ยังพบว่าบัญชีสำหรับเยาวชนได้ช่วยสร้างความอุ่นใจให้ผู้ปกครองมากขึ้นเกี่ยวกับประสบการณ์ออนไลน์ของบุตรหลาน
![]()
คุณมาลีนา เอนลุนด์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายความปลอดภัย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Meta กล่าวว่า: “เยาวชนหลายร้อยล้านคนทั่วโลกได้ใช้งานฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยของ Meta แล้ว และในวันนี้เรายินดีที่จะประกาศการขยายการใช้งานบัญชีสำหรับเยาวชนไปยัง Facebook และ Messenger ในประเทศไทย เราตระหนักดีว่าผู้ปกครองต้องการความมั่นใจต่อการใช้เวลาออนไลน์ของบุตรหลาน และบัญชีสำหรับเยาวชนจาก Meta ได้พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นด้วยมาตรการป้องกันที่เหมาะสม เราพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนผู้ปกครองและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้งานแอปของเราอย่างปลอดภัย”
การอัปเดตบัญชีสำหรับเยาวชนด้วยการจัดเรตติ้ง PG- 13
นอกจากการขยายการใช้งานบัญชีสำหรับเยาวชนไปยัง Facebook และ Messenger แล้ว ล่าสุด Meta ยังประกาศว่า Instagram กำลังปรับรูปแบบบัญชีสำหรับเยาวชนให้สอดคล้องกับมาตรฐานเรตภาพยนตร์ PG-13 ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้วัยรุ่นจะเห็นเนื้อหาที่อยู่ในระดับเดียวกับที่จะพบในภาพยนตร์เรต PG-13
ผู้ใช้วัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปีจะถูกจัดให้อยู่ในการตั้งค่าแบบ 13+ ฉบับอัปเดตโดยอัตโนมัติ และจะไม่สามารถออกจากการตั้งค่านี้ได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง นอกจากนี้ Meta ยังได้เพิ่มการตั้งค่าแบบเข้มงวดมากขึ้นสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรหลานมีประสบการณ์ออนไลน์ที่จำกัด เพื่อให้ตรงกับความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละครอบครัว
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเริ่มทยอยเปิดใช้งานบัญชีวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลียก่อนภายในสิ้นปีนี้ และในอนาคต Meta มีแผนที่จะขยายฟีเจอร์เหล่านี้ไปทั่วโลก รวมถึงการเพิ่มมาตรการป้องกันใหม่ให้กับผู้ใช้วัยรุ่นที่ระบุว่าตนเป็นผู้ใหญ่ และใน Facebook จะมีการเพิ่มการป้องกันเนื้อหาที่เหมาะสมตามวัยให้กับผู้ใช้วัยรุ่นเพิ่มเติม
![]()
Smart Screen Thailand
Meta ยังเผยโครงการ Smart Screen Thailand ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจระดับโลกของ Meta ในการสนับสนุนผู้ปกครองให้สามารถพูดคุยกับครอบครัวเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือกำกับดูแลสำหรับผู้ปกครองของ Meta ซึ่งรวมถึงบัญชีสำหรับเยาวชน
ผู้ที่ร่วมเสวนาในงานครั้งนี้ ได้แก่ นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกกรุงเทพมหานคร นางสาวจันทกานต์ ทองโกมุท คณะทำงานสำนักเลขาธิการ กลุ่มกฎหมายและรับเรื่องร้องเรียน สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย และ อิลยา สมิร์นอฝฝ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิสายเด็ก โดยงานนี้เปิดเวทีให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง ตอบคำถามที่พบบ่อยจากผู้ปกครองเกี่ยวกับการใช้เวลาบนหน้าจอและการใช้อุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ พร้อมมอบเครื่องมือที่ช่วยให้ครอบครัวสามารถรับมือกับโลกดิจิทัลของวัยรุ่นได้อย่างมั่นใจ
![]()
นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ในยุคดิจิทัลนี้ การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดและมีความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเยาวชนและครอบครัวทุกคน กรุงเทพมหานครพร้อมสนับสนุนการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์บนโลกออนไลน์ ทางหน่วยงานได้มีการประสานกับชุมชน และเครือข่ายโรงเรียนเพื่อส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย การรู้เท่าทันสื่อ และการสร้างทักษะดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับเด็กและเยาวชน ผมขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันในวันนี้ และหวังว่าความร่วมมือนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์สำหรับทุกคน”
![]()
อิลยา สมิร์นอฝฝ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิสายเด็ก 1387 กล่าวว่า “ความปลอดภัยออนไลน์ก็ไม่ต่างจากความปลอดภัยในด้านอื่น ๆ คือต้องเริ่มต้นจากการตระหนักรู้ของผู้ปกครอง โรงเรียน แพลตฟอร์ม และทุกคนในสังคม การปกป้องเด็กไม่ใช่เพียงการลดความเสี่ยงเท่านั้น แต่คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีคนรับฟังพวกเขาอย่างเข้าใจ และปลอดภัยอย่างแท้จริง”
![]()
นางสาวจันทกานต์ ทองโกมุท คณะทำงานสำนักเลขาธิการ กลุ่มกฎหมายและรับเรื่องร้องเรียน สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “โซเชียลไม่ควรเป็นสนามรบของความเห็นต่างระหว่าง
เยาวชนและผู้ใหญ่ หลายครั้งเรามักจะเห็นการปะทะความคิดเห็นระหว่างคนต่างวัย แต่จริง ๆ แล้ว เราควรใช้พื้นที่ออนไลน์ให้เป็นสะพานเชื่อม เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างสร้างสรรค์ระหว่างคนต่างวัย”