

อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เผยข้อมูลภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยอ้างอิงจากยอดการจองที่พักบนแพลตฟอร์ม พบว่านักเดินทางจากจีน มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ยังคงครองตำแหน่งชาติที่เดินทางมาประเทศไทยเยอะที่สุด ตามมาด้วยนักเดินทางจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์
กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ยังคงครองตำแหน่งเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในหมู่นักเดินทางจากประเทศดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันหาดใหญ่ก็กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียและสิงคโปร์ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของหาดใหญ่อาจเกิดจากเมืองนี้ขึ้นชื่อในด้านความคุ้มค่า ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นจุดหมายปลายทางที่มีราคาถูกที่สุดในประเทศไทย และติดอันดับหนึ่งในสามของจุดหมายปลายทางราคาถูกในเอเชียติดต่อกันสองปีซ้อน เมืองเหล่านี้ต่างมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านความคึกคัก ความสงบริมชายหาดไปจนถึงเสน่ห์ทางวัฒนธรรมที่น่าค้นหา
อย่างไรก็ตามประเทศที่มีจำนวนนักเดินทางมาเยือนประเทศไทยมากที่สุด กลับไม่ใช่ประเทศที่นักเดินทางพำนักอยู่นานที่สุด โดยนักเดินทางจากจีนแม้จะครองอันดับหนึ่งในด้านจำนวนผู้มาเยือน แต่เมื่อพิจารณาระยะเวลาการเข้าพักเฉลี่ยแล้ว นักเดินทางจากเกาหลีใต้กลับใช้เวลาอยู่ในประเทศไทยนานที่สุด รองลงมาคือนักเดินทางจากญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และจีนตามลำดับ
นอกจากนี้ นักเดินทางแต่ละประเทศยังมีจุดหมายปลายทางที่นิยมสำหรับการพักระยะยาวแตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่มักเลือกจุดหมายปลายทางที่เป็นเกาะ เช่น เกาะเต่า ซึ่งมีแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลก และ เกาะพะงัน ที่สามารถเติมเต็มประสบการณ์พักผ่อนด้วยความสงบของธรรมชาติและปาร์ตี้ชื่อดัง และยังมีจุดหมายปลายทางในภาคกลางอย่างจังหวัดปทุมธานี ที่มีบรรยากาศแสนสงบและวิถีชีวิตแบบท้องถิ่นใกล้เมืองหลวงอีกด้วย
ทั้งนี้ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยตรงกันว่า ระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 ประเทศไทยมีนักเดินทางชาวต่างชาติเดินทางเข้ามากว่า 16 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 743,582 ล้านบาทโดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ อาทิ โครงการ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 การอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง และการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน สำหรับนักเดินทางชาวไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ โตเกียว โอซาก้า ฮ่องกง ไทเป และโซล ยังคงเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2568
อรรคพร รอดคง ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของอโกด้า เปิดเผยว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นแพลตฟอร์มที่นักเดินทางจากทั่วทั้งเอเชียไว้วางใจเลือกใช้ และภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่อโกด้า เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอตัวเลือกที่พักที่สะดวกสบายและหลากหลาย เพื่อช่วยให้นักเดินทางได้สัมผัสทั้งจุดหมายปลายทางยอดนิยมและสถานที่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักทั่วทั้งประเทศ และทำให้การเดินทางเป็นเรื่องง่ายและน่าประทับใจ”
ด้วยที่พักมากกว่า 6 ล้านแห่ง เส้นทางบินกว่า 130,000 เส้นทาง และกิจกรรมให้เลือกมากกว่า 300,000 รายการ อโกด้าพร้อมมอบทางเลือกที่หลากหลายให้กับนักเดินทางที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวระยะสั้น (Micro-travel) โดยสามารถเข้าไปดูดีลพิเศษได้ที่ Agoda.com หรือดาวน์โหลดแอป Agoda เพื่อรับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวครั้งถัดไป
เด็กไทยเผชิญกับปัญหาผิวและภูมิแพ้ที่เพิ่มขึ้น จากปัจจัยต่าง ๆ เช่น PM2.5 มลภาวะในชีวิตประจำวัน รวมถึงสารเคมีตกค้าง จากผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเด็กโดยตรง ในยุคที่พ่อแม่รุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกน้อยแบบองค์รวม โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล จึงเปิดตัว “bear & bloom” แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเด็กระดับพรีเมียม-เมดิคัล พัฒนาโดยกุมารแพทย์ด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ด้วยความเข้าใจในความบอบบางและความต้องการพิเศษของผิวเด็ก ที่มีแนวโน้มแพ้ง่าย ผลิตภัณฑ์ได้รับการออกแบบมาเพื่อดูแลสุขภาพผิว ความสบายทางอารมณ์ และช่วยสนับสนุนพัฒนาการของเด็ก โดยผสานองค์ความรู้ทางการแพทย์กับส่วนผสมจากธรรมชาติที่อ่อนโยนและปลอดภัยต่อผิวบอบบาง พร้อมมุ่งหวังสร้าง “Ecosystem การดูแลสุขภาพเด็ก” ที่เชื่อมโยงการดูแลจากโรงพยาบาลสู่บ้านอย่างไร้รอยต่อ

พญ.สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช และบีเอ็นเอช และผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “แนวคิด #โตไปไม่ป่วย จากโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล มุ่งดูแลเด็กอย่างรอบด้านทั้งร่างกายและจิตใจ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของการเติบโต ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ยุคใหม่ เช่น มลภาวะ ฝุ่น PM2.5 สารเคมี และอาหารกระตุ้นภูมิแพ้ อาจส่งผลต่ออารมณ์ พฤติกรรม และพัฒนาการในระยะยาวของลูกน้อย จึงมุ่งเน้นการสร้าง Ecosystem เพื่อสนับสนุนให้เด็กเติบโตอย่างแข็งแรงและมีความสุข ในทุกช่วงชีวิต จากโรงพยาบาลถึงที่บ้าน เพื่อให้เด็กเติบโตอย่างแข็งแรงและมีความสุขในทุกช่วงวัย”
รศ.พญ.พรรณทิพา ฉัตรชาตรี อาจารย์ประจำสาขาวิชาโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแพทย์ที่ปรึกษา ศูนย์ภูมิแพ้เด็ก โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “จากประสบการณ์ดูแลเด็กที่มีปัญหาผิวบอบบางและภูมิแพ้ผิวหนังมากว่า 30 ปี พบว่า เด็กจำนวนมาก มีอาการผิวแห้ง แดง คัน และบางครั้งอาจเกาจนเกิดแผล เมื่อรักษาหายแล้วกลับมาเป็นอีกซ้ำๆ เพราะการดูแลผิวเด็กควรเริ่มตั้งแต่แรกเกิดและปรับเปลี่ยนตามช่วงวัย โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอ่อนโยน ปลอดภัย และมีข้อมูล ทางวิทยาศาสตร์รองรับ เช่น Jojoba Oil เติมความชุ่มชื้น และ Defensil-Plus ลดอาการระคายเคือง และสารสกัดจาก Guava Leaf, Green Tea และ Rose Flower มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ เป็นต้น การดูแลผิวลูก ควรเริ่มตั้งแต่วันแรก ไม่ใช่แค่รอให้เกิดปัญหา เพราะผิวที่แข็งแรงตั้งแต่ต้น จะช่วยลดความเสี่ยงของผื่นและปัญหาผิวระยะยาวได้ค่ะ”
“เพราะผิวลูก คือผิวแรกแห่งชีวิต” คือแนวคิดและคุณค่าของผลิตภัณฑ์ bear & bloom คิดค้นและพัฒนาสูตรโดยกุมารแพทย์ โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันเด็กจากโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ด้วยความเข้าใจลึกซึ้งถึงทั้งผิวและจิตใจ ของเด็กไทยผสมผสานวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์กับสูตร 3 Active Ingredients ธรรมชาติ เพื่อปกป้องผิวบอบบาง ดูแลผิว ลูกน้อยตั้งแต่วันแรก มีส่วนผสมของ Jojoba Oil เติมไขมันดีให้กับผิว เสริม "เกราะป้องกันผิว" ให้แข็งแรง ลดการระคายเคือง
Defensil-Plus ปลอบโยนผิวแพ้ง่าย เสริมความชุ่มชื้น และสารสกัดจาก Guava Leaf, Green Tea และ Rose Flower ต้านการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ จดสิทธิบัตรในประเทศเกาหลี และคว้ารางวัล Excellence in the Health Industry
Technologies Exhibition in Korea พัฒนาสูตรเฉพาะตามช่วงวัย เพื่อการดูแลที่ตรงจุดและปลอดภัยในทุกวัยของผิว เหมาะสำหรับผิวเด็กไทยโดยเฉพาะ ได้รับมาตรฐานผ่านการทดสอบ การระคายเคือง (Dermatologically Tested - Non irritating) และผ่านการใช้จริงในโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
สัมผัสประสบการณ์ใหม่จาก 3 ผลิตภัณฑ์จาก bear & bloom
1. bear & bloom Baby head to toe bath อ่อนโยนต่อผมและผิว (เหมาะสำหรับทารกแรกเกิด – 6 เดือน)
• Extra-mild Surfactants ช่วยผิวสะอาดจากธรรมชาติ ไม่ระคายเคืองตา
• Decyl Glucoside สารสกัดจากน้ำมันมะพร้าว อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง แพ้ง่าย
• pH 5.5 ปรับสมดุลผิวตามธรรมชาติ ไม่ทำให้ผิวแห้งตึงหลังอาบ
• Paraben-free and Sulfate-free ไม่มีสารก่อการระคายเคือง
• Lovely Wishes Scent หอมละมุน สบายตัว ตลอดวัน
2. bear & bloom Kids bath สะอาด อ่อนโยน ผิวนุ่มชุ่มชื้น (เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป)
• Decyl Glucoside สารสกัดจากน้ำมันมะพร้าว อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง แพ้ง่าย
• pH 5.5 ปรับสมดุลผิวตามธรรมชาติ ไม่ทำให้ผิวแห้งตึงหลังอาบน้ำ
• Paraben-free and Sulfate-free ไม่มีสารก่อการระคายเคือง
• Lovely Wishes scent หอมละมุน สบายตัว ตลอดวัน
3. bear & bloom Gentle baby lotion บางเบา ซึมไว สบายตัว (เหมาะสำหรับทารกแรกเกิดเป็นต้นไป)
• Dermatologically tested ผ่านการทดสอบทางคลินิกว่าช่วยลดการอักเสบ รอยแดงในผื่นภูมิแพ้ และผื่นยุงกัด
• pH 5.5 ช่วยรักษาสมดุลผิวตามธรรมชาติ
• Lovely Wishes scent หอมละมุน สบายตัว ตลอดวัน
ติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook Fanpage: Bear&BloomOfficial ผลิตภัณฑ์ bear & bloom มีจำหน่ายที่ แผนกเด็ก โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ทุกสาขา, ร้าน Health Choice ในเครือโรงพยาบาลสมิติเวช และช่องทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน SkinX และ Shopee: bear & bloom Official https://smtvj.com/bear-bloom
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ มอบเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ มูลค่ารวม 1.2 ล้านบาท โดยเป็นเงินสมทบทุนจากการจัดกิจกรรม AIA One Billion Trail 2024 ให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนด้านทรัพยากรใน 20 จังหวัด เพื่อช่วยยกระดับทักษะการเรียนรู้ภาษาไทยซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ และส่งเสริมการเติบโตของเยาวชนไทยในอนาคต ผ่านโครงการ ‘ส่งเสริมและพัฒนาการพูด อ่าน เขียนภาษาไทย’ โดยสภากาชาดไทย ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายวิทยา จันทร์ฉลอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ และคณะเข้าร่วมรับมอบ ณ สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย
สำหรับการสนับสนุนจากเอไอเอในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่สำคัญกับสภากาชาดไทย ในการร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อตอบแทนคืนสู่สังคมไทย สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ESG ตลอดจนเป็นการสานต่อพันธกิจ AIA One Billion ที่เอไอเอ มุ่งมั่นสนับสนุนผู้คนและเยาวชนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกว่าหนึ่งพันคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives”
ในวันที่โลกหมุนเร็วเกินจะคาดเดา ความไม่แน่นอนกลายเป็นเพื่อนร่วมทางของทุกธุรกิจ ลูกค้าพร้อมเปลี่ยนใจในเสี้ยววินาที ขณะที่ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่พุ่งสูงขึ้นไม่หยุด วันนี้ การรักษาหัวใจของลูกค้าเดิมจึงไม่ใช่แค่เป้าหมาย แต่คือ “ภารกิจสำคัญ” ที่จะตัดสินอนาคตของแบรนด์ LINE ในฐานะแพลตฟอร์มสื่อสารอันดับหนึ่งที่อยู่เคียงข้างธุรกิจไทย มุ่งมั่นสนับสนุนธุรกิจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วย LINE for Business โซลูชันการตลาดแบบครบวงจร ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่เครื่องมือ แต่คือพลังที่ช่วยแบรนด์ฝ่าฟันทุกความเปลี่ยนแปลง ด้วยกลยุทธ์ “4Cs” ที่ออกแบบมาเพื่อสร้าง ภาพจำในใจลูกค้าอย่างยั่งยืน ที่จะช่วยให้ทุกแบรนด์สร้างประสบการณ์ที่ตรงใจ และอยู่ในความทรงจำของลูกค้าแม้ในวันที่โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
![]()
คุณสกุลรัตน์ ตันยงศิริ ผู้อำนวยการธุรกิจ LINE Official Account จาก LINE ประเทศไทย ได้กล่าวถึงเทคนิคการสร้างภาพจำของแบรนด์ในงาน Marketing Oops! Summit 2025 ไว้ว่า “ในยุคที่ลูกค้าเลือกแบรนด์ได้ภายในไม่กี่วินาที สิ่งที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญไม่ใช่แค่การเข้าถึง แต่คือการสร้างความรู้สึกผูกพันที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง เราเชื่อว่าการสร้าง Brand Memory ไม่ใช่เรื่องของการทำการตลาด
ให้ดังที่สุด แต่คือการสื่อสารอย่างมีความหมายในทุกจุดสัมผัส และนี่คือเหตุผลที่ LINE มุ่งพัฒนาโซลูชันที่ช่วยให้ทุกธุรกิจสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืนและเป็นธรรมชาติที่สุด”
ถอดรหัส 4Cs กลยุทธ์เด็ดที่แบรนด์ไม่ควรมองข้าม
การสร้าง "Brand Memory" หรือ ภาพจำแบรนด์ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการโฆษณาเพียงครั้งเดียว แต่ต้องอาศัยการออกแบบประสบการณ์ร่วมในทุก Touchpoint อย่างมีระบบ ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญที่แบรนด์สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที เพื่อสร้างความผูกพันระยะยาวกับลูกค้า
1. Communicate: สื่อสารให้ตรงใจแบบ Real-time
หัวใจสำคัญคือการสื่อสารแบบเจาะจงกลุ่มด้วยการแบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation) ให้ชัดเจน ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า "แบรนด์เข้าใจฉัน" พร้อมสื่อสารไปในช่วงเวลาที่ใช่ มีความสอดคล้องกับปัจจุบันในแบบ Real-time และสอดคล้องกับบริบทความสนใจในขณะนั้นหรือ Contextual Marketing เพราะการสื่อสารที่ดี ต้องมาพร้อมกับการสื่อสารที่ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย ลูกค้าจะหยุดฟังเราก็ต่อเมื่อสิ่งที่เรากำลังสื่อสาร เป็นสิ่งที่ตรงกับความสนใจของลูกค้า
2. Connect: สื่อสารด้วยคอนเทนต์ที่สร้างประโยชน์ต่อลูกค้า
นอกจากการสื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมายแล้ว คอนเทนต์ที่ใช้สื่อสารก็สำคัญไม่แพ้กัน แบรนด์จะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำคอนเทนต์ให้ลูกค้ารู้ประทับใจ สื่อสารให้ลูกค้าเกิด engagement ต่อแบรนด์ เช่น คอนเทนต์ที่กระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อ อยากสนใจขึ้นมาทันที อาทิ โปรโมชัน หรือคอลเลกชันพิเศษ เป็นต้น
3. Convert: เปลี่ยนความสนใจเป็นยอดขาย
สร้างแรงจูงใจด้วยแคมเปญและโปรโมชันแบบเฉพาะกลุ่ม (Exclusivity) เพื่อสร้างความรู้สึกพิเศษและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ด้วยประสบการณ์ที่เป็น Seamless Journey เส้นทางการซื้อแบบไร้รอยต่อ เพื่อให้ลูกค้ากดเพียงไม่กี่คลิก การสั่งซื้อก็สำเร็จได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องออกจากแอป LINE ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสการปิดการขายให้กับแบรนด์ได้อย่างมาก
4. CRM: บริหารความสัมพันธ์ด้วยข้อมูล
การทำ CRM ที่ดีคือการเก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการ เพื่อพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ และนำไปสู่ Loyalty Program นอกจากนี้การสะสมแต้ม หรือการให้สิทธิพิเศษก่อนเก็บข้อมูลลูกค้า ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าสมัครสมาชิกและให้ข้อมูลในภายหลังได้ดียิ่งขึ้น โดยข้อมูลที่แบรนด์จะเก็บจากลูกค้า ควรกระชับและผ่านการคิดวิเคราะห์มาเป็นอย่างดี เพื่อให้แบรนด์ได้ข้อมูลที่สามารถนำมาพัฒนา สร้างประโยชน์สูงสุดกลับไปสู่ลูกค้าได้จริง
![]()
เปิด Success Story จากแบรนด์ดังชู “4Cs” สร้างภาพจำแก่ผู้บริโภค
1. Madame Fin 9
Madame Fin 9 ใช้ Emotional Marketing สร้างคาแรกเตอร์เฉพาะให้แก่น้ำหอม ลูกค้าสามารถเลือกน้ำหอมจากคาแรกเตอร์ที่แบรนด์สร้างไว้ พร้อมทำคอนเทนต์แบบ Real-time เช่น ทำคอนเทนต์ในวันที่ 1 และ 16 เพื่อล้อไปกับกระแสหวยออก นอกจากนี้ Madame Fin 9 ยังทำ CRM ได้อย่างน่าสนใจ คือให้แต้มลูกค้าก่อนการสั่งซื้อ ช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ซึ่งชุดข้อมูลที่ขอจากลูกค้าถือว่าสั้น กระชับ แต่สามารถนำไปพัฒนาบริการได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ
2. Heng Heng Seafood
Heng Heng Seafood ผู้จำหน่ายอาหารทะเลสดและสินค้าแปรรูประดับพรีเมียม โดดเด่นด้วยการทำ Partnership กับ Sweet & Green แบรนด์ผัก ผลไม้ และวัตถุดิบอาหารเพื่อสุขภาพ ด้วยจุดมุ่งหมายที่อยากทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสูงสุด ไม่ต้องตามหาวัตถุดิบจากหลายที่ จึงเกิดความร่วมมือในครั้งนี้ ผ่านการใช้ LINE เป็นเครื่องมือหลักในการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า ควบคู่ไปกับการทำ 4Cs
3. Merge.official
Merge.official เน้นการสื่อสารกับลูกค้าโดยใช้ LINE เพื่อรวมฐานข้อมูลลูกค้าไว้ในที่เดียว พร้อมสร้าง Exclusive Product ที่ขายผ่าน LINE OA เท่านั้นได้อย่างน่าสนใจ มีการแจ้งลูกค้าล่วงหน้าเพื่อสร้างความรู้สึกพิเศษ ทำให้ Merge.official ประสบความสำเร็จ และปิดการขายกับลูกค้าบน LINE OA ได้อย่างถล่มทลาย จนเพิ่มยอดขายรายวันสูงกว่าวันปกติถึง 23 เท่า
ด้วยแนวคิด “4Cs” จาก LINE ประเทศไทย นอกจากช่วยให้แบรนด์สามารถสร้าง "ภาพจำ" ที่ดีในใจลูกค้า และยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับตัวให้ทันโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะ LINE ไม่ใช่แค่
แพลตฟอร์มแชท แต่คือ Open Platform ที่เปิดกว้างให้ธุรกิจสามารถออกแบบ Customer Experience ได้อย่างไร้ขีดจำกัด รองรับการเชื่อมต่อและต่อยอดกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดการหลังบ้าน ระบบ CRM หรือ Marketing Automation ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ ทำให้ LINE กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจสามารถสร้างการสื่อสารที่ทรงพลัง เชื่อมต่อกับลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง และเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทุกสภาพเศรษฐกิจ
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 และงวด 6 เดือน ปี 2568 โดยธนาคารและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิ 5,004 ล้านบาท ในไตรมาส 2 รวม 6 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 10,100 ล้านบาท ยังคงเน้นย้ำการมีประสิทธิภาพด้านต้นทุนเพื่อลดผลกระทบจากแรงกดดันด้านรายได้และรักษาความสามารถในการทำกำไร ด้านอัตราส่วนหนี้เสียลดลงมาอยู่ที่ 2.73% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพทรงตัวในระดับสูงที่ 149% สะท้อนแนวโน้มด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพและบริหารจัดการได้ตามเป้าหมาย
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก อย่างไรก็ดีจากการที่ทีทีบีเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบมาโดยตลอด จึงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีความพร้อมในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ และสามารถดำเนินการตามแผนงานด้านต่าง ๆ ได้ตามเป้าหมาย สิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ยังคงเป็นเรื่องของการให้ความช่วยเหลือลูกค้า การเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นตามแผนบริหารส่วนทุน และการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ให้มีเสถียรภาพท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ กำไรสุทธิ 5,004 ล้านบาท ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบแล้วจะเห็นว่าปรับตัวลดลง 2% จากไตรมาสก่อน และลดลง 7% จากไตรมาส 2 ปี 2567 การลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย และสะท้อนผลจากการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้าภายใต้โครงการต่าง ๆ นำโดยโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 มีลูกค้าทั้งรายย่อยและ SMEs เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 54,000 ราย หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อราว 31,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรแกรมปรับโครงสร้างหนี้รูปแบบอื่น ๆ เพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ซึ่งหนึ่งในโครงการที่เราได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บริการ “รวบหนี้” ซึ่งมีลูกค้าเข้าร่วมกว่า 53,650 ราย ในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจาก 37,470 ราย ในปี 2567 และ 17,000 รายในปี 2566 หรือเทียบเท่ากับว่าสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้กว่า 2,510 ล้านบาท โดยล่าสุดธนาคารได้เปิดตัวโปรแกรมใหม่ “ผ่อนดี มีรางวัล” เพื่อตอบแทนกลุ่มลูกค้าสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และสินเชื่อบุคคล ที่มีวินัยทางการเงินและมีประวัติการผ่อนชำระอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับความคืบหน้าของแผนการบริหารส่วนทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นนั้น ณ สิ้นไตรมาส 2 ธนาคารเสร็จสิ้นการซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมเดินหน้าสร้างความร่วมมือระหว่างกันเพื่อต่อยอด Wealth Ecosystem เพื่อพัฒนาการให้บริการอย่างครบวงจร ด้านโครงการซื้อหุ้นคืน ดำเนินการไปแล้วกว่า 3,876 ล้านบาท จากกรอบงบประมาณ 7,000 ล้านบาท ในปี 2568 นี้
ท้ายสุดในเรื่องของการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ เป็นสิ่งที่ทีทีบีเน้นย้ำมาตลอดและสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ตามเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและยาว โดยหากมองในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ทีทีบีสามารถควบคุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ให้ทรงตัวที่ 2.6% - 2.7% ถือเป็นหนึ่งในธนาคารที่มี NPL ratio ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม และหากมองภาพระยะยาวนับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 ธนาคารสามารถลดยอดหนี้เสียได้ราว 12% จากประมาณ 44,000 ล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 39,000 ล้านบาท สะท้อนผลสำเร็จจากการบริหารจัดการเชิงรุกและการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ รวมไปถึงการแก้หนี้เสียเชิงรุกและการช่วยลูกค้าแก้ปัญหาหนี้อย่างเหมาะสม ซึ่งส่งผลให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ลดลงและพอร์ตสินเชื่อมีคุณภาพดีขึ้น
สำหรับช่วงที่เหลือของปี ธนาคารจะยังคงเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบต่อไป เพื่อรักษาเสถียรภาพและความแข็งแกร่งทางการเงินควบคู่กับการบริหารจัดการด้านต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการกำไร ทั้งนี้ ด้วยฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ธนาคารมั่นใจว่าจะสามารถคงอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงได้แม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดก็ตาม ขณะที่ประเมินว่าโครงการซื้อหุ้นคืน 3 ปี วงเงิน 21,000 ล้านบาท จะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาดทุนที่มีต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้นได้เช่นกัน
ในประการสำคัญ ธนาคารยังคงสนับสนุนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 2 รวมทั้งโครงการอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืน และแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารในการทำให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น”
รายละเอียดผลการดำเนินงานรายการหลัก ๆ ในไตรมาส 2 และงวด 6 เดือน ปี 2568 มีดังนี้
สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 1,206 พันล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568 (QoQ) และชะลอลง 2.8% จากสิ้นปี 2567 (YTD) เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบและการชำระคืนหนี้ของลูกค้า โดยธนาคารยังคงดำเนินการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปยังกลุ่มสินเชื่อรายย่อยเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทน ผ่านการนำเสนอสินเชื่อให้กับกลุ่มลูกค้า Ecosystem ได้แก่ กลุ่มคนมีบ้าน คนมีรถ พนักงานเงินเดือน และลูกค้า Wealth ส่งผลให้สินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้านแลกเงิน (+2% QoQ) สินเชื่อเล่มแลกเงิน (+15% QoQ) และบัตรเครดิต (+1% QoQ)
ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,289 พันล้านบาท ลดลง 0.7% QoQ และ 3.0% YTD สอดคล้องกับทิศทางสินเชื่อและเป็นไปตามแผนบริหารสภาพคล่อง โดยการลดลงส่วนใหญ่มาจากกลุ่มเงินฝากประจำระยะยาวที่ครบกำหนด ทั้งนี้ จากการปรับกล
ยุทธ์เชิงผลิตภัณฑ์เพื่อขยายฐานลูกค้า Wealth ส่งผลให้เงินฝากกลุ่มบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศและเงินฝากไม่ประจำ ttb no-fixed ขยายตัวได้ดี ด้านอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) ซึ่งสะท้อนสถานะสภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 94% ยังคงสร้างความยืดหยุ่นในการบริหารต้นทุนทางการเงินในระยะถัดไป
ในด้านรายได้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 2 ปี 2568 ปรับตัวดีขึ้น 9.1% QoQ หนุนโดยการฟื้นตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมแบงก์แอสชัวรันส์จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และรายได้อื่น ๆ เช่น เงินปันผล อย่างไรก็ดี รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 3.6% QoQ จากอัตราผลตอบแทนที่ลดลงตามการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้าส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 16,381 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2568 ชะลอลง 1.0% QoQ และรายได้จากการดำเนินงานรวม 6 เดือน อยู่ที่ 32,934 ล้านบาท ลดลง 6.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน อยู่ที่ 7,271 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2568 เพิ่มขึ้น 2.4% QoQ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่าย one-time เกี่ยวกับการ write-off ระบบไอที รวม 6 เดือน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 14,369 ล้านบาท ยังคงลดลง 2.1% YoY ขณะที่อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้รอบ 6 เดือน ปี 2568 อยู่ที่ 43.7% เป็นไปตามเป้าหมาย และสะท้อนกลยุทธ์การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับการตั้งสำรองฯ มีจำนวน 4,294 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2568 ลดลง 6.2% QoQ รวม 6 เดือน ตั้งสำรองฯ ทั้งสิ้น 8,874 ล้านบาท ลดลง 14.6% จากปีก่อนหน้า สะท้อนคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่ดีขึ้น โดยหนี้เสียอยู่ที่ 39,164 ล้านบาท ลดลง 0.9% QoQ และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงมาอยู่ที่ 2.73% อย่างไรก็ดี แม้ตั้งสำรองฯ ลดลง แต่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพยังคงทรงตัวในระดับสูงที่ 149%
หลังจากหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2568 ที่ 5,004 ล้านบาท ลดลง 1.8% จากไตรมาสก่อนหน้า รวม 6 เดือนแรกของปีมีกำไรสุทธิ 10,100 ล้านบาท ลดลง 6.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ท้ายสุดด้านฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 อัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) อยู่ที่ 20.0% และ 17.8% ตามลำดับ ยังคงสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1
จากแนวคิดและจุดร่วมเดียวกัน คือความเชื่อในพลังของการเรียนรู้ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จึงได้ร่วมกันจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ TU Co-Learning Space by PTG ต้นแบบแห่งการเรียนรู้นอกห้องเรียน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและร้านอาหารที่ได้มาตรฐานในเครือพีทีจี โดยร่วมกันออกแบบหลักสูตรการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) นอกห้องเรียน ที่เชื่อมโยงประสบการณ์จริง เพื่อเสริมสร้างศักยภาพสำหรับการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา และพัฒนาทักษะสู่การเป็นผู้ประกอบการในอนาคต
ดร.บุณยพงศ์ โพธิวัฒน์ธนัต ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เปิดเผยว่า "ศูนย์การเรียนรู้ 'TU Co-Learning Space by PTG' เป็นพื้นที่เรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่ผสมผสานระหว่างการเรียนในโรงเรียนกับโลกการทำงานจริง นักเรียนจะได้ฝึกคิด ฝึกทำ ได้พบกับผู้เชี่ยวชาญ และสถานการณ์จริง เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นในอนาคต เช่น การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม พร้อมทั้งได้รับความรู้และแรงบันดาลใจจากบรรยากาศและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย สะอาด สวยงาม และปลอดภัย เอื้อต่อการทำกิจกรรมและช่วยให้การเรียนรู้น่าสนใจยิ่งขึ้น โครงการนี้จะช่วยให้นักเรียนคิดเป็น กล้าทดลอง กล้าผิดพลาด และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง คุณครูมีเครื่องมือใหม่ในการสอน ผู้ปกครองเห็นพัฒนาการของลูก และนักเรียนจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากโครงการนี้ ขอขอบคุณ พีทีจี ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของเด็ก ๆ เตรียมอุดมศึกษา ครูทุกท่านที่พร้อมจะเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับนักเรียน ผู้ปกครองที่ให้การสนับสนุนโครงการนี้ และนักเรียนทุกคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดโครงการนี้ วันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่เรากำลังร่วมกันสร้างอนาคตที่สดใสให้กับการศึกษาไทยต่อไป ![]()
คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "การสร้างโอกาสและการพัฒนาคนคุณภาพเพื่อส่งผลเชิงบวกต่อสังคม คือหัวใจสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในครั้งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของพีทีจี ที่มุ่งมั่นให้ทุกคนในสังคมได้เข้าถึงชีวิตที่ ‘อยู่ดี มีสุข’ ผ่านโครงการหลากหลาย อาทิ 'พีที ค่ายอาสา ทำจริงไม่ทิ้งกัน' ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมการศึกษาในหลายพื้นที่ ตลอดจนความร่วมมือกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสนับสนุนพื้นที่ CBS Lounge ศูนย์การเรียนรู้ธุรกิจแบบบูรณาการเพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้กระบวนการดำเนินธุรกิจ ผ่านการฝึกปฏิบัติงานจริงและพัฒนาทักษะการบริหารจัดการ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนก้าวสู่โลกการทำงานจริง
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ขยายโลกทัศน์ของนักเรียนไทย เปิดโอกาสให้เรียนรู้แบบผสมผสานระหว่างความรู้ทางวิชาการและทักษะชีวิต ด้วยพื้นที่ที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะอย่างครบถ้วน ทั้งด้านวิชาการและทักษะชีวิตในโลกยุคใหม่ ส่งเสริมให้นักเรียนได้ค้นหาความชอบ ค้นพบความถนัด พร้อมเสริมศักยภาพสำหรับการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมอย่างมั่นใจในการก้าวสู่บทบาทผู้บริหารหรือผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในอนาคต”
![]()
ภายในงานยังมีกิจกรรม Mini Talk ในหัวข้อ “Beyond Classroom – เมื่อการเรียนไม่ใช่แค่เพื่อสอบ” จาก คุณปรเมษฐ์ สงวนโชควณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานกลยุทธ์และบริหารการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา รุ่น 63 มาร่วมเปิดมุมมองการเรียนรู้และแชร์ประสบการณ์ ว่า “การได้เรียนรู้และทดลองประสบการณ์ที่หลากหลาย จะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร การลงมือปฏิบัติในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง มีส่วนช่วยให้เราค้นพบเส้นทางที่เหมาะสมกับตนเอง เหมือนอยู่ใน Small Village ที่ทุกคนในโลกเชื่อมโยงกัน เช่นเดียวกับ Co-Learning Space แห่งนี้ ที่มีจุดเริ่มต้นจากโมเดลการเรียนรู้ 70:20:10 โดย 10% เกิดจากทฤษฎีหรือห้องเรียน 20% มาจากการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น และ 70% มาจากประสบการณ์จริง ดังนั้นเราจึงร่วมกันออกแบบสภาพแวดล้อมให้สวยงาม ปลอดภัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการทำกิจกรรมนอกห้องเรียน รวมถึงพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ในรูปแบบ Active Learning โดยมีนักเรียนเป็นศูนย์กลางสามารถแบ่งกิจกรรมออกเป็น 3 ทิศทางหลักๆ คือ ทาง พีทีจี เป็นผู้ดูแล เช่น การจัด Restaurant Tour มี Open House เปิดบ้านให้น้อง ๆ ได้ทดลองบริหารจัดการธุรกิจในแบรนด์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กาแฟพันธุ์ไทย คอฟฟี่เวิลด์ ซับเวย์ และพลีส โยเกิร์ต หรือหากคุณครูต้องการจัด Workshop ให้นักเรียนได้ฝึกฝนทักษะใดเพิ่มเติม พีทีจี ก็ยินดีสนับสนุนอย่างเต็มที่ หรือในส่วนของน้อง ๆ เอง ต้องการติวเตอร์ช่วงสอบ หรือสนใจผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาการใด ๆ พีทีจีก็พร้อมสนับสนุนให้ได้เช่นกัน
เพราะเราอยากให้พื้นที่นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแรงบันดาลใจ เป็นพื้นที่แห่งโอกาสให้ทุกคนได้เรียนรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์จริง ได้ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ เรียนรู้การแก้ปัญหา พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด อยากให้น้องค่อย ๆ สร้างความเข้าใจและเชื่อมโยงประสบการณ์ เมื่อถึงเวลาต้องเผชิญสถานการณ์จริง จะสามารถดึงศักยภาพของตนเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ และสิ่งสำคัญคือต้องมีทักษะการเป็นนักเรียนไปตลอดชีวิต ตั้งคำถามให้เยอะ หาคำตอบให้ได้ มองระบบให้ออก มองโลกให้ลึก เพราะคนที่ไม่หยุดเรียนรู้จะเติบโตและประสบความสำเร็จในโลกแห่งการทำงานจริงได้อย่างแข็งแรง”
น้องโอม - นายภารินทร์ ศรีประทีปกุล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ร่วมแชร์ประสบการณ์การเรียนรู้นอกห้องเรียนว่า “ผมมีโอกาสได้รับมอบหมายให้นำสินค้าไปขายในโรงอาหาร เพื่อหารายได้ไปจัดกิจกรรมงานวันเกิดของโรงเรียน กิจกรรมนี้ไม่ได้เป็นแค่การขายของ แต่เป็นห้องเรียนชีวิตที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ทักษะหลายอย่าง ทั้งด้านการตลาด ได้ลองโปรโมทสินค้าผ่านโปสเตอร์ในโรงเรียนและโพสต์ลง Social Media เพื่อให้คนรู้จักและเพิ่มยอดขาย มีการคำนวณต้นทุน ลองตั้งราคาที่มีมาร์จิ้นพอจะได้กำไรไปจัดกิจกรรม แต่ก็ต้องไม่สูงเกินกว่าที่เพื่อน ๆ จะซื้อได้ มีการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นความสนใจของลูกค้า มีการทำงานเป็นทีม แบ่งหน้าที่ชัดเจน แต่ก็พร้อมช่วยเหลือกัน จึงได้เรียนรู้ว่าการสื่อสารนั้นสำคัญมาก นอกจากนี้ยังได้ฝึกทักษะการบริหาร การวางแผน การตั้งเป้ายอดขายแต่ละวัน การรวบรวมเงินมาคำนวณรายรับรายจ่าย ทำให้ได้เรียนรู้การจัดการมากขึ้น ในอนาคตผมมีความตั้งใจจะเปิดร้านอาหารของตัวเอง เพราะรู้สึกว่าอาหารบางร้านอร่อย ราคาก็คุ้มค่า แต่กลับไม่ค่อยมีคนรู้จัก เพราะอาจยังขาดเรื่องการตลาดและประชาสัมพันธ์ที่ดี และที่สำคัญผมมีเพื่อนที่บ้านทำร้านอาหารอยู่หลายคน ทำให้ผมคิดว่าน่าจะใช้ Connection ตรงนี้ไปขอคำปรึกษาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้”
น้องนุ๊กนิ๊ก - นางสาวระวิพัชร์ แสงวันดี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ร่วมแชร์หลักสูตรวิชาในฝันและความตั้งใจในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมว่า “หนูมองว่า การเงิน เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ในปัจจุบันยังแทบไม่มีวิชาลักษณะนี้สอนในโรงเรียนมากเท่าที่ควร หลายคนต้องเจอกับปัญหาการเงินโดยไร้เข็มทิศ ไม่มีผู้แนะนำหรือวางแผนอนาคต ได้แต่ลองผิดลองถูก เพราะแบบนี้เองหนูจึงอยากให้มีวิชา การเงินในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้พวกเราเรียนรู้การวางแผนการใช้จ่าย การออม รวมถึงการบริหารจัดการในชีวิตจริง อีกวิชาที่หนูอยากให้มีคือ วิชาธุรกิจปฏิบัติจริง วิชานี้เหมาะกับคนที่มีฝันอยากสร้างธุรกิจของตัวเอง เปิดโอกาสให้เราคิดวางแผน ลงมือทำธุรกิจจริง เห็นทั้งความสำเร็จ และบทเรียนจากความผิดพลาด ได้ฝึกตัดสินใจ ได้สื่อสารจริงจัง และที่สำคัญยังได้ไปปรึกษาครูผู้สอน เพื่อนำประสบการณ์ทั้งหมดไปพัฒนาต่อเมื่อเราโตขึ้น และความฝันที่ยิ่งใหญ่ของหนูคือการเปิด มูลนิธิการศึกษา เพราะยังมีอีกหลายคนที่ยังขาดโอกาสตรงนี้ ถ้ามีโอกาสหนูอยากนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้ ไปช่วยคนที่ขาดแคลน หนูเชื่อว่าการศึกษาสามารถเปลี่ยนชีวิต
ผู้คน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และช่วยขยายโอกาสในการเลือกทางเดินและกำหนดอนาคตของตัวเองได้”
ก.ล.ต. อนุมัติแบบไฟลิ่งเสนอขายหุ้นกู้บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2568 อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2570 อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 7.40 ต่อปี ชนิดระบุผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 150 ล้านบาท พร้อมแต่งตั้ง Bluebell และ MPS ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ กำหนดวันจองซื้อ 22–24 กรกฎาคม 2568 เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการบนทำเลศักยภาพ และ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนโดยการชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมตามกำหนดก่อนเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่
นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบในเขตชานเมืองกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้รับการอนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน ครั้งที่ 2/2568 อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2570 ชนิดระบุผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.40% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายไม่เกิน 150 ล้านบาท จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่
![]()
ด้านวัตถุประสงค์การระดมทุน เพื่อใช้ในการลงทุนสำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทั้งในส่วนของการก่อสร้างบ้าน และ ก่อสร้างระบบสาธารณูโภค โดยทั้งหมดเป็นโครงการบนทำเลที่มีศักยภาพสูง ซึ่งปัจจัยสนับสนุนในด้านความต้องการที่อยู่อาศัยของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวของเมือง ที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐาน สถานพยาบาล และ ธุรกิจการดูแลสุขภาพครบครัน อีกทั้งเพื่อเป็นเงินค่าใช้จ่ายในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการขยายตัวอย่างยั่งยืนของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายจำนวน 2 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โดยมีช่วงจองซื้อระหว่างวันที่ 22–24 กรกฎาคม 2568 และเสนอขายในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมแผนการชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ก่อนการเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ จากความสามารถในการบริหารต้นทุนและกระแสเงินสดอย่างรัดกุม อีกทั้งยังมีทรัพย์สินเพื่อสภาพคล่องสำรองที่พร้อมใช้ในกรณีจำเป็น เช่น ที่ดินทำเลคุณภาพจากแผนการลงทุนของบริษัทฯ ซึ่งสามารถพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าหรือจำหน่ายเพื่อเสริมสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่พึ่งพาการออกหุ้นกู้ชุดใหม่แต่อย่างใด
KUN ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบบนทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น บางบัวทอง, พระราม 2 และ รังสิต ซึ่งเป็นทำเลต่อเนื่องจากการขยายตัวของเมือง และ เชื่อมโยงกับโครงข่ายคมนาคมหลัก โดยบริษัทฯมองเห็นโอกาสนี้ล่วงหน้าและวางแผนการลงทุนที่ดินในระยะยาว สามารถสร้างเพิ่มศักยภาพในการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีโครงการที่บริษัทกำลังพัฒนา ได้แก่ โครงการคุณาลัย เพอร์ร่า, โครงการนาวาร่า พระราม 2, โครงการนาวาร่า รังสิต – คลอง 2 ซึ่งได้รับความสนใจจากตลาดอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นได้สูงถึง 35–40% อีกทั้งยังมีการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณด้านหน้าโครงการ เพื่อสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เพิ่มเติมในระยะยาว
“บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในลักษณะ ‘สร้างเมือง สร้างชุมชน’ โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และ มีความคุ้มค่าในลงทุน ซึ่งบ้านทุกหลังของ KUN จะไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในชุมชนที่น่าอยู่ และ เข้าถึงได้ในราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยบริเวณนอกเมือง ที่มีความสงบและเป็นส่วนตัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบโครงสร้างพื้นฐานและการดูแลสุขภาพครบครัน แต่ยังสามารถเดินทางเข้าเมืองได้อย่างสะดวกสบาย” นางประวีรัตน์ กล่าว
ซัมซุง และ การบินไทย ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ เดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ของการเดินทางและไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ภายใต้พันธกิจร่วมกันในการเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับประสบการณ์ผู้บริโภคอย่าง ไร้รอยต่อ (Seamless Experience) โดยความร่วมมือระหว่างสองแบรนด์ผู้นำของประเทศไทยในครั้งนี้มุ่งเน้นการพัฒนา Digital Ecosystem ที่ตอบโจทย์ลูกค้าของการบินไทย โดยเปิดตัวความสามารถใหม่ในการเข้าถึง Boarding Pass ผ่าน Samsung Wallet ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของการบินไทยที่นำระบบดังกล่าวมาใช้ เพื่อเพิ่มความสะดวก ความปลอดภัย และความทันสมัยให้กับผู้โดยสารในยุคดิจิทัล
![]()
นายสิทธิโชค นพชินบุตร ประธานองค์กรธุรกิจโมบายล์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “ซัมซุงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คน และความร่วมมือกับการบินไทยในครั้งนี้ สะท้อนถึงแนวทางการขับเคลื่อน Smart Travel Experience ที่แท้จริง เราเชื่อว่าการเชื่อมโยง Samsung Wallet เข้ากับระบบของสายการบินชั้นนำของไทยอย่าง การบินไทย จะช่วยมอบประสบการณ์ที่ลื่นไหล ปลอดภัย และทันสมัยให้กับผู้โดยสาร พร้อมเป็นอีกก้าวของการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่มีความหมายต่อสังคมไทย”
นายทวิโรจน์ ทรงกำพล ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การบินไทยให้ความสำคัญกับการยกระดับประสบการณ์ของผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง และการร่วมมือกับซัมซุง ในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนองค์กรสู่ดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยกระดับประสบการณ์ใหม่ด้วยความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับบัตรโดยสาร Boarding Pass ผ่าน Samsung Wallet ที่จะช่วยให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ จากระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM)
สำหรับ Samsung Wallet คือแอปกระเป๋าเงินดิจิทัลแบบครบวงจรที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นบัตรที่นั่ง ดิจิทัลคีย์ บัตรสมาชิก รหัสผ่าน ที่อยู่ ตั๋ว หรือบัตรของขวัญ โดยมีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงผ่านไบโอเมตริกซ์ ทั้งยังรองรับฟีเจอร์ล้ำสมัยอย่างการปลดล็อกและสตาร์ทรถด้วยเทคโนโลยี UWB รวมถึงค้นหาข้อเสนอและโปรโมชันจากร้านค้าชั้นนำได้ภายในแอปเดียว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลในทุกวันอย่างไร้รอยต่อ โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/support/apps-services/learn-more-about-samsung-wallet/
นอกจากนี้ ทั้งสององค์กรยังร่วมมือกันในด้านระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) เพื่อมอบข้อเสนอพิเศษ สิทธิประโยชน์ และโปรโมชันที่ตรงใจแก่ผู้ใช้งานจากทั้งสองฝ่าย ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนจุดยืนของทั้งสองแบรนด์ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและบริการเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม
จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย คว้า 2 รางวัล “แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของไทย” ประจำปี 2025 (Marketeer No.1 Brand Thailand 2025) จาก Marketeer Group สำนักข่าวการตลาดชั้นนำของประเทศ ตอกย้ำความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคทั้งสาขาแพลตฟอร์มสั่งอาหารเดลิเวอรียอดนิยม (Food Delivery Platform) ซึ่ง GrabFood ได้รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และสาขาแอปพลิเคชันเรียกรถยอดนิยม (Ride-hailing App) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก
ทั้งนี้ งานมอบรางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2025 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 โดย บริษัท มาร์เก็ตเธียร์ จำกัด และ บริษัท มาร์เก็ตติ้งมูฟ จำกัด ภายใต้การนำของศาสตราจารย์วิทวัส รุ่งเรืองผล ภาควิชาการตลาด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งได้ทำการศึกษาวิจัยและสำรวจความนิยมของผู้บริโภคทั่วประเทศกว่า 6,500 กลุ่มตัวอย่างที่มีต่อแบรนด์ต่างๆ ครอบคลุมใน 11 หมวดผลิตภัณฑ์ เพื่อเฟ้นหา 90 แบรนด์สินค้าและบริการชั้นนำที่ครองความเป็นที่หนึ่งในใจผู้บริโภค ทั้งในด้านคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ การตลาด ตลอดจนการมีความรับผิดชอบต่อสังคม
‘กรุงศรี ออโต้’ ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) นำโดย นายคงสิน คงคา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำการเป็นที่หนึ่งในใจผู้ใช้รถ ด้วยการคว้ารางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อรถและสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ จากวารสารการเงินธนาคาร ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ณ ห้องรีเจนซี่ บอลรูม โรงแรมไฮแอท รีเจนซี กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา
รางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อรถและสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ประจำปี 2568 ที่กรุงศรี ออโต้ ได้รับ ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำและความแข็งแกร่งของทีมกรุงศรี ออโต้ ที่ดำเนินงานด้วยความเข้าใจและเข้าถึงความต้องการของผู้ใช้รถอย่างแท้จริง ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ดีของแบรนด์ (Brand Experience) ภายใต้นโยบายการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการสร้างคุณค่าร่วมต่อพนักงาน ลูกค้า สังคม รวมถึงผู้ถือหุ้น (Creating Shared Value through 4WINS) ที่เน้นการแก้ไขปัญหาสังคมพร้อมกับการสร้างกำไรที่ยั่งยืน พร้อมกับการสร้างแบรนด์ยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยลูกค้า (Customer-Centric Brand Evolution) ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมใช้ข้อมูลเชิงลึกมาวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อออกแบบแคมเปญ และการมอบสัญญาที่ทำได้จริง ผ่านบริการที่รวดเร็วและโปร่งใส เสมอมา
การจัดอันดับธนาคารยอดเยี่ยมด้านสินเชื่อรถและสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เป็นผลสำรวจจากวารสารการเงินธนาคาร ที่ร่วมมือกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัย สวนดุสิต ในการสำรวจความคิดเห็นของผู้สมัครและขอใช้บริการทางการเงินและการลงทุนภายในงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 25 (Money Expo 2025 Bangkok) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 -18 พฤษภาคม 2568 และงานมหกรรมการเงินภูมิภาครวม 7 ครั้ง เพื่อคัดเลือกองค์กรและบุคลากรที่มีผลงานโดดเด่น เป็นแบบอย่างของความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจ และมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน