December 19, 2025

การแข่งขัน “3M Inspire Challenge 2022” ในรอบชิงชนะเลิศของประเทศไทยได้สิ้นสุดลงพร้อมผู้ชนะในระดับประเทศ (Country Champion) ที่จะเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันรอบสุดท้ายในระดับเอเชียแปซิฟิกกับอีก 8 ประเทศ 

โดยทีมผู้ชนะเลิศระดับประเทศของประเทศไทย ได้แก่ ทีม X-Cure Me ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาระดับปริญญาตรี 4 คนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทีม X-Cure Me สามารถเอาชนะผู้เข้าแข่งขันอีก ทีม และพิชิตเงินรางวัล 2,000 เหรียญสหรัฐฯ รวมทั้งโอกาสในการฝึกงานที่สำนักงาน 3เอ็ม ประเทศไทย

นางสาวณัฐพัชพร ทิพยจินดากุล หนึ่งในสมาชิกของทีม X-Cure Me ได้กล่าวถึงไอเดียสร้างสรรค์ที่ทำให้ชนะคู่แข่งทีมอื่นๆ ว่า “ด้วยความเชื่อมั่นว่าความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ สามารถนำมาต่อยอดในการยกระดับธุรกิจ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้ เราจึงได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ X-Cure Me แผ่นเจลประคบเย็นซิลิโคน ที่ลดขั้นตอนการใช้งานให้สะดวกยิ่งขึ้น ไม่ต้องอาศัยผ้าพันเพื่อยึดติดกับร่างกาย พร้อมทั้งยังสามารถเปลี่ยนรูปทรงเป็นตัว เพื่อสามารถยึดติด และบรรเทาอาการบริเวณข้อต่อได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญคือด้วยวัสดุประเภทซิลิโคน ทำให้ผลิตภัณฑ์ X-Cure Me สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยอำนวยความสะดวกด้านการรักษาพยาบาล และช่วยลดปริมาณขยะ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคตได้”

โดยสมาชิกทีม X-Cure Me ประกอบด้วย

1.     นางสาวณัฐพัชพร ทิพยจินดากุล สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2.     นายปวิช บูรณารมย์  สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

3.     นางสาวนันทิชา มานะศิลป์  สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

4.     นายอัคคพล ฮุนพงษ์สิมานนท์ สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทีม X-Cure Me ซึ่งสามารถผ่านเข้าไปรอบชิงชนะเลิศในระดับภูมิภาค จะต้องนำเสนอไอเดียต่อคณะกรรมการผ่านช่องทาง Virtual เพื่อชิงตำแหน่ง “แชมป์ระดับภูมิภาค” หรือ Regional Champion” เพื่อโอกาสในการรับเงินรางวัลมูลค่า 5,000 เหรียญสหรัฐฯ

ในส่วนรอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาค ทีม X-Cure Me จะต้องเข้าแข่งขันกับทีมผู้ชนะตัวแทนของประเทศต่างๆ อีก ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ อินเดีย เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งแต่ละทีมจะได้รับคำแนะนำจากทีมเมนเทอร์ผู้เชี่ยวชาญของ 3เอ็ม ที่จะขัดเกลาไอเดียและความคิดสร้างสรรค์เพื่อใช้ในการนำเสนอต่อคณะกรรมการในรอบชิงชนะเลิศต่อไป

นายจิม ฟาลเทอเสค รองประธานอาวุโส ฝ่ายกิจการองค์กร 3เอ็ม ภูมิภาคเอเชียและกรรมการผู้จัดการ 3เอ็ม ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า “โลกของเรานั้นต้องเผชิญกับปัญหาที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น แต่เรายังคงมีความหวังจากไอเดียสุดล้ำหลากหลายไอเดียที่นำเสนอในวันนี้ เวทีในการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์อย่าง 3M Inspire Challenge มีส่วนสำคัญในการปลดล็อคพลังของคน ความคิด และวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราจำเป็นต้องร่วมด้วยช่วยกันในการคิดสิ่งใหม่ๆ และสิ่งที่เป็นไปได้เพื่อสร้างโลกที่เปี่ยมด้วยพลังบวกในอนาคต”

ทีมแชมป์ระดับประเทศพร้อมดวลในรอบตัดเชือกระดับภูมิภาค

การแข่งขัน 3M Inspire Challenge 2022 รอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาคจะจัดขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน โดยทีมแชมป์ระดับประเทศทั้ง ทีมจะแข่งขันกันแสดงศักยภาพในการนำเสนอไอเดียและแผนธุรกิจ เพื่อเอาชนะใจคณะกรรมการที่ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากหลากหลายวงการ

คณะกรรมการในการตัดสินประกอบด้วย:

·      จิม ฟาลเทอเสค รองประธานอาวุโส ฝ่ายกิจการองค์กรของ 3เอ็ม ภูมิภาคเอเชีย และกรรมการผู้จัดการของ 3เอ็ม ประเทศเกาหลี

·      บาลบีร์ แบลสสีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา 3อ็ม เอเชีย

·      สเตลล่า ฮวง ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ทรัพยากรบุคคล 3อ็ม เอเชีย และกลุ่มประเทศจีน

·      เมเบล โลว์ ผู้อำนวยการ การตลาดของกลุ่มธุรกิจยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ในเอเชีย

·      จาลาจา เมนน TCOE Operation Leader 3เอ็ม ประเทศอินเดีย

LINE MAN Wongnai เผยเทรนด์ฟู้ดเดลิเวอรีที่น่าจับตาในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา จากฐานข้อมูลร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยจำนวนกว่า 900,000 ร้านบนแอปพลิเคชัน Wongnai และผู้ใช้บริการเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN ทั่วประเทศไทยกว่า 10 ล้านคน

ร้าน Street Food ยืนหนึ่ง! เปิดใหม่ต่อเนื่องโตกว่าเดิมถึง 12%

ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สถิติร้านอาหารประเภท Street food หรือ Food Stand ที่เปิดใหม่มีจำนวนเพิ่มขึ้น 1,203 ร้าน หรือคิดเป็น 12%* อันดับที่สองคือร้านปิ้งย่างที่เปิดเพิ่มเป็นจำนวน 672 ร้าน หรือคิดเป็น 7.10%* และตามมาด้วยร้านอาหารเกาหลีเปิดเพิ่มขึ้น 214 ร้าน หรือคิดเป็น 14.11%* ชี้ให้เห็นว่าเทรนด์ของร้านอาหารประเภทที่เหมาะกับการนั่งรับประทานที่ร้านอย่างอาหารแนวปิ้งย่างหรืออาหารเกาหลีเริ่มกลับมาแล้ว ในขณะที่จำนวนร้านอาหารเปิดใหม่ประเภทอาหารจานเดียว ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง และอาหารอีสาน ค่อนข้างอยู่ตัวและมีจำนวนน้อยลง

*ข้อมูลเทียบจากจำนวนร้านเปิดใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2021 พบว่า เมนูยอดฮิตอาหารอีสานครองแชมป์คนสั่งกินกลางวัน-เย็น!

ในส่วนของเมนูยอดนิยมจากสถิติการออเดอร์ พบว่า

· ช่วงเช้า 6.00-9.00 น. คนส่วนใหญ่นิยมสั่งอาหารจานเดียว รสไม่จัด และเครื่องดื่ม สำหรับเป็นมื้อเริ่มต้นวัน เช่น ข้าวมันไก่ ต้มเลือดหมู ข้าวขาหมู โจ๊กหมู หมูปิ้ง และเครื่องดื่มอย่างกาแฟเอสเพรสโซ่ ชาเขียว คาปูชิโน ชานม และช็อคโกแลต ได้รับความนิยมอย่างมาก

· ช่วงกลางวัน 11.00-13.00 น. อาหารอีสานเป็นเมนูยอดฮิต เช่น ส้มตำปูปลาร้า, ข้าวผัด, ส้มตำป่า/ส้มตำไทย, ข้าวมันไก่, ลาบหมู และข้าวขาหมู

· ช่วงเย็น 16.00-20.00 น. ยังคงโดดเด่นด้วยเมนูอาหารอีสานอย่าง ส้มตำปูปลาร้า, ลาบหมู, ส้มตำป่า/ส้มตำไทย, คอหมูย่าง, ข้าวผัด และน้ำตกหมู

ชี้คนไทยติดฟู้ดเดลิเวอรี นิยมสั่งตลอดวัน เช้า-ดึก

ในช่วงปีที่ผ่านมาคนไทยเริ่มนิยมสั่งอาหารแบบเดลิเวอรีมากขึ้นเพราะสะดวกสบาย สั่งได้ง่าย สั่งได้ทั้งวัน จะเห็นได้ว่าช่วงเวลา Peak Hours ที่คนนิยมสั่งอาหารจะเริ่มเช้าขึ้น คนจะเริ่มสั่งกันตั้งแต่ 9.00 จนถึง 13.00 น.

ค่อย ๆ ดรอปลงมาในช่วง 15.00 - 16.00 น. และเริ่มพีคขึ้นมาอีกครั้งในช่วงเย็น 17.00 - 18.00 น. โดยภาพรวมของปริมาณการสั่งเดลิเวอรียังคงมากกว่าในปี 2021 และความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนคือปี 2022 คนเริ่มสั่งอาหารดึกขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึงถึงตี 1 ตี 2 คาดว่าเพราะการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ทำให้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติ และการแข่งขันเกมส์กีฬาบางประเภทที่ออกอากาศในช่วงดึกก็อาจมีผลให้คนเลือกสั่งอาหารมารับประทานขณะรับชมด้วยเช่นกัน

ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาจะเห็นว่า ‘ฟู้ดเดลิเวอรี’ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันคู่คนไทยไปแล้ว และคนไม่ได้เลือกสั่งแค่ช่วงมื้ออาหารเพียงอย่างเดียว แต่สั่งตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นไปจนถึงช่วงดึก โดยข้อมูลเทรนด์ร้านอาหารจาก LINE MAN Wongnai จะช่วยให้ร้านอาหารสามารถปรับตัวเพื่อเตรียมรับมือและกำหนดทิศทางการทำธุรกิจได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น

กรุงเทพฯ 31 ตุลาคม 2565 : TPIPL เตรียมออกหุ้นกู้ 3 ชุด อายุ 4 ปี ดอกเบี้ย 4.25% ต่อปี อายุ 4 ปี 3 เดือน ดอกเบี้ย 4.32% ต่อปี และอายุ 5 ปี ดอกเบี้ย 4.50% ต่อปี เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 9-11 และ 14 พ.ย.นี้ ผ่านสถาบันการเงินผู้จัดจำหน่าย 18 แห่ง เผยหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2565 ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “Positive” สะท้อนผลการดำเนินงานที่ดีกว่าที่คาด รวมถึงโอกาสในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและอาเซียน มั่นใจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สามารถเข้าถึงหุ้นกู้ในระดับที่ “กลุ่มระดับลงทุน” (Investment Grade) ภายใต้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์รวมทั้งผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ ธุรกิจโพลีเมอร์ชนิดพิเศษ (Specialty Polymer) ธุรกิจคอนกรีตผสมเสร็จ และธุรกิจโรงไฟฟ้า (ผ่านบริษัทย่อย) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมที่จะออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวนรวม 3 ชุด วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.25% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 4 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.32% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยจะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน ในระหว่างวันที่ 9-11 และ 14 พฤศจิกายน 2565

สำหรับหุ้นกู้ชุดดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2565 โดยทริสเรทติ้ง ระบุว่า แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จในการเปลี่ยนธุรกิจโพลีเมอร์ (Polymer) ไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและอัตรากำไรที่ดีขึ้นของธุรกิจปูนซีเมนต์ ซึ่งอัตรากำไรจากธุรกิจปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นสูงนั้น เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มราคาขาย และต้นทุนที่ลดลงจากการทดแทนการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินด้วยขยะชุมชนที่บริษัทฯ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

ทริสเรทติ้ง ระบุด้วยว่า คาดว่า บริษัทฯ จะยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ต่อเนื่องไปถึงปี 2566 ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่า หุ้นกู้ TPIPL จะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะผู้ลงทุนทั่วไปที่สามารถเข้าถึงหุ้นกู้อันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “กลุ่มระดับลงทุน” (Investment Grade) ภายใต้

ผลตอบแทนที่น่าพอใจ รวมถึงเป็นการออกและเสนอขายโดยบริษัทฯ ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์ รวมถึงธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ธุรกิจการเกษตร และอื่นๆ ซึ่งมีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตในอนาคต สะท้อนจากผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 12,476 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิสำหรับงวดอยู่ที่ 2,680 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้หุ้นกู้ TPIPL ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนได้อย่างแน่นอน

สำหรับผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ TPIPL จำนวน 18 ราย ประกอบด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส, บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง, บล.หยวนต้า (ประเทศไทย), บล. เมย์แบงก์ (ประเทศไทย), บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.ดาโอ (ประเทศไทย), บล.พาย, บล.เคจีไอ (ประเทศไทย), บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย), บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ , บล.โกลเบล็ก, บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) , บล.เอเชีย เวลท์, บล.ไอ วี โกลบอล , บล.เอเอสแอล และ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท

ปัจจุบัน บมจ. ทีพีไอ โพลีน และบริษัทในเครือประกอบธุรกิจหลัก แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้ (1) ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ ปูนเม็ด ปูนสำเร็จรูป คอนกรีตผสมเสร็จ กระเบื้องคอนกรีต ไฟเบอร์ซีเมนต์ อิฐมวลเบา และสี เป็นต้น (2) ธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่าย โพลีเมอร์ชนิดพิเศษ (Specialty Polymer) กาวน้ำ (EVA Emulsion) กาวผง (EVA Powder) ฟิล์ม Polene Solar ฟิล์ม Vista Solar และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ แอมโมเนียมไนเตรท และกรดไนตริก เป็นต้น (3) ธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงขยะ โรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนทิ้ง โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงงานแปรรูปขยะเป็นเชื้อเพลิงทดแทน โรงงานผลิตเชื้อเพลิงเหลว สถานีให้บริการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (NGV) และโรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรม เป็นต้น และ (4) ธุรกิจการเกษตรและอื่น ๆ ประกอบด้วย (4.1) ผลิตภัณฑ์สำหรับพืช ได้แก่ ปุ๋ยชีวะอินทรีย์ สารปรับปรุงสภาพดิน (4.2) ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ ได้แก่ สารเสริมชีวนะ สำหรับปศุสัตว์และประมง (4.3) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้แก่ Bio Knox สำหรับชงดื่มเพื่อกำจัดเชื้อก่อโรค น้ำยาบ้วนปาก ผลิตภัณฑ์ไมโครมน็อคโซลูชั่น สำหรับพ่นบริเวณที่อยู่อาศัยเพื่อลดเชื้อก่อโรค สบู่เหลว เป็นต้น รวมถึง น้ำดื่มตราทีพีไอพีแอล นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจประกันชีวิตที่ดำเนินการภายใต้บริษัทและบริษัทในเครือทีพีไอโพลีน อีกด้วย

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ TPIPL สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวนการเสนอขายได้ที่ www.sec.or.th และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 18 แห่ง ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป 

 

เนื่องในวันยุติโทษประหารชีวิตสากล (World Day Against the Death Penalty) วันที่ 10 ตุลาคม 2565 คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย (อียู) ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จัดงานแลกเปลี่ยนมุมมองกับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ด้านสิทธิมนุษยชนและทางเลือกอื่น ๆ สำหรับโทษประหารชีวิต

การจัดงานครั้งนี้เน้นย้ำจุดยืนของสหภาพยุโรปในการต่อต้านโทษประหารชีวิตอย่างเต็มกำลัง เพราะการประหารชีวิตถือเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เมื่อตัดสินแล้วไม่สามารถหวนคืนได้ อีกทั้งยังเป็นวิธีป้องปรามอาชญากรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพ งานเสวนานี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ของประเทศไทยในการก้าวเข้าสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิตตามที่ระบุไว้ในแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2562 – 2566)

งานเสวนาภายใต้หัวข้อ “โทษประหารชีวิต: เส้นทางสู่การยกเลิก” (“Death Penalty: The Road to Abolition”) ได้รับความสนใจจากนักศึกษาจำนวนกว่าร้อยคนจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยรามคำแหง และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน นางสาวซารา เรโซอากลี อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กล่าวว่า “สหภาพยุโรปวางการยกเลิกโทษประหารชีวิตไว้ ณ ใจกลางของนโยบายสิทธิมนุษยชนของเรา เพราะเราเชื่อมั่นว่าการยกเลิกโทษร้ายแรงสูงสุดนั้นจำเป็นต่อการค้ำชูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โทษประหารชีวิตถือเป็นการละเมิดสิทธิในชีวิตที่ได้รับการคุ้มครองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เมื่อตัดสินแล้วไม่สามารถกลับคำตัดสินได้ ทั้งยังล้มเหลวในฐานะเครื่องมือป้องกันอาชญากรรมด้วย สหภาพยุโรปดำเนินการทางการทูตอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้พันธมิตรนานาชาติเปิดประเด็นอภิปรายและสร้าง ความตระหนักรู้เกี่ยวกับการยุติโทษประหารชีวิต ดังที่ปรากฏในงานกิจกรรมวันนี้”

นางสาวสุจิตรา แก้วไกร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า “โทษประหารชีวิตไม่ใช่วิธีที่สามารถระงับการกระทำความผิดได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับผลกระทบของโทษประหารชีวิตให้กับประชาชนทุกช่วงวัยจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเยาวชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต่อไป

นางสาวมาร์ตา ซังตูส ไปส์ กรรมาธิการ คณะกรรมการสากลเพื่อการต่อต้านโทษประหาร (International Commission Against the Death Penalty: ICDP) ได้กล่าวคำปราศรัยสำคัญ โดยเน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงระหว่างหลักนิติธรรมและการยกเลิกโทษประหารชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์แนวโน้มการยกเลิกใช้โทษประหาร ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เธอย้ำว่า “ประเทศส่วนใหญ่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะในทางกฎหมาย หรือทางปฏิบัติ และไม่นานมานี้เราก็ได้เห็นความก้าวหน้าอันชัดเจนจากการที่รัฐต่าง ๆ จำนวนมากทยอยออกคำสั่งทางกฎหมายห้ามลงโทษประหารชีวิต และอีกหลายประเทศก็ให้คำมั่นในเป้าหมายเดียวกัน เมื่อมีมาตรฐาน สิทธิมนุษยชนสากลเป็นแนวทางแล้ว การยกเลิกโทษประหารชีวิตทั่วโลกก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมเป็นวิทยากรในการสัมมนาประกอบด้วย นางสาวคาเรน โกเมซ ดุมปิต สมาชิกคณะกรรมการบริหาร เครือข่ายต่อต้านโทษประหารชีวิตแห่งเอเชีย (Anti-Death Penalty Asia Network: ADPAN) และอดีตกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งฟิลิปปินส์ ดร. ขัตติยา รัตนดิลก ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนากระบวนการยุติธรรม สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ดร.มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการจังหวัด อัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงราย และ ดร. เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การสัมมนาในครั้งนี้ มีนางสาวสัณหวรรณ ศรีสด ที่ปรึกษากฎหมาย คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งการสัมมนาได้หยิบยกสถานการณ์ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีแนวโน้มที่สนับสนุนการยกเลิกโทษประหารมาพูดคุย มากกว่าสองในสามของประเทศทั่วโลก รวมถึงทุกประเทศสมาชิกของอียู ได้ยกเลิกการใช้ โทษประหารทั้งในทางกฎหมายหรือทางปฏิบัติแล้ว การสัมมนานี้ยังอภิปรายสถานการณ์โทษประหารชีวิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย กัมพูชาและฟิลิปปินส์ได้ประกาศยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิตอย่างเป็นทางการแล้ว ในขณะที่ลาวและบรูไนได้ยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิตแล้วในทางปฏิบัติ โดยไม่มีการลงโทษประหารชีวิตมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ส่วนมาเลเซียได้ประกาศแผนที่จะนำไปสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ และเมียนมาร์ยังคงมีการประหารชีวิตเกิดขึ้นอยู่ในปี พ.ศ. 2565

นางสาวคาเรน โกเมซ ดุมปิต กล่าวว่า “กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านโทษประหารชีวิตควรจับตามองอย่างใกล้ชิดและตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการกระทำต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดการผกผันของแนวโน้มการยกเลิกโทษประหารทั่วโลก กรณีที่เป็นตัวอย่างได้ดีคือประเทศฟิลิปปินส์ แม้จะให้สัตยาบันต่อพิธีสารเลือกรับของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ฉบับที่ 2 เพื่อการกำจัดการประหารชีวิตแล้ว กลุ่มต่อต้านโทษประหารก็ยังต้องคอยติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เมื่อเร็ว ๆ นี้ เราเห็นการผกผันในภูมิภาคอาเซียน ทั้งการพิจารณาคดีและการสำเร็จโทษประหาร ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อหลักนิติธรรมและการเคารพสิทธิมนุษยชน เราจำเป็นต้องมีความร่วมมือ ข้ามพรมแดนระดับภูมิภาคเกี่ยวกับการผกผันเหล่านี้เพื่อบรรลุการยกเลิกโทษประหารทั่วโลกทั้งในทางกฎหมาย และในทางปฏิบัติ”

ปัจจุบัน ประเทศไทยบัญญัติให้มีบทลงโทษประหารชีวิตใน 60 ฐานความผิด แต่การประหารชีวิตเกิดขึ้นไม่มากนัก ทั้งยังมีข้อจำกัดหลายประการสำหรับนักโทษที่จะถูกตัดสินประหารชีวิต เช่น ข้อยกเว้นตัดสินโทษประหารชีวิตในกรณีหญิงตั้งครรภ์และเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนนักโทษที่ต้องโทษประหารชีวิตในไทยก็ลดลง อย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญติดต่อกันมาเป็นเวลาสามปีแล้ว

งานนี้จัดขึ้นโดยโครงการ European Union Policy and Outreach Partnership โดยการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป

ระยอง – 26 ตุลาคม 2565 - กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) จัดกิจกรรมการประกวดภาพถ่าย “Dow ชวนเที่ยว ป่าชายเลนระยอง” ภายใต้โครงการ Dow & Thailand Mangrove Alliance เชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมถ่ายทอดความงดงามของป่าชายเลนต่าง ๆ ในจังหวัดระยองให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายผ่านภาพถ่าย ชิงรางวัลและใบประกาศเกียรติคุณรวมมูลค่ากว่า 120,000 บาท แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลทั่วไป และภาพถ่ายมุมสูงจากโดรน (ติดต่อขออนุญาตล่วงหน้าจากสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 โทร. 038-020-070) หวังสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพิทักษ์ป่าชายเลนซึ่งช่วยต้านโลกร้อนและลดขยะทะเล ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้โดยสแกน QR Code หรือติดต่อคุณดวงสิทธิ์ ประดิษฐค่าย โทร. 090-9623193 อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. ตั้งแต่วันนี้จนถึง 15 ธันวาคม 2565 และติดตามการประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลทาง Dow Thailand Facebook ในเดือนธันวาคมนี้

SCN ส่งสัญญาณท้ายปี เร่งปิดดีลประมูลงานรับเหมาก่อสร้าง คาดปีนี้ผลประกอบการฟื้นตัว รับอานิสงส์ราคาน้ำมันและค่าไฟขึ้น หลังกำไรสุทธิครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 669% พร้อมส่ง SAP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปลายปี 2566

ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สแกน อินเตอร์ หรือ SCN เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทุกธุรกิจล้วนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจก๊าซ ที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จนทำให้มีความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจ Solar Rooftop ที่น่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากราคาค่าไฟที่สูงขึ้น จนทำให้คาดว่าจะสามารถนำบริษัท สแกน แอดวานซ์ พาวเวอร์ หรือ SAP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในปลายปี 2566

ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าที่เมืองมินบู ถือเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะกำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศเมียนมาร์ นอกจากนี้บริษัทยังมีธุรกิจใหม่ที่มีความโดดเด่น น่าสนใจ ทั้งธุรกิจกัญชาซึ่งเริ่มมีการขายและรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งถือเป็นอีกธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง และธุรกิจประมูลงานรับเหมาก่อสร้างและซ่อมบำรุงสถานี NGV ที่คาดว่าจะสามารถปิดดีลงานประมูลได้อีก 1-2 โครงการภายในปีนี้ รวมถึงการเข้าประมูลงานก่อสร้างที่ไม่เกี่ยวกับแก๊ส (non-gas) สำหรับสถานีให้บริการน้ำมันรูปแบบใหม่ ทำให้ภาพรวมของ SCN ในปีนี้ น่าจะมีผลประกอบการที่ฟื้นตัว และเติบโตต่อเนื่องอย่างแน่นอน ภายหลังจากที่ผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกมีการเติบของกำไรสุทธิถึง 669%

สำหรับภาพรวมธุรกิจของ SCN ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมานั้น กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติอัดสำหรับอุตสาหกรรม (iCNG) และก๊าซธรรมชาติเหลว (iLNG) ภายหลังจากที่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา SCN ขายหุ้นบริษัท เครือข่ายก๊าซ ไทย-ญี่ปุ่น จำกัด (TJN) ให้กับกลุ่ม บริษัท Shizuoka Gas Company Limited ประเทศญี่ปุ่น ล่าสุด Toho Gas Co. Ltd. พันธมิตรรายใหม่ ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติได้เข้ามาร่วมถือหุ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำธุรกิจ iCNG ในประเทศไทย โดยตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปัจจุบันที่มียอดขายราว 5,000 MMBtuต่อวัน เป็น 10,000 MMBtu ต่อวัน

ขณะที่ธุรกิจก๊าซ NGV คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มลูกค้าเริ่มหันมาใช้ก๊าซ NGV ทดแทน โดยปีนี้มีคาดว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน นอกจากนี้บริษัทได้เข้าประมูลงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงสถานี NGV เพิ่มเติม 1-2 แห่งทั้งในกรุงเทพฯและส่วนภูมิภาค โดยคาดว่าจะทราบผลประมูลภายในปีนี้ นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจสัมปทานการซ่อมบำรุงรถเมล์ NGV ของ ขสมก. จำนวน 489 คัน หลังจากที่ครบสัญญา 5 ปีแรกของรถเมล์ 100 คันแรก จะทำให้ได้รับค่าซ่อมบำรุงต่อคันต่อปีเพิ่มขึ้น ประกอบกับการดูแลและซ่อมบำรุงอย่างดีในช่วงปีแรกๆ ทำให้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 100-200 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) นั้น มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานแสดงอาทิตย์ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมด 220 เมกะวัตต์ โดยที่เฟสที่ 2 จำนวน 50 เมกะวัตต์ จะสร้างเสร็จและเริ่มจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ได้ ภายในไตรมาส 1 ของปี 2566 หลังจากที่เฟสแรก 50 เมกะวัตต์ ได้จ่ายไฟและรับรู้รายได้แล้วตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะเริ่มลงทุนในอีก 2 เฟสที่เหลือ

ในส่วนของธุรกิจ Solar rooftop ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท สแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด (SAP) ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 25 เมกะวัตต์ โดยตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตที่ 110 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทจะระดมทุนและหา พันธมิตรในการเจรจาควบรวมเพื่อซื้อกิจการ เพื่อขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต และตั้งเป้านำบริษัทเข้าจะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

ด้านธุรกิจใหม่ การปลูกกัญชงแบบ Indoor บนพื้นที่ 3,159 ตารางเมตร โดยเริ่มปลูกในช่วงไตรมาสที่ 2 และคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2565 โดยมีกำลังการผลิต 200 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจในเฟสแรกประมาณ 270 ล้านบาทต่อปี

กลุ่ม Unite Thailand ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของคนรุ่นใหม่ที่มาจากทุกสาขาอาชีพ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2554 ภายใต้การริเริ่มของ ดร.รัตนา แซ่เล้า ผู้ได้รับพระราช ทานทุนอานันทมหิดล แผนกธรรมศาสตร์ ด้านการศึกษา ประจำปี 2549 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนสร้างการศึกษาที่มีคุณภาพ และสร้างพื้นที่การเรียนรู้ให้กับเยาวชนไทย โดยในปี 2565 ทางกลุ่มฯ ได้จัดกิจกรรมเชิญชวนบริจาคหนังสือให้ชุมชนวัดทุ่งลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็ง และมีห้องสมุดในความดูแลที่ต้องการหนังสืออีกเป็นจำนวนมาก ผู้สนใจสามารถบริจาคได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

น.ส.ลลิตา ไวสินิทธ์ธรรม ผู้จัดการโครงการ ของกลุ่ม Unite Thailand ได้กล่าวว่า “โครงการรับบริจาคหนังสือให้ชุมชนวัดทุ่งลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี เกิดขึ้นจากที่ผ่านมาทางกลุ่มฯ ได้มีการจัดทำโครงการค่ายศิลปะและจัดกิจกรรมให้เยาวชนในพื้นที่จังหวัดต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนสร้างการศึกษาที่มีคุณภาพและสร้างพื้นที่การเรียนรู้ให้กับเยาวชนไทย และต่อมาก็ได้รับการติดต่อจากชุมชนวัดทุ่งลาดหญ้า ว่ามีห้องสมุดในความดูแล 2 แห่งที่ต้องการรับบริจาคหนังสือ ประกอบด้วย 1)ห้องสมุดใน รร.วัดทุ่งลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นห้องสมุดเด็กเล็ก ตั้งแต่ระดับอนุบาล-ป.6 และ 2)ห้องสมุดส่วนกลาง หรือห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติ เพื่อใช้ในการศึกษาตลอดชีวิตของชุมชน ซึ่งในปัจจุบันยังมีความต้องการหนังสืออีกเป็นจำนวนมาก จึงได้จัดทำโครงการรับบริจาคหนังสือครั้งนี้ขึ้นมา โดยผู้สนใจสามารถบริจาคหนังสือได้ทุกประเภท แต่ถ้าเป็นหนังสือที่มีความทันสมัยไม่เก่าเกินไป หรือวรรณกรรมสำหรับเด็กจะเป็นที่ต้องการมาก

หนังสือมีประโยชน์ต่อเยาวชนหลายอย่าง มีผลการวิจัยระบุไว้ว่าในช่วง 10 ขวบปีแรกนั้น การอ่านหนังสือมีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการที่เด็กอ่านเองหรือพ่อแม่อ่านให้ฟัง เพราะจะทำให้เด็กได้พัฒนาทั้งทักษะการภาษา สติปัญญา และยังได้สานสัมพันธ์กับพ่อแม่ นอกจากนี้การอ่านวรรณกรรมยังช่วยให้เด็กพัฒนา การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกทั้งของทั้งตนเองและผู้อื่น รู้จักความเห็นอกเห็นใจ และการยอมรับความแตกต่างของผู้คน จากการได้เข้าไปผจญภัยในโลกของความคิดผู้อื่น รวมถึงได้ทั้งเปิดโลกทัศน์และจิตนาการ

ซึ่งทั้งหมดนี้หลายท่านอาจจะบอกว่า เราก็สามารถอ่านจากเว็บไซต์หรือในสื่อออนไลน์ก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้เริ่มจากความรักในการอ่านมาตั้งแต่ต้น ก็จะไม่นำมาสู่การอ่านในรูปแบบอื่นๆ ต่อไป นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่สนับสนุนว่าการอ่านผ่านเว็บไซต์กับการอ่านผ่านหนังสือที่เป็นกระดาษ จะให้ผลต่างกันมาก โดยเฉพาะกับเด็กปฐมวัย หรือในวัยรุ่นก็ตาม การจดจำ การเรียนรู้คำที่ใช้ จนถึงความรู้สึก ซึ่งการอ่านจากหนังสือจะดีกว่ามาก เพราะไม่มีอะไรมาดึงสมาธิของเขาออกไป และได้ใช้เวลาคิดและรู้สึกร่วมไปได้เต็มที่ในทุกหน้า

ของหนังสือ ซึ่งในปัจจุบันนี้เด็กๆ ไม่ค่อยให้ความสนใจกับหนังสือหรือห้องสมุด เพราะมีสื่อในการเรียนรู้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละอย่างมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งนี้หนังสือก็ยังคงมีความสำคัญ โดย เฉพาะหนังสือจากแหล่งบริการ ในฐานะแหล่งเรียนรู้และความบันเทิงที่ผู้คนหลากหลายเข้าถึงได้โดยไม่ต้องลงทุน”

สำหรับผู้ที่สนใจจะนำหนังสือมาบริจาค จะสามารถส่งมาได้ที่ ดร.รัตนา แซ่เล้า บริษัท โอซีบี 1992 จำกัด เลขที่ 21/202-203 ถนนสุขุมวิท 62 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพ 10260 โดยหนังสือที่ได้รับมาทางกลุ่ม Unite Thailand จะนำมาคัดกรองและแยกประเภท หลังจากนั้นจะจัดส่งให้ชุมชนวัดทุ่งลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี หากหนังสือที่ได้รับบริจาคมามีจำนวนมาก ก็จะมีการจัดสรรนำไปมอบให้ห้องสมุดในโรงเรียนอื่นๆ ที่มีความต้องการต่อไป ซึ่งผู้ที่สนใจในกิจกรรมของกลุ่มฯ สามารถเข้าไปดูหรือติดตามได้ที่ Facebook : UNITE Thailand และทาง Instagram @UNITE2011 หรือสอบถามได้ที่โทรศัพท์ 062-7341267

 

กรุงเทพฯ: บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ของปี 2565 จำนวน 10,309 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลของการขยายตัวของฐานรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและการตั้งเงินสำรองที่ลดลง ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองมีจำนวน 22,815 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับเก้าเดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 30,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาส 3 ของปี 2565 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 27,714 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิพร้อมกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ในขณะที่สินเชื่อโดยรวมขยายตัว 3.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่นๆ มีจำนวน 11,752 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ปรับตัวดีขึ้น 6.5% จากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบและการฟื้นตัวของกิจกรรมทางธุรกิจในวงกว้าง ในขณะที่รายได้จากการลงทุนและการค้าปรับตัวลดลง 81.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 16,942 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดีที่ 42.6% ในไตรมาส 3 ของปี 2565

บริษัทฯ ได้ตั้งเงินสำรองในไตรมาส 3 ของปี 2565 จำนวน 7,750 ล้านบาท ลดลง 22.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับสูงที่ 163.8%

คุณภาพของสินเชื่อโดยรวมปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ 3.34% ปรับตัวลดลงจาก 3.58% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 และเงินกองทุนตามกฎหมายยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.5%

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธุรกิจของกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ ยังคงขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม ควบคู่กับการสนับสนุนการฟื้นตัวของลูกค้าในกลุ่มต่างๆ ในขณะเดียวกันการจัดตั้งธุรกิจใหม่ภายใต้ยุทธศาสตร์ “ยานแม่” มีความก้าวหน้าหลายประการ อาทิ การบุกตลาดธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ของบริษัท ออโต้ เอกซ์ ภายใต้แบรนด์ “เงินไชโย” ที่สามารถขยายฐานลูกค้าและสินเชื่อมากกว่า 3,000 ล้านบาท ภายในไตรมาสเดียว บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ได้เปิดตัวซูเปอร์แอป ด้านการลงทุนแห่งแรกของไทยที่รวบรวมการซื้อขายสินทรัพย์ดั้งเดิมและสินทรัพย์ดิจิทัลไว้ในแพลตฟอร์มเดียว อีกทั้งแพลตฟอร์มโรบินฮู้ดได้ผันตัวไปเป็นซูเปอร์แอป อย่างเต็มรูปแบบโดยเพิ่มบริการจองที่พักและกิจกรรมท่องเที่ยว (Online Travel Agent) บริการสั่งซื้อสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้า (Mart Service) และบริการรับ-ส่งของ (Express Service) ตลอดจนได้รับใบอนุญาตแพลตฟอร์มบริการเรียกรถแล้ว และในไตรมาสนี้ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ ได้รับเงินปันผลพิเศษจากธนาคารเพื่อใช้ดำเนินงานตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อนำพาองค์กรก้าวสู่การเป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำในระดับภูมิภาคต่อไป”

 คาร์กิลล์ บริษัทอาหารและการเกษตรระดับโลก เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมคาร์กิลล์ หรือ Cargill Innovation Center แห่งแรกในประเทศไทย นับเป็นศูนย์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์โปรตีนแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตั้งเป้าทำงานร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อที่จะร่วมวิจัยและพัฒนาสินค้าอาหารและต่อยอดผลผลิตทางการเกษตร ปั้นไอเดียใหม่จากงานวิจัย มาศึกษาต่อยอดและปรับใช้ในเชิงพาณิชย์ พร้อมสนับสนุนไทยเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานอาหารระดับโลก

บทบาทของศูนย์นวัตกรรมคาร์กิลล์ในประเทศไทย จะมุ่งเน้นการทำงานวิจัยและพัฒนา 3 ส่วนได้แก่ ผลิตภัณฑ์โปรตีน ผลิตภัณฑ์ที่ต่อยอดจากโปรตีน และผลิตภัณฑ์จากเทคโนโลยีการเกษตรเพื่อสินค้าสำหรับอนาคต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งปัจจุบันและอนาคต พร้อมวางตำแหน่งเป็น “ศูนย์นวัตกรรมด้านโปรตีนแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ที่มีการวิจัยครบวงจร พัฒนาและผลิตสินค้าได้ทั้งประเภทอาหาร และนอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร

ศูนย์นวัตกรรมคาร์กิลล์ จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าและของผู้บริโภค ผสานกับนวัตกรรมที่มีอยู่และคิดค้นขึ้นใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้า ควบคู่ไปกับการผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ให้ผู้บริโภคในไทยได้เพลิดเพลินกับสินค้าที่ดีทั้งในแง่ของรสชาติและโภชนาการ ผ่านการทำการตลาดจาก 2 แบรนด์หลัก คือ Sun Valley ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ และ PlantEver ผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก โดยจะมีสินค้าใหม่ๆ มาวางจำหน่ายให้ผู้บริโภคคนไทยได้บริโภคอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังต่างประเทศ ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับคู่ค้า อาทิ ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เกิดความหลากหลายมากขึ้น

ศูนย์นวัตกรรมคาร์กิลล์ ตั้งอยู่ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มีพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร โดยภายในศูนย์ฯ ประกอบด้วย ห้อง Sensory & Kitchen Studio ที่นำข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคมาวิเคราะห์และพัฒนาสูตรอาหารโดยนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์การอาหาร โดยเน้นถึงความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก ห้อง Kitchen Lab ที่ใช้พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีรสชาติที่หลากหลาย และถูกปากผู้บริโภคมากขึ้น และห้อง Pilot line ที่นำขั้นตอนการผลิตมาย่อส่วนลงเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมีทีมวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่จะคิดค้นไอเดียใหม่เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์โปรตีนและเทคโนโลยีการเกษตร

นายธิติ ตวงสิทธิตานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาร์กิลล์มีทส์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยถึงการเปิดศูนย์นวัตกรรมคาร์กิลล์ หรือ Cargill Innovation Center ในไทยว่า นอกจากจะเป็นการตอบสนองนโยบายหลักของ คาร์กิลล์ในการเป็นผู้นำด้านอาหารและสินค้าเกษตรระดับโลกแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคาร์กิลล์ที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร ด้วยการส่งเสริมให้เกิดงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีรสชาติดี และมีเนื้อสัมผัสที่ถูกใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนให้ความสำคัญกับการต่อยอดสินค้าเกษตร และการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีเกษตรประยุกต์เพื่ออนาคต ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับไทยในตำแหน่งผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานอาหารระดับโลก

ผมเชื่อมั่นว่า Cargill Innovation Center จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร ช่วยสร้างไอเดียใหม่ๆ ให้กับธุรกิจอาหารและการเกษตร เกิดการคิดค้นนวัตกรรม เพิ่มศักยภาพในการผลิตอาหาร และเอื้อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ดีต่ออุตสาหกรรมอาหารของไทย นำไปสู่การเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกอาหารมากเป็นลำดับต้นของโลก นอกจากนี้ เราจะใช้ความชำนาญและเครือข่ายศูนย์นวัตกรรมทั่วโลกของคาร์กิลล์มาทำงานร่วมกัน เพื่อนำข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคและความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การอาหารในแต่ละประเทศมาพัฒนาผลิตภัณฑตอบโจทย์ผู้บริโภคให้มากที่สุด”

สำหรับศูนย์นวัตกรรมคาร์กิลล์ประเทศไทย เป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาที่มีการร่วมมือกับทั้งภาครัฐ และเอกชน มีการทำงานวิจัยซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว มีเป้าหมายที่จะเพิ่มประสิทธิภาพด้านนวัตกรรม พร้อมมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมอาหารด้วยการยึดหลัก BCG Economy Model อย่างครอบคลุม ทั้งเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว โดยศูนย์แห่งนี้จะทำงานใกล้ชิดกับ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) และหน่วยงานอื่นๆ ในสังกัด สวทช. ซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ นำเอางานวิจัยมาศึกษาต่อยอดและปรับใช้ในเชิงพาณิชย์ ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในสังกัดเพื่อค้นคว้าวิจัยและขับเคลื่อนไอเดียนวัตกรรมให้ใช้งานได้จริง จนได้เป็นไอเดียนวัตกรรมสำหรับพัฒนาสินค้า เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้บริโภค

ปัจจุบัน คาร์กิลล์ มุ่งเน้นการนำความรู้และความเชี่ยวชาญจากทั่วโลกมาพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ในด้านอาหารและการเกษตร ภายใต้การวิจัยและพัฒนาที่มีศักยภาพ โดยในภูมิภาคเอเชีย มีการจัดตั้ง Cargill Innovation Center แล้ว 4 แห่ง ได้แก่ สิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง คุรุคราม (Gurugram) และล่าสุดกับการเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นศูนย์นวัตกรรมแห่งที่ 5 ของเอเชีย เพื่อสานต่อเป้าหมายหลักในการเป็นผู้ผลิตอาหารและสินค้าเกษตรที่ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภค พร้อมส่งมอบไอเดียนวัตกรรมผ่านผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีความปลอดภัย มีความรับผิดชอบในทุกกระบวนการผลิต และสร้างความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือน ก.ขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อน

จากรายการบทวิเคราะห์ ข้อมูลการส่งออกสินค้าไทยโดย  EIC  เดือนกันยายน 2022 อยู่ที่ 24,919.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 7.8%YOY (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 และเร่งตัวจากเดือนก่อนที่ 7.4% ในขณะที่ตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายนเทียบกับเดือนสิงหาคม (แบบปรับฤดูกาล) ขยายตัว 5.8%MOM_sa ในภาพรวมการส่งออกของไทยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2022 ยังขยายตัวได้ดีที่ 10.6%

สินค้าส่งออกหลักเกือบทุกกลุ่มยังขยายตัว โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แต่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัว

ภาพรวมการส่งออกรายกลุ่มสินค้าพบว่า (1) สินค้าเกษตรกลับมาขยายตัว 2.7% หลังจากหดตัว -10.3% ในเดือนก่อน เทียบกับที่เคยขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งแรกของปี โดยสินค้าหลักที่หดตัวในเดือนนี้ ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ยางพารา และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขณะที่ไก่แปรรูปและไก่สดแช่เย็นแช่แข็งยังเป็นสินค้าสนับสนุนสำคัญ
(
2) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 0.8% แต่หดตัว -14%MOM_sa โดยสินค้าที่ส่งออกได้ดีในเดือนนี้ ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง ในขณะที่การส่งออกสินค้าประเภทไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ปรับแย่ลง ในช่วงที่เหลือของปี การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรจะมีความเสี่ยงผลผลิตลดลงจากอุทกภัย โดย EIC ประเมินว่าในกรณีฐานสถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้จะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 5.7 ล้านไร่ ส่งผลให้มีพื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหาย 1.9 ล้านไร่ โดยเฉพาะจากข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายราว 12,000 ล้านบาท (หรือเพิ่มเป็น 30,000 ล้านบาท ในกรณีเลวร้าย) (3) สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว  9.4% โดยในเดือนนี้สินค้าที่ส่งออกได้ดี เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ซึ่งสะท้อนปัญหาขาดแคลนชิปที่เริ่มคลี่คลาย รวมถึงอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทอง) ทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป ไก่แปรรูป เป็นต้น ขณะที่สินค้าที่ส่งออกชะลอลง เช่น เม็ดพลาสติก สายไฟฟ้าและสายเคเบิล เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์

มองไปข้างหน้า การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในระยะถัดไปมีแนวโน้มไม่ค่อยสดใสนัก สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ในเดือนกันยายน โดยความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่เน้นตลาดส่งออกอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 สะท้อนสภาวการณ์ที่แย่ลง นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นยังมีแนวโน้มปรับลดลงในช่วง เดือนที่ผ่านมา จนอยู่ในระดับต่ำกว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่เน้นตลาดในประเทศที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ ปี หากพิจารณาดัชนีคำสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศ ซึ่งมักใช้เป็นเครื่องชี้สัญญาณการส่งออกในอนาคตพบว่า แม้ดัชนีนี้อยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นที่ระดับ 102 แต่ก็ปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่าดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ในประเทศเช่นเดียวกัน สอดคล้องกับรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อภาคการผลิตของไทยโดย S&P Global ที่ระบุว่า ปริมาณคำสั่งซื้อใหม่ในภาคอุตสาหกรรมไทยในเดือนนี้ปรับเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ในประเทศเป็นหลัก ในขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่มีแนวโน้มลดลงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยคิดเป็น 79.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด[1] (4) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงกลับมาขยายตัวเล็กน้อย 1.2% หลังจากหดตัว -9.7% ในเดือนก่อน และ (5) สินค้ากลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดในเดือนกันยายน โดยขยายตัวเร่งขึ้นมากที่ 89.6%
เทียบกับ 
31.2% ในเดือนก่อน

การส่งออกไปยังตลาดจีนยังน่าเป็นห่วง

การส่งออกรายตลาดยังขยายตัวได้ในตลาดหลักสำคัญ ยกเว้น จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น และอินเดีย โดย (1) ตลาดจีนหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ -13.2% โดยสินค้าส่งออกไปจีนที่ลดลงในเดือนนี้ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง เคมีภัณฑ์ ในขณะที่การส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ไก่และกุ้งสด แช่เย็น แช่แข็งเป็นสินค้าที่ส่งออกได้ดี (2) ตลาดญี่ปุ่นหดตัวอีกครั้งในเดือนนี้ที่ -1.7% หลังจากฟื้นตัวในเดือนก่อน (3) ตลาดสหรัฐฯ และยุโรป (EU28) ขยายตัวเทียบกับปีก่อนที่ 26.1%
และ 
22.2% ตามลำดับ  และขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนแบบ %MOM_sa ในระยะข้างหน้า การส่งออกตลาดนี้อาจชะลอลงจากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย (4) ตลาด CLMV และ ASEAN5 ขยายตัวดีต่อเนื่อง 26.3% และ 9% ตามลำดับ

ดุลการค้าขาดดุลต่อเนื่องทั้งในระบบดุลการชำระเงินและระบบศุลกากร

มูลค่าการนำเข้าของไทยในเดือนกันยายนอยู่ที่ 25,772.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 15.6% ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่ 21.3% โดยมูลค่าการนำเข้าเดือนนี้มีสัญญาณชะลอตัวมากขึ้น โดยการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งหดตัว -5.8% และ -5.9% ตามลำดับ ในขณะที่กลุ่มสินค้าอื่น ๆ ยังขยายตัวได้ดี แต่เริ่มมีแนวโน้มชะลอลง อย่างไรก็ดี มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยชะลอตัวช้ากว่ามูลค่าการส่งออกค่อนข้างมาก ส่งผลให้ดุลการค้าในระบบศุลกากรเดือนนี้ขาดดุล -853.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการขาดดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2022 มูลค่าการนำเข้าขยายตัว 20.7% และดุลการค้าขาดดุล -14,984.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[2]

EIC มองการส่งออกสินค้าไทยมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องตามทิศทางเศรษฐกิจโลก

EIC ประเมินว่าการส่งออกมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องในระยะข้างหน้า ตามสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอลงชัดเจนขึ้นและเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงขึ้น โดยเฉพาะความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจ และ Geopolitics ทิศทางเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าหลักของไทย เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงข้างหน้า รวมถึงจีนที่ฟื้นตัวอย่างเปราะบางจากการใช้นโยบาย Zero-COVID และความเปราะบางในภาคอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยฐานสูงที่จะเห็นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดย EIC คาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ 6.3% ในปี 2022 และจะชะลอลงเหลือ 2.5% ในปี 2023

 

บทวิเคราะห์จาก  ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center ( EIC)  ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ( มหาชน)

 

X

Right Click

No right click