

SCB CIOประเมินความไม่แน่นอนของการเมืองไทยในการจัดรัฐบาลใหม่ เป็นความเสี่ยงระยะสั้น มองเป็นโอกาสลงทุนระยะยาว แนะสะสมกองทุนRMF-SSF หุ้นไทยกลุ่มท่องเที่ยว บริโภคอุปโภค และโรงพยาบาล ส่วนการจัดการเพดานหนี้สหรัฐฯ มีแนวโน้มเจรจายืดเยื้อเนื่องจากคะแนนเสียงของสองพรรคใหญ่ค่อนข้างใกล้เคียงกันและคุมเสียงพรรคละสภา (narrow majorities and divided government) ชี้หุ้นสหรัฐฯ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน น่าสนใจ รอรองรับปันผล มีความผันผวนน้อย และกลุ่มเทคฯ ยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ส่วนหุ้นญี่ปุ่นแนะทยอยขาย หลังปรับขึ้นกว่า 14% จากอานิสงค์เงินเยนอ่อนค่า และการเปิดเมือง คาด ECB ขึ้นดอกเบี้ยอีก 2ครั้งๆละ 0.25% พร้อมคงดอกเบี้ยที่ 3.75%ถึงปลายปี 2566
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมือง 2 ประเด็นที่นักลงทุนต้องจับตา ได้แก่ การจัดตั้งรัฐบาลของไทย และการจัดการเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงระยะสั้นต่อตลาด แต่มาพร้อมโอกาสการลงทุนระยะยาว
สำหรับประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลของไทย ยังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจใช้เวลานานกว่าปกติ ด้วยเงื่อนไขการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ต้องมีเสียงสนับสนุน 376 เสียงขึ้นไป จากสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ซึ่งกรอบกฎหมายกำหนดให้ต้องมีการประชุมสภาครั้งแรก ภายในวันที่ 28 ก.ค. นี้ อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาลใหม่เกิดขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ ไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ( YoY ) เติบโตได้ 2.7% (โดยฟื้นจากไตรมาส 4 /2565 ที่เติบโตได้ 1.4%) และหากพิจารณาการเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (หลังหักผลของฤดูกาลแล้ว) เศรษฐกิจไทยไตรมาส1กลับมาขยายตัวได้ 1.9% (เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 / 2565 ที่หดตัว -1.1%) โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยว ทำให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคลดลงอย่างมาก
ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่จะออกมา ยังมีรายละเอียดไม่มากนัก ซึ่งอาจมีผลต่อเศรษฐกิจน้อยกว่ามาตรการกระตุ้นครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากภาครัฐมีหนี้สาธารณะต่อGDPที่สูงอยู่แล้ว (smaller fiscal space) รวมถึงหนี้ภาคครัวเรือนที่สูง ถึง 87% ของ GDP ซึ่งน่าจะเป็นข้อจำกัดทำให้ภาคการเงินยังมีความระมัดระวังในการปล่อยกู้อีกด้วย
SCB CIO มองว่า ตลาดหุ้นไทย หลุดพ้นภาวะ earning recession หรือภาวะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส ได้เรียบร้อยแล้ว โดยเชื่อว่า ดัชนีในระดับปัจจุบันรับรู้ความเสี่ยงจากประเด็นการเมืองไปบ้างแล้ว จึงเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อลดหย่อนภาษี ประเภท กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) รวมทั้งแนะนำให้สะสมหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว บริโภคอุปโภค และโรงพยาบาล เนื่องจากผลประกอบการ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ แนวโน้มราคาต่อ
กำไรต่อหุ้น forward P/E ratio ของหุ้นไทย ลดลง (derate) จากระดับ 15.4 เท่า ก่อนการเลือกตั้งลงมาที่ 15.0 เท่า (มีค่าความผันผวน -0.5 sd)
สำหรับประเด็นปัญหาเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลกได้ โดยคาดว่า ปัญหานี้จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ earning recession ไปแล้ว เมื่อมีปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองนี้เข้ามา ก็อาจทำให้ตลาดผันผวนได้
ทั้งนี้ จากฝ่ายบริหารที่ครองโดยพรรคเดโมแครต ในขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติครองโดยพรรคเดโมแครตในสภาสูงแต่พรรคริพับลิกันครองสภาล่าง (divided government) และจำนวนคะแนนเสียงในแต่ละสภาที่มีเสียงส่วนใหญ่ห่างจากเสี่ยงส่วนน้อยไม่มาก (Narrow majorities) ทำให้การผ่านร่างกฎหมายฯ มีแนวโน้มการต่อรองที่ยืดเยื้อ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบทางลบเกิดขึ้นได้ หากมีการผิดนัดชำระหนี้ผูกพัน โดยSCB CIO เชื่อว่าน่าจะมีการตกลงกันและผ่านร่างกฎหมายได้ในนาทีสุดท้าย (last minute deal) และมาควบคู่กับการปรับลดงบประมาณใช้จ่ายบางส่วน
ดร.กำพล กล่าวต่อไปว่า เราได้ประเมินทางเลือกในการแก้ไขปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ ดังนี้ 1) การเพิ่มเพดานหนี้ แต่เราคาดว่าร่างกฎหมายการเพิ่มเพดานหนี้ที่จะผ่านสภาคองเกรส จะมาควบคู่กับแผนการปรับลดรายจ่ายด้านงบประมาณ 2) กรณีที่ยังไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ก่อนเข้าใกล้ X-date ซึ่งเป็นวันที่มาตรการพิเศษและกระแสเงินสดของรัฐบาลสหรัฐฯ จะหมดลง เราคาดว่า ทางการอาจเลือกผ่านกฎหมายการเพิ่มเพดานหนี้เล็กน้อย หรือ ผ่านกฎหมายเลื่อนเพดานหนี้ออกไปชั่วคราวจนถึงวันที่ 30 ก.ย. นี้ โดยต้องพยายามผ่านกฎหมายการเพิ่มเพดานหนี้ควบคู่กับแผนการใช้จ่ายสำหรับปีงบประมาณ 2567
นอกจากนี้ ยังได้เปรียบเทียบการจัดการวิกฤตเพดานหนี้ในปี 2554 ที่ยกเพดานหนี้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเส้นตาย กับปี 2556 ที่ใช้วิธีเลื่อนเพดานหนี้ 1 วันก่อนเส้นตาย พบว่า การจัดการในปี 2554 สร้างความผันผวนต่อตลาดสูงมาก และทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง เนื่องจากการเจรจามีความไม่แน่นอนสูงมาก รวมถึง S&P Global Ratings ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลง (จาก AAA เป็น AA+) โดย 1 เดือนก่อนและหลังการยกเพดานหนี้ S&P500 index ปรับลดลงถึง -12% ส่วนผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10y UST yield) ปรับลง 1.13 ppt. แต่ผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีไม่มากนัก ขณะที่ ปี 2556 S&P500 index ปรับขึ้น +5% และผลต่อ 10y UST yield และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่อนข้างจำกัด
ส่วนปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการลงทุน ได้แก่ สถานการณ์เงินเฟ้อในยุโรปที่ยืดเยื้อกว่าที่คาดการณ์ ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปยังฟื้นตัวได้ดี ทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) น่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อ แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยแล้ว โดยคาดว่า ECB จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% จนกระทั่งดอกเบี้ยแตะระดับ 3.75% และคงดอกเบี้ยไว้ถึงปลายปี 2566 ส่วนอัตราดอกเบี้ยของ Fed เราคงมุมมองว่า น่าจะอยู่ที่ 5.0-5.25% จนถึงปลายปี 2566 เนื่องจากความตึงเครียดในภาคการเงินของสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้โอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยต่อมีน้อยลง แต่อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลงช้าและตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง เป็นปัจจัยหลัก ทำให้ Fed ไม่น่าจะลดดอกเบี้ยในปีนี้
SCB CIO มองว่า ช่วงเวลาเช่นนี้ เป็นโอกาสจับจังหวะสะสมหุ้นกลุ่มเชิงรับ (Defensive) ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน (Utilities) ซึ่งมีคุณสมบัติผันผวนน้อย (low volatility) มีเงินปันผลรองรับ ขณะที่ มูลค่า
หุ้น (valuation) และการเติบโตของกำไรในปัจจุบัน จัดอยู่ในกลุ่มที่มีลักษณะเติบโตและมีราคาสมเหตุสมผล (Growth At Reasonable Price) นอกจากนี้ยังมี กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Mega Tech) ที่ได้อานิสงส์จากผลประกอบการที่ยังแข็งแกร่ง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง และได้รับกระทบน้อยจากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย
ดร.กำพล กล่าวว่า SCB CIO ยังมีการปรับมุมมองหุ้นญี่ปุ่น เป็นทยอยขาย (Slightly negative from Neutral) เนื่องจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นปี 2566 ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 14% โดยได้อานิสงส์หลักจาก ค่าเงินเยนที่อ่อนค่ากว่า 4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และการเปิดเมือง แต่ในระยะข้างหน้าความเสี่ยงเงินเฟ้อของญี่ปุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการปรับค่าจ้างที่จะเกิดขึ้นในเดือน ก.ค. ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีการปรับนโยบายการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve Control) ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับขึ้น สวนทางกับผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะลดลงจากการหยุดขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินเยนมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้น
การ์ทเนอร์เผย 10 แนวโน้มเทคโนโลยีที่มีความสำคัญต่อกิจการภาครัฐในปี 2566 เป็นแนวทางให้ผู้นำองค์กรภาคสาธารณะเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านและเตรียมพร้อมไปสู่รัฐบาลหลังยุคดิจิทัล (หรือ Post-Digital Government) และมุ่งที่เป้าหมายของภารกิจทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง
อาร์เธอร์ มิคโคลีท ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ความวุ่นวายทั่วโลกและการหยุดชะงักทางเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่เพียงแต่กำลังกดดันรัฐบาลให้ต้องหาทางออกเพื่อปรับสมดุลระหว่างโอกาสและความเสี่ยงทางดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังให้โอกาสสำคัญอีกหลายอย่างสำหรับเปลี่ยนแปลงรัฐบาลดิจิทัลไปสู่ยุคถัดไป ซึ่งผู้บริหารไอทีภาครัฐฯ ต้องแสดงให้เห็นว่าการลงทุนดิจิทัลของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ทั่ว ๆ ไป ในขณะที่ยังต้องเดินหน้าปรับปรุงการส่งมอบบริการและรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ ที่มีต่อภารกิจหลัก”
ผู้บริหาร CIO ภาครัฐฯ ควรพิจารณาผลกระทบของแนวโน้มเทคโนโลยีต่อไปนี้ (ดูรูปที่ 1) ที่มีต่อองค์กร และนำมาปรับใช้เป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อพิจารณารูปแบบการลงทุนพร้อมปรับปรุงความสามารถทางธุรกิจ บรรลุภารกิจสำคัญของผู้นำและสร้างองค์กรรัฐที่พร้อมสำหรับอนาคตยิ่งขึ้น

แนวโน้มเทคโนโลยีภาครัฐ ประจำปี 2566 โดยการ์ทเนอร์
Adaptive Security
การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี 2568 75% ของผู้บริหาร CIO ในองค์กรภาครัฐจะมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อการรักษาความปลอดภัยนอกเหนือจากในส่วนที่เกี่ยวข้องกับไอที ประกอบด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของการปฏิบัติงานต่าง ๆ รวมถึงเทคโนโลยีที่แวดล้อมภารกิจสำคัญขององค์กร การผสานรวมข้อมูลองค์กร ความเป็นส่วนตัว ซัพพลายเชน ระบบไซเบอร์และกายภาพ (Cyber-Physical Systems หรือ CPS) และระบบคลาวด์ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างบูรณาการ โดยผู้บริหาร CIO ควรเชื่อมโยง Adaptive Security ให้มีขอบเขตกว้าง
ทีมเด็กไทย สร้างชื่อให้ประเทศไทย คว้า รางวัลสุดยอดนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ Regeneron Young Scientist Awards รางวัลใหญ่เวทีโลก รับเงินรางวัลมูลค่ารวมมากกว่า 1.7 ล้านบาท พร้อมคว้าอันดับ 1 รางวัล Grand Award สาขาสัตวศาสตร์ ในเวทีการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมสำหรับเยาวชน ระดับโลก REGENERON ISEF 2023 เฉือนคู่แข่งจาก 63 ประเทศ แถมทีมเยาวชนไทยคว้าอีก 8 รางวัลบนเวทีระดับโลก รวม 10 รางวัล มูลค่ารางวัลรวมทั้งสิ้น $ 66,500 ที่จัดขึ้นโดย Society for Science & the Public ณ เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ในระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) หรือ NSM สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำทีมเยาวชนไทยสร้างชื่อในเวทีโลกคว้าชัยจากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมสำหรับเยาวชน ระดับโลก REGENERON ISEF 2023 ณ เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดโดย Society for Science & the Public ระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2566 โดยในปีนี้มีนักเรียนกว่า 1,600 คน จาก 63 ประเทศจากทั่วโลก และมลรัฐต่างๆ ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง กระทรวง อว. ได้ส่งเยาวชนเข้าร่วมทั้งหมด 14 ทีม มาจาก 2 เวที ได้แก่ ค่ายนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์แห่งชาติ ประจำปี 2566 (Thai Young Scientist Festival, TYSF 2023) ภายใต้การสนับสนุนโดย NSM และสมาคมวิทยาศาสตร์ฯ และการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 25 (Young Scientist Competition, YSC 2023) โดย สวทช. และมหาวิทยาลัยพันธมิตร ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณโดย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ผลปรากฏว่า ทีมเยาวชนไทยจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ สมาชิกทีมประกอบด้วย นายปูรณ์ ตระกูลตั้งมั่น นายทีปกร แก้วอำดี และนายปัณณธร ศิริ และมีนายชนันท์ เกียรติสิริสาสน์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา สามารถคว้ารางวัลใหญ่ที่สุดของการประกวด คือ “รางวัลสุดยอดนักวิทยาสตร์รุ่นเยาว์” Regeneron Young Scientist Awards สนับสนุนโดย Regeneron and Society for Science ซึ่งถือเป็นรางวัลโครงงานนวัตกรรมการวิจัยที่สะท้อนถึงการทำงานอย่างจริงจังของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ในการหาคำตอบเพื่อแก้ปัญหาความท้าทายของโลกในอนาคต โดยใช้แนวที่สร้างสรรค์และแตกต่าง พร้อมทั้งได้รับเงินรางวัล $50,000 (มูลค่ามากกว่า 1.7 ล้านบาท) พร้อมคว้ารางวัล Grand Awards อันดับ 1 สาขาสัตวศาสตร์ พร้อมเงินรางวัล $5000 (มูลค่ามากกว่า 170,000 บาท) กับ โครงงาน “การเพิ่มอัตราการรอดของแมลงช้างปีกใส (Mallada basalis) จากพฤติกรรมการฟักและการเลือกกินอาหาร (Innovation for Optimizing Lacewing Survivability)” โดยการศึกษานี้สืบเนื่องมาจากแมลงช้างปีกใสเป็นแมลงตัวห้ำที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดศัตรูพืชสูง แต่ปัญหาสำคัญที่ประสบคืออัตราการรอดต่ำอันเกิดจากอัตราการฟักไข่
ต่ำและพฤติกรรมการกินเอง จึงได้ทำการศึกษาพฤติกรรมการฟักไข่และพฤติกรรมการเลือกกินอาหารเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างนวัตกรรมการฟักไข่แมลงช้างปีกใสซึ่งสามารถเพิ่มอัตราการรอดของแมลงช้างปีกใสได้ถึง 5.8 เท่า โดยตัวแทนทีมอธิบายถึงเบื้องหลังโครงงานฯ ดังกล่าวว่า “การพัฒนาโครงงานเมลงช้างปีกใสนี้ ต้องขอขอบคุณเกษตรกรในไร่มันสำปะหลังที่ได้ให้การตอบรับอย่างดียิ่งในการควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธีผ่านการใช้บรรจุภัณฑ์การเพิ่มอัตรารอดของแมลงช้างปีกใสของพวกผม นอกจากนี้พวกผมมีความยินดียิ่งที่ได้ช่วยเหลือผู้ผลิตใบไม้อัดในการทำบรรจุภัณฑ์ที่ผ่านการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน และลดโอกาสการเกิดไฟป่าด้วยการนำเชื้อเพลิงที่เป็นเศษใบไม้มาสร้างบรรจุภัณฑ์ที่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ที่สำคัญขอขอบพระคุณอาจารย์ รวมถึงบุคลากรของสมาคมวิทย์ฯ และ NSM เป็นอย่างยิ่งที่ได้มอบโอกาสสำหรับการแข่งขันในครั้งนี้” ซึ่งโครงงานนี้ได้รับคัดเลือกจากการประกวดในเวทีค่ายนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์แห่งชาติ ประจำปี 2565 (Thai Young Scientist Festival (TYSF)) ครั้งที่ 18
ทั้งนี้ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) หรือ NSM กล่าวว่า “ปีนี้ NSM ร่วมกับ สมาคมวิทย์ฯ ได้ส่งตัวแทนทีมเยาวชนไทยไปเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 8 ทีม จากเวทีค่ายนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์แห่งชาติ ประจำปี 2566 (Thai Young Scientist Festival, TYSF 2023) เข้าร่วมประกวดในครั้งนี้ ซึ่งปีนี้ผลงานของทีมเยาวชนไทยสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาครองได้สำเร็จด้วยผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นจนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้ในครั้งนี้ ต้องขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับเยาวชนทุกคน ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเด็กไทยเก่งไม่แพ้ชาติใด ขอขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ คว้ารางวัลอันทรงเกียรติมาให้คนได้ชื่นชม และหวังว่าทุกผลงานจะนำไปต่อยอดในการพัฒนาและสร้างประโยชน์ในวงกว้างให้กับประเทศไทยต่อไปในอนาคต”
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. ตระหนักและให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่อง สร้างขุมกำลังด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างขุมกำลังในด้านทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งการพัฒนาศักยภาพเยาวชนให้มีความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่งเสริมและกระตุ้นให้เยาวชนหันมาสนใจและเพิ่มพูนทักษะทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ในระดับนักเรียน เพื่อพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตามนโยบายของกระทรวง อว. โดยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ ผ่านการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition, YSC) ที่ สวทช. สนับสนุนตั้งแต่ปี 2542 โดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย 6 มหาวิทยาลัยเครือข่ายที่ร่วมเป็นศูนย์ประสานงานภูมิภาคของโครงการฯ จัดประกวดโครงงานในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั่วประเทศรวม 9 สาขา ให้เยาวชนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 – 6 ได้มีโอกาสพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นนวัตกรรม ให้สังคมไทยเป็นสังคมฐานความรู้ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
“การเข้าร่วมประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติ หรือ Regeneron ISEF 2023 ถือเป็นเวทีที่มีความสำคัญด้านการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก เพื่อส่งเสริมความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และเป็นอีกหนึ่งเวทีการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้และสนุกไปกับการทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน ซึ่งเด็กและเยาวชนของชาติเป็นบุคคลที่มีบทบาทและส่วนสำคัญอย่างยิ่ง การสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรากฐานและกำลังสำคัญในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการส่งเสริมให้เยาวชนมีประสบการณ์จากการแข่งขันบนเวทีโลกจะเป็นกุญแจสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนของประเทศ”
ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.ธนัฏฐ์คุณ มงคลอัศวรัตน์ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวแสดงความยินดี “ขอแสดงความยินดีกับเยาวชนไทยทั้ง 14 ทีม ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในการแข่งขันโครงงานวิทย์ฯ ระดับโลกในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์อันมีค่าที่หาไม่ได้ง่าย ๆ ในการแข่งขันในเวทีระดับโลก หวังว่าเยาวชนทุกคนจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ความรู้จากการประกวดในครั้งนี้ มาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ต่อไป”
นอกจากนี้ ยังมีทีมเยาวชนไทยที่สามารถคว้ารางวัล Grand Awards และSpecial Awards มาครอบครองอีกหลากหลายสาขา ได้แก่
1.โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จ.เชียงราย ได้รับรางวัล Grand Awards อันดับที่ 2 สาขาสัตวศาสตร์ พร้อมเงินรางวัล $2000 กับ โครงการวิธีการใหม่ในการตรวจสอบการติดเชื้อโรคเพบริน (Pebrine Disease Detection Using Silkworm Phototaxis) โดยมีสมาชิก คือ นายธนวิชญ์ น้ำใจดี, นายพณทรรศน์ ชัยประการ, นางสาวกัญญาริณทร์ ศรีวิชัย และนายเกียรติศักดิ์ อินราษฎร เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
2.โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี ได้รับรางวัล Grand Award อันดับที่ 2 สาขาวิทยาศาสตร์โลกและวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม พร้อมเงินรางวัล $2,000 กับ การพัฒนานวัตกรรมซ่อมแซมป่าหลังเกิดไฟป่าเลียนแบบโครงสร้างของผลน้อยหน่าเครือ (Kadsura coccinea) (A Novel Seed Delivery System for Effective Reforestation) โดยมีสมาชิก คือนายจิรพนธ์ เส็งหนองแบน, นายนฤพัฒน์ ยาใจ, นายพรหมพิริยะ ขัตติยวงษ์ และนายขุนทอง คล้ายทอง เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
3.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ ได้รับรางวัล Grand Awards อันดับที่ 3 สาขาสัตวศาสตร์ พร้อมเงินรางวัล $1000 กับ โครงงาน “วิธีการยั่งยืนในการควบคุมปัญหาการเป็นศัตรูพืชของหนอนด้วงสาคู” (Approach to Control Red Palm Weevil Pests) นอกจากนี้โครงการนี้ยังได้รับรางวัล Special Award อันดับที่ 2 จากหน่วยงาน : U.S. Agency for International Development (USAID) ในสาขา Agriculture and Food Security ได้รับเงินรางวัล $3000 อีกด้วย โดยมีสมาชิก คือ นายสัญพัชญ์ อัครจีราวัฒน์, นายธนัตถ์กรณ์ เชาวนสมิทธิ์ และนางสาววนิดา ภู่เอี่ยม เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
4.โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จ.ระยอง ได้รับรางวัล Grand Award อันดับที่ 3 สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ พร้อมเงินรางวัล $1000 กับ โครงงานการศึกษาแบบจาลองผลของสนามแม่เหล็กต่อพายุทรงหลายเหลี่ยมบน
ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์โดยหลักความไม่เสถียรเชิงอุทกพลศาสตร์ (Study of Polygonal Cyclones on Jupiter and Saturn) โดยมีสมาชิก คือ นางสาวจินต์จุฑา ปริปุรณะ, นายปวริศ พานิชกุล, นางสาวอมาดา ภานุมนต์วาที และดร.ปริญญา ศิริมาจันทร์ และนายศรัณย์ นวลจีน เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
5.โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จ.ระยอง ได้รับรางวัล Grand Award อันดับที่ 4 สาขาชีววิทยาเชิงคำนวณและชีวสารสนเทศศาสตร์ พร้อมเงินรางวัล $500 กับ โครงการ PROSynMOGN: การปรับปรุง Graph Neural Networks สำหรับโมเลกุลเพื่อทำนายการเสริมฤทธิ์ของยาคู่ผสมสำหรับรักษาโรคมะเร็งที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลการแสดงออกของโปรตีน โดยมีสมาชิก คือ นายติสรณ์ ณ พัทลุง, นายเมธิน โฆษิตชุติมา, นายกิตติพัศ พงศ์อรุโณทัย และดร.ธนศานต์ นิลสุ โรงเรียนกำเนิดวิทย์ และนายบัณฑิต บุญยฤทธิ์ สถาบันวิทยสิริเมธี เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
6.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ได้รับรางวัล Grand Award อันดับที่ 4 สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ปริวรรต พร้อมเงินรางวัล $500 กับ โครงงาน ออร่า “ผู้ช่วยป้องกัน ชะลอ และฟื้นฟูข้อเสื่อม” (O-RA: Osteoarthritis Rehabilitation Assistant) นอกจากนี้โครงการนี้ยังได้รับรางวัล Special Award อันดับที่ 1 จากหน่วยงาน : Sigma Xi, The Scientific Research Honor Society ในสาขา: Life Sciences Discipline ได้รับเงินรางวัล $1,500 อีกด้วย โดยมีสมาชิก คือ นางสาวนภัสชล อินทะพันธุ์, นายแก้วกล้า สร้อยกาบแก้ว, นายกฤตภาส ตระกูลพัว และนายกฤติพงศ์ วชิรางกุล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
บมจ.บูทิค คอร์ปอเรชั่น หรือ BC เผยผลงานไตรมาส 1/2566 รายได้พุ่งกระฉูด 124.6% แตะ 106.16 ล้านบาท กำไรขั้นต้นโตแรง 174.1% สู่ระดับ 65.54 ล้านบาท หลังเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่ง และรายได้จากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ไปได้สวย ปีนี้คาดรายได้สดใส โตก้าวกระโดดแตะ 700 ล้านบาทตามเป้า จากการเติบโตทุกธุรกิจ ทั้งโรงแรม คอมมูนิตี้มอลล์ ธุรกิจกัญชาทางการแพทย์ และธุรกิจขนส่งและจัดเก็บสินค้า
![]()
นายปรับ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โมเดลธุรกิจ “สร้าง-ดำเนินการ-ขาย” (Build-Operate-Sale : BOS) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2566) ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 106.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ 47.26 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้น 65.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 174.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 23.91 ล้านบาท
โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทฯ เปิดให้บริการโรงแรมใหม่ 2 แห่งในไตรมาสก่อน ได้แก่ โรงแรมไอบิส นิมมาน เชียงใหม่ และโรงแรมโจโน่ อโศก ส่วนรายได้จากธุรกิจพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้น 66.3% มาจากการเพิ่มอัตราการเช่าพื้นที่ ขณะที่รายได้ธุรกิจขนส่งและจัดเก็บสินค้าเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากไตรมาส 4/2565 ตามอัตราการเช่าพื้นที่ และอัตราค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 16% และ 8.5% ตามลำดับ
สำหรับกำไรขั้นต้นไตรมาส 1/2566 ที่ 65.54 ล้านบาท เนื่องจากการเติบโตของรายได้ที่มากกว่าต้นทุน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 51% ในไตรมาส 1/2565 เป็น 62% ในไตรมาส 1/2566
ด้านงบการเงินเฉพาะของบริษัทฯ จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ประกอบกับได้รับปันผลจากบริษัทย่อยจำนวน 200 ล้านบาท ส่งผลให้ BC มีผลกำไร 193.95 ล้านบาทในงบการเงินเฉพาะบริษัทประจำไตรมาส 1/2566 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และจากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ BC มีกำไรสะสม 98.08 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 และคาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งขึ้นกับการอนุมัติของคณะกรรมการบริษัทในวาระต่อไป
“ปี 2566 เริ่มต้นด้วยแนวโน้มที่ดีสำหรับภาคธุรกิจโรงแรมในประเทศ จากการเปิดประเทศจีน และการที่รัฐบาลไทยสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศด้วยโครงการเราเที่ยวด้วยกันครั้งที่ 5 และเทศกาลว่าวยักษ์ริมชายหาดเมืองพัทยาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบในทางบวกกับธุรกิจโรงแรมของเรา ทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกปีนี้ปรับตัวดีขึ้น ทั้งจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนในทุกๆ ธุรกิจของบริษัทฯ” นายปรับ กล่าว
นายปรับ กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน BC มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 2 โครงการ ได้แก่ โรงแรม โจโน่ สุขุมวิท 5 และศูนย์การค้าคอมมูนิตี้ มอลล์ โคฟ ฮิลล์ เจริญกรุง นอกจากนี้ มีแผนขยายสาขาร้านขายกัญชา คณา เพียว เพิ่มอีกอย่างน้อย 3 สาขา ภายในครึ่งปีแรก จากแผนการเปิดทั้งหมด 20 สาขาภายในปี 2566
รวมทั้ง BC ยังมีที่ดินที่กำลังวางแผนพัฒนาเพื่อก่อสร้างจำนวน 2 แปลงใน จ.ภูเก็ต และ จ.เชียงใหม่ และมีแผนซื้อที่ดินในทำเลหลักของกรุงเทพฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่แผนขายโครงการคาดว่าจะปิดการขายได้ 1-2 โครงการภายในปีนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลการดำเนินงานตลอดปี 2566 ของ BC คาดว่ารายได้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดมาแตะระดับ 700 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้รวม 538.20 ล้านบาท และคาดว่ากำไรมีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2565 และธุรกิจกัญชาทางการแพทย์ของ BC มีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากเป็นสินค้าที่พัฒนาเองตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ คือ การศึกษาวิจัย การปลูก การควบคุมคุณภาพ การให้คำปรึกษา และการจัดจำหน่าย ทำให้ได้สินค้ามีคุณภาพสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด อีกทั้งยังประสบความสำเร็จสูงในธุรกิจขนส่งและจัดเก็บสินค้าผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท บูทิค โลจิสติกส์ จำกัด ภายใต้แบรนด์ GO Storage
รองศาสตราจารย์ ดร.พินิติ รตะนานุกูล (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการ และพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ร่วมงานแถลงข่าว " คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประเทศไทย ได้เป็นเจ้าภาพ "จัดการแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 1–10 ธันวาคม 2566" โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ปรินทร์ ชัยวิสุทธางกูร คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ที่ 3 จากซ้าย) ได้กล่าวถึงความพร้อมของการเป็นเจ้าภาพการจัดงาน และได้รับเกียรติจาก President IJSO E.H.M.H. Emiel de Klejin National Coordinator Olympiad Netherlands (ที่ 2 จากขวา) บินมาร่วมงานแถลงข่าวและกล่าวถึงความพร้อมในการร่วมการจัดงานในครั้งนี้ ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อเร็ว ๆ นี้
งานเปิดตัว Telehouse ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นำโดย ฯพณฯ นายคะสุยะ นะชิดะ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่น ประจำราชอาณาจักรไทย (กลาง) คุณซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (3 จากขวา) คุณเคน มิยาชิตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทเลเฮ้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ขวา) และ คุณเคอิจิ โมริ รองกรรมการผู้จัดการและกรรมการ บริษัท เค ดี ดี ไอ คอร์เปอร์เรชัน (3 จากซ้าย)
กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 19 พฤษภาคม 2566 - Telehouse หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก เปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทยแล้ววันนี้ โดยตั้งอยู่ที่ถนนพระราม 9 ในกรุงเทพฯ ด้วยเงินลงทุน 74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2.5 พันล้านบาท โดยดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้ มุ่งที่จะเป็นศูนย์รวมในการเชื่อมต่อภายในภูมิภาคและทั่วโลก และยังเป็นดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทยที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100%
งานในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายคะสุยะ นะชิดะ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่น ประจำราชอาณาจักรไทย คุณซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจมากมายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เดินทางมาเข้าร่วมงานเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ที่กรุงเทพฯ
![]()
Telehouse เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก ที่ได้ขยายการเติบโตมายังกรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่แรกในประเทศไทย เป็นแห่งที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก Telehouse ทั้งหมด 45 แห่งทั่วโลก Telehouse ประเทศไทย มีพื้นที่อาคารกว้างขวางถึง 9,000 ตร.ม. พร้อมด้วยกำลังการรับไฟฟ้าสูงสุด 9.5 เมกะโวลต์แอมแปร์ (MVA) นอกจากนี้ ยังโดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางกรุงเทพฯ – พระราม 9 ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้ยังมุ่งเป็นผู้นำการเชื่อมต่อโครงข่าย โดยตั้งเป้าเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นศูนย์รวมอินเทอร์เน็ต สำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคมและผู้ให้บริการอื่นๆ เช่นคลาวด์และคอนเท้นท์ต่างๆได้เชื่อมต่อกัน ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนการรับส่งข้อมูลทั้งในและต่างประเทศ ให้ถึงผู้ใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

นอกจากเป้าหมายในการพัฒนาและส่งเสริมระบบโครงข่ายในประเทศไทย Telehouse ยังเล็งเห็นความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งเป้าเป็นดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทยที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายทั่วโลกของ Telehouse ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2569
นอกจากนี้ ภายในงานยังได้รับเกียรติจาก คุณเคอิจิ โมริ รองกรรมการผู้จัดการ และกรรมการ บริษัท เค ดี ดี ไอ คอร์เปอร์เรชัน และ คุณเคน มิยาชิตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทเลเฮ้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนของ Telehouse ในการกล่าวตอนรับ และนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจในงาน
![]()
คุณเคน มิยาชิตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทเลเฮ้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด
คุณเคน มิยาชิตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทเลเฮ้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “พวกเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ประกาศการเปิดตัว Telehouse ในกรุงเทพฯ อย่างเป็นทางการ ด้วยที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ใจกลางเมือง ทำให้ Telehouse ประเทศไทย เป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่ทำให้สามารถใช้งานเครือข่ายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ และเรามีความพร้อมที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคแห่งนี้และสนันสนุนการพัฒนาสังคมดิจิตัลของประเทศไทยและภูมิภาคต่อไป”
ปัจจุบัน Telehouse ประเทศไทย มีพันธมิตรแล้วมากกว่า 10 ราย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ให้บริการโทรคมนาคม คลาวด์ หรือผู้ให้บริการคอนเท้นต์ รวมถึงพาร์ทเนอร์ที่ส่งมอบโซลูชันส์ให้ลูกค้าองค์กร ที่ช่วยสร้างความพร้อมของระบบนิเวศทาง “การเชื่อมต่อ” ในดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้ที่ https://telehouse.co.th/
SAP SE (NYSE: SAP) และ Google Cloud ได้ประกาศการขยายความร่วมมืออย่างกว้างขวาง โดยการเปิดตัวข้อเสนอข้อมูลแบบเปิดที่ครอบคลุม ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนของภูมิทัศน์ข้อมูลและปลดปล่อยพลังของข้อมูลธุรกิจ ข้อเสนอนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างระบบคลาวด์ดาต้าแบบ end-to-end ที่ข้อมูลถูกดึงมาใช้ได้จากทั่วทั้งองค์กร โดยใช้โซลูชัน SAP® Datasphere ร่วมกับระบบคลาวด์ดาต้าของ Google ดังนั้น ธุรกิจต่างๆ สามารถตรวจดูพื้นที่ข้อมูลทั้งหมดได้แบบเรียลไทม์ และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุดจากการลงทุนในซอฟต์แวร์ Google Cloud และ SAP ของพวกเขา
ข้อมูลเป็นรากฐานที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ผ่านมา องค์กรต่าง ๆ ใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการสร้างศูนย์รวมรวมข้อมูลที่ซับซ้อน เครื่องมือวิเคราะห์แบบกำหนดได้เอง รวมถึง Generative AI และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มตระหนักถึงความคุ้มค่าจากการลงทุนด้านข้อมูลเหล่านั้น ในขณะที่ข้อมูลที่มาจาก ระบบ SAP โดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร และสามารถให้ข้อมูลที่สำคัญอย่างข้อมูลด้านซัพพลายเชน การพยากรณ์ทางการเงิน การบันทึกทรัพยากรบุคคล ข้อมูลระบบ Omnichannel Retail และอื่น ๆ ได้ โดย SAP Datasphere จะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญต่อภารกิจเหล่านี้ เข้ากับข้อมูลทั่วทั้งองค์กร จากหลากหลายแหล่งที่มา ซึ่งความสามารถในการรวมข้อมูลทั้งจากซอฟต์แวร์ SAP และที่ไม่ใช่มาจาก SAP (มาจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ) ไว้บน Google Cloud ได้อย่างง่ายดายนั้น ย่อมหมายความว่าองค์กรต่างๆ สามารถเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วด้วยรากฐานข้อมูลที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์ และยังคงรักษาบริบททางธุรกิจที่ครบถ้วนไว้ได้
![]()
Christian Klein ซีอีโอและคณะกรรมการบริหารของ SAP SE
Christian Klein ซีอีโอและคณะกรรมการบริหารของ SAP SE กล่าวว่า "การนำระบบและข้อมูลของ SAP มารวมกับข้อมูลในคลาวด์ของ Google ได้นำเสนอโอกาสใหม่สำหรับองค์กรต่างๆ ให้ได้รับคุณค่าที่มากขึ้นจากดาต้าฟุตปริ้นท์ทั้งหมด โดย SAP และ Google Cloud มีความมุ่งมั่นร่วมกันต่อข้อมูลแบบเปิด และการเป็นพันธมิตรของเราก็ได้ขยายออกไปเพื่อช่วยทลายกำแพงกั้นระหว่างข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในระบบ ฐานข้อมูล และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ลูกค้าของเราไม่เพียงแต่ได้รับประโยชน์จาก AI ของธุรกิจที่สร้างไว้ในระบบของเราเท่านั้น แต่ยังได้รับประโยชน์จากรากฐานข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวด้วย"
![]()
Thomas Kurian, ซีอีโอของ Google Cloud
Thomas Kurian, ซีอีโอของ Google Cloud กล่าวว่า "ตอนนี้ SAP และ Google Cloud นำเสนอระบบคลาวด์ข้อมูลแบบเปิดที่ครอบคลุมอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นรากฐานสำหรับอนาคต AI ขององค์กร. แหล่งทรัพยากรเพียงบางแห่งอาจสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลพอ ๆ กับข้อมูล แต่ด้วยการผสานรวมข้อมูลและระบบ SAP เข้ากับคลาวด์ข้อมูลของเราอย่างลึกซึ้ง ลูกค้าจะสามารถใช้งานความสามารถในการวิเคราะห์ของเราได้เช่นเดียวกับเครื่องมือ AI ขั้นสูงและ โมเดลภาษาขนาดใหญ่ เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึกใหม่จากข้อมูลของพวกเขา" องค์กรต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น Blue Bird Group, JB Cocoa, Kopi Kenangan, Link Net, NTUC Enterprise, Ocean Network Express, Siam Cement Group (SCG) และ Vingroup เป็นต้น ได้ใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกันของ Google Cloud และ SAP เสนอเพื่อช่วยให้พวกเขาดำเนินธุรกิจอย่างชาญฉลาดและยั่งยืนมากขึ้น และบรรลุผลลัพธ์ที่มีผลกระทบ ข้อเสนอข้อมูลแบบเปิด ใหม่จาก SAP และ Google Cloud ช่วยส่งเสริมโซลูชัน RISE with SAP และจะช่วยให้ลูกค้าสามารถ: · เข้าถึงข้อมูลสำคัญทางธุรกิจแบบเรียลไทม์: การผสานรวมระหว่าง SAP Datasphere และ Google Cloud BigQuery ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญที่สุดได้อย่างง่ายดายแบบเรียลไทม์โดยไม่มีข้อมูลซ้ำซ้อน ข้อเสนอร่วมนี้สามารถรวมข้อมูลจาก ระบบซอฟต์แวร์ SAP เช่น SAP S/4HANA® และ SAP HANA® Cloud ทำให้องค์กรต่างๆ มีมุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับข้อมูลที่สำคัญที่สุดของตนบนคลาวด์ดาต้าของ Google
· ลดความซับซ้อนของภูมิทัศน์ข้อมูล: SAP และ Google Cloud ได้ร่วมกันสร้างวิศวกรรมการจำลองข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีการรวมศูนย์ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถรวมข้อมูลจากซอฟต์แวร์ SAP เข้ากับ สภาพแวดล้อม BigQuery ได้อย่างง่ายดาย และใช้ประโยชน์จากความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นนำของ SAP และ Google Cloud ปัจจุบันนี้ ลูกค้าสามารถรวมข้อความค้นหาระหว่าง SAP Datasphere และ BigQuery เพื่อผสมผสานข้อมูลจาก ซอฟต์แวร์ SAP และ ที่ไม่ใช่ของ SAP ซึ่งช่วยขจัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลทั่วไปจากแหล่งที่มาที่ครอบคลุมทั้งด้านการตลาด การขาย การเงิน ห่วงโซ่อุปทาน และอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าที่ทำธุรกิจค้าส่ง สามารถเห็นผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างสมบูรณ์ขณะที่พวกเขากำลังดำเนินการจำหน่ายสินค้าและเข้าถึงลูกค้า
· สร้างข้อมูลเชิงลึกที่เชื่อถือได้ด้วย โมเดล AI และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) ขั้นสูงของ Google Cloud: ธุรกิจต่างๆ จะสามารถใช้ บริการ AI และ ML ของ Google Cloud เพื่อฝึกโมเดลบนข้อมูลทั้งจาก ระบบ SAP และ ไม่ได้มาจาก SAP · ทำการวิเคราะห์ขั้นสูง: องค์กรสามารถใช้ความสามารถในการวิเคราะห์ของโซลูชัน SAP Analytics Cloud ใน Google Cloud เพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ทางการเงินและธุรกิจ พร้อมปรับปรุงความแม่นยำของโมเดล ด้วยการผสานรวมกับข้อมูลใน BigQuery ด้วย SAP Datasphere ลูกค้าสามารถวางแผนด้วยมุมมองเดียวที่ครอบคลุมธุรกิจของตน
· ใช้โซลูชันร่วมกันเพื่อความยั่งยืน: SAP และ Google Cloud กำลังค้นหาแนวทางที่จะรวม SAP Datasphere เข้ากับ ชุดข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่กว้างขึ้น รวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนโดย Google Cloud เพื่อเร่งการเดินทางสู่ความยั่งยืนด้วยข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง
· ใช้ SAP Business Technology Platform (SAP BTP) บนระบบ Google Cloud ทั่วโลก: SAP จะพัฒนาข้อเสนอมัลติคลาวด์โดยขยายการรองรับ SAP BTP และ SAP HANA Cloud บน Google Cloud ระดับภูมิภาค ซึ่งรวมถึงการสนับสนุน SAP Analytics Cloud และ SAP Datasphere SAP และ Google Cloud ตั้งใจที่จะเปิดตัว SAP BTP ใน 5 ภูมิภาคใหม่ในปีนี้ รวมถึงจะเพิ่มการรองรับเป็น 8 ภูมิภาคภายในปี 2568
ทั้งสองบริษัทยังวางแผนเป็นพันธมิตรกันในการริเริ่มเข้าสู่ตลาดสำหรับโครงการข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดขององค์กร ทำให้ลูกค้าสามารถนำผลิตภัณฑ์ข้อมูลจากทั้ง SAP และ Google Cloud มาใช้ได้
“บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด” (InnovestX Securities Co., Ltd.) หรือชื่อเดิม หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ เรือธงด้านการเงินการลงทุนของกลุ่ม SCBX เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ และขยายบริการด้านการเงินการลงทุนแบบครบวงจรอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้จำนวนฐานลูกค้าผู้ใช้บริการของ InnovestX ทะยานสูงกว่า 800,000 ราย ล่าสุด ยกระดับและต่อยอดสู่แพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตอย่างยั่งยืน (Wealth Creation) ชูจุดเด่น “ครบ ง่าย พร้อมบริการช่วยสร้างพอร์ตอย่างยั่งยืน” พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด “Wealth Idea” เพลย์ลิสต์การลงทุนบนแอป InnovestX ที่คัดสรรและรวบรวมทุกไอเดียการลงทุนในทุกสินทรัพย์จากทีมนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยให้นักลงทุนมือใหม่สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ง่ายๆ และเหมาะสมกับทุกสภาวะตลาด เพื่อให้ลูกค้าสามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายพุฒิกานต์ เอารัตน์ Chief Digital Business Officer บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “หลังจาก บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ได้ปรับยุทธศาสตร์องค์กรครั้งสำคัญ พร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์ม “InnovestX” ซูเปอร์แอปแรกในไทยที่รวมสินทรัพย์ทุกประเภทไว้ในแอปเดียวเมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มนักลงทุนไทย ปัจจุบัน InnovestX มีฐานลูกค้าผู้ใช้บริการกว่า 800,000 ราย อีกทั้งยังมีจำนวนผู้เทรดหุ้นต่างประเทศ เติบโตสูงถึง 61% เมื่อเทียบกับปี 2564 มีจำนวนผู้ใช้บริการ Intelligent Portfolios (ลงทุนอัตโนมัติผ่านกูรูผู้เชี่ยวชาญ) เติบโตขึ้นกว่า 75% เมื่อเทียบกับปี 2563 นอกจากนี้นักลงทุนใหม่ยังไว้ใจเลือกเปิดบัญชีลงทุนกับ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในไทย (ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2565) สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยและความสำเร็จทางธุรกิจที่สามารถตอบสนองความต้องการให้กับนักลงทุนแบบครบวงจร โดยในปีนี้ เราได้ยกระดับแพลตฟอร์มไปอีกขั้นด้วยฟีเจอร์และบริการภายใต้แนวคิด Wealth Creation Reimagined ที่ทั้งครบ ง่าย และได้ต่อยอดความมั่งคั่ง เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบริการต่างๆ ที่เราสร้างสรรค์จะตอบโจทย์นักลงทุน และสามารถช่วยให้พอร์ตการลงทุนของลูกค้าเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”
จุดเด่นของ InnovestX แพลตฟอร์มลงทุนที่ครอบคลุมทุกสินทรัพย์
· ครบ: ลงทุนได้ครบทุกสินทรัพย์ ครอบคลุม ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน ตราสารหนี้ และสินทรัพย์อื่นๆ พร้อมทั้งมุมมองการลงทุนที่ครบทุกสินทรัพย์จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญจาก InnovestX
· หุ้นไทย: ลงทุนหุ้นไทยง่ายๆ พร้อมบริการ InnoRadar เครื่องมือช่วยวิเคราะห์การลงทุนที่หลากหลายทั้งเชิงเทคนิค ปัจจัยพื้นฐาน และพฤติกรรมนักลงทุน
· หุ้นต่างประเทศ: ลงทุนหุ้น และ ETF ในตลาดสหรัฐฯ และฮ่องกง ผ่านแอป InnovestXหรืออีกกว่า 23 ประเทศ 26 ตลาดในเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย และแคนาดา ผ่านเว็บไซต์ www.InnovestXonline.com
· กองทุนไทย: ลงทุนได้มากกว่า 1,800 กองทุน จาก 21 บลจ.
· กองทุนต่างประเทศ: ลงทุนได้โดยตรงกับบลจ. ชั้นนำระดับโลกมากกว่า 100 กองทุน ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมหลายต่อ
· มุมมองการลงทุนจากนักวิเคราะห์มืออาชีพ: ทั้งการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน (Advisory) รวมถึงกูรูการลงทุนชั้นนำของไทย ที่ให้ข้อมูลการลงทุนอย่างครอบคลุม ทั้งมุมมองการวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ สินทรัพย์ และกลยุทธ์การลงทุน ช่วยให้นักลงทุนมีข้อมูลเพียงพอ เห็นภาพรวมการลงทุน และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
· ง่าย: เปิดบัญชีลงทุนครั้งเดียว ลงทุนได้ครบทุกสินทรัพย์ และดูสรุปพอร์ตการลงทุนได้ครบในที่เดียว ช่วยให้เห็นภาพรวมการลงทุนและปรับพอร์ตได้ทันท่วงที พร้อมบริการ Intelligent Portfolios บริการบริหารพอร์ตการลงทุนอัตโนมัติ ช่วยให้นักลงทุนเริ่มลงทุนได้ง่ายขึ้น แม้มีเงินลงทุนหลักพันก็เสมือนมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแนะนำส่วนตัว
![]()
· บริการต่อยอดความมั่งคั่ง: บริการข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และตัวช่วยสร้างพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
· Wealth Idea: เพลย์ลิสต์การลงทุน ที่ช่วยให้ไอเดียแก่นักลงทุนให้สามารถเริ่มต้นการลงทุนได้ง่ายๆ ในทุกสถานการณ์ของตลาด ช่วยให้นักลงทุนมือใหม่ลงทุนได้ทันที และสร้างพอร์ตได้อย่างมั่นใจ มีประสิทธิภาพ
· Wealth Alert: อัพเดท ข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับการเงินการลงทุนรอบโลก พร้อมบทวิเคราะห์ ผ่านช่องทาง Social Media รวมถึงแนะนำกลยุทธ์ลงทุนที่เหมาะสมกับพอร์ตลูกค้าของ InnovestX แต่ละราย (Personalized Wealth Alert) โดยตรงผ่านแอป InnovestX และ Streaming เพื่อให้นักลงทุนปรับพอร์ต และเข้าลงทุนได้ทันท่วงที ไม่พลาดในทุกโอกาสของการลงทุน
· Wealth Seminar: สัมมนาที่มอบความรู้การลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบ Online และ Offline ในหัวข้อต่างๆ อาทิ หุ้นต่างประเทศ 101 ฉบับนักลงทุนมือใหม่, หุ้นต่างประเทศ 102 ฉบับหัดใช้เครื่องมือลงทุน, InnovestXclusive Wealth Offshore Edition เพื่อให้ความรู้นักลงทุนมือใหม่ รวมไปถึงข้อมูลเชิงลึกสำหรับนักลงทุนมืออาชีพ
· Wealth Content & Advisory: บริการบทวิเคราะห์ต่างๆ จากผู้เชี่ยวชาญ และผู้แนะนำการลงทุน รวมถึงนำเสนอมุมมอง กลยุทธ์การลงทุน ในรูปแบบรายการต่างๆ บน Social Media อาทิ รายการ Wealth Weekend ที่รวบข้อมูลเศรษฐกิจโลก พร้อมการวิเคราะห์ และแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในแต่ละสัปดาห์ รายการ Bull or Bear Next Week รายการสำหรับสายเทรดหุ้นไทยสไตล์เทคนิคอล พร้อมแนะนำหุ้นที่น่าสนใจ รายการปรับพอร์ต แนะนำกลยุทธ์เพื่อปรับพอร์ต ให้สอดรับกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน InnovestX ได้แล้ววันนี้ หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่าน Facebook InnovestX หรือ Line OA: @InnovestX
J Ventures ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยี และดิจิทัล ทรานสฟอร์เมชัน ในกลุ่มเจมาร์ท กรุ๊ป (Jaymart Group) และพัฒนาเหรียญ JFIN และ JFIN Chain บล็อกเชนสัญชาติไทย ประกาศความพร้อมนำเหรียญ สู่ ‘Coinstore.com’ เว็บเทรดชั้นนำที่มีการพัฒนาระบบให้เข้ากับความต้องการใช้งานของนักลงทุนในตลาดเอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา อย่างเป็นทางการในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ ปักหมุดเชื่อมต่อบล็อกเชน JFIN Chain เข้ากับ Coinstore.com เพื่อรองรับทุกการเติบโตของธุรกิจ และเพิ่มโอกาสขยายการพัฒนานวัตกรรมบนบล็อกเชนไปสู่ต่างประเทศ

นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (J Ventures) กล่าวว่า “เจ เวนเจอร์ส ได้พัฒนา JFIN Chain เพื่อเป็นบล็อกเชนอินฟราสตรักเจอร์หลักในการช่วยขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation แท้จริง โดยเราเชื่อว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นจะเป็นเครื่องมือหลักที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจ ทำให้เรามุ่งมั่นที่จะทำให้เทคโนโลยีนี้สามารถเข้าถึงได้ในทุกรูปแบบ และใช้งานง่ายสำหรับทั้งบุคคลและธุรกิจ
ครั้งนี้เป็นอีกโอกาสสำคัญของ JFIN โดยร่วมมือกับ Coinstore.com ที่เป็นกระดานเทรดต่างประเทศ เพื่อขยายการใช้งานบล็อกเชน JFIN Chain ออกไปนอกประเทศอย่างเป็นทางการ เป็นการต่อเติมจิ๊กซอว์ให้กับ Ecosystem ของ JFIN CHAIN ที่จะรองรับผู้ใช้งานจากทั่วเอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งสัญญาณให้เห็นถึงการเติบโตของบล็อกเชนของเรา ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากทั้งในฝั่งนักลงทุนต่างชาติ กลุ่มธุรกิจองค์กร ตลอดจนนักพัฒนาจากต่างประเทศ ให้เข้ามาร่วมใช้งาน JFIN Chain มากขึ้น
ขณะเดียวกันในฝั่งประเทศไทย JFIN Chain จะทำหน้าที่เป็น Corporate Blockchain ที่เน้นความแข็งแกร่งของ Ecosystem และมีศักยภาพในการผลักดันและขับเคลื่อน Digital Transformation (DX) ให้กลุ่มพันธมิตรเติบโตไปด้วยกัน โดยมุ่งขยายทั้งองค์ความรู้ เทคโนโลยี และเครื่องมือตัวช่วยสำเร็จรูป ด้วยพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเฉพาะ Jaymart Group และกลุ่มสตาร์ทอัปของเรา ซึ่งการที่ JFIN Chain ได้เชื่อมต่อกับตลาดต่างประเทศในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับพันธมิตรของเราที่วางแผนจะเร่งขยายไปยังภูมิภาคต่างประเทศทำได้สะดวกมากขึ้น เพราะเรามีช่องทางเทคโนโลยีรองรับให้แล้ว ดังนั้นกลุ่มธุรกิจและองค์กรในประเทศไทย ที่สนใจจะเข้ามาพัฒนานวัตกรรม หรือสร้างบล็อกเชนแอปพลิเคชันต่างๆ บน JFIN Chain จะสามารถวางแผนร่วมกันไปกับเราเพื่อเชื่อมต่อสู่ต่างประเทศได้เลย"

นายเจมส์ โท (James Toh) Global Head of Business Development, Coinstore.com ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ รองรับผู้ใช้งานกว่า 3.5 ล้านคน ใน 175
ประเทศทั่วโลก กล่าวว่า “Coinstore.com ให้บริการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีที่รวดเร็วและปลอดภัย รวมถึงบริการตราสารอนุพันธ์, บริการ OTC และ NFT ด้วยเทคโนโลยีและอินฟราสตรักเจอร์ด้านฟินเทค และบล็อกเชนของเรา จะช่วยสร้าง ecosystem ให้ทุกคนได้เข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัล และเทคโนโลยีต่างๆ ที่พัฒนาบนบล็อกเชนได้ทั่วโลก เราหวังจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคริปโตให้เติบโตขึ้นร่วมกันไปกับแพลตฟอร์มของเรา”
นอกจากนี้ นายธนวัฒน์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ในมุมของผู้พัฒนา เรามองว่า JFIN Chain คือ ประตูธุรกิจสู่บล็อกเชน (A Business Gateway to Blockchain Innovation) เราพร้อมผลักดันและขับเคลื่อน Digital Transformation ให้เกิดขึ้นจริงในกลุ่มพันธมิตร เพื่อรับมือกับการเกิดใหม่ของธุรกิจที่ต้องการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เราตั้งใจให้ JFIN Chain รองรับการทำงานได้ทุกกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะประเภทไหนก็มาใช้งานได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสายเทคโนโลยีเท่านั้น ซึ่งนอกจากการไปต่างประเทศครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ให้กลุ่มธุรกิจไทยที่ใช้งานบนบล็อกเชนของเรา ยังรองรับธุรกิจต่างประเทศที่เข้ามาใช้งานบน JFIN Chain ในอนาคต เหล่านี้ จะยิ่งเสริมทัพให้ ecosystem แข็งแกร่งขึ้นไปด้วยกัน”
เพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์ขององค์กรที่ต้องการเข้าสู่โลก Web3.0 ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เข้าถึง และใช้งานง่ายสำหรับองค์กรและธุรกิจ JFIN Chain ยังสร้างสรรค์ Blockchain Tools ผสานระหว่าง โลกของเทคโนโลยี Blockchain เข้ากับโลกของธุรกิจ พร้อมช่วยให้ธุรกิจได้เพิ่มโอกาสการสร้างความสัมพันธ์ให้กับลูกค้า และเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานได้หลากหลาย ผู้ที่สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.jfincoin.io
หนึ่งในความสบายใจของการท่องเที่ยวที่มีความสุข สนุก และประทับใจ นั่นก็คือความไร้ซึ่งกังวลใด ๆ โดยเฉพาะเรื่องการติดต่อสื่อสารที่ยังสำคัญเสมอและตัดทิ้งไม่ได้ ดังนั้น ทรู 5G ที่สุดของเครือข่ายอัจฉริยะที่เติมเต็ม Your Everyday Connect Tech Living พร้อมมอบความคุ้มค่ามากขึ้น เมื่อมีกันและกัน Better Together จัดความพิเศษให้ลูกค้าได้ใช้งานอินเทอร์เน็ตขณะเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างราบรื่นแบบสุดคุ้ม และครอบคลุม ช่วยให้คุณสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือติดต่อสื่อสารกับคนอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญแม้กำลังท่องเที่ยว หรือใช้โพสต์รูปลงโซเชียลแบบเรียลไทม์
เพิ่มให้สุขยิ่งขึ้นระหว่างเดินทางท่องเที่ยว และความพิเศษที่ว้าวสุด ๆ คือ ได้เน็ตเพิ่มมากขึ้นเป็น 10GB กับแพ็กเกจ TRAVEL PACK แพ็กเสริมเน็ตต่างประเทศ สมัครง่ายไม่ต้องเปลี่ยนซิม สะดวกสบายเอาใจนักเดินทางทั่วโลกได้อย่างไร้กังวล มีให้เลือกหลากหลายประเทศทั่วโลก
พิเศษ!! สมัครวันนี้...รับสิทธิ์สุดคุ้มจริง ๆ ทั้งฟรี! เน็ตเพิ่ม 3GB ฟรีประกันการเดินทาง 10 วัน และรับส่วนลด Just Grab, Grab Car รถส่งไป-กลับ สนามบิน 25% สูงสุด 100 บาท
TRAVEL ASIA 7GB รับเน็ตเต็มสปีดเป็น 10 GB ใช้ได้นาน 10 วัน 399 บาท สมัครกด *118*399#
TRAVEL WORLD 7GB รับเน็ตเต็มสปีดเป็น 10 GB ใช้ได้นาน 15 วัน 899 บาท สมัครกด *118*899# หรือสมัครผ่าน ทรูไอเซอร์วิส https://bit.ly/3OKf69l
สำหรับใครที่ไม่ได้ใช้ซิมทรู ก็สามารถซื้อซิม TRAVEL SIM ซิมโรมมิ่งที่มีให้คุณเลือกหลากประเทศ แบบได้เล่นเน็ตจุใจ และฟรี! ประกันการเดินทางได้เช่นกัน ซื้อง่ายได้ที่ทรูช็อปทุกสาขา หรือซื้อแบบออนไลน์ล่วงหน้าก็ได้
ข้อมูลเพิ่มเติม True Call Center 1242 หรือ Website: https://bit.ly/3o2EUpT